...+

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คำให้สัมภาษณ์ของทักษิณ : บ่งบอกถึงภาวะจิต

โดย สามารถ มังสัง 16 พฤศจิกายน 2552 16:02 น.
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ที่ตั้งแห่งความอาฆาต 10 อย่างเหล่านี้ คือ

1. บุคคลย่อมผูกอาฆาตว่า เขาได้ประพฤติสิ่งที่เป็นความพินาศแก่เรา

2. บุคคลย่อมผูกอาฆาตว่า เขากำลังประพฤติสิ่งที่เป็นความพินาศแก่เรา

3. บุคคลย่อมผูกอาฆาตว่า เขาจักประพฤติสิ่งที่เป็นความพินาศแก่เรา

4. บุคคลย่อมผูกอาฆาตว่า
เขาได้ประพฤติสิ่งที่เป็นความพินาศแก่คนที่เป็นที่รัก เป็นที่พอใจของเรา

5. บุคคลย่อมผูกอาฆาตว่า
เขากำลังประพฤติสิ่งที่เป็นความพินาศแก่คนที่เป็นที่รัก
เป็นที่พอใจของเรา

6. บุคคลย่อมผูกอาฆาตว่า
เขาจักประพฤติสิ่งที่เป็นความพินาศแก่คนที่เป็นที่รัก เป็นที่พอใจของเรา

7. บุคคลย่อมผูกอาฆาตว่า
เขาได้บำเพ็ญประโยชน์แก่คนที่ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของเรา

8. บุคคลย่อมผูกอาฆาตว่า
เขากำลังบำเพ็ญประโยชน์แก่คนที่ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของเรา

9. บุคคลย่อมผูกอาฆาตว่า
เขาจักบำเพ็ญประโยชน์แก่คนที่ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของเรา

10. บุคคลย่อมโกรธในฐานะที่ไม่สมควร"

ทั้ง 10 ประการดังกล่าวข้างต้น
เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ปรากฏในพระไตรปิฎกหน้าที่ 24 เล่มที่ 16
หมวดทสกนิบาต อังคุตตรนิกาย

โดยนัยแห่งพุทธพจน์ 10 ประการ หมายถึงว่า
การที่บุคคลจะผูกอาฆาตหรือผูกใจเจ็บใครคนใดคนหนึ่ง
จะเกิดจากเหตุปัจจัยข้อใดข้อหนึ่งหรือรวมกันหลายๆ ข้อดังที่กล่าวมานี้
และ 10 ประการที่ว่านี้
ถ้ายึดตามเนื้อหาโดยรวมแล้วสามารถสรุปเป็นประเด็นได้เพียง 3 ประเด็น คือ

1. ผูกอาฆาตด้วยคิดว่าเขาได้กระทำ กำลังกระทำ
หรือจักกระทำความพินาศแก่ตนเอง หรือแก่คนที่เป็นที่รัก เป็นที่พอใจของตน

2. ผูกอาฆาตด้วยคิดว่าเขาได้กระทำ กำลังกระทำ
หรือจักกระทำสิ่งอันเป็นประโยชน์แก่คนที่ไม่เป็นที่รัก
ไม่เป็นที่พอใจของตน หรือพูดง่ายๆ ก็คือศัตรูของตนนั่นเอง

3. โกรธในฐานะหรือในบุคคลที่ไม่สมควรโกรธ

อีกนัยหนึ่ง ถ้าจะอธิบายขยายความให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ
เมื่อบุคคลคิดว่าใครสักคนได้กระทำ กำลังกระทำ
หรือแม้ยังมิได้กระทำแต่มีแนวโน้มว่าจักกระทำสิ่งที่เป็นความพินาศแก่ตนและ
คนที่ตนรักตนพอใจ ก็จะโกรธ และผูกใจเจ็บ ยิ่งกว่านี้
เพียงได้เห็นใครสักคนได้กระทำ กำลังกระทำ
หรือมีแนวโน้มว่าจักกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนที่ตนไม่รัก ไม่พอใจ
ก็โกรธและผูกใจเจ็บ ในทำนองเดียวกัน

ท่านผู้อ่านลองหลับตานึกว่า
ถ้าท่านหรือคนที่ท่านรู้จักตกอยู่ในห้วงแห่งความผิดในลักษณะนี้
จะมีความสุขหรือมีความทุกข์

คำตอบที่ได้ก็คือ มีแต่ความทุกข์ และความกังวลใจตลอดเวลา
และใครก็ตามที่จิตใจตกอยู่ภายใต้ห้วงแห่งทุกข์เช่นนี้
จะพูดหรือทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะบ่งบอกถึงภาวะแห่งจิตที่ร้อนรนเนื่องจาก
ถูกเผาผลาญด้วยความโกรธ

คำให้สัมภาษณ์ไทมส์ออนไลน์
และกลายเป็นจำเลยทางสังคมในข้อหาหมิ่นเบื้องสูงของอดีตนายกฯ ทักษิณ
ชินวัตร ดังที่เป็นข่าวใหญ่อยู่ในขณะนี้
เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นสัจธรรมของพุทธพจน์ที่ยกมา
อ้างในข้างต้นได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ด้วยเหตุผลในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้

