...+

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

นาฏกรรมประเทศไทย

โดย วริษฐ์ ลิ้มทองกุล 1 กรกฎาคม 2552 14:35 น.
"ผู้ใดมีอำนาจวาสนา
ธรรมดาหาอะไรก็หาได้
กำหมัดคือยุติธรรมจงจำไว้
ใครหมัดใหญ่ได้เปรียบเรียบเทียวเกลอ..."
- - - พระราชนิพนธ์บทละครเรื่องวิวาหพระสมุทร โดย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน ผมพลิกอ่านคอลัมน์ของคุณเปลว สีเงิน
ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

วันนั้น อาเปลวเขียนเรื่อง
"ทักษิณฟ้องได้-แต่ใครฟ้องทักษิณไม่ได้!"
เกี่ยวกับพฤติกรรมอันฉ้อฉลและน่าตลกขบขันของ นักโทษชายทักษิณ
ที่มอบอำนาจเอาเงินฟาดหัวทนาย
ให้วิ่งไล่ฟ้องคนโน้นคนนี้ในคดีหมิ่นประมาทและคดีต่างๆ ทั้งๆ
ที่ตัวเองก็ด่าศาล ด่าผู้พิพากษา ด่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยว่า
"ลำเอียง-ไร้ความเป็นธรรม" และระบุว่าเป็นกระบวนการซึ่ง
"ยุติความเป็นธรรม"

นอกจากนี้ อาเปลวยังเขียนถึงข้อสงสัยในวิธีการมอบอำนาจ-มอบฉันทะ
เพื่อแต่งตั้งทนาย เพื่อฟ้องคดีของ นช.ทักษิณ ด้วยว่ามีความน่าเคลือบแคลง
เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่ นช.ทักษิณ จะเซ็นใบมอบอำนาจแบบลอยๆ
ทิ้งเอาไว้ โดยเมื่อจะใช้ทนายคนไหนไปฟ้องคดีใครก็หยิบเอาใบมอบอำนาจลอยนี้ไปใช้

และก็ยิ่งน่าแปลกใจเข้าไปอีกว่า เหตุใด ตำรวจ อัยการ
รวมถึงผู้มีอำนาจทั้งหลายกลับไม่เคยตั้งข้อสงสัยเรื่องนี้
หรือใช้ประโยชน์จากการมอบอำนาจดังกล่าวนี้ ในการไปไล่ล่า นช.ทักษิณ
กลับมารับโทษอาญาเลย?

2 วันถัดมา ในวันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2552

ผม ในฐานะกรรมการของบริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด
ซึ่งดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี
ก็ต้องเดินทางไปตามหมายนัดของศาลจังหวัดมีนบุรี ในคดีหมายเลขดำที่
อ.3596/2551 ในคดีหมิ่นประมาทระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะโจทก์
และ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล พร้อมกับพวกรวม 6 คน ในฐานะจำเลย

ในวันนั้น เนื่องจากคุณสนธิในฐานะจำเลยที่ 1 มีนัดกับแพทย์
เพื่อตรวจรักษาอาการบาดเจ็บจากการลอบสังหารเมื่อวันที่ 17 เมษายน ส่วน
อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ก็ติดภารกิจเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา
จึงมีเพียงจำเลย 4 ราย 6 คน ประกอบไปด้วย คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข คุณพิภพ
ธงไชย กรรมการบริษัทไทยเดย์ ด็อท คอม (เจ้าของเว็บไซต์ ASTVผู้จัดการ) 2
คน และกรรมการบริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) อีก 2 คน
เดินทางไปตามนัดดังกล่าว

บรรยากาศในช่วงเช้าวันจันทร์
พวกเราในฐานะจำเลยและทนายจำเลยเดินทางไปตามนัดตรงเผง 9 นาฬิกา
ขณะที่ทนายโจทก์ เดินเข้าห้องพิจารณาคดีตามหลังมาติดๆ

วันนั้นในห้องพิจารณาคดีที่ 3 ของศาลจังหวัดมีนบุรี
ไม่ได้มีการพิจารณาคดีของพวกเราแต่เพียงอย่างเดียว
แต่ภายใต้การดูแลของผู้พิพากษา 2 ท่าน ยังมีคดีอาญาอื่นๆ ของคนอื่นๆ
ซึ่งดำเนินการไปพร้อมกันด้วย ทำให้ผมมีโอกาสได้รับฟังการสนทนา
การสืบพยานและคำพิพากษาในวันนั้นอย่างละเอียด
(แม้จะไม่ได้ตั้งใจมาฟังก็ตาม)

คดีแรกที่ผู้พิพากษาหยิบยกขึ้นมาพิจารณา ก็คือ คำพิพากษาอุทธรณ์
คดียาเสพติดของนักโทษชายรายหนึ่ง
ซึ่งต้องโทษจากศาลชั้นต้นจากคำพิพากษาในคดีค้ายาบ้า 1,800 เม็ด
และถูกจับได้ในห้องพักเขตสะพานสูงเมื่อหลายปีก่อน
ผู้ต้องหาคนนี้เดินเข้ามาในห้องพิจารณาคดีในชุดนักโทษ
พร้อมโซ่ตรวนที่ข้อเท้า กุญแจมือ และผู้คุมร่างสูงใหญ่

ในคดีนี้ สุดท้ายศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนให้จำคุกตลอดชีวิต
แต่เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษ 1 ใน 4 เหลือจำคุก 37 ปี
และปรับ 750,000 บาท

คดีถัดมาเป็นคดีของชายวัยกลางคน รูปร่างเล็ก
เขาเดินเข้าห้องพิจารณาคดีมาด้วยสีหน้าอิดโรย
พร้อมกับโซ่ตรวนที่ข้อเท้าและกุญแจมือเช่นกับชายคนแรก ผิดกันก็แต่ว่า
คดีของชายคนที่สองนี้เป็นคดีลักทรัพย์ ซึ่งเท่าที่ได้รับฟังโดยคร่าว
คดีนี้เกิดขึ้นมาได้สักพักหนึ่งแล้ว
เป็นคดีลักทรัพย์โดยมีทรัพย์สินของกลางก็คือ มอเตอร์ไฟฟ้า และกระทะ
มูลค่า 1,500 บาท!

