กรณีที่นายวีระ สมความคิด ได้นำประชาชนชาวไทยผู้รักชาติ
ไปทวงคืนดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 19 -20 กันยายน 2552 นั้น
ได้ส่งผลคุณูปการต่อประเทศชาติได้หลายประการ
ประการ แรก ได้ทำให้สื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ได้ฟังคำประกาศจากประชาชนคนไทยที่รักชาติ
ประณามการรุกล้ำดินแดนไทยจากฝ่ายกัมพูชา และประณามองค์การยูเนสโก
ที่ไร้จริยธรรมพยายามกระทำผิดละเมิดอธิปไตยโดยไม่สนใจคำทักท้วงของคนไทย
ในกรณีพยายามนำปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบให้ฝ่ายกัมพูชาไปขึ้นทะเบียน
มรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว
ตลอดจนแสดงเจตนารมณ์ที่จะขัดขวางและต่อต้านชนชาติอื่นๆ
ที่จะมาละเมิดอธิปไตยไทยเข้าบริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าวในทุกวิถีทาง
ถือได้ว่าเป็นแถลงการณ์ในการรักษาดินแดนและอธิปไตยไทยครั้งแรกที่ได้ประกาศก้องไปทั่วโลกยิ่งกว่ารัฐบาลใดในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ย่อมส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของฝ่ายกัมพูชา องค์การยูเนสโก
ที่จะพยายามขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างแน่นอน
ประการที่สอง
ได้ทำให้เกิดการเปรียบเทียบในวันเดียวกันอย่างชัดเจนว่ากลุ่มคนเสื้อแดงพยายามต่อสู้เพื่อช่วยนักโทษชายทักษิณและผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองของระบอบทักษิณ
ในขณะที่ ประชาชนอีกกลุ่มซึ่งนำโดยนายวีระ
สมความคิดได้ทำหน้าที่ในการรักษาอธิปไตยและดินแดนไทยเพื่อผลประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติ
ประการที่สาม
ได้เป็นการประจานตบหน้ารัฐบาลและทหารตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันที่ได้บกพร่องและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
จนเกิดการรุกล้ำและยึดครองแผ่นดินไทย
จนต้องทำให้ประชาชนมือเปล่าต้องมาทำหน้าที่แทน
อันเป็นการกดดันให้รัฐบาลชุดปัจจุบันต้องตัดสินใจในการรักษาอธิปไตยอย่าง
เร่งด่วน
ประการที่สี่ ได้ทำให้เกิดความจริงที่ว่า
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช หรือ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ต่างก็ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนที่มาทำหน้าที่เพื่อผล
ประโยชน์ของดินแดนไทยได้
อีกทั้งยังคงปล่อยให้เจ้าหน้าที่รัฐจัดประชาชนพร้อมด้วยอาวุธมาทำร้ายประชาชนที่มาใช้สิทธิและทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญเหมือนกัน
ประการที่ห้า
ได้ทำให้เกิดความชัดเจนว่าใครมีหน้าที่ผลักดันชาวกัมพูชาให้ออกไปจากดินแดนไทย
เพราะที่ผ่านมาฝ่ายทหารและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้อ้างว่า
เป็นนโยบายของผู้นำประเทศที่ไม่ต้องการผลักดันนั้น
ในที่สุดกองทัพบกก็ได้อ้างว่าเป็นพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึกที่ได้ประกาศมา
เป็นชาติแล้ว มาเป็นข้ออ้างที่ไม่ให้ประชาชนชาวไทยที่นำโดยนายวีระ
สมความคิดเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวในวันที่ 19 กันยายน 2552
ในขณะเดียวกันกลับปล่อยให้ประชาชนชาวกัมพูชา ทหารกัมพูชา
และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทั้งถนน วัด และบ้านเรือนอยู่ในดินแดนไทยต่อไป
ดังนั้นการอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่กฎอัยการศึก
จึงต้องถือเป็นความบกพร่องของกองทัพแต่เพียงฝ่ายเดียว
โดยเฉพาะในเช้าวันที่ 19 กันยายน 2552 ได้ปรากฏข่าวเป็นคำพูดของ
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกว่า
"พื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนไทย"
การกล่าวหาว่านายวีระ สมความคิด "คลั่งชาติ"
นั้นดูจะไม่มีความเป็นธรรมนัก เพราะการเคลื่อนไหวของนายวีระ สมความคิด
พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ และคณะประชาชนผู้รักชาตินั้น
ได้ทำหน้าที่ของปวงชนชาวไทยในการปกป้องรักษาชาติ ผืนแผ่นดินไทย
และผลประโยชน์ของชาติ
ซึ่งได้บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
มาตรา 70 และ 71
เพราะรัฐบาลและกองทัพบกไม่ทำหน้าที่ของตัวเองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77
ย้ำว่าเรื่องการรักษาอธิปไตย ดินแดน
และผลประโยชน์ของชาติตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่แค่ "สิทธิ" แต่เป็น "หน้าที่"
ของปวงชนชาวไทย!
