...+

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บีโอไอ:10 ปี กับการสนับสนุน SMEs ของแบงก์บัวหลวง

โดย สุนันทา อักขระกิจ

เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วที่ธนาคารกรุงเทพให้การสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอี
ภายใต้ชื่อ "โครงการบัวหลวง เอสเอ็มอี" วัตถุ
ประสงค์เพื่อเสริมความเข้มแข็งให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี
เน้นการเพิ่มองค์ความรู้ด้านต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งธนาคารได้พัฒนา
และจัดอบรมหลักสูตรพื้นฐานความรู้ด้านการประกอบการต่างๆ
แก่กลุ่มลูกค้าธุรกิจเอสเอ็มอี รวมทั้งขยายผลด้านความรู้ให้ทันสมัย
และทันต่อการเปลี่ยนแปลง

นายวีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่
ผู้อำนวยการลูกค้าธุรกิจรายกลางนครหลวง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้
กล่าวถึงการสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีของธนาคารว่าเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี
2542 โดยธนาคารให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นอย่างมาก
มีการจัดสัมมนาเอสเอ็มอี ประจำครึ่งปี และประจำปี
ซึ่งในการจัดสัมมนาแต่ละครั้งนั้นได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากวิทยากรใน
หน่วยงานและสถาบันการศึกษาต่างๆ
รวมทั้งนักธุรกิจเอสเอ็มอีที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการ
ที่มาถ่ายทอดความรู้เชิงวิชาการ
ตลอดจนประสบการณ์ที่มีคุณค่าจากความสำเร็จของผู้ประกอบการ

ทั้งนี้เพื่อสร้างพัฒนาการด้านความรู้ต่างๆ ที่มีประโยชน์
รวมถึงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการได้หมั่นเรียนรู้ ในการนำไปปรับใช้กับธุรกิจ
เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ
อาจกล่าวได้ว่าธนาคารกรุงเทพเป็นธนาคารแห่งแรกที่มีการจัดทำเรื่องหลักสูตร
การอบรมให้กับผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี โดยร่วมกับสถาบันคีนันฯ
ในการพัฒนาหลักสูตรเรื่องแผนธุรกิจต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษา คือ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
โดยการให้ทุนนักศึกษาเพื่อนำองค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาไปถ่ายทอดให้กับ
ผู้ประกอบการ เมื่อนักศึกษาเหล่านี้สำเร็จการศึกษาแล้ว
ต้องไปทำงานในบริษัทลูกค้าของธนาคารตามเงื่อนไขที่กำหนด
ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยยกระดับขีดความรู้ความสามารถของผู้ประกอบ
การ

สำหรับแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอีที่ดูจะสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมากที่สุดคือ
การดำเนินการภายใต้แนวคิด "พันธมิตรแห่งนวัตกรรมและการเรียนรู้" ซึ่ง
เป็นแนวคิดในการที่จะสร้างความแตกต่างให้กับผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี
โดยเน้นให้ความสำคัญในเรื่องของนวัตกรรมและความรู้เป็นพิเศษ นอกจากนี้
ธนาคารยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานของภาครัฐอีกหลายหน่วยงาน
ในการให้สินเชื่อเพื่อพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ อีกด้วย

การที่ผู้ประกอบการมีนวัตกรรม
จะก่อให้เกิดผลดีกับตัวผู้ประกอบการเอง
และสามารถช่วยยกระดับผลผลิตหรือสินค้าให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่สูงขึ้นได้
ซึ่งผู้ประกอบการในปัจจุบันเริ่มให้ความสนใจในการพัฒนาทางด้านนวัตกรรมเพื่อ
สร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเองเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้เพื่อให้ธุรกิจยังคงอยู่ต่อไป และแข่งขันในตลาดได้

สำหรับการพิจารณาเพื่อให้สินเชื่อแก่ลูกค้าเอสเอ็มอีของธนาคารนั้น
นอกจากจะยึดตามระเบียบของทางราชการแล้ว
สิ่งที่ธนาคารมักจะพิจารณาควบคู่ไปด้วย คือ เรื่องของผลประกอบการ
วงเงินที่เกี่ยวข้อง และสินทรัพย์ของลูกค้า เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม
ธุรกิจเอสเอ็มอีแต่ละประเภทล้วนมีความแตกต่างกันทั้งในด้านของต้นทุน
และการดำเนินงาน การที่ธุรกิจประเภทใดจะเติบโตหรือไม่เติบโต
มักขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ ด้วย
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจเอสเอ็มอีด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
มีผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ดีมาโดยตลอด แต่เมื่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย
จึงส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิตรถยนต์โดยอัตราการผลิตลดลงร้อยละ 20 - 30
ทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีในกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก

