นัก วิชาการเสนอ 3 ระบบสุขภาพ
หนุนกรมบัญชีกลางเปลี่ยนวิธีการจ่ายเงินเป็นจ่ายแบบปลายปิด
ตั้งเพดานค่ารักษาพยาบาล จัดตั้งกลไกกลางทำงานร่วมกันทั้ง 3 ระบบ
ชี้ทัศนคติผู้ให้บริการก็ไม่เป็นธรรม จ้องฟันกำไรกลุ่มข้าราชการ โฆษก
ปชป.เสนอให้ ส.ส.-ส.ว.รัฐบาล-ฝ่ายค้านเป็นตัวอย่างใช้บัตรทองสร้างความเชื่อมั่น
วันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ศูนย์การประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
มีการจัดเวทีสาธารณสุข "หาทางออก
สร้างความเป็นธรรมสามระบบหลักประกันสุขภาพ" โดย นพ.อำพล จินดาวัฒนะ
เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า ระบบหลักประกันสุขภาพ
3 ระบบใหญ่ ได้แก่ ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ระบบประกันสังคม
และระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีความแตกต่างกันทั้งแหล่งที่มาของเงิน
สิทธิประโยชน์ ผู้ให้บริการ และระบบการจ่ายเงิน
ทำให้ระบบมีความเหลื่อมล้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการให้บริการนั้น
ส่งผลกระทบกับผู้ใช้บริการโดยตรง
จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมมากยิ่งขึ้น
นพ.อำพล กล่าวต่อว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันระบบสวัสดิการข้าราชการ
ที่มีรูปแบบวิธีการจ่ายเงินในระบบเปิด คือ จ่ายตามปริมาณบริการจริง
ซึ่งเป็นระบบที่ให้มีการเบิกงบประมาณในการรักษาพยาบาลได้อย่างอิสระทำให้รัฐ
ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก จากการใช้ยาเกินความจำเป็น
รวมทั้งมีการใช้ยาใหม่และยาที่มีราคาแพงจึงควรมีการกำหนดเพดานว่าแต่ละปี
สามารถที่จะเบิกได้จำนวนเท่าไหร่
ซึ่งเป็นแบบปลายปิดเช่นเดียวกับรูปแบบการจ่ายเงินในระบบประกันสังคมและระบบ
หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
"การ เปลี่ยนรูปบการจ่ายเงินใหม่
ไม่ใช่การยกเลิกสิทธิเดิมที่มีอยู่ แต่ต้องเน้นสร้างความเข้าใจ
เพราะมีหลายประเด็นที่เข้าใจผิดเช่น ยาชื่อการค้า ยาต้นตำรับที่มีราคาแพง
หรือยาชนิดใหม่ ที่ข้าราชการใช้อยู่นั้นอาจไม่ได้ดีกว่ายาชื่อสามัญ
แต่ยาที่มีราคาแพง หรือยาชื่อการค้าเหล่านี้
เป็นยาที่โรงพยาบาลสามารถเบิกได้เต็มราคาและบวกกำไรเพิ่มขึ้นได้"
นพ.อำพลกล่าว
นพ.อำพล กล่าวด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนว่า กรมบัญชีกลาง
กระทรวงการคลัง ที่ดูแลระบบสวัสดิการจำเป็นต้องควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่โป่งมาก
ขึ้นเรื่อยๆ จึ่งต้องหาวิธีการจัดระบบใหม่
ซึ่งสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข(สวรส.) มีข้อมูลอยู่แล้ว ขั้นตอนต่อจากนี้
คือ การต้องตัดสินใจในระดับนโยบายต่อไป
นพ.อำพล กล่าวถึงกรณีที่โรงพยาบาลบางแห่งอ้างว่านำรายได้ที่ได้จากระบบสวัสดิการ
ราชการไปช่วยระบบบัตรทองที่ยังขาดแคลนอยู่ว่า
คงต้องดูว่าโรงพยาบาลเหล่านี้ขาดแคลนจริงหรือไม่ เพราะทราบข้อมูลว่า
โรงพยาบาลทั่วไป/ศูนย์ ในสังกัดสธ. ปัจจุบันงบปะมาณไม่ได้ขาดแคลนแล้ว
แต่มีเงินบำรุงเหลือมากกว่า 100 ล้านบาท
ที่บอกว่าขาดทุนแล้วนำงบส่วนอื่นมาชดเชยหากเป็นจริงการนำเงินส่วนอื่นมาใช้
ในส่วนที่ขาดแคลนจะยิ่งทำให้ระบบเสียและเกิดปัญหา
เพราะหากงบในระบบบัตรทองไม่พอก็ควรของบจากสปสช.แทนที่จะนำเงินของสวัสดิการ
ข้าราชการมาใช้ซึ่งถือเป็นกระเป๋าใบเดียวกันจากรัฐบาล