เดิมทีเรื่องนี้ฝ่ายกองทัพและรัฐบาลเป็นฝ่ายที่ไม่สนใจ
แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พันธมิตรฯ)
ซึ่งได้ออกแถลงข่าวเรียกร้องให้รัฐบาลและทหารทำหน้าที่ในการผลักดันการ
รุกล้ำและการยึดครองดินแดนไทยโดยฝ่ายกัมพูชาหลายครั้ง
รัฐบาลกลับเพิกเฉยเหมือนไม่เคยได้ยินอะไร จริงหรือไม่?
ภาคีเครือข่ายผู้ติดตามกรณีปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งนำโดย
ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์
ได้เรียกร้องให้รัฐบาลหยุดร่างกรอบการเจราระหว่างไทย-กัมพูชา
ที่จะขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
เพราะเห็นว่าการถอนทหารทั้งไทยและกัมพูชาออกจากพื้นที่รอบปราสาทและวัดแก้ว
สิขาคีรีสะวารา โดยที่ยังมีชุมชนและสิ่งปลูกสร้างของฝ่ายกัมพูชาอยู่นั้น
ราชอาณาจักรไทยย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบและอาจต้องเสียดินแดนไปตลอดกาล
รัฐบาลก็ออกมาบอกว่าไทยยังไม่เสียดินแดนเพราะมีการทำหนังสือประท้วงไปแล้วและมีทหารตรึงรอบพื้นที่
นั่นจึงเป็นที่มาที่ นายวีระ สมความคิด
หนึ่งในแกนนำของภาคีเครือข่ายผู้ติดตามกรณีปราสาทพระวิหาร
เสนอตัวเองที่จะเดินทางเสี่ยงชีวิตไปพิสูจน์จับโกหกรัฐบาลว่า
ดินแดนไทยได้ถูกรุกล้ำและถูกยึดครองจริงหรือไม่
โดยได้มีประชาชนผู้รักชาติเดินทางไปด้วย พร้อมๆ
กับสื่อที่ยอมเสี่ยงอันตราย ทำภารกิจนี้เพียงแค่ 2 แห่งเท่านั้น คือ ASTV
และ FVTV (ของชาวสันติอโศก) เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2552
การพิสูจน์ในครั้งนั้นได้ปรากฏภาพอย่างชัดเจนว่า
มีการรุกล้ำและยึดครองพื้นที่หลายจุด ทั้งวัดแก้วสิขาคีรีสะวารา
บันไดทางขึ้นตัวปราสาท ยอดภูมะเขือ
และทางเดินตลอดเส้นทางก็เต็มไปด้วยทหารกัมพูชา มีการสร้างถนนจากบ้านโกมุย
เข้ามาผ่านวัดแก้วสิขาคีรีสะวารา ไปยังตัวปราสาทต่อจากรัฐบาลนายสมัคร
โดยไม่ต้องผ่านประตูทางขึ้นฝั่งไทยอีกต่อไป
วันนี้พื้นที่ดังกล่าวคนไทยทั่วไปเข้าไปไม่ได้แล้ว
เมื่อเป็นการเปิดข้อมูลผ่าน ASTV และ FMTV
ข้อมูลและหลักฐานดังกล่าวอยู่เพียงกลุ่มคนเล็กๆ รัฐบาล
จึงย่ามใจและเพิกเฉยต่อไป
และยังคงพูดผ่านฟรีทีวีให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อไปว่าประเทศไทยยังไม่เสียดิน
แดน และเป็นที่มาทำให้ นายวีระ สมความคิด
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากประกาศขีดเส้นตายให้เวลารัฐบาลในการผลักดันชาว
กัมพูชาให้ออกไปจากพื้นที่ภายใน 2 สัปดาห์
มิเช่นนั้นก็จะอาศัยบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และ 71
นำประชาชนไปทวงคืนเขาพระวิหารด้วยตนเองในวันที่ 19 กันยายน 2552
