...+

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คำสารภาพของนักโทษประหาร

ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือ บันทึกท่องนรกภูมิ ซึ่งในท้ายของหนังสือมีบันทึก คำสารภาพนักโทษประหาร ผมอ่านแล้ว เห็นว่าเป็นประโยชน์
อย่างยิ่ง ได้ให้แง่คิดที่เป็นอุทาหรณ์ สำหรับผู้คนในสังคม จึงได้มอบหมายให้ผู้มีจิตอาสาช่วยพิมพ์มาเผยแพร่ให้ได้อ่านเป็นธรรมทาน สมดังเจตนารมณ์ของผู้เขียนบันทึกฉบับนี้
และขอขอบคุณสำหรับผู้ที่สละเวลาพิมพ์บันทึกฉบับนี้ให้ เพื่อให้เราได้อ่านกัน ขออนุโมทนาบุญในครั้งนี้ด้วย

และขอให้บุญกุศลที่เกิดขึ้นสำหรับผู้อ่านทุกท่าน ส่งมอบบุญให้กับผู้เขียนคำสารภาพท่านนี้ด้วย
โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ

ถวิล พัวภูมิเจริญ



คำสารภาพของนักโทษประหาร



ผมเป็นนักโทษประหารที่ได้ผ่านการตัดสินถึงที่สุดของศาลฎีกาแล้ว ผมมีความรู้สึกอย่างรุนแรงว่า เช้าตรู่ของวันนี้ ผมกับเพื่อนคู่หูที่ต้องโทษประหารด้วยกันจะต้องถูกนำไปแดนประหาร ด้วยลูกกระสุน 3 นัด จะปิดบัญชีอันโสมมโสโครกของผมลง

ผมเคยร่วมกับเพื่อนร่วมแก๊งเข้าออกในดงมีด ดงกระสุนไม่รู้ว่ากี่ครั้งมาแล้ว ผมไม่เคยนึกกลัวตาย และไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตนี้จะมีค่างวดอะไร หากแต่ในขณะนี้ กำลังเผชิญหน้ากับมัจจุราช ความกลัวต่างได้ผุดขึ้นจากหัวใจฉับพลัน

ผมเริ่มหวงแหนชีวิตขึ้นมา ผมอยากอยู่ในโลกนี้ต่อไปเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นสามีที่ดีของภรรยาและเป็นพ่อที่ดีของลูก แต่อนิจจา ทุกสิ่งทุกอย่างสายเสียแล้ว

เมื่อไม่นานมานี้ เพื่อร่วมแก๊งของผมถูกจับ ความฝันที่จะยึดชีวิตอีกต่อไปได้ทลายลง ผมกับเพื่อนถูกพิพากษาโดยด่วน เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ ช่วงเวลาสั้นๆ ได้ผ่านคำพิพากษาทั้ง 3 ศาล

นับตั้งแต่คำพิพากษาให้ประหารชีวิตของศาลต้น ผมเริ่มหมดหวัง เริ่มหมดอาลัยตายอยาก มัจจุราชได้กระชับเข้ามาทุกที เมื่อมานึกถึงวันที่ถูกนำตัวไปแดนประหาร จิตใจฝ่อเหี่ยวทันที นอนไม่หลับทุกคืน

ผมสำนึกผิด ผมเจ็บใจตัวเองที่ได้กระทำลงไป แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินแก้เสียแล้ว ผมเสียใจ ผมร้องไห้...

ผมเริ่มเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เชื่อเรื่องวิญญาณ ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือธรรมะที่คุมขัง โดยเฉพาะหนังสือ “บันทึกท่องนรกภูมิ”

ผมเริ่มเข้าใจ ความตายไม่ได้หมายความว่าจะจบสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง วิญญาณของเราจะไปรับโทษต่อในขุมนรกตามวิบากกรรมที่ได้ก่อไว้เมื่อยังมีชีวิต

กระทะทองแดง นรกน้ำแข็ง นรกควักลูกตา นรกเฉือนใบหน้า นรกแขวนห้อยหัว ฯลฯ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน

ไม่รู้ต้องทนทุกข์ทรมานเท่าไหร่ แล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถูกเขาเชือด ถูกเขาฆ่า ถูกเขาสับ ไม่รู้อีกกี่ชาติจึงไปเกิดเป็นคนยากไร้ แล้วอีกนานเท่าไหร่ จึงได้ไปเกิดในครอบครัวที่มั่งมีอย่างชาตินี้

เสียดายไม่รู้จักทะนุถนอมชีวิตไว้ ไม่รู้จักต่อบุญสร้างบารมีให้มากขึ้น ทั้งๆ ที่โอกาสอำนายให้

เมื่อวานนี้ ภรรยาพาลูกชายมาเยี่ยม เป็นการพบหน้ากันครั้งสุดท้าย

15 นาทีที่พบหน้ากัน ช่างมีค่าเหลือเกิน

ทำไมตอนที่เราอยู่ด้วยกัน ผมไม่เคยเห็นคุณค่าการอยู่ร่วมกันของพ่อแม่ลูก เราบัดซบจริงๆ

เมียมีแต่น้ำตานองหน้า ลูกที่ไร้เดียงสาก็พลอยร้องไห้ไปด้วย เมื่อเห็นแม่ของแกร้องไห้

ผมมอบความหวังและอนาคตของลูกไว้กับเธอ ขอให้เธออบรมลูกให้เป็นคนดี อย่าเอาเยี่ยงอย่างเหมือนกับพ่อของแก

ผมสงสารเธอ รักเธอและคิดจะปกป้องเธอ แต่ทำได้แค่ความฝันเท่านั้น

ผมมองเธอกับลูกชายจนลับตา เมื่อเวลาเยี่ยมหมดลง

ผมทรุดตัวลงกับพื้น คิดถึงอดีต ผมไม่เคยทำหน้าที่เป็นสามีที่ดีเลย วันๆ ไม่ดุด่าก็เตะต่อย ผมเป็นหนี้กรรมภรรยาผมมากเหลือเกิน ผมไม่ใช่คน ผมเป็นสัตว์เดรัจฉาน

จากหนังสือธรรมะ ผมยอมรับว่าผมกลัวตาย ผมกลัวถูกนำไปลงโทษตามขุมนรกต่างๆ บทลงโทษในขุมนรกเหี้ยมโหดกว่าการลงโทษในเมืองมนุษย์มาก

ผมอยากไถ่บาป อยากได้รับการลดหย่อยผ่อนโทษในเมืองนรกบ้าง

ผมขอร้องพัสดี ให้โอกาสผมเขียนคำสารภาพบาป เพื่อเป็นการเตือนสติคนที่เห็นผิดเป็นชอบ จะได้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี

บทความนี้นับว่าเป็นงานบุญชิ้นแรกและชิ้นสุดท้ายที่ผมได้อุทิศให้ก่อนที่ผมลาจากโลกนี้ไป

ผมเป็นบุตรชายคนเดียวที่เกิดในครอบครัวเศรษฐี จึงได้รับการพะเน้าพะนอและถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก คุณพ่อมีกิจการหลายอย่าง ไม่มีเวลาให้กับครอบครัว คุณแม่วันๆ ออกไปเล่นไพ่นกกระจอก พ่อแม่ผมให้ผมทุกอย่างหากผมต้องการ นอกจากดาวกับเดือนเท่านั้นที่ไม่สามารถสรรหาได้

ผมเป็นคนเอาแต่ใจตัวตั้งแต่เด็ก นิสัยกระด้าง ดื้อดึง มุทะลุ

ตอนเรียนมัธยม ผมเข้าออกโรงพักเป็นว่าเล่น พ่อแม่ก็ไปประกันตัวทุกครั้ง

ทุกครั้งที่ประกันตัว พ่อแม่เพียงดุด่า 2-3 คำ ไม่สามารถแก้นิสัยของผมได้ ตำรวจเจอผมทีไร จะสั่นหัวทุกที

ผมชอบขี่มอเตอร์ไซด์ ทะลวงท่อไอเสียให้เกิดเสียงดัง ชอบแล่นผ่านในย่านชุมชน ทำความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก

ผมยังคบกับพวกอันธพาล ยกพวกตีกัน ถ้ามีใครมองหน้าหน่อย จะถูกพวกเราซ้อมทันที

ด้วยความเหี้ยมโหด นักเลง จนได้ฉายาว่า “ไอ้เหี้ยม” และได้รับการยกย่องเป็น “ตั้วเฮีย” ในหมู่นักเลง

