...+

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เปลวเพลิงแห่งความหวัง

โดย อัญชะลี ไพรีรัก 24 มิถุนายน 2552 15:00 น.




คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.
ได้แถลงถึงมติเห็นชอบให้นายทะเบียนพรรคการเมือง
ตอบรับการยื่นขอจดแจ้งจัดตั้ง "พรรคการเมืองใหม่" ( ก.ม.ม.)
ที่มีนายสมศักดิ์ โกศัยสุข เป็นหัวหน้าพรรค และนายสุริยะใส กตะศิลา
เป็นเลขาธิการพรรค แล้วเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา

หลังจากนั้นนายสุริยะใส เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่
ได้อธิบายรายละเอียดและกระบวนการต่อไปหลัง กกต.มีมติเห็นชอบว่า
ทางพรรคการเมืองใหม่จะดำเนินการหาสมาชิกพรรคให้ครบ 5,000 คน
จากทั่วทุกภูมิภาค และจัดตั้งสาขาพรรคทั้ง 4 ภาคเป็นอย่างน้อย

มีความตอนหนึ่งจากคำให้สัมภาษณ์ของนายสุริยะใส
ที่น่าสนใจไปยิ่งกว่าข่าวดีข้างต้น คือ
บัดนี้ได้มีสมาชิกจากพรรคการเมืองอื่นๆ "ลาออก"
และจะเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกพรรคการเมืองใหม่แล้ว

ประโยคนี้หลายคนอ่านแล้วมีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป

บางคนสงสัย ถามไถ่กันเซ็งแซ่ว่า "จริงอ่ะ"

บางคนไม่สงสัยแต่ตั้งคำถามว่า "แล้วพวกเขาเป็นนักการเมืองเก่า
หรือใหม่ ดี หรือไม่ ...ไฉนแน่?"

แต่บางคนปรามาส หยามหยันว่า "ขี้โม้"

ไม่ว่าจะรูปแบบไหน ปล่อยให้ "กาลเวลา" ทำหน้าที่เป็นผู้พิสูจน์
"พรรคการเมืองใหม่"

ที่แน่ๆ คือ เวลานี้สามารถพูดได้เต็มปากแล้วว่า
"พรรคการเมืองใหม่" เริ่มต้นนับหนึ่ง เข้าทำนองทารกตั้งไข่แล้ว
โดยมีมือ-ไม้แข็งแรงของพ่อแม่พี่น้องที่มีอุดมการณ์ต้องตรงกันมาช่วยประคับ
ประคองไม่ให้เด็กน้อยคนนี้ ตั้งไข่ล้มต้มไข่กิน

ขั้นตอนต่อไปจากนี้ของพรรคการเมืองใหม่ คือ การประชุมใหญ่
ซึ่งจะมีการกำหนดนโยบายของพรรค ทิศทางการดำเนินการ
การกำหนดข้อบังคับของพรรคที่สำคัญ "จะมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค"
และกรรมการบริหารพรรคอย่างเป็นทางการ คาดว่า
จะเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือน

ก่อนหน้าที่ กกต.จะรับรองพรรคการเมืองใหม่ ทางแกนนำพันธมิตรฯ
ทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 ได้เดินสายกระจายกันออกไปหลายๆ จังหวัด
ทั้งนี้เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะจากประชาชนทั่วไป และมวลชนพันธมิตรฯ

จากความคิดที่ออกไปสัมผัสมาได้ความว่า
บ้างเห็นด้วยกับพรรคการเมืองใหม่ พร้อมสนับสนุนเต็มแรงแข็งขัน
แต่ก็มีบ้างที่ไม่เห็นด้วย ในส่วนนี้บางคนหันหน้าจากไปไม่กลับคืน
และบางส่วนยังยืนอยู่เคียงข้างในฐานะมวลชนพันธมิตรฯ
แม้จะไม่เห็นด้วยกับการที่พันธมิตรฯ
จะพัฒนาขึ้นมาเป็นพรรคการเมืองเท่าไรนักก็ตาม แต่อย่างว่า
คนกลุ่มนี้ให้เหตุผลว่า

"ก็เราต่อสู้กันมามากมาย
พิสูจน์รักแท้แน่นอนกันแล้วไม่รู้กี่ยกต่อกี่ยก
แม้ไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักมั่น-ตัดไม่ตายขายไม่ขาด" ...ฟังแล้วใจชื้น
น้ำตารื้น กราบขอบพระคุณ