จากนั้นศาลจึงถามว่า จะรับสารภาพหรือไม่รับ พร้อมสำทับว่า รับๆ
ไปเถอะ เพราะมูลเหตุเป็นแค่ทรัพย์สินมูลค่า 1,500 บาทเท่านั้น
จากนั้นจึงถามชายคนเดิมต่อว่าจะรับในข้อหาอะไร ลักทรัพย์
ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน หรือรับของโจร?

ส่วนจำเลยในชุดนักโทษพอได้ยินคำศาลก็ทำหน้าเหลอหลาอยู่พักใหญ่

เมื่อเห็นดังนั้น "พี่เพชร" พชร สมุทวณิช กรรมการบริษัทไทยเดย์ฯ
ซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยด้านข้างกันกับผม ก็หันมากระซิบกับผมว่า

"รับๆ ไปเหอะ แค่ 1,500 เดี๋ยวพี่ช่วยจ่ายให้ ... สงสารเขาว่ะ"

จริงๆ ผม รู้ดีว่าในใจของพี่เพชรนั้นก็รู้ดีเหมือนผมว่า
คดีดังกล่าวนี้แม้จะมีต้นเหตุของคดีเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ชิ้น และกระทะ 1
ใบ มูลค่ารวมเพียงแค่ 1,500 บาท แต่ก็เป็นคดีอาญาซึ่งยอมความกันไม่ได้
อีกทั้งชายผู้นั้นก็อาจจะเป็นมิจฉาชีพซึ่งลักเล็กขโมยน้อยและอาจสร้างความ
เดือดร้อนให้กับผู้คนมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

ทว่า สิ่งที่ทำให้เราต่างรู้สึกสะทกสะท้อนใจและหดหู่ก็ คือ
"ภาพหลักฐานอันแจ่มชัด อันพิสูจน์ถึงความไม่เป็นธรรมในสังคม"

ในขณะที่ มหาเศรษฐีคนหนึ่งซึ่งต้องโทษจำคุก 2 ปี จากศาลฎีกา
ในคดีทุจริตต่อชาติบ้านเมือง
และยังมีคดีโกงชาติรอตามหลังอีกพะเนินเทินทึก คิดเป็นมูลค่านับแสนล้านบาท
มหาเศรษฐีคนนี้กลับใช้กระบวนการยุติธรรมซึ่งเขาปฏิเสธที่จะรับโทษ
มาใช้จัดการกับผู้อื่นและศัตรูได้โดยสะดวกโยธิน
ส่วนกระบวนการยุติธรรมต่างๆ
ที่จะจัดการกับมหาเศรษฐีโกงชาติคนนี้กลับต้องหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง

กลับกัน คนอีกจำนวนหนึ่งซึ่งนอกจากจะต้องสละชีวิต สละอวัยวะ
สละทรัพย์สิน-เงินทอง ออกมาปกป้องชาติ เสี่ยงชีวิต เสี่ยงภัย เสี่ยงคุก
เสี่ยงตะราง กลับต้องทนทุกข์กับความฉ้อฉลในกระบวนการของรัฐ
และความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะในชั้นตำรวจ อัยการ ป.ป.ช.
และชั้นศาล ไม่นับรวมกับการต้องเทียวขึ้น-เทียวลงศาล
ด้วยความถี่ในระดับที่เรียกได้ว่า "วันเว้นวัน"

ในขณะที่ ตระกูลโฉดตระกูลหนึ่ง สามารถบุกรุกและลักขโมยหลวง
อันเป็นที่ดินภายใต้การดูแลของการรถไฟแห่งประเทศไทยไปได้หน้าตาเฉย
คนในตระกูลนี้ยังสามารถเชิดหน้าชูคออยู่ในฐานะผู้บริหารระดับสูงของฝ่าย
นิติบัญญัติของประเทศได้ แถมคนในตระกูลนี้ก็ยังสามารถ กอดคอ-กอดอก-กอดเอว
กับนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้อย่างน่าชื่นตาบาน

กลับกัน
คนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งลักเล็กขโมยน้อยกลับแทบจะไม่มีหนทางต่อสู้ในกระบวนการ
ยุติธรรม ไม่มีโอกาสได้ประกันตัวเพียงเสี้ยววินาที ไม่มีเงินไปจ้างทนาย
ไม่มีปัญญาแม้จะต่อสู้เพื่อลดโทษจากหนักให้เป็นเบา
แม้ทรัพย์สินที่เขาทุจริตมาจะมีมูลค่าเพียงแค่ค่าอาหารว่าง
หรือเศษเงินของคนบางคนก็ตาม

ฟังแล้วก็เซ็งนะครับ หรือจะเป็นอย่างที่เขาว่า
"คุกไทยมีไว้ขังหมากับคนจน" จริงๆ


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000074405

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น