อายุแค่ 25 ปีเท่านั้น คดีแดงในแฟ้มของกรมตำรวจกองเป็นภูเขาเลากา

การเป็นตั้วเฮียในหมู่นักเลงไม่ใช่เป็นได้ง่ายๆ ต้องใจถึง โดยเฉพาะเรื่องเงิน จึงไปขอเอาจากพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่ไม่ให้หรือทำสีหน้าไม่พอใจ ก็จะถูกผมตะโกนด่า นอกจากไปไถจากพ่อแม่แล้ว ยังต้องเที่ยวเก็บค่าคุ้มครอง จึงจะเลี้ยงดูลูกน้องได้

ถึงตอนนั้นพ่อแม่รู้สึกเสียใจที่ปล่อยปละละเลยไม่ได้สั่งสอนผม

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่กำลังทวงหนี้จากพวกนักพนันและได้ทำร้ายนักพนันคนหนึ่งอย่างสาหัส จึงต้องหลบหนีจากบ้านไป

ต่อมาไม่นาน ขณะที่กำลังเล่นพนันอยู่ในบ่อนทางตอนเหนือ ถูกตำรวจตามล่าตัวได้ จึงถูกข้อหาทำร้ายผู้อื่นถูกพิพากษาให้จำคุก 2 ปี

พ่อแม่เจ็บปวดเหลือทน คอยแต่หวังว่ากฎหมายจะช่วยแก้ไขหรือไม่ก็ทำให้กลับตัวได้ แต่ผมหาได้สำนึกผิดกลับร้ายยิ่งกว่าเก่าเสียอีก

พ่อแม่หมดหนทาง จึงกล่อมให้ผมแต่งงานและวางแผนที่จะมอบกิจการให้ผม เพื่อให้รับผิดชอบต่อครอบครัวและหน้าที่การงาน หรือสามารถทำให้ผมกลับเนื้อกลับตัว

ผ่านการแนะนำของคนอื่น จึงได้แต่งงานกับหญิงสาวของครอบครัวสมถะ ภรรยาผมเป็นกุลสตรีที่สงบเสงี่ยม แต่ผมเป็นคนสำส่อนจนเคยแล้ว จึงมิได้เห็นเธอในสายตา จึงมักพูดจาหยาบคายต่อเธอ ถ้าเธอเอาใจไม่ดี จะถูกผมด่าหรือไม่ก็เตะต่อย แต่ภรรยาเป็นคนดีมาก กตัญญูต่อพ่อแม่ของผมเป็นอย่างดี เธอไม่ยอมปริปากให้พ่อแม่ผมต้องเสียใจเลยถึงเรื่องระยำของผม

หลังแต่งงานหนึ่งปี ผมก็เที่ยวรีดไถ่ค่าคุ้มครองจากชาวบ้านอีก ในที่สุดผมก็ถูกจับและถูกจองจำอีก 2 ปี

การถูกจองจำคราวนี้ทุกข์แสนสาหัสแทบทนไม่ได้

ขณะถูกจองจำ ภรรยาก็ให้กำเนิดบุตรชาย 1 คน

พ่อแม่ภรรยาและลูกชายไปรับผมหน้าเรือนจำ เมื่อผมอยู่ครบ 2 ปี

คืนนี้หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ภรรยาอุ้มลูกชายคุกเข่าลงต่อหน้าพ่อแม่ของผม เธอร้องไห้ เธอขอร้องผมให้เห็นแก่อนาคตของลูก กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี ขอให้ผมคิดถึงพระคุณของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรา คิดถึงความสัมพันธ์ของลูกเมีย

ผมมองหน้าลูกชาย ช่างน่ารักน่าเอ็นดู ลูกตาใสแป๋วส่อแววว่าเป็นเด็กฉลาดและน่ารัก

ในใจเกิดความรู้สึกรักลูกขึ้นมาอย่างจับใจจึงรับปากภรรยาว่า จะเป็นคนดีต่อจากนี้ไป เพราะสิบกว่าปีที่อยู่ในถิ่นนักเลงก็รู้สึกเบื่อๆ เหมือนกัน