การเดินสายไปต่างจังหวัดเพื่อพบปะกับมวลชนใกล้ชิด
มีประโยชน์อย่างสูงในแง่ข้อมูล-ข้อเสนอแนะ ส่วนที่ตอบรับคึกคัก
ก็มีคำถามตามมาสรุปได้ 3 ข้อใหญ่ๆ คือ

1. การวางบทบาทของ 5 แกนนำพันธมิตรฯ
กับพรรคการเมืองใหม่จะอยู่ในรูปแบบใด 2.
ความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองใหม่กับมวลชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
จะเป็นอย่างไรต่อไป และ 3. การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
ต่อพรรคการเมืองใหม่จะดำเนินการต่อไปอย่างไร

ข้อสังเกตของพี่น้องข้างต้นน่าสนใจมาก
ดังนั้นเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่จึงขยายความต่อไปว่า
ทางพรรคจะเปิดเวทีรับฟังข้อเสนอแนะแนวทางด้านต่างๆ จากมวลชนทุกภาคส่วน
และจะนำมาประมวลเพื่อเป็นแนวทางในการนำไปปฏิบัติ
และเสนอให้สังคมโดยรวมได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า
พรรคการเมืองใหม่ควรใช้แนวทางใดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน
รวมถึงการมองไปไกลถึงอนาคตข้างหน้าด้วย

อีกประเด็นหนึ่งที่คอการเมืองสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประเด็นข้างต้น
คือ การจัดสรรบุคลากรที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง
ซึ่งคาดกันว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่ น่าจะไม่ใกล้จนตั้งตัวไม่ติด
และไม่ไกลจนเกินการณ์

"สุริยะใส" แย้มพรายออกมาว่า ขณะนี้ได้มีการพูดคุยกันในส่วนของ
"ตัวบุคคล" ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งแล้ว เพราะ
"สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันมีความไม่แน่นอนสูงพอควร" และเชื่อว่า
นายกฯอภิสิทธิ์ อาจทนรับแรงบีบคั้นจากสภาพการเมืองที่อีลักอีเหลื่อในปัจจุบันนี้ไม่ได้นาน
เท่าไรนัก ดังนั้นนายกฯ อาจชิงความได้เปรียบด้วยการ "ยุบสภา"

พอพูดถึงประเด็นนี้ได้ยินเสียงแว่วของนักเลือกตั้งอย่าง "บรรหาร"
ตามมาให้ขบคิด

เพราะหลงจู๊ใหญ่เมืองสุพรรณบุรี ติติงพรรคประชาธิปัตย์ว่า
หาเหตุมาถ่วงรั้งความคืบหน้าในการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะกลัวว่า
ถ้าเลือกกันแบบเขตเดียวเบอร์เดียวแล้ว อาจพ่ายแพ้หมดท่า
ในเวลาเดียวกันบรรหารก็ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความกังวลกับ
"ชัยชนะของทักษิณที่สกลนคร" และ "การยุบสภา"
ประเด็นหลังนี้บรรหารออกตัวแรงเหลือร้าย เพราะเขาแนะว่า "ควรใช้งบ 8
แสนล้านบาทเสียก่อน"

ฟังเสียงบรรหารแล้วมีกำลังใจ ฮึดสู้กับการเมืองใหม่อย่างไม่ย่นระย่อท้อ

เหมือนกันกับที่ "ทักษิณโฟนอิน" ถี่ยิบ!!!
เวลานี้ได้ยินข่าวมาจาก "คนที่ดูไบ" ว่า เขากำลังเร่งฟืนเร่งไฟระดม
"โจรเสื้อแดง" มาชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวงในวันที่ 27 มิ.ย.นี้
หลังจากคุยกับ "เมีย" จนรู้ความดีแล้วก็เท
"หมดหน้าตัก"...งานนี้มีได้-เสีย แว่วมาว่า "ตำรวจ-ทหาร"
หลายคนร่วมมือกันสู้ตายเพื่อไอ้หน้าเหลี่ยม
หลังจากตกลงค่าจ้างกันชัดเจนว่า "มึงเอาไปครึ่งหนึ่ง ที่เหลือส่งมาคืนกู"

