...+

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร!

โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 1 กันยายน 2552 14:52 น.
ในที่สุดคณะประชาชนผู้รักชาติที่นำโดยนายวีระ สมความคิด
ได้ไปพิสูจน์การเสียดินแดนของประเทศไทยที่เขาพระวิหารและพื้นที่โดยรอบเมื่อ
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2552 ซึ่งมีสาระสำคัญหลายประการอาทิ

1. ดินแดนของไทยจากทางเดินผามออีแดงขึ้นไปถึงวัดแก้วสิขคีรีสะวารา
เต็มไปด้วยทหารกัมพูชาถืออาวุธปืนตลอดเส้นทาง
และด้านหลังทหารกัมพูชาที่ห้ามคนไทยเข้าไปก็มีสิ่งปลูกสร้างเกิดขึ้นเป็น
ระยะๆ และมีประชาชนชาวกัมพูชาอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว

2. วัดแก้วสิขคีรีสะวารา
ซึ่งก่อสร้างขึ้นมาเป็นวัดของคนกัมพูชาในดินแดนไทย
ปัจจุบันเต็มไปด้วยทหารติดอาวุธชาวกัมพูชา
มีประชากรชาวกัมพูชาอาศัยเพิ่มมากขึ้น
มีทหารบวชแปลงสภาพมาเป็นพระสงฆ์ในวัด และในวันปกติทหารไทย 10-12
นายขึ้นมาบนวัดตามนโยบายไม่สามารถพกพาอาวุธขึ้นมาได้
(จากคำสัมภาษณ์ยอมรับของทหารในพื้นที่)
บริเวณดังกล่าวได้มีการสร้างถนนใหม่ตัดจากตัวปราสาทพระวิหารถึงวัดแก้วสิ
ขคีรีสะวาราแล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์ในสมัยรัฐบาลชุดนี้

3. ภูมะเขือ
จุดยุทธศาสตร์สำคัญอีกหนึ่งจุดมีการสร้างทางขึ้นเขาจากฝ่ายกัมพูชา
ส่วนฝ่ายไทยมีการสร้างถนนขนาดใหญ่
ด้านยอดบนของภูมะเขือปัจจุบันเป็นที่ตั้งของทหารและประชากรของฝ่ายกัมพูชาไป
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับการวางกับระเบิดจำนวนมาก

4. ประตูเหล็กและบริเวณบันไดด้านล่างทางขึ้นตัวปราสาทรวมถึงพื้นที่รอบปราสาท
ปัจจุบันมีการขยายสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากอย่างรวดเร็ว
ทหารกัมพูชาได้ใช้พื้นที่ตัวปราสาทและพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเป็นฐานทัพ
และสั่งสมอาวุธ และพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารก็ทำรั้วกั้นเอาไว้ไม่ให้คนไทยเข้าไปได้

ผลการพิสูจน์อธิปไตยจากการสำรวจพื้นที่บางส่วนใน 4.6
ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร
ด้วยการบันทึกภาพวิดีโอจากสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม 2 ช่อง คือ ASTV และ
FMTV ของชาวอโศก สรุปได้ว่า
ดินแดนและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยหลายจุดได้ถูกทหารและประชาชนกัมพูชารุกล้ำเข้ามาแล้วอย่างแน่นอน

มีข้าราชการและนายทหารเลวในกองทัพบางคนมีผลประโยชน์ในการทำมาหากินใน
พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
ถึงขั้นมีนายทหารบางคนรับงานก่อสร้างจากฝ่ายกัมพูชา
สร้างบ้านขายให้ชาวกัมพูชาเข้ามาอาศัยในดินแดนไทย ค้าขายสินค้าหนีภาษี
จนถึงขั้นรู้เห็นเป็นใจนำรถยนต์ที่ลักขโมยมาจากประเทศไทยส่งไปยังกัมพูชา
เพื่อไปขายในตลาดมืด

และเพราะมีทหารรักชาติที่อยู่ในพื้นที่เกิดความคับแค้นใจ
ทนมองผู้บังคับบัญชาของตัวเองทำมาหากินขายชาติไม่ไหว
เจ็บช้ำน้ำใจที่เห็นดินแดนไทยถูกรุกล้ำแต่ไม่สามารถทวงคืนได้
จึงได้ส่งข้อมูลมาให้ภาคประชาชนได้ทราบและมาในการพิสูจน์ความจริงครั้งนี้