เมื่อผมรับปากว่าจะทำงานทำการ ภรรยาผมได้ฟังเช่นนั้น เธอก็ยิ้มทั้งน้ำตานองหน้า กล่าวว่าพูดจริงหรือ

ผมไม่ได้เห็นภรรยายิ้มมานานแล้ว เพราะหลายปีมานี้ ผมไม่เคยทำสีหน้าดีกับเธอเลยและก็ได้ตีเธอไม่รู้จักกี่ครั้ง การยิ้มครั้งนี้ ผมได้พบว่าภรรยาเป็นคนน่ารักมาก เมื่อก่อนผมทำไมไม่พบเห็นเลย ความเศร้าหมองบนใบหน้าเธอได้อันตรธานไปหมดสิ้น

ไม่กี่วันต่อมาพ่อเลยให้ไปช่วยงานในโรงงานของพ่อซึ่งเห็นว่าผมเป็นผู้บริหารไม่ได้ จึงให้เป็นพนักงานระดับกลาง

เพื่อนร่วมงานรู้ว่า ผมเป็นลูกเถ้าแก่ ต่างก็ให้ความเกรงใจรักใคร่ แต่ก็อย่างว่าแหละ สันดานเปลี่ยนยากด้วยเคยเป็นตั้วเฮียมาก่อน เอาแต่ใจตัวและชอบออกคำสั่ง แต่มาบัดนี้ผมต้องฟังคำสั่งของหัวหน้างาน ผมทนไม่ได้ ผมขู่หัวหน้างานว่า ผมจะให้อันธพาลมาสั่งสอนพวกเขา

เนื่องด้วยผมเป็นลูกชายของเถ้าแก่ พวกเขาทำอะไรผมไม่ได้ จำต้องลาออกไปทีละคน 2 คน จนหัวหน้างานระดับสูงได้ลาออกไปหมด

เมื่อโรงงานขาดคนสั่งงาน ระบบงานปั่นป่วนยุ่งเหยิงไปหมด ความเป็นโรงงานหมดไป

พ่อกลุ้มใจจนล้มป่วยลง

ผมเองก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องงานเลย จึงไม่ยอมไปทำงานต่อไป

ผมเริ่มกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม คบหาพวกอันธพาลอีก

ใบหน้าของภรรยาที่เคยเปล่งปลั่งด้วยรอยยิ้มแค่เดือนเศษเท่านั้น ความเศร้าโศกมัวหมองเริ่มปรากฏให้เห็นอีก

การล้มป่วยของพ่อได้ยืดเยื้ออยู่หลายเดือน จึงไม่ได้ไปบริหารงานเลย

ประจวบกับเศรษฐกิจช่วงนี้ตกต่ำมาก กิจกรรมของพ่อต้องปิดลงทีละแห่งๆ จนในที่สุดต้องปิดกิจการทั้งหมด

เวลาผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง อะไรที่พอขายได้ก็ขายไป อะไรที่จำนำได้ ก็นำไปจำนำหมด ในที่สุดก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย

คุณพ่อเจอสภาพอย่างนี้ ด้านจิตใจถูกกระทบกระเทือนมาก ความดันพ่อสูงขึ้นอย่างผิดปกติ และได้จากโลกนี้ไปอย่างระทม

คุณแม่เจอมรสุมเช่นนี้ก็ล้มป่วยลงอีกคน

เศรษฐกิจที่เคยได้จากพ่อแม่ได้ขาดสะบั้นลง

ผมต้องการหาความสุขใส่ตัว เมื่อบ้านไม่สามารถสนองความต้องการของผม ผมเลยหนีออกจากบ้านไป

เมียอุ้มลูกชายไปฝากคุณยายเลี้ยงดู เธอทำงานด้านฝีมือเย็บปักถักร้อย เพื่อหาเงินซื้อยารักษาแม่ผม

เพื่อนบ้านเห็นใจภรรยาผมมาก ต่างยื่นมือให้ความช่วยเหลือ

ภรรยาไม่อยากรบกวนเพื่อนบ้าน ได้กล่าวขอบคุณความมีน้ำใจของพวกเขา แต่เธอเต็มใจรับภาระทั้งหมดด้วยตัวเธอเอง

