...+

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

บีโอไอ:ไทยกับปัญหาการแข่งขันเพื่อเป็นศูนย์กลางธุรกิจในภูมิภาค

โดย ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์ 30 สิงหาคม 2552 12:50 น.
ปัจจุบันประเทศต่างๆ พยายามแข่งขันกัน เพื่อเป็นศูนย์กลางธุรกิจในภูมิภาค
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันเพื่อเป็นที่ตั้งของสำนักงานภูมิภาค
ซึ่งเป็นกิจการให้บริการแก่บริษัทในเครือในภูมิภาคต่างๆ
เพื่อให้การบริการมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน
โดยครอบคลุมกิจการต่างๆ เป็นต้นว่า

- ด้านการค้า เป็นการซื้อขายสินค้าระหว่างธุรกิจเครือเดียวกัน

- ด้านการบริการต่างๆ เช่น ฝึกอบรม วิจัยและพัฒนา
เพื่อลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน ไม่ต้องก่อตั้งศูนย์ฝึกอบรม วิจัย
และพัฒนาในทุกประเทศ

- ด้านการบริการทางการเงิน เช่น เป็นศูนย์บริหารเงินสำหรับภูมิภาค
(Regional Treasury Center) แก่บริษัทในเครือในประเทศต่างๆ
เพื่อให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในการบริหารเงิน
โดยนำเงินจากบริษัทในเครือที่มีเงินส่วนเกิน
ไปให้บริษัทในเครือที่ขาดแคลนเงินทุน
เพื่อไม่ต้องไปกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน

- ด้านการบริหารจัดการทั่วไป เช่น การบริหารบุคลากร การบริหารการตลาด

ปัจจุบันประเทศต่างๆ มีนโยบายส่งเสริมแตกต่างกันไป เป็นต้นว่า
สิงคโปร์ เป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีนโยบายส่งเสริมสำนักงาน
ภูมิภาคตั้งแต่ปี 2529 โดยเปิดให้การส่งเสริมการลงทุนกิจการ Operating
Headquarters และปัจจุบันได้ปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนเป็น 2 มาตรการ

- Regional Headquarters (RHQ)
เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 15 เป็นระยะเวลา 3 ปี
และสามารถขยายได้อีก 2 ปี

- International Headquarters (IHQ) เสีย
ภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 0, ร้อยละ 5, หรือร้อยละ 10
เป็นระยะเวลา 5 - 20 ปี ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรอง
โดยต้องมีการก่อตั้งธุรกิจขนาดใหญ่กว่า RHQ ในสิงคโปร์

มาเลเซีย เปิดให้การส่งเสริม Operational Headquarters (OHQ) ในปี
2538 ปัจจุบันกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 0.5 ล้านริงกิต และรายจ่ายขั้นต่ำ
1.5 ล้านริงกิต/ปี กำหนดสิทธิและประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10
ปี ครอบคลุมรายได้ ดังนี้

- รายได้จากการให้บริการแก่บริษัทในเครือในต่างประเทศ

- รายได้จากการให้บริการแก่บริษัทในเครือภายในประเทศ
โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่เกินร้อยละ 20
ของรายได้จากบริการที่อยู่ในข่ายทั้งหมด

- ดอกเบี้ยซึ่งเป็นผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อแก่บริษัทในเครือในต่างประเทศ

- ค่าธรรมเนียมสิทธิบัตร (Royalty)
ที่ได้รับจากการทำวิจัยและพัฒนาในประเทศที่ได้ทำในประเทศมาเลเซียจากบริษัทในเครือ

- บุคลากรที่ไม่ใช่ชาวมาเลเซียซึ่งทำงานในต่างประเทศจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามสัดส่วนเวลาที่ทำงานในต่างประเทศ

ไทย กรมสรรพากรได้มีนโยบายส่งเสริมธุรกิจสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค
(Regional Operating Headquarters - ROH) ตั้งแต่ปี 2545
ประกอบด้วยหลายมาตรการ เป็นต้นว่า

- ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคจาก
อัตราปกติ ร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 10 สำหรับรายได้ที่กำหนด

- คนต่างด้าวที่ได้รับเงินค่าจ้างแรงงานจากงานประจำในสำนักงาน ROH
ในประเทศไทย และยอมเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15
ให้ได้รับสิทธิไม่ต้องนำเงินดังกล่าวมารวมคำนวณภาษีตอนปลายปี
มีกำหนดระยะเวลาติดต่อกันไม่เกิน 4 ปี

