...+

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ลอยกระทง ลอยทำไม นางนพมาศ มีตัวตนหรือไม่

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 พฤศจิกายน 2552 14:56 น.
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ปัจจุบันแม้ ประเพณีต่างๆ
จะยังคงดำรงอยู่ในหลายท้องถิ่นแต่คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ
มักจะไม่ค่อยรู้ว่ามูลเหตุใดจึงมีประเพณีนั้นๆ เกิดขึ้น เช่นเดียวกับ
"ลอยกระทง" อันเป็นอีก ประเพณีหนึ่งคล้ายสงกรานต์ซึ่งเป็นนักขัตฤกษ์
(งานรื่นเริงตามฤดูกาล)
ที่ผู้คนทั่วประเทศทุกจังหวัดจัดกันเป็นประจำทุกปีเมื่อถึงวันเพ็ญ เดือน
12 ด้วยรูปแบบที่เกือบคล้ายคลึงกัน
จะต่างกันบ้างก็คงเป็นเพียงวัสดุและรูปแบบกระทงที่นำไปลอยเท่านั้น
ซึ่งนอกเหนือไปจากความสนุกสนานแล้ว ความหมายที่ แท้จริงของการไป
"ลอยกระทง" เป็นอย่างไร ทำไมถึงต้องลอยกัน เชื่อว่า หลายคนจะยังไม่ทราบ

อีกทั้ง "นางนพมาศ"
ที่สมัยนี้มีการประกวดตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงรุ่นสาว และกล่าวกันว่า
เป็นสนมของพระร่วง ในสมัยกรุงสุโขทัยนั้น มีตัวตนจริงหรือไม่
เพื่อเป็นการเผยแพร่และแบ่งปันความรู้สู่สาธารณชน
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
จึงขอนำข้อมูลจากเอกสารเผยแพร่ ชื่อ "ลอยกระทง ขอขมาธรรมชาติ" ของ
อ.สุจิตต์ วงษ์เทศ มาบอกกล่าวเล่าต่อเพื่อให้ทราบกัน ดังนี้

ลอยกระทงคืออะไร มีแต่เมื่อไร ทำเพื่ออะไร
ลอย กระทง เป็นพิธีกรรมร่วมกันของผู้คนในชุมชนทั้งสุวรรณภูมิ
หรือภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียง ใต้ที่มีมาแต่ยุคดึกดำบรรพ์
เพื่อขอขมาต่อธรรมชาติ อันมีดินและน้ำที่หล่อเลี้ยง ตลอดจนพืชและสัตว์ที่
เกื้อกูลให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์
มนุษย์จึงมีชีวิตเจริญเติบโตขึ้นได้ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน
แน่นอนว่าลอยกระทงเริ่มมีมาแต่เมื่อไร แต่พิธีกรรมเกี่ยวกับ "ผี"
ผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติ มีอยู่กับ ผู้คนในชุมชนสุวรรณภูมิไม่น้อยกว่า
3,000 ปีมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนรับศาสนาพุทธ-พราหมณ์จากอินเดีย

ผีสำคัญยุคแรกๆ คือ ผีน้ำ และ ผีดิน
ซึ่งต่อมาเรียกชื่อด้วยคำยกย่องว่า "แม่พระคงคา" กับ "แม่พระธรณี"
มีคำพื้นเมืองนำหน้าว่า "แม่" ที่หมายถึงผู้เป็นใหญ่

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ผู้คนในสุวรรณภูมิรู้ว่าที่มีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะ น้ำ และ ดิน
เป็นสำคัญ และ น้ำ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเป็นบ่อเกิดของสิ่งมีชีวิต
ดังนั้น เมื่อคนเรามีชีวิตอยู่รอดได้ปีหนึ่ง
จึงทำพิธีขอขมาที่ได้ล่วงล้ำก่ำเกิน โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น
เหยียบย่ำ ถ่ายของเสีย หรือทำสิ่งอื่นใดที่ไม่เหมาะสมเสียครั้งหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ก็ทำพิธีบูชาพระคุณไปพร้อมกัน
ด้วยการใช้วัสดุที่ลอยน้ำได้ใส่เครื่องเซ่นไหว้ให้ลอยไปกับน้ำ อาทิ ต้น
กล้วย กระบอกไม้ไผ่ กะลามะพร้าว ฯลฯ
และช่วงเวลาที่เหมาะสมที่คนเราเรียนรู้จากประสบการ์ธรรมชาติ คือ
สิ้นปีนักษัตรเก่า ขึ้นปีนักษัตรใหม่
ตามจันทรคติที่มีดวงจันทร์เป็นศูนย์กลาง เพราะเป็นสิ่งที่มีอำนาจทำ
ให้เกิดน้ำขึ้น น้ำลง ซึ่งวันสิ้นปีนักษัตรเก่า ก็คือ วันเพ็ญ ขึ้น 15
ค่ำ กลางเดือน 12 เพราะเป็นช่วงที่น้ำขึ้นสูงสุด
และเมื่อพ้นไปจากนี้ก็เริ่มขึ้นปีนักษัตรใหม่ เรียกเดือนอ้าย แปลว่า
เดือนหนึ่ง ตามคำโบราณ นับหนึ่ง สอง สาม ฯลฯ ว่า อ้าย ยี่ สาม เป็นต้น
และเมื่อเทียบช่วงเวลากับปฏิทินตามสุริยคติที่มีดวง
อาทิตย์เป็นศูนย์กลางก็จะตกราวเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนของทุกปี
ช่วงเวลาต่อเนื่องกันนี้เองที่ทำให้ชุมชนโบราณมีพิธีกรรมเกี่ยวกับน้ำ
หลายอย่าง เพื่อวิงวอนขอ "แม่" ของน้ำอย่าให้นองหลากมากล้น
จนท่วมข้าวที่กำลังออกรวงเต็มที่ มิฉะนั้นข้าวจะจมน้ำตายหมด อด
กินไปทั้งปี

