...+

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิกฤตจริยธรรมนักการเมืองคือจุดเปลี่ยน

วิกฤตจริยธรรมนักการเมืองคือจุดเปลี่ยน

โดย โยทวา ณ สิงห์


มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้ประชาชนผู้รักสันติและความเป็นธรรมท้อแท้
การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองมาเป็นพรรคประชาธิปัตย์และนายกฯ อภิสิทธิ์
ได้สร้างความสุขเล็กๆ ให้สังคมไทยชั่วเวลาไม่นาน
จากนั้นเงาทะมึนของเมฆหมอกก็กลับมาปกคลุมอีกครั้งท่ามกลางสถานการณ์
"ยักตื้นติดกึกยักลึกติดกัก"
ทำให้สังคมไทยกลายเป็นลูกแกะในภาวะหนีเสือปะจระเข้ จากนั้น เสือ ( ติดปีก
) ก็กลับมาสำแดงเดชอีก

การชนะเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยในจังหวัดสกลนครและศรีสะเกษ
หลายคนรู้สึกผิดหวัง
แต่ถ้ามองอีกมุม-นั่นอาจจะเป็นสัญญาณตอบรับที่ดี...ดีอย่างไร?

ประการหนึ่ง เป็นการบอนไซพรรคภูมิใจไทยหรือกลุ่มเพื่อนเนวิน
ไม่ให้โตเร็วเกินไป ทำให้อำนาจต่อรองในรัฐบาลชะงักงัน
สายพานของผลประโยชน์ในโครงการต่างๆ หยุดเคลื่อนไหว
แม้จะต้องแลกกับความเชื่อมั่นของทักษิณและบ่าวไพร่ที่กลับมาก็มองว่าคุ้ม

อีกประการหนึ่ง
เป็นการปูทางไปสู่การเลือกตั้งสมัยหน้ากับสถานการณ์การต่อสู้ระหว่างทักษิณ
กับเนวินในภาคอีสาน เปิดพื้นที่ตรงกลางพอเอาตัวรอดสำหรับ "ตาอยู่"
ระหว่างพรรค ปชป.กับพรรคการเมืองใหม่ว่า ใครจะช่วงชิง ส.ส.ได้มากกว่ากัน
โดยมีผลงานรัฐบาลเป็นตัวแปร และจากผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมา 6 เดือน
นอกจากจะไม่มีอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันแล้ว แนวโน้มที่รัฐบาลโดยเฉพาะพรรค
ปชป.จะเสียโอกาสมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นการทำลายโอกาสของแกนนำ ปชป.(
บางคน ) เอง แม้ ภาพของนายกฯ อภิสิทธิ์จะดูดีมีความน่าเชื่อถือ
แต่ความสามารถและความซื่อสัตย์ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ต้องมี
"ความกล้าหาญ" ประกอบกันด้วย น่าเสียดายที่ท่านนายกฯ
ขาดคุณสมบัติสำคัญข้อนี้ ทำให้สนิมเหล็กแต่เนื้อใน-ทำพิษอยู่เนืองๆ

การที่ตำรวจป้ายข้อหา "ผู้ก่อการร้าย"
ให้แกนนำและวิทยากรกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด
การบอนแซะเก้าอี้ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศ
ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นภาพของสนิมแต่เนื้อใน
สะท้อนภาพวิกฤตจริยธรรมของนักการเมืองบางคน
สะท้อนภาพปัญหาซับซ้อนทางการเมือง และสะท้อนภาพคุณสมบัติ "ความกล้าหาญ"
ที่ขาดหายไปของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ขณะสังคมเสียความรู้สึก
หากแต่องคาพยพเหล่านี้กำลังเป็นสัญญาณที่ดีทอดเงามาสู่กลุ่มพันธมิตรฯ
และประชาชนที่รักความเป็นธรรม เพราะเมื่อสังคมอ่านเกมการเมืองออกว่า
อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้สถานการณ์สวิงไปสวิงมาเช่นนี้
เท่ากับเป็นแรงเหวี่ยงให้แฟนคลับของพรรค ปชป.ที่กำลังลังเลว่า
จะเลือกใครดีในการเลือกตั้งสมัยหน้า
ทุบเปรี้ยงเดี๋ยวนั้นว่าเลือกข้างผู้ถูกกระทำ
(ซึ่งเป็นไปตามนิสัยคนไทยที่ไม่ชอบเห็นใครถูกรังแก)

