...+

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ศาลกับความยุติธรรมกรณีตากใบ

โดย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) 22 กรกฎาคม 2552 16:45 น.

ตามที่ญาติผู้เสียชีวิตในกรณี "คดีตากใบ" จ.นราธิวาส ทนายความ
และเครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน รวมถึงคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน
(ครส.) ได้เดินทางไปยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมตามบท
บัญญัติรัฐธรรมนูญและกฏหมาย ต่ออธิบดีศาลอาญา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29
มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากมีคำสั่งศาลจังหวัดสงขลา คดีหมายเลขดำที่
ช.16/2548 หมายเลขแดงที่ ช.8/2552 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
ที่ผ่านมานั้น

ด้วยความเคารพต่อดุลพินิจของศาล
แต่คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) เห็นว่า
ศาลทำคำสั่งไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามหลักการไต่สวนการตาย
เนื่องจากศาลไม่ได้กล่าวถึงพฤติการณ์ที่ตาย
และไม่กล่าวว่าใครเป็นผู้ทำหรือทำร้ายผู้ตายเท่าที่จะกล่าวได้
อาจทำให้ญาติผู้เสียชีวิต
รวมทั้งสาธารณชนเห็นว่าคดียังไม่ได้รับความเป็นธรรม
ซึ่งจะนำไปสู่การบั่นทอนความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อกระบวนการยุติธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะปัจจุบันของกระบวนการยุติธรรม
ที่มีเพียงตุลาการที่เป็นความหวังสุดท้ายของการแสวงหาความเป็นธรรมสำหรับ
ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัด
ที่มีแต่ความขัดแย้งทางความคิดและการใช้ความรุนแรงประหัตประหารติดต่อต่อ
เนื่องมาเป็นเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา

เราขอสนับสนุนการยื่นคัดค้านคำสั่งศาลที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าว
และเห็นว่า ศาลน่าจะพิจารณาเพิกถอนกรณีการไต่สวนการตายใหม่ได้เพื่อความเป็นธรรมของ
ประชาชน เนื่องเพราะเหตุการณ์ตากใบ นับเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญ
และเป็นตัวบ่งชี้ถึงกระบวนการสร้างความเป็นธรรม
การสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยต่อนโยบายการแก้ไขปัญหา 3
จังหวัดภาคใต้ของรัฐได้ว่า
รัฐจะไม่เลือกปฏิบัติต่อการละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชน
โดยจะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอหน้า
และไม่ละเลยให้ผู้กระทำความผิดต่อประชาชน
ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้ก่อความไม่สงบ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม

แต่การที่ศาลวินิจฉัยถึงเหตุที่ตายแต่เพียงว่าผู้ตายขาดอากาศหายใจ
นั้น ขัดกับความเข้าใจของสาธารณชนที่ข้อเท็จจริงที่มีทั้งพยานบุคคล
พยานเอกสาร ภาพถ่าย และวัตถุพยานเป็นแผ่นบันทึกภาพและเสียงของเหตุการณ์
ว่ามีบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายใดเข้าไปเกี่ยวข้องบ้างอย่างไร
โดยคำสั่งศาลไม่กล่าวถึงพฤติการณ์ที่ทำให้ผู้ตายทั้ง 78 คน
ขาดอากาศหายใจจนถึงแก่ความตาย ทั้งๆ
ที่ปรากฏข้อเท็จจริงในสำนวนอย่างชัดเจนว่าเหตุที่ผู้ตายขาดอากาศหายใจนั้น
เกิดจากการที่ผู้ตายถูกเจ้าหน้าที่บังคับมัดมือไพล่หลังนำตัวขึ้นรถยนต์
บรรทุกซึ่งมีผ้าใบปิดคลุม
โดยให้นอนคว่ำหน้ากับพื้นกระบะรถยนต์บรรทุกทับซ้อนกันหลายชั้น
ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้เพราะถูกมัดมือไพล่หลังในขณะทำการขนย้ายเป็นระยะ
ทางกว่า 150 กิโลเมตร ใช้เวลาระหว่าง 15.00 น. ของวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.
2547 จนถึงเวลา 02.00 น. ของวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2547
โดยสภาพอากาศภายในรถไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทาง
ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากการขนย้ายจำนวนมากถึง 78 คน

แม้ว่าคำสั่งศาลคดีไต่สวนการตายคดีหมายเลขดำที่ ช.16/2548
หมายเลขแดงที่ ช.8/2552
กรณีตากใบนี้จะไม่ตัดสิทธิของผู้เสียหายในการเรียกร้องความเป็นธรรมเป็นคดี
อาญาตามกฎหมายต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้มีส่วนทำให้ผู้ตายเสียชีวิต
แต่การที่ศาลไม่ทำคำสั่งระบุว่าใครเป็นผู้ทำร้ายผู้ตาย ทั้งๆ
ที่ความจริงปรากฏพยานหลักฐานจากการไต่สวนชัดเจนว่า
พฤติการณ์การตายนั้นเกิดจากการกระทำของผู้บังคับบัญชาที่สั่งการและเจ้า
หน้าที่ผู้ปฏิบัติในการขนย้ายผู้ชุมนุมจำนวนมาก
ซึ่งในภาวะเช่นนั้นเจ้าพนักงานย่อมเล็งเห็นผลได้อย่างแน่นอนว่าผู้ที่ถูกนำ
ตัวขึ้นรถยนต์บรรทุกและขนย้ายในลักษณะดังกล่าวย่อมเกิดการกดทับกันถึงขั้น
เสียชีวิตได้

การกระทำของเจ้าพนักงานเช่นนั้นอาจถือได้ว่าถึงขั้นมีเจตนากระทำร้าย
ผู้ชุมนุมอย่างทรมานและทารุณโหดร้ายจนถึงแก่ความตาย
หรือโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ซึ่งอาจทำให้เข้าใจไปได้ว่าคำสั่งศาลไม่เป็นไปตามบทบัญญัติ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 40
บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม (3)
บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะให้คดีของตนได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้อง รวดเร็ว
และเป็นธรรม มาตรา 197 วรรคแรก
การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาลซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปโดย
ยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
และวรรคสอง ระบุว่า
ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปโดยถูกต้อง
รวดเร็วและเป็นธรรม ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) จึงขอให้ฝ่ายตุลาการ
ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวด้วย
เพื่ออำนวยความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรมให้แก่ญาติของผู้เสียชีวิตในกรณี
ตากใบ และเพื่อให้ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาค
เพื่อบรรทัดฐานทางสังคมและนำไปสู่การสร้างบรรทัดฐานสิทธิมนุษยชนในอนาคตต่อ
ไป

ทั้งนี้ เครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน
ทนายความและญาติผู้เสียชีวิตจากกรณีดังกล่าว มีความเห็นร่วมกันว่า
เราไม่เห็นด้วยและไม่ยินยอมไม่ว่ากรณีใดๆ ที่จะมีกลุ่มหรือบุคคลใดๆ
นำเรื่องดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างในการกดดันศาล
หรือการข่มขู่คุกคามศาลสถิตยุติธรรม ตามที่เป็นข่าวในท้องที่ภาคใต้
ซึ่งถือเป็นการสร้างสถานการณ์และไม่เคารพในกระบวนการยุติธรรมแต่อย่างใด

และช่วยกันจดจำไว้และรณรงค์ร่วมกันว่า There is no the way to
peace; Pease is the way.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น