ซึ่งปรากฏว่าประชาชนและผู้ชม ASTV และ FMTV
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยผู้รักและเป็นห่วงชาติได้
มีความสนใจในกิจกรรมดังกล่าวจำนวนมาก และเมื่อกระแสนี้ไปถึงภาคอีสาน
ก็ได้ปรากฏว่ามีประชาชนหลายจังหวัดในภาคอีสานที่แม้ไม่ใช่พันธมิตรประชาชน
เพื่อประชาธิปไตยแต่เดิม ก็สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย
การ เคลื่อนไหวในครั้งนี้นายวีระ สมความคิด เป็นผู้นำมวลชน
พร้อมกับตั้งกลุ่มการเคลื่อนไหวครั้งนี้ในนามว่า
"ภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร"
แม้ว่าการริเริ่ม การวางแผน และการตัดสินใจทั้งหมด
จะไม่มีการปรึกษาหรือขอมติจาก 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
แต่ก็ถือเป็นเอกสิทธิ์ของนายวีระ สมความคิด
ในฐานะเป็นผู้นำองค์กรแนวร่วมกับพันธมิตรฯ
ที่จะตัดสินใจทำหน้าที่ตามที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 70 และ 71
เองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเป้าหมายเดียวกันในการที่จะปกป้องรักษาดินแดนและ
อธิปไตยแล้ว ต้องถือเป็นการอาสาทำหน้าที่ที่มีความเสี่ยงอันตรายและเสียสละอย่างยิ่ง
ซึ่งสมควรจะต้องได้รับการคารวะและให้กำลังใจ
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ ASTV และ FMTV
ยังคงสนับสนุนด้วยการติดตามทำข่าวคณะดังกล่าวต่อไป
พร้อมรายงานข่าวและภาพในทุกสถานการณ์ ชุมชนศีรษะอโศกของสันติอโศก
และกองทัพธรรมมูลนิธิก็ให้ความช่วยเหลือในหลายด้าน ทั้งที่พักอาศัย
และการเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ
ประธานคณะกรรมการพลังแผ่นดินของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
และเรือตรีแซมดิน
เลิศบุศย์ทีมงานคนสำคัญของกองทัพธรรมมูลนิธิก็ได้เข้าร่วมในกิจกรรมดังกล่าว
ด้วย
นายวีระ สมความคิด
ได้บอกผ่านสื่อไปหลายครั้งเป็นการล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2552
เป็นต้นมา ถึงกระบวนการที่ไม่ชอบมาพากลจากการใช้อำนาจรัฐ
ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมชาวบ้านมาลอบและรุมทำร้ายประชาชนผู้รักชาติเหมือน
เมื่อปีที่แล้ว ความพยายามจะไล่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารออกนอกพื้นที่เพราะอำนวย
ความสะดวกให้กับพันธมิตรฯ ความพยายามในการปิดปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร โรงแรม
เพื่อกลั่นแกล้งกลุ่มประชาชนผู้รักชาติ
เพื่อบอกให้รัฐบาลหยุดกระทำอันสกปรกเหล่านั้นเสีย แต่รัฐบาลก็เพิกเฉยอีก
นาย วีระ สมความคิด
ยังได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลในการที่จะไม่นำประชาชนไปในพื้นที่นั้นด้วย