การทำลักษณะนี้จึงไม่ถูกต้องอยู่แล้ว
นพ.สัมฤทธิ์ ศรีธำรงสวัสดิ์
ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย
เครือข่ายสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวกป.)กล่าวว่า
การออกแบบระบบประกันสุขภาพมีความแตกต่างกันตั้งแต่ต้น
ด้วยกลุ่มเป้าที่ต่างกัน ส่งผลทำให้บริการมีความแตกต่างกันด้วย
ที่เห็นอย่างชัดเจน เช่น ข้าราชการมักได้รับยานอกบัญชียาหลัก
ยาต้นแบบนำเข้าจากต่างประเทศและยาที่มีราคาแพงสูงกว่าผู้ป่วยอีก 2
ระบบอย่างชัดเจน เช่น ยาลดไขมัน รวมถึงได้รับหัตถการบางอย่างสูงกว่า เช่น
การผ่าคลอด การผ่าตัดส่องกล้อง เป็นต้น
นพ.สัมฤทธิ์ กล่าวต่อว่า
เมื่อเปรียบเทียบการใช้บริการของผู้มีสิทธิภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพทั้ง
3 ระบบ พบว่า ผู้ป่วยประกันสังคมมีการใช้บริการผู้ป่วยนอกเป็น 1.4
เท่าของผู้ป่วยในระบบบัตรทองและสวัสดิการข้าราชการ
ขณะที่ผู้ป่วยในระบบสวัสดิการข้าราชการมีการใช้บริการผู้ป่วยในเป็น 1.25
เท่า ของผู้ป่วยสิทธิประกันสังคมและบัตรทอง
โดยมีความแตกต่างชัดเจนในการให้บริการผู้ป่วยด้วยการรักษาด้วยยาหรือบริการ
ทางการแพทย์ที่แตกต่างกัน
ขณะที่ประสิทธิภาพหรือผลลัพธ์ด้านสุขภาพเป็นอย่างไรนั้น
ไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจน
นพ.สัมฤทธิ์ กล่าวต่อว่า
ข้อเสนอเพื่อลดเหลื่อมล้ำของระบบประกันสุขภาพ คือ 1.
ปฏิรูปการจ่ายเงินในระบบประกันสุขภาพให้เป็นระบบงบประมารปลายปิด
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในหารใช้จ่ายงบประมาณ
ขณะเดียวกันให้มีวิธีการจ่ายและอัตราที่เป็นมาตรฐานสอดคล้องกับความจำเป็น
และรักษาคุณภาพบริการให้เป็นไปตามมาตรฐาน 2.
ส่งเสริมให้เกิดระบบบริการปฐมภูมิที่มีคุณภาพมาตรฐานทั้งในเขตเมืองและชนบท
3.ให้มีระบบการติดตามประเมินคุณภาพบริการในเชิงผลลัพธ์ด้านสุขภาพอย่างต่อ
เนื่องและ 4. ให้มีโครงก้างกลไกกลางมในการอภิบาลแต่ละระบบเพื่อกำกับทิศทางการพัฒนาระบบ
ประกันสุขภาพของประเทศ
"การ รวมกองทุนทั้ง 3 กองทุน
มีการคุยกันมานานและถือเป็นเรื่องยากเพราะมีแรงต้านมาก
เกรงว่าจะได้รับบริการที่ด้อยลง ดังนั้น
เสนอให้สิ่งแรกที่จำเป็นต้องทำคือวิธีการการจ่ายเงิน" นพ.สัมฤทธิ์กล่าว
น.ส. สุวิภา สุขวณิชนันท์
ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานค่าตอบแทนและสวัสดิการ กรมบัญชีกลาง
กระทรวงการคลัง กล่าวว่า เห็นด้วยที่ต้องมีกลไกกลางมาดูแล
เนื่องจากปัญหาของกรมบัญชีกลางคือติดขัดข้อกฎหมาย
โดยไม่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการเงินกองทุน
หรือมีคณะกรรมการบริหารกองทุนเพียงแต่มีการจัดทำงบประมาณตามกฤษฎีกาเงิน
สวัสดิการรักษาพยาบาล พ.ศ.2523
ซึ่งปัญหาค่าใช้จ่ายในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการเริ่มเห็นชัดเจนใน
ปี 2545 และมีปริมาณเงินค่าใช้จ่ายสู.มากขึ้นทุกปี โดยในปี 2552
ตั้งงบประมาณไว้ 48,000 ล้านบาทแต่มีการใช้จริง 61,300 ล้านบาท
เกินงบประมาณที่ตั้งไว้และต้องเบิกจากงบกลางของรัฐบาล โดยในปี 2553
ตั้งงบประมาณไว้เท่าเดิมคือ 48,000
ล้านบาทแต่มีแนวโน้มที่จะใช้งบประมาณเกินอีกเช่นเดิม
"กรม บัญชีกลางไม่สามารถบริหารจัดการใดๆ ได้เลย
แม้แต่สปสช.ทีมีการจัดซื้อยาแบบรวมซึ่งสามารถต่อรองราคายาได้ทำให้ซื้อยาได้
ในราคาถูกกว่า หรือแม่แต่รัฐบาลทำซีแอล
ระบบสวัสดิการข้าราชการก็ไม่ได้รับการลดราคาด้วย
