...+

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ต้องจัดการปัญหาความมั่นคงก่อน

โดย สิริอัญญา 22 พฤศจิกายน 2552 14:37 น.
หลังจากแกนนำคนเสื้อแดงประกาศจัดชุมนุมใหญ่ในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ศกนี้ ความเครียดและความหวาดวิตกก็แผ่ปกคลุมราชอาณาจักรนี้อีกครั้งหนึ่ง

คนทั้งปวงต่างพากันหวั่นไหวว่าจะเกิดเหตุรุนแรง จะเกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง และประชาชนชาวไทยจะสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เพื่อสังเวยความหื่นกระหายในอำนาจของนักการเมือง

ดังนั้นภาวะชะงักงันและถดถอยทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจของประเทศจึงเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับความทุกข์ในใจของคนไทยทั้งปวง

มัน เป็นสิ่งซึ่งพิสูจน์อย่างชัดเจนว่า ในการบริหารราชการแผ่นดินนั้นแม้ว่าเรื่องราวปัญหาต่างๆ จะมีมากหลาย แต่ไม่ว่าสถานการณ์ใดปัญหาความมั่นคงปลอดภัยย่อมมีฐานะนำและสำคัญที่สุด

เนื่องเพราะหากขาดไร้ซึ่งความมั่นคงปลอดภัยแล้ว เท่ากับฐานรากของการพัฒนาในทุกด้านแม้กระทั่งด้านเศรษฐกิจก็จะเป็นอันพัง พินาศหมดสิ้น

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในระยะใกล้คือเหตุการณ์จลาจลเลือดในเดือน เมษายน ได้ชะล้างและทำลายผลพวงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ได้ใช้เงินงบประมาณ หลายหมื่นล้านให้มลายหายเพียงแค่พริบตา

เพราะเหตุการณ์บ้าระห่ำกระหายเลือดและป่าเถื่อนทมิฬมารที่เกิดขึ้น ต่อหน้าต่อตาบรรดาผู้นำชาติต่างๆ เกือบ 20 ประเทศ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลก ทำให้เกิดความเข็ดขยาดและหมดความน่าเชื่อถือในเสถียรภาพของรัฐบาล ที่จะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหานี้ให้ตกไปได้หรือ ไม่

ปราชญ์ ทางการปกครองท่านหนึ่งจึงกล่าวไว้ว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจนั้นมีกำไร ขาดทุน ในระดับและในภาคส่วนต่างๆ วันนี้ขาดทุน วันหน้าก็หากำไรมาชดเชยได้ แต่ปัญหาความมั่นคงนั้นหากพลาดพลั้งเสียทีก็ไม่มีทางที่จะกลับคืนได้ดังเดิม ยิ่งถึงขั้นสูญเสียเอกราชอธิปไตยด้วยแล้วก็เป็นอันจบสิ้นทุกสิ่งอย่าง

นับแต่รัฐบาลนี้จัดตั้งขึ้น ดูเหมือนว่าได้มุ่งทุ่มเทให้กับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นหลัก ทำเป็นไม่ใส่ใจ ไม่แยแสต่อปัญหาความมั่นคงปลอดภัย

แม้เกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง เกิดเหตุการณ์ข่มขู่คุกคาม การปฏิบัติงานของรัฐบาล การล่าสังหารประชาชน การก่อเหตุร้ายเพื่อมุ่งร้ายต่อกรรมการองค์กรอิสระต่างๆ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

การใช้ระเบิดสงครามเข้ามายิงในใจกลางพระนคร ระยะห่างจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐานไม่กี่ร้อยเมตร นับสิบๆ ครั้ง จนผู้คนบาดเจ็บ ล้มตายจำนวนมาก กลับไม่สามารถป้องกันดูแลความปลอดภัยได้

ล่า สุดก็มีการนำระเบิดสงครามเอ็ม 79 ที่มีอำนาจทำลายล้างร้ายแรง ยิงถล่มเข้าใส่เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในระยะห่างจากโบสถ์วัดพระแก้วไม่ถึง 500 เมตร ห่างจากพระบรมมหาราชวังก็ไม่ถึง 500 เมตร โดยจับมือใครดมไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีคนได้รับบาดเจ็บถึง 12 คน