จากการสำรวจความเห็นของบรรษัทข้ามชาติ 105 บริษัท โดยบริษัท Spire
Research and Consulting ตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550
เกี่ยวกับประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกที่น่าสนใจในการก่อตั้งสำนักงาน
ภูมิภาค พบว่าอันดับ 1 คือ สิงคโปร์ ได้รับความสนใจมากที่สุด คือ 57
บริษัท รองลงมา คือ จีน 56 บริษัท ฮ่องกง 46 บริษัท อินเดีย 25 บริษัท
ญี่ปุ่น 21 บริษัท เกาหลีใต้ 17 บริษัท มาเลเซีย 12 บริษัท ไทย 9 บริษัท
และออสเตรเลีย 9 บริษัท

ขณะเดียวกันรายงานการสำรวจฉบับข้างต้นยังได้ตั้งข้อสังเกตว่าหลาย
บริษัทได้ใช้กลยุทธ์ก่อตั้งสำนักงานภูมิภาค 2 แห่ง
ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกพร้อมๆ กัน (Dual RHQs) กล่าวคือ
กำหนดฮ่องกงเป็นสำนักงานภูมิภาคสำหรับเอเชียเหนือและเอเชียตะวันออกเฉียง
เหนือ และสิงคโปร์เป็นสำนักงานภูมิภาคสำหรับเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ไม่ใช่แต่บริษัทชั้นนำของต่างประเทศที่นิยมตั้งสำนักงานภูมิภาคใน
ฮ่องกงและสิงคโปร์เท่านั้น แต่บริษัทข้ามชาติของไทยด้วยกันเอง เช่น
เครือซิเมนต์ไทย บริษัท ปตท. เครือเจริญโภคภัณฑ์ ฯลฯ
ก็นิยมไปจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคและบริษัทการค้าระหว่างประเทศในฮ่องกงและ
สิงคโปร์ เนื่องจากกฎระเบียบเอื้ออำนวยกว่าและอัตราภาษีอากรต่ำกว่า
รวมถึงได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลต่างประเทศผ่านมาตรการต่างๆ เป็นต้นว่า
International Headquarters, Global Trader Program (GTP)

การที่ประเทศไทยประสบผลสำเร็จน้อยมากในการชักจูงบริษัทข้ามชาติมาตั้งสำนักงานภูมิภาค
เนื่องจากปัญหาหลายประการ

ประการแรก อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลค่อนข้างสูง
ประเทศไทยมีอัตราร้อยละ 30 เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ เป็นต้นว่า

- ฮ่องกง เดิมมีอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลอยู่ที่ระดับร้อยละ 17.5
แต่ในปี 2551 ได้ปรับลดลงเหลือร้อยละ 16.5

- สิงคโปร์ ร้อย ละ 18 และกำหนดลดลงเหลือร้อยละ 17 ตั้งแต่ปี 2553
เป็นต้นไป นอกจากนี้ ได้ประกาศใช้ระบบเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบ
One-Tier Corporate Tax System เมื่อปี 2546
ทำให้บริษัทต่างชาติในสิงคโปร์สามารถนำผลกำไรกลับประเทศโดยไม่ต้องจ่ายภาษี
ซ้ำอีก

- มาเลเซีย เดิมอยู่ที่ระดับร้อยละ 27 ได้ปรับลดลงเหลือร้อยละ 26
ในปี 2551 และปรับลดลงอีกเหลือร้อยละ 25 ในปี 2552 นอกจากนี้
ได้เปลี่ยนมาใช้ระบบ Single Tier System of Taxation ตั้งแต่วันที่ 1
มกราคม 2551 โดยเมื่อบริษัทเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว
ผู้รับเงินปันผลไม่ต้องเสียภาษีเงินได้จากรายรับเงินปันผลอีก

อย่างไรก็ตาม
ปัจจุบันกระทรวงการคลังของไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างภาษี
ทั้งระบบ โดยเฉพาะการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้อยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกับ
ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเพื่อให้สามารถแข่งขันได้

ประการที่สอง อัตรา
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดของประเทศไทยมีระดับร้อยละ 37
เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ เป็นต้นว่า ฮ่องกง อัตราสูงสุดร้อยละ 15
สิงคโปร์ ร้อยละ 20 และมาเลเซีย ร้อยละ 28