การเป็นลูกทรพีของผม ชาวบ้านต่างสาปแช่งกัน

เพื่อรักษาการเป็นตั้วเฮีย ผมจำต้องหาเงินทุกวิธีทาง

นอกจากตั้งบ่อนการพนันแล้ว ยังเที่ยวเก็บค่าคุ้มครองทั้งแม่ค้าแผงลอยและตามร้านค้า

หากมีใครแข็งข้อ ผมจะส่งลูกน้องไปจัดการ ทำให้พวกเขาเจ็บใจและเกลียดชังผมมาก

ในที่สุดพวกเขาเหลืออด รวมตัวกันไปร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ตำรวจเริ่มสืบสวนความจริงจึงได้ออกหมายสั่งจับ

ผมอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เริ่มระเหเร่ร่อนไปถิ่นอื่น

ระหว่างที่ผมเร่ร่อนหนีการจับกุมของตำรวจนั้น คุณแม่ผมได้ตายลง

ผมเป็นลูกอกตัญญู ไม่เคยรู้ว่าความกตัญญูคืออะไร

ปกติผมไม่ค่อยสนใจแม่ผมอยู่แล้ว ยิ่งเวลานี้ตำรวจกำลังตามจับ ความคิดที่จะกลับไปกราบไหว้ศพแม่ไม่มีเลย คิดๆ ดูผมระยำสิ้นดี

ระหว่างการหลบหนี ผมมักโผล่ตามสถานอบายมุขแหลายแห่งในภาคเหนือ ผมห้าวหาญ เหี้ยมโหด

ผมเริ่มมีชื่อเสียงในหมู่นักเลง ผมมักจะขอเงินจากพวกเขา บางครั้งก็ 30,000 บาท บางครั้งก็ 50,000 บาท

นานวันเข้า พวกเขาเห็นผมหากินคนเดียว ไม่มีพรรคพวก พวกเขาเลยไม่เกรงกลัว และตัดผมออกจากวงนักเลงอย่างไม่มีเยื่อใย

ผมมือเติบ เคยใช้เงินเป็นเบี้ย เมื่อไม่มีเงินใช้จ่าย จะอยู่ได้อย่างไร

ผมเริ่มลักเล็กขโมยน้อย ผมทำงานพร้อมกับเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกันในบ่อนไพ่

พวกเราจะเก็บตัวในเวลากลางวัน และออกหากินในเวลากลางคืน

ออกทำงานหลายครั้ง ไม่มีอุปสรรคใดๆ ใจเริ่มเหิมฮึกขึ้น

ต่อมารู้สึกว่า การลักเล็กขโมยน้อยต้องทำแบบลับๆ ล่อๆ อีกทั้งของที่ขโมยมาก็ยากที่ปล่อยออกไป

ผมเลยหันมาทางปล้นจี้ คอยดักอยู่ที่หน้าธนาคาร เมื่อเห็นมีคนเบิกเงินสดจำนวนมากออกมา พวกเราจะทำการปล้นจี้

ทุกครั้งที่ลงมือก็ราบรื่นดี

หนังสือพิมพ์ต่างลงข่าวโครมคราม ตำรวจก็เร่งมือตามจับแต่ก็ไม่รู้ว่าคนร้ายคือใคร

ผมแอบยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ

หกเดือนต่อมา ผมกับเพื่อนได้แอบเข้าไปในบ้านเศรษฐีหลังหนึ่ง พอดีในบ้านไม่มีใครอยู่เลย

พวกเราเก็บกวาดทรัพย์สินเงินทอง และเพชรนิลจินดาจำนวนหนึ่ง จึงได้เอาสุราอย่างดีออกมาหลายขวด นั่งดื่มกันอย่างสำราญใจ

เมื่อเมาได้ที่ พวกเราก็กำลังจะแบกของที่เก็บกวาดมาออกจากบ้านไป

ทันใดนั้น เจ้าของบ้านกลับมาพร้อมกับลูกชาย 2 คน เมื่อเจ้าของบ้านเห็นคนแปลกหน้า 2 คน และเห็นข้าวของยุ่งเหยิงกองเต็มพื้น จึงตะโกนร้องให้คนช่วย