การ ให้รัฐบาลผลักดันทหารและประชาชนชาวกัมพูชาให้ออกโดยทันที
หรืออย่างน้อยหากยังทำไม่ได้ก็ให้ประกาศมาให้ชัดเจนว่าจะใช้เวลากี่วันในการ
ผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากดินแดนไทย
และพร้อมที่จะออกโทรทัศน์พร้อมกับคนในรัฐบาลเพื่อพิสูจน์ชี้แจงกับประชาชน
ให้รับทราบข้อเท็จจริง ไม่ใช่พูดโดยคนในรัฐบาลฝ่ายเดียว
รัฐบาลก็เพิกเฉยอีก
การเดินทางทวงคืนปราสาทพระวิหารจึงต้องเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่
19 กันยายน 2552 คณะขบวนรถเกือบ 17- 18 กิโลเมตร
ของประชาชนผู้รักชาติได้ติดเป็นแนวยาวก่อนถึงอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร
ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นอาวุธทุกอย่างอย่างละเอียดแล้ว
ในทางตรงกันข้ามกลับปล่อยให้ประชาชนอีกกลุ่มที่จัดมาโดยเจ้าหน้าที่รัฐเองพก
พาอาวุธแทบทุกประเภทเข้าทำร้ายประชาชนจนได้รับบาดเจ็บหลายคน
และยิงหนังยางจนรถกระจกแตกได้รับความเสียหายกว่า 200 คัน
เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นจึงไม่อาจเรียกว่าพันธมิตรฯ ปะทะชาวบ้าน
แต่ต้องเรียกว่าเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นเป็นใจจัดอันธพาลรุมลอบยิงทำร้าย
ประชาชนผู้รักชาติที่มาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ!
เป็นบรรยากาศเดียวกันกับที่ม็อบคนเสื้อแดงเคยมาบุกทำร้ายพันธมิตรฯ
ที่สะพานมัฆวานฯ
เป็นบรรยากาศเดียวกันกับที่ตำรวจมาบุกทำร้ายประชาชนในเวทีพันธมิตรฯ
และเป็นบรรยากาศเดียวกับการทำร้ายประชาชนและทำลายเวทีของพันธมิตรฯ
ในหลายจังหวัดเมื่อปีที่แล้ว
การ ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เคยให้สัมภาษณ์
เหมือนกับที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ว่า "เขาพระวิหาร"
เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาของโลกเหมือนกัน
และมีเจ้าหน้าที่รัฐจัดประชาชนมาทำร้ายพันธมิตรฯ เหมือนกัน
หรือแสดงทัศนคติว่าพันธมิตรฯชอบความรุนแรงเหมือนกันนั้น
ย่อมทำให้ประชาชนคนไทยผู้รักชาติสงสัยได้ว่า
เหตุใดวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เดินตามรอยรัฐบาลทักษิณในเรื่องนี้ได้อย่าง
ไร ทั้งๆ ที่ได้แสดงจุดยืนคัดค้านอย่างเข้มแข็งมาตลอดในตอนที่เป็นฝ่ายค้าน
รัฐบาล ต่างหากที่ควรจะใช้การเคลื่อนไหวของประชาชนครั้งนี้เป็นประโยชน์ในการต่อสู้
เรื่องเขาพระวิหารทั้งกับกัมพูชาและคณะกรรมการมรดกโลก
เพื่อทวงคืนดินแดนไทยกลับคืนมาจึงย่อมจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศ
ส่วนเหตุการณ์การทำร้ายพันธมิตรฯ ครั้งนี้ ต้องให้นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ แสดงความรับผิดชอบมากกว่าพูดแค่ว่าเสียใจโดยไม่สนใจข้อเรียกร้อง
และไม่คุ้มครองความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้รักชาติได้เลย
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000110872
ขอขอบคุณคุณอภิสิทธิ์อีกครั้งอย่างน้ำตาไหลที่ทำให้เราคนไทยได้รับรู้ว่า
ตลอด 60 ปี พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ก้าวหน้าและเป็นสถาบันการเมืองที่ดีอย่างที่ทุกคนคิด
และยังได้รู้เนิ้อแท้ของพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วยว่าข้ามศพและเลือดเนื้อของ
เหล่าพี่น้องพันมตรเข้าไปเสวยอำนาจที่ตัวเองได้ปราถนามาตลอดตอนที่เป็นฝ่าย
ค้าน
ย้ำ คุณอภิสิทธิ์ คุณหมดโอกาสอีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่คุณทำมันก้อคืออีหรอบเดิมๆๆของประชาธิปัตย์
ขอ ให้ความสุขกับอำนาจในมือที่มีโดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทยนอก
จากไปพูดและเปิดงานต่างๆๆต่อไปเถอะ หมดโอกาสแก้ตัวต่อไป
และผมขอให้พี่น้องทุกท่านให้โอกาสพรรคการเมืองใหม่นะครับ
เพื่อมาแก้ไขสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยทำอะไรเลย
นอกจากการสอนการเมืองผ่านตัวละครที่เรียกว่านักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์
กูเองเจอกันได้
อยากฝากข้อความนี้ ถึงมือโพสท์รับจ้าง ปชป ทุกท่่านครับ ...
การที่พวกท่านได้พยายามมาปั่นกระทู้สร้างความเห็นชมเชยพรรค ปชป
ชมเชยสรรเสริญเยินยอนายกน่ะครับ อยากขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่า...
พธม. ก็ไม่ได้เกลียดนายกหรอกนะครับ (แต่กำลังจะเริ่มและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ)
ทั้ง นี้และทั้งนั้น ก็มีสาเหตุมาจากการกระทำ หรือการไม่กระทำ
ของนายกหรือบุคคลในพรรคท่านเองทั้งสิ้น
ผลของการไม่กระทำตามความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่
หรือเอาแต่เล่นการเมือง(แบบที่แพ้เค๊ามาเป็นสิบปี)
ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ ว่า มีคนโพสท์ความเห็นที่ไม่ค่อยดีต่อพรรค ปชป มาก ๆ
, มีคนบริภาษมาก ๆ หรือมีคนแสดงความเห็นที่เป็นผลเสียต่อพรรค ปชป
หรือตัวนายกปริมาณมาก ๆ ใด ๆ ทั้งสิ้น
และเช่นเดียวกัน การที่พวกท่านปั่นกระทู้ทำให้ดูเหมือนว่า
คนส่วนใหญ่ยังเข้าใจและรักท่านนายกหรือพรรค ปชป
โดย หวังว่า พธม ที่เข้ามาอ่านจะคล้อยตามนั้น ขอเรียนว่า
ตรงกันข้ามเลยครับ มีแต่สร้างความเกลียดชังให้มากขึ้น
เพราะว่ามันค้านกับความเห็นซึ่งผ่านการพิจารณาไตร่ตรองด้วยเหตุและผลของแต่
ละบุคคลซึ่งคงไม่มีใครสามารถไปชี้นำอะไรได้