ประการที่สาม กฎระเบียบค่อนข้างเข้มงวดด้านเงินตราต่างประเทศ
เป็นต้นว่า จากการศึกษาของธนาคารซิตี้แบงก์เรื่อง Doing Business in Asia
Current Environment and Opportunities เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552
ได้จำแนกประเทศเอเชียออกเป็น 3 กลุ่ม ตามระดับการควบคุมทางการเงิน

- กลุ่มที่ 1
เปิดเสรีทั้งในด้านเงินสกุลภายในประเทศและเงินตราต่างประเทศ เช่น
สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น

- กลุ่มที่ 2 เปิดเสรีเฉพาะในด้านเงินตราต่างประเทศ
แต่เงินสกุลในประเทศควบคุม เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน

- กลุ่มที่ 3 ควบคุมทั้งเงินสกุลในประเทศและเงินตราต่างประเทศ
เช่น ไทย จีน อินเดีย เกาหลีใต้ เวียดนาม บังกลาเทศ ศรีลังกา

ประการที่สี่ ความ ไม่เป็นสากลของประเทศไทย
ทั้งในส่วนที่ยังไม่มีการใช้ภาษาอังกฤษแบบแพร่หลาย รวมถึงระบบกฎหมายต่างๆ
ซึ่งวารสาร Corporate Location
ได้มีการสัมภาษณ์ผู้บริหารของบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แห่งหนึ่งถึงเหตุผล
ที่เลือกสิงคโปร์เป็นที่ตั้งสำนักงานภูมิภาค ทั้งๆ
ที่บริษัทแห่งนี้โรงงานทั้งในไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
ซึ่งเขาให้ทัศนะว่ากรุงเทพมหานครและกรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซียขาดความเป็น
สากล

ส่วนกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียแม้จะมีความเป็นสากล
แต่ยังเทียบกับสิงคโปร์ไม่ได้
เนื่องจากสิงคโปร์มีนโยบายและมาตรการส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใน
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง ไม่ใช่ No Action, Talk Only
เหมือนกับบางประเทศ ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น โปร่งใส
ระบบกฎหมายคล้ายคลึงกับในยุโรปหรือสหรัฐฯ คุณภาพชีวิตที่ดี
มีความปลอดภัยของชาวต่างประเทศ

ประการที่ห้า กฎ ระเบียบหยุมหยิม เป็นต้นว่า
กรณีพนักงานของบริษัทในเครือในต่างประเทศจะเดินทางมาประชุมที่สำนักงาน
ภูมิภาคในประเทศไทย ต้องยื่นขออนุญาตทำงานทุกครั้ง
เนื่องจากตีความกฎหมายว่าเป็นการมาทำงานในประเทศไทย
มิฉะนั้นอาจจะถูกจับกุมได้ ขณะที่กฎระเบียบของประเทศอื่นๆ
สามารถเดินทางไปประชุมได้อย่างเสรี

สำหรับแนวโน้มสำคัญของการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคเป็นทั้งวิกฤตและโอกาสสำหรับประเทศไทย
สามารถสรุปได้ ดังนี้

ประการแรก ปัจจุบัน
จากการที่ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์
ทำให้บริษัทรถยนต์ต่างชาติเริ่มย้ายสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคในส่วนบริการ
ทั่วไป เช่น การฝึกอบรม การให้บริการเทคนิค การวิจัยและพัฒนา ฯลฯ
มายังประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม บริษัทรถยนต์ยังติดปัญหาไม่สามารถย้ายกิจกรรมในส่วน
Treasury Center และด้านการค้าระหว่างประเทศจากสิงคโปร์
มายังประเทศไทยได้ เนื่องจากกฎระเบียบของไทยไม่เอื้ออำนวย
ทำให้บางบริษัทมีสำนักงานภูมิภาค 2 แห่ง คือ สำนักงานในไทยและสิงคโปร์
ทั้งๆ ที่กลยุทธ์เหล่านี้ก่อให้เกิดความไม่สะดวกในด้านการบริหารจัดการ

ประการที่สอง จาก การที่ทั่วโลกประสบวิกฤตเศรษฐกิจ
ทำให้การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินทำได้ยากยิ่งขึ้น
บริษัทข้ามชาติจึงให้ความสนใจในการส่งเสริมบทบาท Regional Treasury
Center เพื่อบริหารเงินของบริษัทในเครือในประเทศต่างๆ
ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยนำเงินที่เหลือของบริษัทในประเทศหนึ่ง
ไปให้กู้แก่บริษัทในเครือในอีกประเทศหนึ่งที่ต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้น
รวมถึงการระดมทุนจากประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า

ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8161 หรือที่ head@boi.go.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น