ผู้เกี่ยวข้องบางรายกลับพูดให้คนไทยว้าเหว่ในใจว่า อาวุธเครื่องยิงระเบิดที่ร้ายแรงนี้ใครๆ ก็มีได้ ใครๆ ก็ยิงเป็น และยากที่จะจับกุมตัวได้ เป็นเรื่องน่าเศร้าสลดยิ่ง เพราะนี่คือการแสดงท่าทีไม่เอาไหน ไม่รับผิดชอบใดๆ

ถ้าพูดอย่างนี้ก็หมายความว่า พระตำหนักสำคัญๆ พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว ที่พำนักบุคคลสำคัญๆ แม้กระทั่งทำเนียบรัฐบาล ก็ถูกคุกคามด้วยอาวุธสงครามร้ายแรง โดยไม่อาจป้องกันใดๆ ได้ จะเกิดเรื่องวันไหนสุดแท้แต่ใจของคนร้ายเท่านั้นหรือ

คนที่ดูแลรับผิดชอบความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ ไม่รู้สึกอับอายขายหน้าและไม่รู้สึกรับผิดชอบประการใดบ้างหรือ ในขณะนี้ประชาชนต่างรู้สึกเช่นเดียวกันว่า เป็นการเปลืองข้าวสุกเสียข้าวสารที่ต้องเอาเงินงบประมาณจากภาษีของประชาชนไป ใช้ แต่ไม่สามารถดูแลความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติและประชาชนได้

ปล่อย ให้เมืองหลวงและคนไทยทั้งประเทศตกอยู่ภายใต้การคุกคามของอิทธิพลอำนาจมืดที่ พกพาอาวุธสงครามร้ายแรงได้ทุกเมื่อทุกหนแห่ง โดยที่ไม่มีผู้รับผิดชอบใดๆ แก้ไขป้องกันหรือปราบปรามเลย

ในวันนี้ก็ปรากฏข่าวผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้านปลุกระดมให้ประชาชนฆ่า นายกรัฐมนตรี ทำกันโจ่งแจ้งโจ๋งครึ่ม ประหนึ่งบ้านเมืองไร้ขื่อแป

ในวันนี้ก็ปรากฏข่าวคนกลุ่มหนึ่งประกาศพลิกฟ้าคว่ำดิน ประกาศล้มรัฐบาลนี้ให้ได้ก่อนสิ้นปี ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ โดยไม่แยแสต่อข้อหาความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักร และไม่คำนึงถึงความเสียหายหรือความทุกข์ทรมานใจของคนไทย

ใน วันนี้ก็ปรากฏข่าวว่าคนระดับรองประธานสภาผู้แทนราษฎรได้นำเรื่องการล้ม ราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซียมาเผยแพร่ในลักษณะข่มขู่ว่า ถ้าผู้ปกครองไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ราษฎร ก็จะถูกราษฎรโค่นล้มลงเช่นเดียวกับราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซีย

การพูดถึงการล้มราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซียช่างสอดคล้องต้องกันกับการ เผยแพร่การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนออนไลน์ของอังกฤษ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์ไปเมื่อไม่นานมานี้

แต่มีฐานะและความร้ายแรงมากกว่า เพราะใครที่ได้ฟัง ได้อ่านข่าวเรื่องนี้แล้วก็ย่อมรู้สึกเป็นอย่างเดียวกันว่า มันเป็นการข่มขู่พระมหากษัตริย์ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์และรัฐบาล ตลอดจนผู้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ทุกคน

เป็นการข่มขู่ว่าถ้าไม่ยอมทำตามคนบางหมู่บางเหล่าก็จะเกิดการยึด อำนาจล้มล้างการปกครอง แล้วชะตากรรมอันน่าอเนถอนาจก็จะบังเกิดแก่พระบรมวงศานุวงศ์

เพราะ ในการล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซียนั้น นอกจากการล้มล้างและเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วยังมีการกระทำที่โหดเหี้ยม อำมหิตผิดมนุษย์ นั่นคือการสังหารพระบรมวงศานุวงศ์ชนิดที่กล่าวได้ว่าฆ่าทั้งโคตรนั่นเอง