1. บนเส้นทางของความเป็นนักธุรกิจ และนักการเมืองของอดีตนายกฯ
ทักษิณ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง
และมีลักษณะเผด็จการในทุกรูปแบบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศในช่วงปี 2544-2548
ก่อนจะถูกโค่นอำนาจ และหนีไปอยู่ต่างประเทศ
มีการแสวงหาทั้งอำนาจและเงินตราในทางมิชอบ ผิดต่อครรลองคลองธรรม
จะเห็นได้จากการใช้อำนาจทางการเมืองเอื้อธุรกิจตัวเอง
และการใช้เงินเพื่อซื้อเสียงในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549
ทำให้ผู้คนในสังคมแตกแยก แทรกแซงสื่อ
และมีพฤติกรรมจาบจ้วงเบื้องสูงจนกลายเป็นเหตุอ้างให้ทหารปฏิวัติ

ครั้นถูกปฏิวัติและตัวเองต้องหนีออกนอกประเทศ
แถมได้มีการสอบคดีทุจริตในหลายๆ คดี
และนำขึ้นสู่ศาลฟ้องร้องจนแพ้คดีและถูกตัดสินจำคุก 2
ปีในคดีซื้อขายที่ดินรัชดาฯ
แต่ก็ไม่ยอมรับโทษหนีไปต่างประเทศตั้งป้อมโจมตีประเทศไทยในแง่มุมที่ว่าตน
เองไม่ได้รับความเป็นธรรม และที่สำคัญตะโกนผ่านสื่อเป็นระยะๆ
ว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังการโค่นล้มตัวเองด้วยความริษยาว่าตนเองจะได้รับความ
นิยมจากประชาชนมากขึ้น
ดังที่ปรากฏในบทให้สัมภาษณ์ส่วนหนึ่งที่ไทมส์ออนไลน์นำออกมาเผยแพร่
การคิดในทำนองนี้และพูดออกมาในครั้งนี้จะเป็นอื่นมิได้
นอกเสียจากภาวะจิตที่เต็มไปด้วยความผูกอาฆาตที่ว่ามีผู้ทำความพินาศให้แก่
ตัวเอง และครอบครัวอันเป็นที่รักของตน

2. คนกลุ่มเสื้อแดงอันเปรียบได้กับกองทัพส่วนหน้าของทักษิณที่ออกมาชุมนุม
และเรียกร้องให้ทักษิณกลับมาเป็นระยะๆ
ก็ด้วยคิดว่าคนที่พวกตนรักถูกทำให้เดือดร้อนโดยใครคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง
และโจมตีคนกลุ่มนี้เป็นระยะๆ เริ่มตั้งแต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไปจนถึงกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ด้วยความคิดในทำนองเดียวกัน คือ
ทำความเดือดร้อนให้แก่ทักษิณอันเป็นคนที่พวกตนรัก
และแถมด้วยความคิดที่ว่าคนกลุ่มนี้คือผู้ที่ช่วยปกป้องหรือทำประโยชน์ให้แก่
คนที่พวกเขาคิดว่าอยู่เบื้องหลัง

ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำทั้งของอดีตนายกฯ ทักษิณและคนกลุ่มเสื้อแดง
รวมทั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางส่วน ล้วนแล้วแต่เกิดจากอาฆาตวัตถุ 10
ประการข้างต้นทั้งสิ้น

อะไรทำให้เชื่อได้ว่าคำให้สัมภาษณ์
รวมทั้งคำแก้ตัวอันเนื่องมาจากการให้สัมภาษณ์ของอดีตนายกฯ ทักษิณ
สืบเนื่องมาจากอาฆาตวัตถุ 10 ประการ

เพื่อให้มองเห็นประเด็นแห่งปัญหา
ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านมองย้อนไปดูปรากฏการณ์ทางสื่อตั้งแต่วันที่
8-11 พ.ย.ที่ผ่านมา ก็จะพบว่ามีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ สรุปได้ดังนี้

1. ในทันทีที่ไทมส์ออนไลน์เสนอคำให้สัมภาษณ์ของอดีตนายกฯ ทักษิณ
ได้มีเสียงตอบโต้ทั้งจากภาคเอกชน และรัฐบาล
ว่าทักษิณจาบจ้วงเบื้องสูงอันเป็นการกระทำมิบังควร

2. เมื่อมีผู้ออกมาตอบโต้
และมีแนวโน้มว่าจะมีกระแสลุกลามและเป็นภัยแก่ตนเอง
ทักษิณก็ออกมาโยนความผิดให้สื่อที่ลงคำให้สัมภาษณ์ว่าลงข่าวคลาดเคลื่อนจาก
ความเป็นจริง และคนที่พาดหัวทำสิ่งเลว
จนเป็นเหตุให้ไทมส์มีความจำเป็นในการป้องกันตัวเอง
โดยการนำคำให้สัมภาษณ์ทั้งหมดออกมาเผยแพร่
และทันทีที่มีการเผยแพร่เสียงตอบโต้ยิ่งดังกว่าเก่าว่า ทักษิณจาบจ้วงจริง

3. เมื่อจำนนต่อหลักฐาน อดีตนายกฯ ทักษิณก็ใช้พฤติกรรมเดิม คือ
ออกมายอมรับผิดด้วยการโทษความสะเพร่า
และบกพร่องของตัวเองว่าไม่ทันฟังคำถามให้ชัดเจน และตอบเร็วเกินไป
และแถมด้วยการบอกว่าภาษาอังกฤษของตัวเองไม่ดีพอ

แต่ไทมส์ก็คงเป็นไทมส์ สื่อเก่าแก่เมืองผู้ดีได้ออกมาเปิดเผยว่า
ก่อนนำออกมาเผยแพร่อดีตนายกฯ และคนรอบข้างได้ดูแล้วทุกตัวอักษร

ดังนั้น วันนี้และเวลานี้คำแก้ตัวของทักษิณจึงไม่มีน้ำหนักต่อการรับฟังอีกต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น