"..สหภาพแรงงานเป็นเครื่องมือสำคัญของผู้ใช้แรงงานตัวเล็กๆ
ในการปกป้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ของตนในการดำรงชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี
เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์คนอื่นที่อยู่ร่วมสังคมในการปกป้องสิทธิของตนจากการ
แสวงหาประโยชน์ทั้งจากบรรดานักลงทุนไม่ว่าจะเป็นคนไทยด้วยกันหรือต่างชาติ
และจากทางภาครัฐที่มักมองเห็นความสำคัญของตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
มากกว่าชีวิตและความกินดีอยู่ดีของผู้ใช้แรงงาน
...ด้วยบทบาทในการเรียกร้องสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ใช้แรงงาน
ทำให้สหภาพแรงงานมักถูกมองไปในด้านลบหรือถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่เห็นแต่
ประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ตระหนักถึงประโยชน์หรือความเจริญของส่วนรวม
สหภาพแรงงานจึงมักไม่ได้รับการสนับสนุนจากสังคมมากเท่าใดในการดำเนินบทบาท
เพื่อปกป้องคุณค่าและความหมายของผู้ใช้แรงงาน"
ผู้เขียนขอยกเอาถ้อยแถลงตอนหนึ่งของคำประกาศเนื่องในโอกาสการมอบเหรียญเจริญ
วัดอักษร ประจำปี 2552
แก่สหภาพแรงงานไทรอัมพ์ของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนมาโยงกับประเด็นที่จะนำมาคุย
วันนี้ นั่นเพราะถ้อยแถลงของคำประกาศดังกล่าวน่าจะช่วยอธิบายจุดมุ่งหมายในการ
เคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศวันนี้ได้อย่างแจ่มชัดขึ้น
ในช่วงที่โมหะ โทสะ อารมณ์ของผู้คนในสังคมเริ่มที่จะเบาบางจาง
และเย็นลงบ้างแล้ว
แน่นอนผู้เขียนไม่เถียงแม้แต่น้อยว่า
การเคลื่อนไหวของพี่น้องสหภาพแรงงานการรถไฟฯ วันนี้
ได้ส่งผลกระทบอันเป็นวงกว้างต่อพี่น้องประชาชนผู้ใช้บริการ
โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อย และอยู่ห่างไกล
ซึ่งไม่มีโอกาสจะเลือกใช้พาหนะอื่นใดได้เลยหรือถึงมีก็น้อยเต็มที
และนั่นก็ยิ่งบีบให้การเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานการรถไฟฯ
วันนี้ถูกผลักให้ถอยห่างจากประชาชน
และกลายเป็นช่องว่างของความไม่เข้าใจที่ก่อตัวขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างมากด้วยซ้ำไป หากสหภาพแรงงานการรถไฟฯ
ในวันนี้จะเลือกใช้วิธีอันละมุนละม่อมควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหว
จะแปลกอันใด ถ้าหากพี่น้องสหภาพแรงงานการรถไฟฯ
จะเลือกตั้งโต๊ะแถลงข่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและขอโทษต่อสาธารณชนถึง
ความเดือดร้อนที่พวกเขามิควรจะได้รับ พร้อมใช้โอกาสดังกล่าว ค่อยๆ
อธิบายให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบว่า ความ
ทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนที่เกิดขึ้นในวันนี้จะไม่สูญเปล่า
แต่มันจะแปรเปลี่ยนไปเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญสู่
การเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าในการรถไฟแห่งประเทศไทย
ดีทั้งต่อพี่น้องผู้ใช้บริการเอง และดีต่อพนักงานการรถไฟฯ
ผู้อุทิศชีวิตเพื่อให้บริการกิจการอันเป็นเส้นเลือดสำคัญของประเทศ
การหยุดเดินรถที่ลากยาวมาเต็มๆ 5 -6
วันได้สร้างความเสียหายต่อภาคธุรกิจ
และความเสียหายต่อผู้ใช้บริการไม่ว่าจะเป็นหลักพันหรือหลักหมื่น
แต่โปรดจงเชื่อเถอะว่า
