...+

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

...ตัวโกรธ.....

หลวงปู่บุดดา ถาวโร
จัดว่าเป็น “รัตตัญญู”
คือ เป็นผู้เก่าแก่และมีประสบการณ์มากรูปหนึ่ง
ของคณะสงฆ์ไทย...
ด้วยท่านมีอายุยืนยาน ถึง ๑๐๑ ปี
ก่อนจะมรณภาพ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗

แม้หลวงปู่บุดดาจะไม่ได้เล่าเรียนในทางปริยัติมาก
แต่ความที่ท่านเชี่ยวชาญในการปฏิบัติ
จึงมีความสามารถในการสอนธรรมชนิดที่สื่อตรงถึงใจ
มีคราวหนึ่ง...ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์
คู่กับท่านเจ้าคุณรูปหนึ่ง
ซึ่งเป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค

ท่านเจ้าคุณรูปนั้นคงเห็นหลวงปู่เป็นพระบ้านนอก
จึงอยากลองภูมิหลวงปู่
ได้ถามหลวงปู่ว่า...จะเทศน์เรื่องอะไร..?
หลวงปู่ตอบว่าง... “เรื่องตัวโกรธ กิเลสตัณหา”...
ท่านเจ้าคุณซักต่อว่า... “ตัวโกรธเป็นอย่างไร”...
หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า... “ส้นตีนไงล่ะ”...

เท่านั้นเอง..ท่านเจ้าคุณก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ไม่ยอมเทศน์กับหลวงปู่
วันนั้น..หลวงปู่จึงต้องขึ้นเทศน์องค์เดียว..
เมื่อเทศน์จบแล้ว....
ท่านก็ไปขอขมาท่านเจ้าคุณองค์นั้น..
พร้อมกับอธิบายว่า...
“ตัวโกรธมันเป็นอย่างนี้เองนะ..มันหน้าแดง ๆ นี้แหละ..”

หลวงปู่ท่านแนะนำว่า...
วิธีการเอาชนะความโกรธของท่าน..
เมื่อเวลาท่านโกรธ..
ท่านพยายามเอาชนะความโกรธด้วยการกราบ
เพราะ...ตัวโกรธกลัวการกราบ...
ท่านว่า..เวลาท่านโกรธ ๑ ครั้ง ท่านก็ลุกขึ้นกราบพระ ๓ ครั้ง
โกรธ ๒ ครั้ง ก็กราบพระ ๖ ครั้ง โกรธ ๑๐๐ ครั้ง ก็กราบ ๓๐๐ ครั้ง
ก็ขอเชิญทุกท่าน..
ลองนำวิธีดับความโกรธของท่านไปใช้ดู...
ได้ผลอย่างไร..ก็ช่วยบอกต่อ ๆ กัน..
ผู้เขียนก็เห็นว่า..ดี..ทดลองใช้แล้วก็เห็นผลจริงดังท่านแนะนำ...



เป็นอะไรกันล่ะ จึงมานั่งร้องไห้










http://variety.teenee.com/foodforbrain/img6/30908.jpg





วันหนึ่ง ขณะที่ธุดงค์ไปพักที่วัดถ้ำแสงเพชร ซึ่งอยู่ไกลจากอำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ

พอสมควร ปรากฏว่า มีโยมอุปัฏฐากที่เป็นผู้มีหน้า มีตา ของอำเภอ และเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ นักปฏิบัติ มานั่งร้องไห้ต่อหน้าหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ยังคงนั่งเฉยอยู่ จนเมื่อโยมได้สร่างโศกลงบ้าง ท่านก็ถามว่า "เป็นอะไรล่ะ จึงนั่งร้องไห้" โยมผู้นั้นเล่าว่า รถที่เพิ่งซื้อมาใหม่ถูกขโมยไปแล้ว แต่ หลวงพ่อก็นั่งเงียบ เผอิญก็มีโยมผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมกับญาติ พอกราบหลวงพ่อเสร็จก็ร้องไห้ เป็นวรรคเป็นเวรเช่นกัน หลวงพ่อนั่งคอยจนเขาพอพูดได้ ก็ถามด้วยคำถามเดิมว่า "เป็นอะไรไปล่ะ" เขาก็ตอบว่า"เมียตายสองคน ลูกตายสองคน" ( เผอิญชายคนนี้มีภรรยาสองคนอยู่ในบ้าน เดียวกัน) หลวงพ่อก็ถามต่อว่า "เป็นอะไรตายล่ะ" โยมผู้ชายก็ตอบว่า "กินเห็ดเบื่อตาย"