ส่วน นา ยกษิต ภิรมย์
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ทำหน้าที่ของตัวเองเอาไว้แล้ว
ในเรื่องการรุกล้ำอธิปไตยที่ผ่านมาก็คือ "การทำหนังสือประท้วง"
ต่อรัฐบาลกัมพูชาไปหลายครั้ง อันเป็นการใช้สิทธิ์ในการแสดงอาณาเขตของไทย
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าการประท้วงจากกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นคำตอบทุกอย่างใน
การทวงคืนดินแดนที่ถูกรุกล้ำอธิปไตยได้

เพราะ การใช้กำลังผลักดันกองกำลังและประชาชนของฝ่ายกัมพูชาให้ออกจากพื้นที่
และรื้อสิ่งปลูกสร้างของฝ่ายกัมพูชาเพื่อรักษาอธิปไตยนั้น
ต้องเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบและการตัดสินใจของกองทัพบก กระทรวงกลาโหม
รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และนายกรัฐมนตรี!

แต่สิ่งที่กำลังเป็นอันตรายต่อประเทศชาติภายใต้การตัดสินใจของกระทรวงการต่างประเทศ
ในขณะนี้ก็คือ การนำร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างไทย-กัมพูชา
เพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภา

เนื้อหาใจความร่างข้อตกลงฉบับนี้มีหลักคิดอยู่ว่าให้ทหารทั้งสอง
ฝ่ายออกจากพื้นที่ที่มีปัญหา เช่น วัดแก้วสิขคีรีสะวารา
และพื้นที่ปราสาทพระวิหาร
ซึ่งจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา
เรียกชื่อภาษาอังกฤษย่อว่า JBC

บังเอิญว่าการถอนกองกำลังทหารทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่ปราสาทพระวิหารตรงตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์ตามมติคณะกรรมการมรดกโลก
ที่จะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบเป็นมรดกโลกของฝ่ายกัมพูชาในปีหน้า

บังเอิญ ว่าในร่างข้อตกลงนี้ทหารไทยต้องถอยออกจากดินแดนของไทย
ทหารกัมพูชาก็ถอยออกจากดินแดนของไทย
แต่กลับยังคงเหลือเอาไว้ซึ่งประชาชนชาวกัมพูชา สิ่งปลูกสร้างบ้านเรือน
วัด ถนน ซึ่งมีสภาพไม่ต่างเป็นดินแดนอาศัยของชาวกัมพูชาโดยที่ไม่มีทหารทั้งสองฝ่ายมารบกวน

บังเอิญว่าร่างข้อตกลงฉบับนี้ระบุเอาไว้ว่า "ข้อตกลงชั่วคราวฯ
จะมีผลบังคับใช้จนกว่าการจัดทำหลักเขตแดนจะเสร็จสิ้นลง"
ซึ่งไม่มีกำหนดว่าจะจบลงเมื่อใด
และถ้าไม่มีวันจัดทำหลักเขตแดนเสร็จสิ้นหรือตกลงกันไม่ได้
ดินแดนไทยที่มีแต่ถนน สิ่งปลูกสร้าง วัด
ประชาชนชาวกัมพูชาซึ่งจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบสิ้น
และราชอาณาจักรไทยจะไม่สามารถทวงดินแดนส่วนนั้นกลับมาได้อีกเลย
ซึ่งฝ่ายกัมพูชาย่อมพอใจที่จะเจรจาในร่างข้อตกลงนี้ตลอดกาล

บังเอิญว่าร่างข้อตกลงนี้ทำให้ฝ่ายกัมพูชาพึงพอใจอย่างยิ่ง
เพราะราชอาณาจักรไทยได้เปลี่ยนจุดยืนจากการยึดหลักสันปันน้ำ
มาเป็นฝากความหวังและอนาคตเอาไว้กับคณะ JBC

