...+

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรฯ กับมวลมหาชน (ผู้กำหนดกับผู้แสดงผล)

โดย สันติ ตั้งรพีพากร 3 พฤศจิกายน 2552 14:44 น.
ในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญยิ่ง
ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ การแสดงตัวเป็น "เจ้าภาพ"
ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
โดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ
นับเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงการก้าวกระโดดของพัฒนาการทางการเมืองของ
ประเทศไทย ที่แต่ไหนแต่ไรมา ประชาชนต้องเป็นผู้ตาม เป็นผู้ถูกกำหนด
แต่มาครั้งนี้ ประชาชนได้ลุกขึ้นมาเป็นผู้กำหนดเสียเอง

นัย สำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้ จึงอยู่ที่
"ประชาชนเป็นผู้กำหนด" การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้น
จักต้องเป็นไปตามความต้องการของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง

นี่คือภาพรวมรวบยอดของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทย
ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม
ตลอดจนอารมณ์ความรู้สึก ค่านิยมต่างๆ ของสังคมไทยต่อไปอีกมากมาย
ถักทอกันเข้าเป็นประเทศไทยยุคใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองทั้งทางวัตถุและจิตใจ
เกิดความศิวิไลซ์รอบด้านบนผืนแผ่นดินไทย

อันเป็นการย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของ "ตัวกำหนด"
ทางประวัติศาสตร์ ที่เปลี่ยนจากกลุ่มอำนาจตัวแทนผลประโยชน์คนกลุ่มน้อย
มาเป็นอำนาจรวมหมู่ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตย ตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนชาวไทย

ปัญหาอยู่ที่ว่า
เมื่อขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตัดสิน
ใจก้าวขึ้นสู่เวทีประวัติศาสตร์ แสดงตัวเป็น "เจ้าภาพ" เป็น "ผู้กำหนด"
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยแล้ว เหตุการณ์จะดำเนินไปในรูปใด
ใครจะเป็นผู้สนองตอบหรือแสดงผล รับรองอำนาจกำหนดนี้

ในทัศนะของผม เหตุการณ์
หรือรูปแบบการต่อสู้จะดำเนินและพัฒนาคลี่คลายขยายตัวไปตามการเปลี่ยนไป
เรื่อยๆ ของเหตุปัจจัยและเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนผู้แสดงผล ซึ่งหลักๆ ก็คือมวลมหาชนชาวไทยที่
"รับรู้" และ "เข้าใจ" บทบาท เจตนารมณ์ และ "อุดมการณ์"
การเคลื่อนไหวต่อสู้
ก็จะแสดงออกถึงความพร้อมที่จะสนับสนุนหรือเข้าร่วมการเคลื่อนไหวต่อสู้
ในรูปแบบที่เหมาะสมเสมอ ในทุกขั้นตอน

นั่นหมายถึงว่า
เมื่อการเคลื่อนไหวต่อสู้พัฒนายกระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การสนองตอบหรือ
"การแสดงผล" ก็จะยกระดับขึ้นไปเรื่อยๆ
รูปแบบที่ปรากฏก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

จากการเคลื่อนไหวต่อสู้ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชน
เพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่ปลายปี 2548 เป็นต้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงการต่อสู้อย่างยืดเยื้อ 193 วันในปี 2551
รูปแบบการต่อสู้แบบสันติอหิงสา จุดเทียนปัญญา และเอาธรรมนำหน้า
สามารถปลุกประชาชนชาวไทยทั้งประเทศตื่นตัวขึ้นมาต่อต้านการใช้อำนาจของ
รัฐบาลหุ่นเชิดในระบอบทักษิณ
แล้วยกระดับไปสู่การต่อสู้เพื่อกำจัดการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่
มีการก่อตั้งเครือข่ายพันธมิตรฯ ไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ
จนกระทั่งนำไปสู่การก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ ในปี 2552
ขยายขอบข่ายการต่อสู้ไปในทุกๆ ด้าน ทั้งในและนอกระบบรัฐสภา

ดังนั้น จึงคาดหมายได้ว่า
เมื่อใดที่การเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำ
โดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดำเนินไปถึงขั้นที่จะต้อง "เผด็จศึก"
เอาชนะอย่างเบ็ดเสร็จเหนือพรรคการเมืองในระบอบทักษิณและกลุ่มทุนสามานย์
อื่นๆ ในสนามเลือกตั้ง
ตามระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มวลมหาชนก็จะ "แสดงผล"
ออกมาด้วยการพร้อมใจกันไปลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการ
เมืองใหม่ อันเป็นพรรคการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตย

หากการต่อสู้ทางการเมือง
เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยตามแนวคิดทฤษฎี "การเมืองใหม่" และตามแนวทาง
"สันติอหิงสา" ดำเนินไปได้จนถึงจุดนั้น
ชัยชนะของประชาชนก็จะปรากฏเป็นจริงตามขั้นตอนในระบบรัฐสภา
แต่หากการต่อสู้ตามแนวคิดทฤษฎี
และแนวทางดังกล่าวไม่อาจดำเนินไปได้จนถึงที่สุด
เกิดอุปสรรคขัดขวางจนต้องปรับแนวทาง ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี เช่น
กลุ่มอำนาจการเมืองเก่าไม่ยอมรับอำนาจการเมืองใหม่ หันไปใช้ความรุนแรง
คุกคาม ทำร้าย ขบวนการการเมืองภาคประชาชน ด้วยวิธีการป่าเถื่อนทุกรูปแบบ
ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ก็จำเป็นต้องปรับแนวทาง ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีการต่อสู้ใหม่
ให้เหมาะสมกับสภาพที่เป็นจริง

ตามหลักยึดของพันธมิตรฯ ที่ว่า "ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง"
เมื่อ นั้น "การแสดงผล" ของมวลมหาชน
ก็ย่อมต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย นั่นคือ
การเข้าร่วมการต่อสู้กับพันธมิตรฯ ห้ำหั่นอำนาจการเมืองเก่าให้สิ้นซาก
ด้วยมาตรการที่เด็ดขาด ด้วยพลานุภาพของมวลมหาชนอย่างแท้จริง

ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น สะท้อนให้เห็นถึงความจริงว่า พันธมิตรฯ
กับมวลมหาชนมีความเชื่อมโยงกัน สัมพันธ์กัน เป็นเนื้อเดียวกันอยู่ในที
การขับเคลื่อนขบวนการการเมืองภาคประชาชนในแต่ละขั้นตอน ในแต่ละเรื่อง
จะส่งผลทันทีต่อมวลมหาชน โดยผ่านสายสัมพันธ์สำคัญๆ เช่น
สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี สื่อวิทยุ
และสิ่งพิมพ์ในเครือเอเอสทีวี/ผู้จัดการ
รวมทั้งเครือข่ายจัดตั้งในรูปแบบต่างๆ เช่น กลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ
สาขาพรรคการเมืองใหม่ และร้านค้าของเอเอสทีวี (เอเอสทีวีชอป)
ที่กำลังผุดขึ้นในจังหวัดต่างๆ อย่างรวดเร็ว

มองให้เห็นเป็นภาพ อุปมาเหมือนกับจักรยานสองล้อ
ล้อหน้าคือพันธมิตรฯ ล้อหลังคือมวลมหาชน
ทั้งสองล้อเชื่อมสัมพันธ์กันโดยสายโซ่ สื่อเอเอสทีวี พรรคการเมืองใหม่
ร้านเอเอสทีวีชอป ก็คือสายโซ่
การขับเคลื่อนของจักรยานก็เท่ากับการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาค
ประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ

ขอขยายภาพต่ออีกหน่อย เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ นั่นคือ สิ่ง
ที่เป็น "แรงถีบ-ปั่น" ให้จักรยานขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
ก็คือ "อุดมการณ์" ร่วมกันของชาวพันธมิตรฯ
ที่สะท้อนความเรียกร้องต้องการของมวลมหาชนอย่างแท้จริง

อุดมการณ์พันธมิตรฯ ปัจจุบันก็คือ "การเมืองใหม่"

ด้วยเหตุนี้ การสื่อให้มวลมหาชนเข้าใจเรื่องการเมืองใหม่
การประกาศนโยบายของพรรคการเมืองใหม่ การก่อตั้งเป็นเครือข่ายพันธมิตรฯ
หรือสาขาพรรคการเมืองใหม่ การพัฒนาสื่อในเครือเอเอสทีวี วิทยุชุมชน
รวมไปถึงการขยายตัวของร้านเอเอสทีวีชอป เป็นต้น
จึงเป็นภารกิจจำเป็นพื้นฐานของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
เพื่อสร้างความพร้อมทางด้านความคิดอุดมการณ์ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
ในการเผชิญหน้ากับการต่อต้าน ขัดขวางต่างๆ นานา
บนเส้นทางการต่อสู้กับอำนาจการเมืองเก่า ดังที่ชาวสหภาพการรถไฟฯ
และชาวบ้านมาบตาพุดกำลังเผชิญอยู่

ชัยชนะของการต่อสู้แต่ละครั้ง จะเสริมความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา
เข้มแข็งเกรียงไกรให้แก่ขบวนการต่อสู้ของภาคประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ

พันธมิตรฯ ก็จะเป็นที่ยอมรับ
เป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของมวลมหาชนในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น