การยืมมือตำรวจเชือดข้าวนอกนาอย่างนายกษิต
ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้สังคมไทย (โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ตรงกลาง)
มองเห็นภาพกลุ่มผลประโยชน์ที่แฝงตัวอยู่คณะรัฐบาลชัดขึ้น
ทั้งต่อกรณีข้อพิพาทไทยกับกัมพูชา หรือความล้มเหลวของหน่วยงานความมั่นคง
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้พบสัจธรรมที่ว่า
ในที่สุดผู้ที่รักและพร้อมจะปกปักรักษาผืนแผ่นดินนี้จริงๆ
แล้วก็คือกลุ่มพันธมิตรฯ

ทั้งนี้เพราะสังคมรับรู้มาตลอดว่า
ตำรวจยัดเยียดข้อหาผู้ก่อการร้ายให้กลุ่มพันธมิตรฯ
และรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศนั้น
เกิดขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพล.อ.ประวิตร
วงษ์สุวรรณ ที่กัมพูชา ภารกิจระหว่างประเทศที่ไม่ใช่หน้าที่ของรองนายกฯ
ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมแต่อย่างใด

พฤติการณ์ของนักการเมืองไทย (จำนวนไม่น้อย)
นอกจากจะบกพร่องทางจริยธรรมแล้ว วิสัยทัศน์ยังมีจำกัด
แยกแยะไม่ออกว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ยังคงลุ่มหลงอยู่กับอำนาจและผลประโยชน์
ขนาดประเทศชาติเจอวิกฤตทั้งในประเทศและนอกประเทศขนาดนี้ ยังไม่มีสำนึก
และขาดความละอายต่อบาป

การหยิบยื่นข้อหาร้ายแรงให้กลุ่มพันธมิตรฯ
เป็นเครื่องชี้ประการหนึ่งว่า ผู้อยู่เบื้องหลังประเมินสถานการณ์ผิดพลาด
เพราะความที่กระทำไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ของภาคประชาชนอย่าง พธม.
จึงไม่รู้ว่าผู้ที่มีอุดมการณ์เดียวกันนั้นมีความกลมเกลียวลึกซึ้งเพียงใด
การประเมินที่ผิดพลาดมีค่าเท่ากับประเมินความรู้สึกนึกคิดของประชาชนต่ำ
ถ้าคิดว่า "เพื่อนสนิท" คือเพื่อนแท้ วันนี้อาจไม่ใช่ เพราะ
"เพื่อนร่วมอุดมการณ์"
ที่นอนกลางดินกินกลางทรายต่อสู้และเผชิญหน้ากับความเป็นความตายร่วมกันมา
นั้นต่างหากคือเพื่อนแท้!

แม้นายกฯ อภิสิทธิ์จะดูอ่อนเยาว์ในภาวะผู้นำ
แต่นั่นไม่ใช่สำคัญเท่ากับความกล้าที่จะยืนอยู่ข้างความถูกต้อง
และกล้าตัดสินใจที่จะแก้ปัญหาทั้งหลายบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของชาติและ
ประชาชน โดยไม่หวั่นไหวไปกับแรงเสียดทานรอบตัว
โดยไม่เอนเอียงไปกับแรงยั่วยุของทักษิณและบ่าวไพร่
และโดยไม่เห็นแก่หน้าของพรรคร่วมรัฐบาลที่เห็นผลประโยชน์ตนมาก่อน

ฤาว่า...การที่นายกรัฐมนตรีในช่วงวิกฤตการเมืองเป็นนายอภิสิทธิ์เป็นเพียง
สัญญาณ หากถอดรหัสเหตุปัจจัยนี้สำเร็จ อาจพบคำตอบที่สังคมไทยต้องการ
นั่นคือความสงบสุขสันติที่แท้จริง

เพราะ ฉะนั้น
ผู้มีอำนาจในทุกภาคส่วนถึงเวลาที่ทุกคนต้องกล้าที่จะปฏิเสธความไม่ถูกต้อง
ทั้งหลาย พร้อมที่จะก้าวข้ามผลประโยชน์สารพัดที่ผู้ไม่หวังดีหยิบยื่น
ไม่เช่นนั้นสังคมไทยก็จะตกอยู่กับห้วงทุกข์ต่อไปไม่รู้จักจบจักสิ้น.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000082958

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น