เมื่อสอบถามไปยังกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กลับได้คำตอบว่า
ใช้ยาอะไรก็ได้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์แทนที่จะเป็นนโยบายของประเทศใน
การใช้ยาในระบบบัญชียา แต่ยาในประเทศกลับมีหลายราคา
และให้กรมบัญชีกลางมาทะเลาะกับผู้ป่วยหรือให้ผู้ป่วยทะเลาะกับแพทย์
หรืออย่างกรณีตรวจพบว่ามีการจ่ายยาวิตามินที่ไม่ได้อยู่ในบัญชียาหลักแห่ง
ชาติสูง เมื่อสอบถามไปยังแพทย์ กลับได้คำตอบว่า
ไม่รู้จักวิตามินในบัญชียาหลักฯ เลย
ซึ่งในลักษณะนี้ก็ต้องสอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)
ให้เป็นผู้ตอบเพราะกรมบัญชีกลางเองไม่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องนี้"
น.ส.วุวิภากล่าว
นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า
ความไม่เป็นธรรมในระบบประสุขภาพ มาจาก 3 ข้อใหญ่ คือ 1.วิธีการจ่ายเงิน
2.แหล่งที่มาของเงินและต้นตอใหญ่ ที่สุด คือ
3.ระบบคิดของผู้ให้บริการที่มองคนไม่เท่าเทียมกัน
ไม่ว่าระบบการจ่ายเงินจะเป็นอย่างไร แต่ยังมีวิธีมองคนไม่เป็นธรรมอยู่
เช่น หากเป็นข้าราชการก็จะอยู่บนวิธีคิดที่จะฟันกำไร
โดยไม่เป็นไปตามมาตรฐานการรักษา
นายนิมิตร์ กล่าวต่อกว่า
ขอ เสนอทางออก 4 ข้อ คือ
1.แก้กฎหมายประกันสังคมเพิ่มการป้องกันสุขภาพ
2.ให้ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินในการดูแลสุขภาพ 0.8% นำไปเพิ่มสิทธิประโยชน์
อีก 6 ข้อ แทนการรักษาพยาบาล
และให้ผู้ประกันตนใช้สิทธิการรักษาในระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า
และจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคม 5% เหมือนเดิม โดยไม่มีการจ่ายซ้ำซ้อน
3.มีกลไกกลางเข้ามาจัดการมาตรฐานคุณภาพการรักษาและราคาค่ารักษาพยาบาล และ
4.มีระบบการสร้างความเข้าใจในทั้ง 3 ระบบประกันสุขภาพ
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า
การรับฟังความเห็นในครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนในการพัฒนาระบบสุขภาพของ
ประเทศและเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะ
เสนอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)
ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลหันมาใช้สิทธิบัตรทอง
ควบคู่ไปกับสิทธิประโยชน์ในการซื้อประกันสุขภาพ เพื่อเป็นแบบอย่างในสังคม
ในฐานะเป็นผู้กำหนดนโยบาย
รวมถึงที่ผ่านมารัฐบาลให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ
ซึ่งนโยบายการขยายสิทธิคลอบคลุมบุตรและภรรยาของผู้ประกันตนก็เป็นนโยบาย
หนึ่งที่ช่วยตอบโจทย์ความเป็นธรรม
ด้านนพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า
การหารือกันครั้งนี้
ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายและการออกแบบข้อเสนอการพัฒนา
ระบบหลักประกันสุขภาพที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายยอมรับได้
โดยสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือการทำความเข้าใจให้ชัดแจ้งเป็นรูปธรรม
โดยให้สช.เป็นเจ้าภาพในการผลักดันขับเคลื่อนจัดตั้งกลไกบริหารกองทุนทั้ง
3 ระบบ ให้มีประสิทธิภาพ
ซึ่งขณะนี้ขาดเพียงตัวแทนจากกรมบัญชีกลางเท่านั้น
โดยอาจต่อยอดจากคณะกรรมการประสานงาน 3 กองทุนที่มีอยู่แล้ว
ส่วนกลไกในการติดตามประเมินผลที่เป็นอิสระนั้น
สวรส.จะเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น