บังเอิญว่ามีทหารขายชาติบางคนพร้อมเอื้อประโยชน์ให้กับกัมพูชาหากได้
ผลประโยชน์ส่วนตน
ยิ่งมีอำนาจจากรัฐสภาไทยรับรองอำนาจการตัดสินใจเรื่องเขตแดนด้วยทหารเพียง
ไม่กี่คน แรงจูงใจในผลประโยชน์ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นมหาศาล

ร่าง ข้อตกลงนี้จึงไม่ต่างอะไรกับการสร้างกลไกและเครื่องมือที่จะทำให้เสียดินแดน
และอธิปไตยของชาติอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วยน้ำมือของสมาชิกรัฐสภาไทย
ใช่หรือไม่?

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
จึงได้แสดงจุดยืนให้รัฐบาลผลักดันทหาร ประชาชน สิ่งปลูกสร้าง
ออกจากดินแดนไทยเสียก่อน เพื่อรักษาอธิปไตยเป็นลำดับความสำคัญแรก
ก่อนที่จะมีการเจรจาใดๆ

ในขณะที่ฝ่ายทหารบางคนปล่อยให้มีทหารขายชาติขายแผ่นดิน
ค้าขายชายแดนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
จึงปกปิดข้อมูลเรื่องการถูกรุกล้ำอธิปไตยรอบด้าน

ในขณะที่ฝ่ายทหารและกระทรวงการต่างประเทศบางส่วนก็รับใช้เป็นเครื่อง
มือให้กับฝ่ายการเมืองในรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช
จนแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-
กัมพูชาที่ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลกโดยกัมพูชาแต่ฝ่ายเดียว
นั้นต้องขัดต่อรัฐธรรมนูญ ข้า
ราชการและนักการเมืองจำนวนหนึ่งกำลังถูกดำเนินคดีอยู่ในชั้นของคณะกรรมการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ซึ่งหากมีความผิดก็อาจมีบทลงโทษสูงสุดด้วยการประหารชีวิต
จึงกำลังหาหนทางบิดเบือนข้อมูลเพื่อรอดพ้นจากคดีที่กระทำผิดสำเร็จไปแล้วใน
ทุกวิถีทาง

ตัวอย่างเหมือนกับหนังสือที่นายกษิต ภิรมย์ ที่เชื่อว่า
แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชากรณีปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลก
ได้สิ้นผลไปแล้วตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2551 โดยหนังสือของนายเตช
บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ได้ทำถึงฝ่ายกัมพูชา
แต่เมื่อดูเนื้อความแล้วกลับเป็นการทำหนังสือแจ้งสิ้นผลที่ไม่อ้างอิงคำ
พิพากษาของศาลไทย
แล้วยังพยายามหักล้างคำพิพากษาของไทยโดยอ้างในหนังสือฉบับนั้นว่าฝ่าย
กัมพูชาเป็นฝ่ายพิจารณาว่าแถลงการณ์ร่วมฯ
ฉบับดังกล่าวทางกัมพูชาไม่นำมาพิจารณาเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ
เพื่อหวังว่านักการเมืองและข้าราชการจะได้รอดคดีความอาญาที่กำลังจะตามมาใช่
หรือไม่?... ซึ่งผลปรากฏว่าฝ่ายฮอร์ นัม ฮง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ตอบกลับมาแบบคลุมเครือเพื่อผลประโยชน์
ของฝ่ายกัมพูชาเป็นสำคัญ

เช่นเดียวกันกับกรณีล่าสุดที่คิดจะให้มีร่างข้อตกลงระหว่างไทย
-กัมพูชา ให้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไทย แล้วให้มีคณะ JBC
เพื่อมาทำหน้าที่ปักปันเขตแดนนั้น
ก็ยังมีข้อสงสัยว่าเป็นข้อเสนอจากคนในกระทรวงการต่างประเทศ
เพื่อให้ข้าราชการรอดพ้นจากความผิดในคดีความที่กำลังดำเนินการอยู่ใช่หรือ
ไม่? โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามทำให้ดินแดนของราชอาณาจักรไทยที่ยึดหลักสันปัน
น้ำกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนให้ได้