การที่ผู้มีฐานะเป็นถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎรพูดโดยอ้างที่มาจากคำ พูดของคนระดับอดีตนายกรัฐมนตรีในห้วงเวลาและสถานการณ์เยี่ยงนี้จึงถือได้ว่า เป็นการกล่าวอาฆาตและมุ่งร้ายต่อพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งปวง

แล้วถามว่าการทำเช่นนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่? ก็ตอบได้ว่าเป็นความผิดชนิดที่มีโทษฉกรรจ์ถึงขั้นประหารชีวิต ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการให้ เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ

เป็นหน้าที่ของทหารและทุกเหล่าทัพ ตลอดจนข้าราชการและประชาชนทุกคนที่จะต้องปกปักรักษาและพิทักษ์ไว้ซึ่งสถาบัน พระมหากษัตริย์ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

และ นี่คือโอกาสอันดีที่คนไทยจะได้แสดงความจงรักภักดีด้วยปฏิบัติบูชา และเป็นโอกาสอันดีสำหรับบรรดาผู้กล้าที่จะได้มีโอกาสถวายชีวิตเป็นราชพลี ให้บันทึกลือลั่นไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติอีกบทหนึ่ง

ในวันนี้มีการใช้สื่อมวลชนหลากหลายชนิดบ่อนทำลายพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ ยุยงให้คนไทยฆ่าฟันกัน โดยไม่แยแสต่อความผิดใดๆ ที่กฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้ว

ใน วันนี้ความรู้สึกของคนไทยล้วนไหวหวั่นว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในบ้านเมือง กระทั่งอาจล้มกำหนดการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว

เพราะในห้วงเวลาสำคัญนี้คนกลุ่มหนึ่งได้ประกาศจัดชุมนุมใหญ่ ประกาศล้มล้างรัฐบาลให้ได้ จึงจะเลิกเคลื่อนไหว โดยไม่ยำเกรงกฎหมายหรือความเสียหายใดๆ ที่จะพึงเกิดขึ้นแก่บ้านเมืองและประชาชน

ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าห้วงระยะเวลาเช่นนี้คือห้วงเวลามหามงคลของประเทศไทยและคนไทย เพราะเป็นห้วงเวลาทั้งเป็นวันชาติและเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา มีการพระราชพิธี รัฐพิธี และพิธีต่างๆ มากมาย เพื่อให้อาณาประชาราษฎรได้ถวายความจงรักภักดีและมีความรื่นเริงบันเทิงใจ หลังจากตรากตรำงานอันหนักมาตลอดทั้งปี

แต่คนเหล่านี้ก็มิได้คำนึงถึง กระทั่งมีพฤติกรรมที่ส่อให้เห็นว่าหากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นหรือความรุนแรงเกิด ขึ้นก็ย่อมส่งผลกระทบอันอาจทำให้ต้องเลิกการพระราชพิธีหรือรัฐพิธี หรือพิธีการต่างๆ ในมหามงคลสมัยนี้ คนเหล่านี้มีจิตใจเยี่ยงไรย่อมเป็นเรื่องที่คนไทยต้องทำความเข้าใจให้ กระจ่าง และไม่ให้มีความคลุมเครือใดๆ หลงเหลือในจิตใจอีก

สภาพเช่นนี้ต่อให้ทุ่มเทไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจสักเท่าใดก็จะมลายหาย สูญไปจนหมดสิ้น และในที่สุดปัญหาความมั่นคงปลอดภัยก็ได้ยกระดับและฐานะความสำคัญขึ้นเป็น ลำดับแรกสุดของบ้านเมืองจนได้ ไม่ว่ารัฐบาลจะยินยอมพร้อมใจหรือไม่ก็ตาม

วันนี้ ปัญหาความมั่นคงปลอดภัยคือสิ่งชี้ขาดการอยู่หรือการไปของรัฐบาล ชี้ขาดความรุ่งเรืองหรือความดับสูญของราชอาณาจักรและสถาบันสำคัญต่างๆ

ดังนั้นจึงมีแต่ต้องบริหารจัดการปัญหาความมั่นคงปลอดภัยให้แล้วเสร็จ เป็นลำดับแรกก่อน มิฉะนั้นรัฐบาลนี้ก็จะซ้ำรอยรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น