"ทั้งครึ่งหนึ่ง" และ "ที่เหลือ"
ล้วนแต่เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการ "ปล้นชาติ" หน้าด้านๆ
เหมือนที่คนจีนเขาเปรียบเปรยว่า "อุดหูขโมยกระดิ่ง"
และอามิสสินจ้างกองนี้กำลังกวักมือเรียก "ผีให้มาโม่แป้ง"

ด้านหนึ่งกำลังเพิ่มดีกรี "ชิงเมือง" อีกด้านหนึ่งกำลังตีปี๊บ
"วันชาติ 24 มิถุนาฯ" เซ็งแซ่
โดยมีวิทยุชุมชนคลื่นหนึ่งช่วยประสานเสียงในลีลา "ดึงฟ้าต่ำ ทำหินแตก
แยกสังคม" หาฟังได้ชัดเจนแจ่มแจ๋วไม่มีคลื่นรบกวนหรือใครหน้าไหนมาห้ามปราม

สถานการณ์อย่างนี้พอจะดูออกว่า งานนี้คงไม่แค่เผาบ้าน- เผาเมือง
เหมือนวันสงกรานต์เลือด แต่คงเล่นกันป่นปี้เละเป็นจุลแน่ เพราะ "ไฟแค้น"
กับ "ความโลภ" ไม่เคยปรานีใคร โดยเฉพาะกับคนอย่าง "ทักษิณ" และ
"ทหารใจแต๋ว" ผู้มักใหญ่ใฝ่สูงคนนั้น

ล่าสุดวงการแพทย์ป้องปากกระซิบกันให้แซดว่า
"เมียพาหมอไปหาถึงดูไบถี่ขึ้น" ....ของอย่างนี้ไม่ต้องเชื่อ
แต่ให้กาลเวลาทำหน้าที่พิสูจน์ความจริงจากคนปากแข็งอีกแรงหนึ่ง
จะโม้ว่าแข็งแรงไปได้สักกี่น้ำกันเชียวเดี๋ยวก็รู้

แต่อย่างไรก็ตาม คนป่วยโรคจิตคิดล้มเจ้าของเราคนนี้
เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองมากขึ้นกับชัยชนะที่ "สกลนคร"

งานนี้ทักษิณตบหน้าสั่งสอน "น้องเน" ให้รู้ตัวและสำนึกได้ว่า
"คนอย่างกู...เคี้ยวไม่ง่ายเหมือนเนื้อย่างโคขุนโพนยางคำนะโว้ย"

งานนี้ "น้องเนรคุณ ขุนไม่เชื่อง" ถูกสหบาทาขยี้ป่นปี้
เพราะไม่เพียงนายใหญ่โฟนอินสายตรงไปที่กำนัน - ผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น
แต่ยังต่อท่อนับร้อยๆ สาย "จากใจถึงใจ"
ปรีดิ์เปรมกันถ้วนหน้าภายใต้การจัดการที่เนี้ยบ-เรียบ-กริบ ของ
"ซ้ายเก่าเมืองสกลฯ" และ "กลุ่มเพื่อนเก่า" อย่างก๊วนพญานาค
และอินทรีอีสาน เป็นต้น

เวลานี้เห็น "พรรคร่วม"
ร่วมใจสามัคคีกินโต๊ะประเทศไทยแล้วอ่อนเพลียละเหี่ยใจ ยิ่งเห็น
"ตราชั่ง-ผ้าเหลือง-เรือจ้าง-นกน้อยในไร่ส้ม และข้าในร่มพระบาทฯ"
ตกเป็นเหยื่อ "อำนาจ" และ "ปีศาจเงินตรา" อย่างนี้แล้ว
ไม่แคล้วคงได้เห็นเมืองไทยวิ่งไล่ตามเพื่อนบ้าน

ขณะนี้เสียงยุบสภาดังกระหึ่ม ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมหลายด้าน ทั้ง
"คนดูไบ" ทั้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทั้งอาการปวดหัวตัวร้อนของพรรคร่วมกับส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรมจากงบประมาณ
และที่สำคัญเรื่องการถือครองหุ้นของบรรดา ส.ส. และ
ส.ว.เรื่องหลังนี้อาจเกิด "สุญญากาศ" การเมือง

เห็นแล้วใช่ไหมว่าพรรคร่วมรัฐบาลจอมละโมบ
มันกำลังเตรียมวิ่งกลับไป "สมสู่" กับ "แม้ว" เหมือนเดิม

ไม่ว่าจะยุบสภาหรือไม่ ไม่ว่าจะในเร็ววันนี้
หรืออีกกี่ปีข้างหน้าก็ช่างเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา

หน้าที่ของเราเวลานี้คือ การรณรงค์เดินหน้าไปสู่การเมืองใหม่
เปลี่ยนโฉมหน้าประเทศไทยด้วยมือของเรา โดยคนรุ่นเรา งานนี้ทำยาก
แต่ต้องทำ ไม่งั้นเสียชาติเกิด

ตอนนี้สุริยะใสบอกว่า
ทางพรรคการเมืองใหม่เองก็จะขยายวงกว้างด้วยแนวคิด
ส่งผู้สมัครเลือกตั้งในส่วน "การเมืองท้องถิ่น"
ด้วย...ค่อยเป็นค่อยไป...แต่จะไม่ไปอย่าง "ค่อยๆ"

"พรรคการเมืองใหม่"
กำลังเดินหน้าขยับขยายสร้างฐานเสียงที่เข้มแข็งของตัวเองขึ้นมา
การเดินสายพบปะประชาชนทั่วทุกภูมิภาคจึงมีความจำเป็น

อย่าลืมว่า พรรคการเมืองใหม่
ไม่ใช่ลูกหมีแพนด้าที่ใครต่อใครก็ทุ่มเทความรักให้หมดใจตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา
ดูโลก เราต้องทำงานหนัก ต้องทุ่มเท และเข้มแข็ง
ปวกเปียกอ่อนแอไม่ได้เป็นอันเด็ดขาด

อย่างวันก่อน...ก่อนที่จะมีมติเห็นชอบรับรองการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ออก
มาเพียงวันเดียว กลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ ก็เดินสายพูดคุยกับพันธมิตรฯ
ในหลายๆ ที่ ทุกๆ ที่มีสุ้มเสียงที่แตกต่างกันอย่างที่กล่าวข้างต้น
ที่เห็นด้วยเราก็ขอบพระคุณ ที่ไม่เห็นด้วยเราก็กราบงามๆ ในน้ำใจ

เพราะทุกเสียงคือ พันธมิตรฯ เป็นเสียงของคนคิดดีทำดี
มีรักมีเมตตาให้กับเพื่อนร่วมชาติด้วยกัน พันธมิตรฯ คิดดี-ทำดี ทุกๆ
ท่านต่างเคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาถึง 2 ครั้ง 2 หน โดยเฉพาะ "หนล่า"
ในการต่อสู้ของการเมืองภาคประชาชน คนพันธุ์อืดแห่ง 193 วัน

ยังจำได้ดี...ยังคิดถึงอยู่ทุกวัน ทุกลมหายใจ...ใน 193 วัน

ถ้าวันนั้นไม่มีพี่น้องมาช่วย...การต่อสู้ของเราคงม้วย...ไม่มีวันนี้

ใคร...ที่เห็นด้วย ขอให้ช่วยกันอีกหน เอากันให้สุดแรงเกิด
เพื่อพลิกโฉมประเทศไทยให้โปร่งใส ยุติธรรม

ใคร...ที่ไม่เห็นด้วย ก็ขอให้ช่วยเป็นแรงใจกันอีกหน
ไม่เลือก-ไม่ว่า....แต่ขอให้รัก-ให้เมตตาพรรคน้องใหม่ที่เคยรักกัน
ขอเพียงให้แบ่งหัวใจสักห้องมาเชียร์น้องๆ กันบ้าง
แล้วจะไม่ลืมพระคุณนี้เลย

ต่อแต่นี้ไปพรรคการเมืองใหม่ต้องทำงานหนัก

หนักแรก คือ การอธิบาย "การเมืองใหม่"
ว่าจะเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองไทยที่คร่ำครึ- น้ำเน่า
และโสมมไปสู่การเมืองที่โปร่งใส ใจสะอาด ขจัดทุจริตคอร์รัปชัน

หนักต่อมา คือ คำอธิบายว่าทำไมต้องแปรการสู้รบ "ข้างถนน"
และพัฒนามาสู่รูปแบบพรรคการเมืองในสภาฯ เพื่อใช้เครื่องมือที่เรียกว่า
"รัฐสภา" นำไปสู่การทะลุลวง เพื่อล้มล้าง
"การเมืองสามานย์ของนักการเมืองสารเลวโกงบ้านกินเมือง"

