รายการ "เคาะข่าวริมโขง" ออกอากาศทาง "อีสานทีวี" ช่วงเวลา 18.30-20.30
น.วันพุธที่ 30 กันยายน มี น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
และนายประพันธ์ คูณมี เป็นผู้ดำเนินรายการ
โดยวันนี้ได้มีการหยิบยกประเด็นข่าวสารที่น่าสนใจมานำเสนอพี่น้องชาวอีสาน
อีกเช่นเคย โดยเฉพาะ 2 ประเด็นข่าวเด็น กรณีที่ศาลปกครองกลาง
นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ธนาคารไทยพาณิชย์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร
ที่มีคำสั่งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท ของ
น.ส.พิณทองทา ชินวัตร และ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
และให้ธนาคารนำส่งเงินเพื่อชำระค่าภาษีอากรค้างอยู่
และกรณีที่ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นัดอ่านคำพิพากษาคดีหวยบนดิน 2 และ 3 ตัว สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร
โดยเข้ารายการช่วงแรก น.ส.อัญชะลี ได้แจ้งกำหนดการจัดงานรำลึกครบ
1 ปี "เหตุการณ์ 7 ตุลาเลือด" ที่จะมีการนัดรวมพลกันในวันที่ 7
ตุลาคมที่จะถึงนี้ เพื่อร่วมทำกิจกรรมตลอดทั้งวัน ซึ่งเริ่มตั้งแต่เวลา
06.00 น.ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ร.5 จะมีพิธีทำบุญตักบาตร
เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
จากนั้น อ.นวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีซีไรต์
จะขึ้นเวทีอ่านบทกวีที่เรียงร้อยถ้อยคำรำลึกความกล้าหาญและเสียสละของวีรชน
พันธมิตรฯ นอกจากนี้จะมีการเชิญญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 11 คน
มาร่วมอ่านบทกวีบนเวทีด้วย จากนั้นทางแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คน
จะขึ้นเวทีพบปะพี่น้องพันธมิตรฯ
เพื่อเตรียมจัดขบวนมุ่งหน้าไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
น.ส.อัญชะลี กล่าวต่อว่า ลำดับต่อมา
เมื่อเคลื่อนขบวนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแล้ว ทางแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5
คนจะขึ้นเวทีอีกครั้ง เพื่อประกาศเจตนารมย์ "7 ตุลาไม่สูญเปล่า"
พร้อมกับมีพิธียืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้แก่วีรชนผู้เสียชีวิต
สำหรับกิจกรรมภาคบ่ายเป็นต้นไปจนถึงช่วงเย็น จะจัดขึ้นที่
หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โดยจะมีการจัดเสวนาและการแสดงคอนเสริต์ของศิลปินพันธมิตรฯ ทุกวง
ช่วงต่อมา น.ส.อัญชะลี
กล่าวเปิดประเด็นข่าวที่น่าสนใจกรณีที่ศาลปกครองกลาง
นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ธนาคารไทยพาณิชย์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร
กรณีมีคำสั่งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท ของ
น.ส.พิณทองทา ชินวัตร และ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
และให้ธนาคารนำส่งเงินเพื่อชำระค่าภาษีอากรค้างอยู่ โดยวันนี้ นายจรวย
หนูคง หัวหน้าคณะศาลปกครองและตุลาการ
ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีนี้
โดยเห็นว่าธนาคารไทยพาณิชย์ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการตรวจสอบการ
กระทำผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส.
ที่มีคำสั่งให้อายัดเงินของกรมสรรพากรในการจัดเก็บเงินภาษี กรณี
น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้ ชินวัตร ซื้อขายหุ้น บริษัท
ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้แก่บริษัท เทมาเส็กฯ เป็นเงินจำนวน
12,000 ล้านบาท ซึ่งหลังจากที่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คตส.
มีอำนาจในการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นของบุคคลทั้งสอง
อีกทั้งเป็นคำสั่งที่มีก่อนหน้าถึง 5 เดือน ดังนั้น
ศาลปกครองจึงมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของกรมสรรพากร
และให้ธนาคารไทยพาณิชย์อายัดเงินในบัญชีต่อไปตามเดิม
จากนั้น น.ส.อัญชะลี หยิบยกประเด็นข่าวที่น่าสนใจต่อไป คือ
กรณีที่ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นัดอ่านคำพิพากษาคดีหวยบนดิน 2 และ 3 ตัว สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร โดยนายประพันธ์กล่าวประเด็นนี้ว่า คดีนี้มีผู้ถูกลงโทษ 3 คน คือ
นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง นายสมใจนึก
เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง
ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล และนายชัยวัฒน์ พสกภักดี
อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งในส่วนของนายวราเทพ
มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฏหมายมาตรา 157
สั่งจำคุก 2 ปี ปรับเงิน 2 หมื่นบาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี สำหรับ
นายสมใจนึกมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ตามประมวลกฎหมายมาตรา 157 สั่งจำคุก 2 ปี ปรับเงิน 1 หมื่นบาท
โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี สุดท้าย คือ นายชัยวัฒน์
มีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และ
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502
สั่งจำคุก 2 ปี ปรับเงิน 1 หมื่นบาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปีเช่นกัน
ขณะที่ คำฟ้องขอให้คืนเงินจำนวนดังกล่าว ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า
ในเมื่อไม่พบว่าเจตนาการยักยอกทรัพย์
จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่จำเป็นต้องคืนเงินจำนวนกว่า 14,000 ล้านบาท
ให้แก่รัฐตามคำร้องของ คตส.