ดังมีกลอนเพลงเก่าๆ ว่า "เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำทรง
เดือนอ้ายเดือนยี่ น้ำก็รี่ไหลลง" ทำให้มีประเพณีแข่งเรือเสี่ยงทาย
และการร้องขอ ขับไล่น้ำให้ลงเร็วๆอย่าให้ท่วมข้าว
และหลังจากรับศาสนาพุทธ-พราหณ์จากอินเดียเมื่อราว 2,000 ปีมาแล้ว
ราชสำนักโบราณใน สุวรรณภูมิก็ได้ปรับพิธีกรรม "ผี"
เพื่อขอขมาน้ำและดินให้เข้ากับศาสนาที่รับเข้ามาใหม่ ทำให้ความหมาย
เดิมเปลี่ยนไป กลายเป็นการลอยกระทงเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าและเทวดา
ซึ่งในส่วนนี้มีพยานหลักฐาน เก่าสุด คือ
รูปสลักพิธีกรรมทางน้ำคล้ายลอยกระทงที่ปราสาทหินบายนในนครธม
ทำขึ้นราวหลัง พ.ศ.1700
แต่สำหรับชุมชนชาวบ้านทั่วไปก็ยังเข้าใจเหมือนเดิม คือ
ขอขมาแม่พระคงคาและแม่พระธรณี ดังมี
หลักฐานปรากฏอยู่ในเอกสารของลาลูแบร์ชาวฝรั่งเศส
ที่บันทึกพิธีชาวบ้านในกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เอาไว้หลายตอน เช่น "ประชาชนพลเมืองจะแสดง ความขอบคุณแม่คงคาด้วยการ
ตามประทีปโคมไฟขนาดใหญ่ (ในแม่น้ำ)
อยู่หลายคืน...เราจะได้เห็นทั้งลำแม่น้ำเต็มไปด้วยดวงประทีปลอย
น้ำ......" เป็นต้น

สำหรับราชสำนักกรุงศรีอยุธยา ที่อยู่บริเวณที่ราบลุ่มน้ำ
และมีน้ำท่วมนานหลายเดือน ก็เป็น
ศูนย์กลางสำคัญที่จะสร้างสรรค์ประเพณีเกี่ยวกับน้ำขึ้นมาให้เป็น
"ประเพณีหลวง" ของ ราชอาณาจักร ดังมีหลักฐานการตราเป็นกฎมณเฑียรบาล ว่า
พระเจ้าแผ่นดินต้องเสด็จไปประกอบพิธีกรรมทางน้ำ
เพื่อความมั่นคงและมั่งคั่งทางกสิกรรมของราษฎร
และยังมีกระบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค เพื่อประกอบพระราชพิธี โดยเฉพาะ
นอกจากนี้ ยังมีเอกสารบันทึกอย่างเป็นทางการอยู่ในตำราพระราชพิธีกับวรรณคดีโบราณ
เช่น โคลงทวาทศมาสที่มีการกล่าวถึงประเพณี "ไล่ชล" หรือไล่น้ำ
เพื่อวิงวอนให้น้ำลดเร็วๆ เป็นต้น ซึ่งประเพณี หลวงอย่างนี้
ไม่มีหลักฐานใดๆปรากฎว่ามีอยู่ในเมืองที่อยู่เหนือกรุงศรีอยุธยาขึ้นไป
เช่น สุโขทัย ที่ตั้งอยู่บน ที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง
จึงไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค
ส่วนตระพังหรือสระน้ำใน
สุโขทัยก็มีไว้เพื่อกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในการบริโภคอุปโภคของวัดและวังที่
อยู่ในเมือง และมิได้มีไว้เพื่อกิจกรรม สาธารณ์ อย่างเช่น ลอยกระทง ฯลฯ