หลวงพ่อหันไปถามโยมผู้หญิงที่ยังน้ำตาซึม แต่ก็นั่งเงียบฟังโยมผู้ชายเล่าอยู่ด้วยและพูดว่า

"แลกกันไหมล่ะ ดูซิ ของเขาลูกเมียตายตั้งสี่คน ของโยมรถหายคันเดียว โลกนี้เป็นอย่างนี้ แหละ มีความปรารถนาอะไรแล้วไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ไม่อยากให้รถหาย มันก็หาย ไม่ อยากให้ลูกเมียตาย ก็ตาย ใครจะห้ามได้ ชีวิตทุกชีวิตเป็นอย่างนี้แหละ ใครอยากล่ะ โยม อยากให้รถหายไหม โยมอยากให้ลูกเมียตายไหม"

ทั้งคู่ก็ตอบรับหลวงพ่อว่า "ไม่อยากค่ะ (ครับ)"

หลวงพ่อกล่าวต่อไปว่า "เป็นอย่างนี้แหละ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ให้เราพิจารณาดู ทุกสิ่งทุกอย่าง

ถ้าเราไม่หนีมัน มันก็หนีเรา คนก็เหมือนกัน เราไม่จากเขา เขาก็จากเรา มันอยู่ที่ ใครไปก่อนใครเท่านั้นเอง บางทีวัตถุก็ไปก่อนเรา บางทีเราก็ไปก่อนวัตถุ บางทีคนใกล้ชิดเราเขา ก็ไปก่อน บางทีเราไปก่อนเขา มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของกรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมเราย่อมมีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นผู้ติดตาม ให้ผล ไม่ว่าบุญหรือบาป ดีหรือชั่วก็ตาม เราจะต้องรับกรรมนั้นโดยแน่นอน

สำหรับโยมผู้ชายนั้นโยมผู้หญิงกับลูกเขาทำกรรมกับเรามาแค่นี้

เขาตายไปเขาก็ไม่ขอ อนุญาตเรา ไม่บอกเรา ไม่ได้เขียนใบลา เขาก็ตายไป โยมผู้หญิงก็เช่นกัน รถคันนี้มันทำกรรมกับ โยมมาแค่นี้ รถมันก็ไม่บอกเราก่อนว่ามันจะถูกขโมยแล้วนะ อยู่ ๆ มันก็หายไป ดังนั้นให้เราเห็นว่า เป็นธรรมดาของทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่หนีมัน มันก็หนีเรา เราเกิดมาเป็นอะไร เกิดที่ไหน เกิดมากี่ ครั้ง ๆ โลกก็เป็นเช่นนี้ เราเองต่างหากที่ไปอุปาทานว่า นี่รถของเรา นี่ลูกนี่เมียของเรา รถมันไม่เคย บอกนะว่ามันเป็นของเรา เราไปซื้อมันมาตกแต่ง มารักมันเอง ที่จริงรถมันไม่ได้เป็นของใคร

มันเป็น ของธรรมชาติที่ไหลไปตามเหตุปัจจัย มนุษย์ไปสมมุติขึ้นมา แล้วยึดว่าเราเป็นเจ้าของ เมื่อมันหาย ไปให้เราคิดว่า นั่นเป็นการคืนกลับสู่ธรรมชาติ โยมผู้ชายก็เหมือนกัน ลูกเมียก็เสียไปแล้วพิจารณา มองให้เห็นว่าเป็นทุกข์ ไม่ใช่พอสร่างโศกก็ไปหามาใหม่ เป็นการเพิ่มทุกข์ขึ้นมาอีก เราควรทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ทำภาวนา แผ่ให้ผู้ตายบ้าง เราเองก็ต้องตาย ไม่แน่ว่าเมื่อไร ขอให้เข้าใจสัจธรรม ของธรรมชาติ "

หลวงพ่อกล่าวเป็นสังเขปพอให้โยมสร่างทุกข์ หน้าที่ของพระก็คือ แก้ไขทุกข์ โดยคิดว่า ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น เมื่อกล่าวไปแล้วก็ไม่ได้คิดปรุงว่า จะแก้ ได้หรือไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีคำตอบอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว ผู้มีปัญญาก็จะค้นหาคำตอบ ของปัญหาของเขาเองได้ในที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น