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นต้นทุนที่คุ้มค่าขึ้นได้มา
หากปัญหาที่กลายเป็นฝีที่แตกแล้ว ได้รับการเยียวยาครั้งใหญ่อย่างเต็มที่
อย่างน้อยก็ดีกว่า การจะเลือกหลับหูหลับตาเอาพลาสเตอร์ปะปิดบังฝีร้าย
ให้อมโรคเอาไว้ต่อไปเรื่อยๆ
และพาลจะทำให้การรถไฟไทยไร้อนาคตมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้เขียนทราบว่า มีหลายองค์กรที่ทำการศึกษาถึงอนาคตของการรถไฟฯ
ที่ควรจะเป็นอยู่หลายสถาบัน
เพราะทุกคนต่างต้องการให้กิจการการรถไฟแห่งประเทศไทย
ที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5
ทรงพระราชทานไว้ตั้งแต่ร้อยปีก่อนได้เติบโตอย่างที่ควรจะเป็น
ให้กิจการการรถไฟฯ ได้กลายเป็นเส้นทางขนส่ง (Logistic) ที่มีประสิทธิภาพ
และกลายเป็นช่องทางการคมนาคมที่ทันสมัยทัดเทียมเพื่อนบ้าน
ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสที่ชาวบ้านยอมเสียสละเดือดร้อน 5-6 วันเต็มๆ
แล้ว คนงานสหภาพเสียสละถูกด่าจนหูชาอย่างสาดเสียเทเสียแล้ว
ต่อไปนี้ก็เป็นหน้าที่รัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะที่จะเข้ามาทำให้การสูญเสียของพวกเขาไม่สูญเปล่า
ท่านนายกฯจำเป็นต้องใช้สถานการณ์สร้างโอกาส และใช้โอกาสสร้างผลงานเสีย
ให้เป็นรูปธรรม
สิริอัญญา
เคยเขียนเรื่องการปฏิรูปกิจการรถไฟไว้ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันครั้ง
หนึ่งว่า ผู้นำรัฐบาลต้องอาศัยความกล้าหาญประกาศให้การปฏิรูปกิจการรถไฟเป็น
"วาระแห่งชาติ" สถานการณ์แบบนี้ลำพังรัฐมนตรีโสภณ
คงลากซาเล้งมาแก้ปัญหากิจการรถไฟที่ใหญ่โตมโหฬารไม่ไหวเป็นแน่
เพราะต้องไม่ลืมว่าครั้งนี้
รัฐมนตรีคมนาคมก็ตกเป็นหนึ่งในคู่ขัดแย้งของปัญหา
เพราะต้องไม่ลืมว่า ผู้ว่าการรถไฟฯ ยุทธนา ทัพเจริญ คนของคุณโสภณ
คือตัวปัญหาในสายตาของสหภาพ
และต้องไม่ลืมว่า แกนนำพรรคภูมิใจไทยหลายคน
ก็ตกเป็นจำเลยในสายตาของพี่น้องประชาชนในคดียึดที่ดินการรถไฟฯ
ไปแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว
ท่านนายกฯ
ท่านต้องกล้าฉกฉวยเอาโอกาสนี้ดึงผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาสร้างกิจการ
รถไฟรูปโฉมใหม่ให้เกิดขึ้นจงได้
แต่โปรดอย่าใช้วิธีดันทุรังเอาแผนแปรรูปการรถไฟฯ ยัดไส้เข้า
ครม.อย่างที่ประกาศในอีก 3 สัปดาห์ เพราะนั้นจะไม่ใช่ทางแก้ปัญหา
นอกเสียจากซ้ำเติมปัญหา
มาถึงจุดนี้ผู้เขียนคงมิอาจปกป้องหรือแก้ตัวใดๆ
ให้กับพี่น้องสหภาพที่ออกมาเคลื่อนไหว
นอกเสียจากแสดงความเห็นใจและพยายามทำความเข้าใจในฐานะที่เราต่างเป็น
มนุษย์ ผู้มีสิทธิที่จะปกป้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ของตนในการดำรงชีวิตอยู่อย่างมี
ศักดิ์ศรี เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์คนอื่นที่อยู่ร่วมสังคม
เพราะโดยจิตสำนึกของวิญญูชนทั่วไปแล้ว
หากเป็นทหารแล้วปกป้องดินแดนไม่ได้ ทหารที่ดียังเลือกจะถอดเครื่องแบบวางปืน
หากเป็นตำรวจ และพิทักษ์ราษฎร์ไม่ได้ ตำรวจดีๆ
ไม่น้อยยังเลือกลาออกจากราชการ
เป็น นักข่าว ถ้าวันใดไม่อาจพูดความจริง
ข้าพเจ้าก็คงวางไมค์ทิ้งปากกาไม่ต่างกัน และพวกท่าน พี่น้องสหภาพแรงงาน
งานของท่านคือการรับฝากชีวิตผู้โดยสารนับร้อยนับพันในมือ
หากไม่อาจทำงานบนพื้นฐานความปลอดภัยได้
ก็คงไม่มีวิญญูชนคนใดพึงพอใจที่จะดึงดันทำต่อ
โดยไม่ใส่ใจต่อปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น