พวกเราพยายามห้ามเธอหยุดร้อง เธอก็ไม่ยอมฟังยังคงร้องต่อไป

ด้วยความตกใจ บวกกับมีอาการมึนเมาจึงชักมีดออกมา ทำท่าจะแทง

เมื่อเธอเห็นมีดยิ่งร้องเสียงดังมากขึ้น ผมรีบปรี่เข้าไปจ้วงแทงลงไปหนึ่งที

เธอยังคงตะโกนร้องให้คนช่วย ผมเลยแทงไม่ยั้งมือ

ร่างของเธอเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าของเธอแสดงถึงความเจ็บปวด ลูกตาถลนค้างและขาดใจในเวลาต่อมา

ใบหน้าของเธอน่ากลัวมาก ผมจะไม่มีวันลืมใบหน้านั่นเลย

พวกเราต้องเตลิดหนีโดยปล่อยเด็ก 2 คนยืนตะลึงกลัวจนตัวสั่น

มันเป็นคดีปล้นฆ่า เป็นคดีอุกฉกรรจ์ หนังสือพิมพ์ต่างพาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง พวกเรารู้ว่า ถ้าถูกจับได้ จะต้องถูกประหารอย่างเดียว เลยตกลงแยกทางกัน หลบซ่อนสักระยะเวลาหนึ่งก่อนค่อยคิดการใหม่

ช่วงนั้นผมกลุ้มใจมาก ดื่มเหล้าทุกวัน ใบหน้าอันน่ากลัวของหญิงเจ้าของบ้านติดตาผมตลอดเวลา

เวลาต่อมา ผมฝันเห็นเธอทุกคืน

ร่างเต็มไปด้วยเลือด ลูกตาวาวมีแสงสีเขียว หน้าตาดุร้ายยืนอยู่หน้าผม ตะโกนว่า “อ้ายผู้ร้ายฆ่าคน เอาชีวิตข้าคืนมา” แล้วเธอก็สาวเท้าขยับเข้ามาทุกทีๆ ผมเดินถอยหลังจนถอยติดกำแพง เธอยื่นมือออกมา บีบที่คอผม ผมกลัวสุดขีดจนตื่นขึ้นมา

ร่างกายยังสั่นระริกๆ ตลอดเวลา

ผมไม่กล้านอนอีก

เธอมาหาผมในฝันเกือบทุกคน จนผมเป็นโรคประสาทหลอน

ยิ่งกว่านั้น เธอจะปรากฏตัวให้เห็นชัดๆ ไม่ว่าจะอยู่ในห้องน้ำหรือบนเตียง ตลอดในแก้วเหล้าก็เห็นวิญญาณของเธอ

ผมต้องหลีบหนีการจับกุม จึงจำต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ แต่วิญญาณของเธอไม่เคยเลิกละที่จะติดตามผมตลอดเวลา

ไม่ว่าผมจะหนีไปที่ไหน ผมจะรู้สึกว่ามีอากาศเย็นๆ เกาะติดแผ่นหลังผมตลอดเวลา คล้ายกับว่ามีคนสะกดรอยตามยังไงยังงั้น

เมื่อหันหลังมองไป ก็ไม่เห็นมีใครเลย แต่มีเสียงคนเดินอยู่ข้างหลัง

นอกจากเสียงคนเดินแล้ว ยังมีเสียงโซ่ตรวจอีกด้วย

นั่นเป็นเสียงโซ่ตรวนครั้งที่ผมถูกจองจำนี่

หรือว่ายมทูตจะมาลากตัวผมไป

ผมยิ่งคิดยิ่งกลัว โรคประสาทกำเริบอีกแล้ว

3 เดือนต่อมา ผมมักพึมพำพูดจาคนเดียว เสื้อผ้าขาดเป็นริ้วๆ หน้าตาสกปรก ดูเหมือนว่าจะคล้ายกับผีเข้าไปทุกที

&nbs

1 ความคิดเห็น:

  1. เมื่อได้ร่วมทัวร์นรก เกิดปัญญาเพิ่มขึ้นกันแล้ว ลองแวะที่

    http://www.ainews1.com/modules.php?name=Web_Board&file=view&No=171

    สำหรับเรื่องปัจจุบัน ที่ตัวเราจะเลือกหนทางเองขึ้นข้างบนหรือลงข้างล่าง

    ตอบลบ