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
นางนพมาศคือใคร มาจากไหน มีตัวตนจริงหรือไม่
ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เป็นช่วงที่บ้านเมืองมั่นคง การศึกสงครามลดลงเกือบหมด
การค้าก็มั่งคั่งขึ้น โดยเฉพาะกับจีน
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ฟื้นฟูประเพณี
พิธีกรรมสำคัญเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของราชอาณาจักร
และด้วยความจำเป็นในด้านอื่นๆ อีก จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ
ตำราท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือ นางนพมาศ ขึ้น
มาโดยสมมุติให้ฉากของเรื่องเกิดขึ้นในยุคพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย
ซึ่งตำราดังกล่าวได้พูดถึงนางนพมาศ ว่า เป็นพระสนมเอกของพระร่วง
ที่ได้คิด ประดิษฐ์กระทงใบตองเป็นรูปดอกบัวกมุทขึ้น ด้วยเห็นว่า
เป็นดอกบัวพิเศษที่บานในเวลากลางคืนเพียงปีละครั้ง
สมควรทำเป็นกระทงแต่งประทีป ลอยไปถวายสักการะรอยพระพุทธบาท
ซึ่งเมื่อพระร่วงเจ้าได้ ทอดพระเนตรเห็นก็รับสั่งถามถึงความหมาย
นางก็ได้ทูลอธิบายจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย พระองค์จึงมี พระราชดำรัสว่า
"แต่ นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับ
กษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน 12
ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่า
กัลปาวสาน"

ด้วยเหตุนี้จึงเกิดกระทงทำด้วยใบตองแทนวัสดุอื่นๆ
แล้วนิยมใช้ลอยกระทงมาแต่คราว นั้นตราบจนทุกวันนี้
ซึ่งตำราท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือนางนพมาศนี้
กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเชื่อว่า
เป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เนื่องจากสำนวนโวหารมีลักษณะร่วมกับ วรรณกรรมสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
อีกทั้งยังมีเพราะมีข้อความหลายตอนที่แสดงให้เห็นว่าแต่งสมัยกรุงสุโขทัย
ไม่ได้ เช่น การอ้างถึงอเมริกัน ปืนใหญ่ เป็นต้น ดังนั้น นางนพมาศ
จึงเป็นเพียง "นางในวรรณคดี" มิได้ มีตัวตนอยู่จริง

นอกจากนี้ ในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยและเอกสารร่วมสมัย
ก็ไม่มีปรากฎชื่อ "ลอยกระทง" แม้แต่ใน
ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงก็มีแต่ชื่อ "เผาเทียน เล่นไฟ"
ที่มีความหมายอย่างกว้างๆ ว่า การทำบุญ ไหว้พระ โดยไม่มีคำว่า "ลอยกระทง"
อยู่ในศิลาจารึกนี้เลย ส่วนเอกสารและวรรณคดีสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยแรกๆ
ก็มีแต่ชื่อ ชักโคม ลอยโคม แขวนโคม และลดชุดลอยโคมลงน้ำ
ในพิธีพราหมณ์ของราชสำนักเท่านั้น
และแม้แต่ในสมัยกรุงธนบุรีก็ไม่มีชื่อนี้
จนถึงยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์จึงมีปรากฏชัดเจนใน พระราชพงศาวดารแผ่นดิน
รัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ และเรื่องนางนพมาศ พระราชนิพนธ์
รัชกาลที่ 3 ซึ่งก็หมายความว่า คำว่า "ลอยกระทง"
เพิ่งปรากฏในต้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง

อนึ่ง ประเพณีลอยกระทงที่ทำด้วยใบตองในระยะแรก
ดังที่กล่าวในเรื่องนางนพมาศนั้น จำกัดอยู่
แต่ในราชสำนักกรุงเทพฯเท่านั้น
ซึ่งมีรายละเอียดพรรณนาอยู่ในหนังสือพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 3 ว่า
กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ราชธิดาองค์โปรดได้แต่งกระทงเล่นทุกปี
เมื่อนานเข้าก็เริ่มแพร่หลายสู่ราษฎรในกรุงเทพฯ
แล้วขยายไปยังหัวเมืองใกล้เคียงในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
และกว่าจะเป็นที่นิยม แพร่หลายทั่วประเทศก็ประมาณปี พ.ศ.2500
หรือก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ส่งผลให้เกิด "เพลงลอย กระทง"
ในจังหวะของสุนทราภรณ์
ที่เผยแพร่ผ่านทางวิทยุกระจายเสียงที่ไปได้กว้างและไกล จนในที่สุด
ลอยกระทงก็มีขึ้นเหมือนกันหมดทั่วประเทศ

อย่าง ไรก็ดี ไม่ว่าประเพณีลอยกระทงจะเกิดขึ้น
และมีพัฒนาการมาอย่างไรก็ตาม
แต่ความหมายที่มีคุณค่ามหาศาลต่อสังคมปัจจุบันอันควรเผยแพร่ให้เป็นที่ทราบ
กันอย่างกว้างขวางก็คือ ลอยกระทงแม่ พระคงคา ขอขมาธรรมชาติ
อันมีดินและน้ำที่หล่อเลี้ยงเกื้อกูลความมีชีวิตให้มวลมนุษย์ตลอดจน พืช
และสัตว์ ซึ่งการระลึกถึงพระคุณของธรรมชาตินี้เองจะช่วยให้เราเคารพและไม่ทำร้าย
ธรรมชาติ จน ส่งผลให้ธรรมชาติย้อนกลับมาลงโทษมนุษย์
ดังเช่นที่เห็นในปัจจุบัน

ทัศชล เทพกำปนาท / สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น