นอกจากนี้ธนาคารยังมีการให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี
ที่เข้าไปประกอบธุรกิจในประเทศลาว กัมพูชา และเวียดนาม
เนื่องจากประเทศต่างๆ เหล่านี้ยังมีอัตราค่าจ้างแรงงานถูก
และผู้ประกอบการยังได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษีอีกด้วย

ปัจจุบันธนาคารมีการให้สินเชื่อกับลูกค้าที่ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี
ประมาณ 1 - 2 แสนราย แต่ถ้าในภาพรวมทั้งประเทศน่าจะอยู่ที่ประมาณ 7 - 8
ล้านราย

สำหรับผลประกอบการของธุรกิจเอสเอ็มอีนั้น
มักขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจเติบโต
ธุรกิจเอสเอ็มอีก็เติบโตด้วย แต่เมื่อใดที่เศรษฐกิจประสบปัญหา
ธุรกิจเอสเอ็มอีมักจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย
ส่วนความเข้มแข็งของธุรกิจเอสเอ็มอีนั้น
หากเป็นธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีขนาดเล็กความแข็งแรงจะมีน้อย
ทั้งนี้หากมีอะไรมากระทบธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดเล็ก
จะทำให้ธุรกิจดังกล่าวได้รับผลกระทบหนักมาก
เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ผลิตเพื่อขายในประเทศเป็นหลัก

ในปี 2551
ถือว่าเป็นปีที่ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะในช่วงต้นปี แต่เมื่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกเกิดการชะลอตัว
ทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบจากวิกฤติดังกล่าวด้วย
ซึ่งภาวะดังกล่าวน่าจะดำเนินต่อไปอีกนาน
ทั้งนี้เมื่อบริษัทที่ทำการผลิตเพื่อการส่งออกได้รับผลกระทบ สินค้าอื่นๆ
ต่างก็ได้รับด้วย รวมทั้งความมั่นใจของคนในประเทศ
ต่างก็ไม่มั่นใจในสถานการณ์ดังกล่าวจึงมีการชะลอการจับจ่ายใช้สอยลง
ดังนั้นแม้จะเป็นเอสเอ็มอีที่ไม่เกี่ยวข้องกับการส่งออกก็ได้รับผลกระทบเช่น
เดียวกัน

การให้สินเชื่อกับธุรกิจเอสเอ็มอีของธนาคารในช่วงที่ผ่านมานั้น
มีอัตราสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
หรือเอ็นพีแอลในอัตราไม่สูงมากนัก แต่ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะด้านธุรกิจบริการ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร สปา
แหล่งท่องเที่ยว ฯลฯ
ในส่วนนี้ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าโดยการหารือร่วมกันว่าจะมีแนวทาง
การผ่อนชำระหนี้อย่างไรในกรณีที่รายได้ลดลง
ซึ่งส่งผลทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงด้วย
ธนาคารจึงให้ความช่วยเหลือโดยการขยายเวลาการผ่อนชำระหนี้ให้ยาวขึ้น
โดยพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสมของผู้ประกอบการแต่ละราย

สำหรับแนวโน้มของผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีของธนาคารในปี 2552 นั้น
ยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องล้มเลิกกิจการ
แต่ขอให้ใช้เวลาในช่วงนี้สำหรับการปรับตัวและหาทางป้องกันผลกระทบที่จะเกิด
ขึ้นในอนาคตเพื่อให้ธุรกิจดำเนินอยู่ต่อไป
โดยสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือ
การพัฒนาขีดความสามารถของตนเองในการแข่งขันในธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น
ถ้าสามารถทำได้จะทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีเติบโตได้อีกมาก

ส่วนความสามารถในการหาตลาดของผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยนั้น
ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
เพราะการประกอบธุรกิจนั้นอย่างน้อยต้องมีตลาดถึงจะเกิดธุรกิจ
ดังนั้นความสามารถพื้นฐานที่ผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีต้องมีเป็นลำดับแรกคือ
ต้องมีความรู้เรื่องตลาดเป็นอย่างดี จากนั้นจึงไปดูเรื่องของการผลิต
เทคโนโลยี เครื่องจักร ฯลฯ

ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาเพื่อยกระดับให้เป็น
เอสเอ็มอีที่มีความรู้ และอาจมีบางธุรกิจที่ไม่พร้อมจะดำเนินการ
จึงมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาให้ความช่วยเหลือ เช่น
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ให้ความช่วยเหลือเรื่องทุนวิจัย
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
ให้เรื่ององค์ความรู้ต่างๆ
โดยจัดการอบรมเพื่อเสริมความรู้ให้กับผู้ประกอบการ
เพื่อให้มีความรู้มากยิ่งขึ้น

ในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นของผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี เช่น
ผู้ผลิตแผ่นอะคริลิก ซึ่งได้พัฒนาแผ่นดังกล่าวให้มีความเหนียว
สามารถนำไปผลิตเป็นหน้ากากหมวกกันน็อก
และล่าสุดได้พัฒนาไปอีกระดับหนึ่งที่สามารถใช้กันกระสุน
นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตเส้นใยไหมสายพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูงมาก
ซึ่งนำไปใช้สำหรับทอเป็นกิโมโนในพระราชวังของประเทศญี่ปุ่น
รวมทั้งประเทศไทยยังเป็นแหล่งผลิตวาซาบิเทียม
เพื่อการส่งออกเป็นรายใหญ่ของโลกด้วย

นอกจากนี้ นายวีระศักดิ์
ยังได้กล่าวถึงปัญหาของผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีว่า
ส่วนใหญ่จะไม่ถนัดในการทำงานร่วมกับนักวิชาการ
โดยเฉพาะเมื่อมีผลงานการวิจัยที่น่าสนใจออกมา
แต่ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีไม่สามารถนำผลงานเหล่านั้นไปใช้งานได้ใน
ทันที เนื่องจากติดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ เรื่องผลตอบแทนต่างๆ
ที่บางครั้งสูงเกินกว่าที่ผู้ประกอบการจะรับได้

สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาคือ

1. ภาครัฐต้องดำเนินการรวบรวมผลงานวิจัยต่างๆ
ว่ามีการทำวิจัยในเรื่องใดบ้าง
และมีเรื่องใดที่สามารถนำมาต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้

2. ควรมีศูนย์กลางที่ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีจะสามารถเข้าไปตรวจสอบหรือ
ค้นคว้าว่างานวิจัยที่สนใจนั้นมีอยู่ที่ใดบ้าง
เพื่อนำมาต่อยอดต่อไป
เนื่องจากผลงานการวิจัยของไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในสถาบันการศึกษาต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ ที่มีผลงานการวิจัยเป็นจำนวนมาก
โดยอยู่ตามภาควิชาต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ฯลฯ

ในขณะนี้เป็นช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกเกิดการชะลอตัวจึงส่งผลกระทบ
ต่อผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี ดังนั้นผู้ประกอบการต้องระมัดระวังตัว
พยายามดูแลธุรกิจให้ดี โดยเฉพาะในเรื่องต่างๆ
เหล่านี้จำเป็นต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ

1. ต้นทุนการผลิต
นับจากนี้ไปต้องเข้าไปดูแลอย่างจริงจังแล้วว่าต้นทุนการผลิต ยัง
สามารถแข่งขันได้หรือไม่
โดยสิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษในช่วงที่เศรษฐกิจหดตัวคือ เรื่องสงครามราคา
ฉะนั้นหากต้นทุนไม่สามารถแข่งขันได้จะลำบาก

2. ผู้ประกอบการควรเลิกคิดว่าธุรกิจของผู้อื่นดีกว่า
แต่ควรคิดว่าเราแตกต่างอย่างไร ต้องใช้ความต่างให้เป็นประโยชน์

3. ต้องให้ความสำคัญเรื่องการตลาด เพราะในขณะที่เศรษฐกิจหดตัว
เราต้องพยายามขายสินค้าให้อยู่ในปริมาณเท่าเดิม
ซึ่งการตลาดคงต้องทำงานหนักขึ้น
และยังท้าทายความสามารถในการที่จะไปหยิบโอกาสของธุรกิจนั้นขึ้นมา

ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่ศูนย์บริการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8161 หรือที่ head@boi.go.th

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000060948

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น