โดย ดร.ป. เพชรอริยะ
"ในหลวง -ราชินี" อยากให้ไทยอยู่รอด-สามัคคี เรียกร้องเลิกทะเลาเบาะแว้ง
จากรายงานข่าว มีการบรรยายพิเศษหัวข้อ
"พระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย" ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ
นางสนองพระโอษฐ์ที่ถวายงานรับใช้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
มาประมาณ 40 ปี กล่าวตอนหนึ่งว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรง ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคนไทย
ทรงทำมาอย่างยาวนาน แต่ทุกคนได้มีความคิด ได้เล่าต่อกันหรือไม่
ทุกพระราชกรณียกิจ ทุกโครงการของพระองค์ ไม่เคยหนีจากประชาชน
แล้วไม่เคยเอาอะไรมาเป็นของพระองค์เลย ทรงทำให้กับแผ่นดิน
ทรงทำให้กับประชาชน" "สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงห่วงใยประชาชนตลอดเวลา
พระองค์มีแต่ให้"
พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ
กล่าวความตอนหนึ่งว่า "ขณะนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ กำลัง ตกเป็นเป้าของการลบหลู่ การให้ร้าย
การโจมตีอย่างโจ่งครึ่มโดยคนบางพวก บางประเภท ตนกล้าเรียนให้ทราบ
แม้ไม่มีการยืนยันจากรัฐบาลแต่ตนยืนยันจากความรู้ การสังเกตของตนเอง
พบว่า สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้น
ตอนนี้มีเว็บไซต์เถื่อนที่กำลังทำอย่างนี้กับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ อยู่ อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง
และขอเตือนให้ทราบว่าผู้ที่เราเคารพสักการะ
ผู้ที่เป็นผู้สืบทอดการปกครองแบบราชาธิปไตยมากว่า 700 ปี กำลังถูกทำลาย
โดยคนพวกหนึ่ง สิ่งที่คนไทยต้องตระหนักและช่วยกันคือปกป้องสถาบันที่อยู่คู่เมืองไทย
ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"
"มาวันนี้ขอวิงวอนท่านทั้งหลายว่า แม้ศัตรูจะยังไม่ถืออาวุธ
แต่กำลังใช้วิธีย้อมหัวของเรา ย้อมหัวใจของเราให้หลงผิด
สิ่งที่ทำได้คืออย่ายอมให้พี่น้อง ลูกหลานเข้าใจผิด แต่ต้องทำความเข้าใจ
และเผยแพร่ สอนผู้อื่นให้รู้ว่า เมืองไทยอยู่ได้เพราะ 3 สิ่งนี้ คือ ชาติ
ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ เราจะเกิดสงครามที่สาหัสมาก
อย่าทำให้เกิด แต่ทำได้ด้วยการถ่ายทอดให้ทุกคนรู้ว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงทำอะไรมาแล้วกว่า 60
ปี ให้เราทุกคนช่วยกัน" พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าว
เป็นความสัจจริงและปัญญาอันยิ่งว่า แท้จริงสภาพการณ์ที่เป็นอยู่
เป็นผลของระบอบเผด็จการสองรูปแบบที่สลับสับเปลี่ยนกัน
คือเผด็จการรัฐประหาร (ดุจสุนัขจิ้งจอก) กับเผด็จการรัฐสภา
(ดุจสุนัขจิ้งจอกคลุมด้วยรูปแบบประชาธิปไตย, ดุจปลอกกินบ้าน)
ที่มาจากการเลือกตั้งแบบเผด็จการ ครอบงำประเทศไทยมายาวนานแสนนานถึง 77 ปี
โดยทั้งสองขั้วถือลัทธิรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิเป็นศูนย์กลาง
และเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งของพวกผู้ปกครองด้วยกันเอง ทุกครั้ง
ทุกฉบับ น่าจะฉุกคิดกันบ้าง
เมื่อชนชั้นสูงมองไม่เห็นภัยอันร้ายแรงต่อชาติ
เมื่อมองไม่เห็นด้วยปัญญาก็ไม่ได้คิดแก้ไข
หากชนชั้นสูงได้ล่วงรู้ความจริงว่า "ไทยเราไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตย"
ที่มีอยู่ 77 ปี มีรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ มีระบบรัฐสภา
มีการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นรูปแบบ และวิธีการปกครองเท่านั้น
หาใช่เป็นแก่นสาร เนื้อหาสาระของระบอบประชาธิปไตยไม่
ในประวัติศาสตร์การเมืองระบอบเผด็จการ ไม่ว่ารูปแบบใดๆ ก็ตาม
ย่อมทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้พังพินาศลงประเทศแล้วประเทศเล่า
ประเทศที่สถาบันพระมหากษัตริย์มั่นคง เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น เป็นต้น
ทั้งนี้เพราะพระมหากษัตริย์ ร่วมมือกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่
สร้างหรือสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย ด้วยพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่
ไทยเราก็เช่นเดียวกัน
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติริเริ่มโดยพระมหากษัตริย์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย
แบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเลิกทาส การให้การศึกษาแก่พสกนิกร ฯลฯ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ พระองค์ก็ทรงสืบสานต่ออย่างค่อยเป็นค่อยไป
อย่างนิ่มนวลลึกซึ้ง เพราะเป็นของใหม่สำหรับพสกนิกร เช่น
สร้างดุสิตธานีเป็นเมืองจำลองสอนประชาธิปไตย ฯลฯ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
พระองค์ทรงพระราชกรณียกิจอย่างยิ่งใหญ่ในการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย
จวนเจียนใกล้จะสำเร็จอยู่ แต่ก็ถูกรัฐประหารโดยคณะราษฎรเสียก่อน
พระราชกรณียกิจอันสุดแสนจะยิ่งใหญ่ ก็ได้สะดุจหยุดลง
และพระองค์ก็หมดหนทางที่จะแก้ไข ซึ่งมีพระราชหัตถเลขาต่างๆ ออกมามากมาย
ผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างแท้จริงแล้วลองกลับไปอ่าน วิจัย
วิจารณ์ กันอย่างตั้งอกตั้งใจเถิด
คณะราษฎร มีอำนาจแล้วกลับไปร่างรัฐธรรมนูญ
เชิดชูรัฐธรรมนูญฝังหัวคนไทย แรกๆ ก็ไม่ได้เรียกว่า ระบอบประชาธิปไตย
"สิ่งที่มุ่งหวังสูงสุดของคณะราษฎรคือธรรมนูญการปกครอง"
จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนสุดๆ ร้ายกาจที่สุด เห็นผิดที่สุด
เป็นเล่ห์กลเพื่อสร้างความชอบธรรมของคณะเผด็จการ อยู่ๆ ก็บัญญัติ คำว่า
"ระบอบประชาธิปไตย" ไว้ใน รัฐธรรมนูญ ฉบับ ที่ 5 พ.ศ. 2492 ในหมวด 1
บททั่วไป
มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
มาตรา 2 ประเทศไทยมี การปกครองระบอบประชาธิปไตย
มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในยุคของจอมพลผิน ชุณหะวัณ ทำรัฐประหาร
และจอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมเผด็จการเป็นนายรัฐมนตรี และแล้ว
ผู้ปกครองรุ่นหลังๆ นักวิชาการรุ่นหลังๆ ก็สืบทอดความโง่เขลา
ทำลายชาติของตนเองเรื่อยมาอย่างยาวนาน หาได้มีความฉุกคิดใดๆ ไม่
ผู้เขียนเองก็จะไม่ละความพยายามที่จะสอน แนะ ให้คำปรึกษา อธิบายกันต่อไป
โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
สำหรับประเทศไทย เหตุแห่งศัตรู หรือภัยร้ายของชาติ คือ
ระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ที่ปราศจากหลักการปกครองโดยธรรม และ ผล
คือปรากฏการณ์ ที่ได้สำแดงออกมา เช่น รัฐประหาร 14
ครั้งสงครามกลางเมืองโดยพรรคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (2508 -2525)
ยุติลงด้วยนโยบาย คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/ 2523 โดย พลเอกเปรม
ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่พวกทักษิณ
และลัทธิแดงเล่นงาน พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี
เนื่องจากความแค้นที่พลเอกเปรม ยุติสงครามการเมืองลง นั่นเอง,
เกิดการจลาจลใหญ่ทางเมือง 3 ครั้ง, รัฐบาลทักษิณคอร์รัปชัน
โกงชาติโกงแผ่นดินหาที่เปรียบมิได้
และครอบงำประเทศมุ่งไปสู่ระบบสาธารณรัฐ ฯลฯ
เหล่านี้ล้วนเป็นผลของระบอบเผด็จการทั้งสิ้น
เอกภาพหรือสามัคคีธรรม
เป็นความสัมพันธ์ระหว่างด้านเอกภาพกับด้านความแตกต่างหลากหลาย
ซึ่งพิจารณาได้จากความสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ดังนี้
1. สัมพันธภาพระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ จะพบว่า
ดวงอาทิตย์เป็นด้านเอกภาพ ส่วนดาวเคราะห์เป็นด้านแตกต่างหลากหลาย
ดำรงอยู่อย่างดุลยภาพ
2. สัมพันธภาพระหว่างพระรัตนตรัยกับพุทธศาสนิกชน
ถ้าเป็นสัมมาทิฐิจะพบว่า พระรัตนตรัยเป็นด้านเอกภาพ
ส่วนพุทธศาสนิกชนเป็นด้านแตกต่างหลากหลาย จึงเกิดดุลยภาพ
3. สัมพันธภาพระหว่างประเทศชาติกับประชาชน
ถ้าเป็นสัมมาทิฐิจะพบว่า ประเทศชาติเป็นด้านเอกภาพ
ส่วนประชาชนเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย จึงเกิดดุลยภาพ
4. สัมพันธภาพระหว่างพระมหากษัตริย์กับพสกนิกร
ถ้าเป็นสัมมาทิฐิจะพบว่า พระมหากษัตริย์เป็นด้านเอกภาพ
ส่วนพสกนิกรเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย จึงเกิดดุลยภาพ
ปัญญาอันยิ่งนี้ เมื่อกลับมาพิจารณา
การจัดความสัมพันธ์รัฐธรรมนูญไทย ทั้งอดีตและปัจจุบันรวม 18 ฉบับ พบว่า
ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม อันเป็นด้านเอกภาพ มีแต่ด้าน วิธีการ
ได้แก่หมวดกับมาตราต่างๆ เมื่อมีแต่ด้านแตกต่างหลากหลาย
เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีหลักการหรือจุดมุ่งหมาย เป็นการกระทำที่สืบทอด
มิจฉาทิฐิ แนวทางผิด มาอย่างยาวนานถึง 77 ปีแล้ว
การแก้ไขที่ปลายเหตุนอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว
ยังจะเสี่ยงภัยและเสียเวลา
จะเป็นปัจจัยให้เกิดความหายนะอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ในระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ ทำให้ประชาชนขัดแย้งแตกความสามัคคี
และหลายฝ่ายต่างเรียกร้องให้ชนในชาติสามัคคีธรรม
จะเกิดขึ้นได้จะต้องมาจากฐานที่ถูกต้องเป็นธรรม ด้วยปัจจัยของ
ระบอบการเมืองโดยธรรม สาระสำคัญคือ หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
จะเป็นเหตุปัจจัยให้ประชาชน (1) มีเอกภาพในชาติ (2) มีเอกภาพในศาสนา (3)
มีเอกภาพในพระมหากษัตริย์ (4) มีเอกภาพทางการเมือง (5)
มีเอกภาพในการอยู่ร่วมกันในสังคมทุกระดับชั้น ในทุกมิติ
เกิดจากปัจจัยที่ถูกต้อง เมื่อนำมาประยุกต์ใช้อย่างถูกต้องโดยธรรม
ถือธรรมเป็นใหญ่ ไม่ใช่ถือบุคคลเป็นใหญ่
มีทางเดียว คือ พระมหากษัตริย์ ทรงมีพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่
คือ "การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
จะเป็นเหตุปัจจัยให้มีระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง"
จะก่อให้เกิดคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและมนุษยชาติอย่างกว้างขวาง
ยิ่งใหญ่ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ... ขอพระองค์ทรงพระเจริญ...
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น