ใครที่คิดทำเช่นนี้ ผมคิดว่า ถ้าไม่ใช่คนปัญญาอ่อน
หรือคนขาดความรู้เข้าใจ หรือคนที่เข้าใจหรือมอง พธม ในแง่มุมโง่ ๆ
หรือไม่ก็โง่มากในการใช้สื่อให้เป็นประโยชน์
การกระทำเช่นนี้เหมือนกันการเอามีดเสียบท้องตัวเองโดยหวังว่าปลายมีดจะไป
ทะลุท้องศัตรู ยังไงยังงั้น
จึงขอเรียนมาให้ท่านหยุดเถิดครับ แล้วลองนั่งดูนั่งฟัง
เสียงที่ท่านอาจจะไม่เคยฟัง ไม่ได้ตั้งใจฟัง
หรือไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านนายกฯและพรรค
ปชป เองในฐานะที่เป็นรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ อย่างแน่นอนครับ
ด้วยความเคารพครับ
พธม.เกาะพะงัน
พธม.ครับ อยากให้ลองฟังผมซักนิด
ผมเข้าใจถึงเจตนาของทุกคนดี
แต่อยากให้มองให้รอบด้านดูนะครับ
เรื่องมันเกิดเพราะรัฐบาลที่แล้วดันไปยินยอม
กับ กัมพูชา อะไรมันก็เลยยากลําบาก
ผมอยากให้คิดถึงคนในพื้นที่บ้าง
ถ้าเกิดขัดแย้งกันหนักๆพวกเค้าจะทําอย่างไรกัน
ทหาร2ฝ่ายต้องมาหํ่าหั่นกัน จะไปช่วยรบไหมละครับ
เรื่องมันมีมากกว่าแค่ไปทวงแล้วเค้าจะยอม
มันต้องใช้เวลาเจรจากัน เพื่อประโยชน์ของทั้ง2ฝ่าย
ของแบบนี้ไม่มีใครยอมกันง่ายๆอยู่แล้วละครับ
รู้ๆอยู่ กัมพูชา มันไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว
แต่ ไทย มันจะคุ้มหรอครับที่จะไปแลกกับมัน
ผมมั่นใจว่าท่านนายก กับ ท่านกษิต คงไม่ยอม
ให้่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่่ไทยเสียเปรียบแน่ๆ
เศษฐกิจ ก็เพิ่งจะเริ่มฟื้น เสื้อแดงก็ยังไม่เลิกโง่
เสื้อเหลืองก็ไม่เข้าใจ แม้วก็ยังไม่หยุด พรรคร่วมก็จะแก้ รธน.ผลาญงบ
ผบ.ตร ก็ไม่ได้ดั่งใจ ทหาร ตํารวจ ก็ชอบเกียร์ว่าง
พอเข้าข้างอีกฝ่าย แดงก็บอกไม่เป็นกลาง ยุบสภา ลาออกไป
พอทําตัวเป็นกลาง เหลืองก็เสียใจ ผิดหวัง ในตัวท่าน
เป็น นายกที่ดี นี้มันลําบากจัง ....
มองต่างมุม
เป็นบทความที่สะท้อนอะไรได้หลายอย่าง หลังอ่านจบผมก็สรุปได้ว่า
รัฐบาลอภิสิทธิ์ กำลังสวมสิทธิ์สิ่งที่แม้วทำข้อตกลงลับกับเขมร
สิ่งที่เสียคืออธิปไตยของไทย
สิ่งที่ได้คือผลประโยขน์ส่วนตัวของคนในรัฐบาล
ขอประณามรัฐบาลและทหารที่ไม่รักชาติ
HARD CORE หน้าจอ
ไม่อยากเห็นวีรบรุษอย่างคุณ วีระ ติดคุกฟรี พวกเราพันธมิตรอย่ายอมเด็ดขาด เราต้องประกาศให้โลกรู้ว่านั้นคือดินแดนไทย รัฐบาลอภิสิทธิจะทำอย่างไรช่างเขา เราอย่าใส่ใจ พวกเราพันธมิตร ต้องยึดดินแดนคืน พอกันเสียทีกับการประท้วงในกรุงเทพในปัจจุบันนี้ ยิ่ิงอยู่นานยิ่งไร้ความหมาย พวกเราต้องบุกไปพื้นที่เจ้าปัญหาจริงๆเสียทีให้พวกเขมรมันรู้จักพันธมิตรมากกว่านี้ ดูสิคุกมันจะพอขังพวกเรามั้ย พี่น้องพันธมิตรเตรีัยมตัวลุย เขมรเลยดีกว่า ให้รู้บ้างใครเป็นใคร
ตอบลบ