หนักถัดมา คือ
หัวใจสำคัญที่ต้องอธิบายให้ประชาชนทุกคนทุกหมู่เหล่าเข้าใจต้องตรงกันว่า
พรรคการเมืองใหม่จะขับเคลื่อนไปข้างหน้าให้ประสบความสำเร็จ
ต้องการแรงกายและแรงใจจากประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าเท่าไร แค่ไหน และ
อย่างไร

ที่ทำอย่างนี้-ดำเนินการอย่างนี้-ไม่ใช่เพื่อใคร

แต่เพื่อเรา และลูกหลานของเราทั้งในวันนี้ และวันหน้า

ลาภ ยศ สรรเสริญนั้นไม่ต้องการ ขอเพียงอย่างเดียว ขอ "บ้านเมือง"
ที่สงบสุข ยุติธรรม และมีมาตรฐานทางจริยธรรมกลับคืนมา

อย่าให้ใครมาหลอกเราอีกต่อไปว่า
เรื่องเหล่านี้เป็นจริงได้แต่ในอุดมคติ เป็นการเมืองในความฝันลมๆ แล้งๆ

ไม่จริงเลย!!!

บ้านอื่นเมืองอื่นเขาทำมาแล้ว และทำได้ด้วย
แล้วทำไมเราถึงจะไม่ทำ ไม่ลองไม่รู้...ก้าวมาลองกันดู

เหนื่อยแต่คุ้มค่า

อย่าลืม...บ้านเมืองดีไม่มีขาย อยากได้ต้องร่วมกันสร้าง

เพราะในรอบหลายสิบปีมานี้ บ้านเมืองของเรามีปัญหาสะสมมากมาย
ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ที่สำคัญ คือ
คุณภาพประชากร...ประชาชนเป็นอย่างไร ก็ได้นักการเมืองเป็นอย่างนั้น

ถ้าการเมืองดี นักการเมืองดี มีหรือที่วันนั้นเราต้องไปต่อสู้กัน "ข้างถนน"

ออกไป "สู้" จนหลายคน "เจ็บ" และบางคน "จาก"

ไม่ว่าจะเจ็บน้อยหรือปางตาย ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย
แต่สุดท้ายการสูญเสียของเรากับสิ่งที่ได้มา คุ้มกันหรือไม่โปรดตรองดู

ความคุ้มค่าที่ไม่ได้หมายถึง "เกียรติยศ" หรือ "เงินตรา"
ทว่าหมายถึง อนาคตของลูกไทยหลานไทย

เสถียรภาพการเมืองในระบอบประชาธิปไตยกับคุณภาพนักการเมืองที่เปี่ยมอุดมการณ์อันมีจริยธรรม
ไม่ใช่ "ความฝัน" ของคนไทยหรอกหรือ

เมื่อการเมืองที่เราเห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องกลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อ "สู้" อีกหน
และหนนี้เราจะฝ่าฝันผองภัยเพื่อไทยทุกคนกับ "พรรคการเมืองใหม่"

จงอย่านั่งนิ่งดูดาย ปล่อยบ้านเมืองของเราที่เคยแสนสุข
วางไว้ในกำมือ "โจรปล้นชาติ" ในคราบ "นักการเมือง" ต่อไปอีกเลย

จงลุกขึ้น "สู้" เพื่อมาตุภูมิของเรา
แล้วหยุดวงจรอุบาทว์การเมืองไทยที่บั่นทอนทำลายชาติของเราเสียที

การเมืองข้างถนนสามารถสร้างแรงกระตุ้นได้ในระดับหนึ่ง

การเมืองในรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตย คือ หนทางไปสู่การแก้ไขที่มั่นคงสถาพร

เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่ความฝันลมๆ แล้งๆ ในโลกยุคยูโธเปียอีกต่อไป

เมื่อบ้านอื่นเมืองอื่นยังทำได้ บ้านเราเมืองเราก็ต้องทำได้

ไม่ว่าผลของมันจะออกมาเป็นอย่างไร เราก็ต้องทำ-
ทำด้วยหัวใจเพชรของคนกระดูกเหล็กอย่างพวกเรา

เหนื่อยด้วยกันเดี๋ยวนี้ เพื่อส่งเสริม "คนดี" ให้ปกครองบ้านเมือง

ลุกขึ้นมาร่วมสู้ด้วยกันเถิด
เพื่อก่อเกิดศาสดาแห่งแสงอรุณที่จะลุกเป็นเพลิงในวันพรุ่ง.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000071380

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น