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า โดยสรุป
ผู้ต้องหาคดีนี้แต่ละคนถูกปรับเงินคนละ 1-2 หมื่นบาท
ส่วนโทษจำคุกรอลงอาญาไว้ 2 ปี ซึ่งในเมื่อศาลมีคำพิพากษาเช่นนี้
ตนก็อยากให้ทุกฝ่ายยอมรับ และนำคดีนี้ไปเป็นบทเรียน โดยอย่างน้อยที่สุด
แม้ว่าจะไม่มีรัฐมนตรีหรือเจ้าหน้าที่รัฐคนใดในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร ต้องโทษจำคุก
แต่ก็เป็นสิ่งเตือนใจไม่ให้รัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่รัฐคนใด
กระทำอะไรตามใจชอบโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีอีก
แต่ตนอยากจะนำเสนอข้อเท็จจริงคดีนี้ว่า
การนำเงินที่ได้จากอบายมุขเอามาทำประโยชน์ให้แก่สังคม
ถือเป็นการฟอกเงินบาปให้ถูกต้อง ให้ชอบธรรม
ทั้งที่เงินจำนวนดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งมอมเมาประชาชน
แต่รัฐก็ยื่นมือเข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้ามือหวย
ทำสิ่งที่ผิดกฏหมายโดยที่มีการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าก่อน
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ
จำหน่ายหวยบนดิน 2 และ 3 ตัวนั้น ไม่มีกฏหมายใดๆ รองรับ
แม้ว่าจะมีการแบ่งเปอร์เซนต์เพื่อนำไปใช้ในสาธารณประโยชน์ต่างๆ
แต่ก็นับว่าเป็นเงินจำนวนน้อยมาก
ถ้าเทียบกับเงินก้อนโตที่รัฐบาลสมัยนั้นนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของตัวเอง
เช่นเอาไปหว่านหาเสียงตามต่างจังหวัด ทั้งที่เงินจำนวนดังกล่าว
ล้วนแล้วแต่เป็นเงินของประชาชน นอกจากนี้ การที่รัฐจำหน่ายหวยบนดิน 2 และ
3 ตัว หรือที่เรียกกันแบบชาวบ้านว่า หวยกินรวบ
ล้วนแล้วแต่มีความแตกต่างไปจากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีกฎหมายรอง
รับอย่างถูกต้อง อีกทั้ง
สลากกินแบ่งรัฐบาลยังมีการแบ่งสัดส่วนผลประโยชน์ชัดเจน
มีโครงสร้างที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ แต่การจำหน่ายหวยบนดิน 2 และ 3
ตัว ของรัฐบาลชุดนั้น ไม่สามารถหาตรรกะใดมายืนยันได้ว่าอะไรคือมาตรฐาน
โดยหากสังเกตดูให้ดีๆ ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ
พยายามออกกวาดล้างมาเฟียทุกรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ
ภารกิจการปราบหวยเถื่อนหรือหวยใต้ดิน
ซึ่งขณะนั้นได้มีการจับกุมเจ้ามือหวยเถื่อนจำนวนมาก แต่สุดท้ายแล้ว
รัฐบาลชุดดังกล่าวก็ทำเพื่อตัวเอง
ด้วยการเดินหน้าจัดการให้รัฐเป็นเจ้ามือหวยบนดิน
"รัฐมนตรีสมัยนั้นจะอ้างว่าไม่มีความรู้ด้านกฏหมายไม่ได้
เพราะหากมีการเสนอแนวคิดหรือนโยบายใด
จะต้องมีการศึกษาข้อมูลทั้งผลดีและผลเสีย แต่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น คือ
เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ร่วมกระทำความผิด เป็นคนในกองสลากฯ
ซึ่งต้องทราบดีอยู่แล้วว่าเรื่องดังกล่าวในทางกฏหมายทำได้หรือไม่
แต่ก็ยังไม่ยอมโต้แย้งหรือขัดขืนใดๆ
กลับไปช่วยผลักดันให้โครงการดังกล่าวสำเร็จ" นายประพันธ์กล่าว
น.ส.อัญชะลี กล่าวเสริมว่า หนึ่งในสาธารณประโยชน์ที่รัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณ ยกขึ้นมาบังหน้าในการนำเงินจำหน่ายหวยบนดิน 2 และ 3
ตัวไปใช้ คือ การให้ทุนการศึกษาเยาวชนไปต่างประเทศ
ซึ่งเรื่องดังกล่าวกำลังสร้างปัญหาหนักใจให้แก่ทางกระทรวงศึกษาธิการ
เนื่องจาก โครงการดังกล่าวไม่ได้สัมฤทธิ์ผลจริงๆ
เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการเตรียมพร้อมด้านต่างๆ
ทำให้เยาวชนที่ได้รับทุนไปศึกษาต่อนั้น ติดขัดหรือประสบปัญหาจำนวนมาก
และถูกส่งกลับเกือบทั้งหมด จึงเห็นได้ชัดเจนว่าโครงการนี้
ไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่สังคมจริงๆ
เนื่องจากเงินที่เจียดมาใช้จ่ายแต่ละโครงการเพื่อสังคมก็น้อยมาก
ถ้าเทียบกับเงินจำนวนมหาศาลที่รัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ มอมเมาประชาชน
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000115203
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น