ล่าสุดนักวิชาการและข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่พยายามผลักดัน
ร่างข้อตกลงเข้าสู่สภา ยอมรับว่าการตั้ง JBC คือการถ่วงเวลาให้นานแสนนาน
โดยพยายามโน้มน้าวให้เชื่อทำนองว่าเสียแค่นี้ดีกว่าเสียมากไปกว่านี้
ซึ่งปรากฏอยู่ในบทความของนายคำนูณ สิทธิสมาน
ที่ได้สรุปความคิดของบุคคลในกระทรวงการต่างประเทศความตอนหนึ่งว่า:

"คำพิพากษาพูดเรื่องแผนที่อัตราส่วน 1 : 200,000
ที่กัมพูชาเสนอไว้ชัดเจน ว่าไทยยอมรับโดยปริยาย
กระทรวงการต่างประเทศเชื่อว่าหากเกิดข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชาบริเวณปราสาท
พระวิหารขึ้นจนเรื่องต้องเข้าไปสู่การตัดสินขององค์กรระหว่างประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นศาลโลก หรือสหประชาชาติ ไม่แน่นักว่าไทยจะได้เปรียบ
โดยเฉพาะหากศาลโลกตีความคำพิพากษาปี 2505 ตามธรรมนูญศาลโลกมาตรา 60
ยิ่งไม่แน่นักว่าไทยจะได้เปรียบ"

ในที่สุด ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล อดีต
ทนายผู้ประสานงานคณะทนายฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหาร
ได้กรุณาชี้แจงเอาไว้ในบทความชื่อ "ปราสาทพระวิหาร" เมื่อวันที่ 31
สิงหาคม 2552 ว่า ข้ออ้างที่กล่าวมาข้างต้นนั้นไม่เป็นความจริง
โดยสรุปใจความเอาได้ว่า แผนที่ 1:200,000
ซึ่งกัมพูชาได้เสนอเป็นแผนที่ผนวก 1
ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชานั้นมีความผิดพลาดไม่ได้เป็นไปตามสันปันน้ำคลาด
เคลื่อนไปหลายกิโลเมตร จึงย่อมไม่ใช่แผนที่แสดงเขตแดน

ส่วน สถานภาพของแผนที่ผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชานั้น
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศวินิจฉัยเฉพาะประเด็นคำฟ้องเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น
จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยคำขอเพิ่มเติมของกัมพูชาในเรื่อง 1.
สถานภาพของแผนที่ผนวก 1 ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชา หรือ 2.
เส้นเขตแดนในบริเวณที่พิพาท ดังนั้นศาลฯ
จึงงดเว้นการวินิจฉัยความถูกต้องของเส้นเขตแดนตามที่ปรากฏในแผนที่ผนวก 1
ต่อท้ายคำฟ้องของกัมพูชารวมทั้งแผนที่ผนวก 1 ทั้งฉบับ หรืออีกนัยหนึ่ง
ศาลฯ ไม่ทำหน้าที่กรรมการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา

วันนี้ถึงเวลาที่คนไทยต้องกดดันให้กองทัพบก กระทรวงกลาโหม
และรัฐบาลไทย ทวงดินแดนอธิปไตยกลับคืนมา และนำตัวคนขายชาติขายแผ่นดิน
และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มาลงโทษให้ถึงที่สุด!

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000099767


ทุกครั้งที่เห็นข่าวนี้ ยอมรับว่าไม่เคยอ่านเลย
เพราะทำใจไม่ได้น้ำตามันจะร่วงทุกที
ต้องบอกว่าทุกคนที่ให้ข้อมูล และเข้าไปในพื้นที่
เช่นคุณวีระ และคนไทยอีกหลายคน กล้าหาญมาก
คุณสนธิและแกนนำ พวกเราคนไทยจะทำอะไรได้บ้าง?
หรือเราจะอยู่เฉย ๆ ดูพวกขายชาติมันยำยีต่อไป
กรุณานำพาคนไทยทุกคนออกจากความทุกข์ครั้งนี้ด้วย
ขอให้บรรพบุรุษจงจัดการกับไอ้และอีทั้งหลาย
ที่มันขายชาติขายแผ่นดินด้วยเถิด
เราคนไทยจะทำอะไรได้บ้าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น