...+

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เวทีนโยบาย:'พ.ร.บ.เข้าชื่อเสนอกฎหมาย' ปฏิบัติการอำนาจภาคประชาชน

โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ


ปราชญ์จีนโบราณกล่าวไว้คมคายว่าการเขียนกฎหมายต้องเขียนให้ทั้งคนโง่และฉลาด
เข้าใจได้ถ้วนทั่วทุกคน โดยเขียนให้กระจ่างแจ้ง มีความหมายชัดเจน
ประชาชนเข้าใจได้ง่ายที่สุด เพราะกฎเกณฑ์ใดๆ
ที่คนเฉลียวฉลาดหรือบุคคลที่มีคุณค่าเท่านั้นสามารถเข้าใจได้
กฎเกณฑ์นั้นๆ ไม่อาจใช้เป็นกฎหมายบ้านเมือง
เนื่องจากประชาชนไม่ได้เฉลียวฉลาดหรือเป็นบุคคลที่มีคุณค่ากันทุกคน

ด้วยกฎหมายบังคับใช้กับทุกคนเหมือนกัน
ไม่อาจอ้างความไม่รู้ไม่เข้าใจกฎหมายมาโต้แย้งได้
กฎหมายจึงควรเขียนขึ้นเพื่อประชาชน โดยประชาชน
ด้วยภาษาเข้าใจง่ายแต่บิดเบือนยาก

ทว่าสำหรับเมืองไทย
กฎหมายแต่ละวรรคแต่ละมาตราแต่ละฉบับนอกจากเขียนอย่างสลับซับซ้อนจนคนทั่วไป
ไม่สามารถเข้าใจได้โดยหน่วยงานและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่หลายครั้งเข้า
ข่าย 'เนติบริกร'
ให้บริการทางกฎหมายแก่กลุ่มกุมอำนาจแบบขาดมโนธรรมและหิริโอตตัปปะแล้ว
ยังยากต่อการนำไปปฏิบัติใช้ด้วยขัดกับวิถีชีวิตวิถีวัฒนธรรมและภูมิปัญญา
ชุมชนท้องถิ่นเพราะขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนนับแต่ขั้นแรกเริ่มถึง
ท้ายสุด

นาน มากแล้วที่การตัดภาคประชาชนออกจากการกำหนดกฎหมายโดยฝ่ายบริหารและ
นิติบัญญัติสร้างผลผลิตผิดเพี้ยนสู่สังคมไทยไม่น้อยทั้งโดยรูปแบบและเนื้อหา
ซุกวาระซ่อนเร้น (Hidden agenda) ทำลายหลักขัดกันแห่งผลประโยชน์
(Conflict of interest) จนถึงขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ

กระทั่งฝั่งตุลาการต้องอภิวัฒน์ตรวจสอบสองอำนาจข้างต้นตามหลักการ
แบ่งแยกอำนาจที่เป็นพื้นฐานหลักนิติรัฐ (The Rule of Law)
เพื่อคุ้มครองสิทธิปัจเจกบุคคลจากการใช้อำนาจมหาชนของรัฐ เท่าๆ
กับหยุดยั้งห้วงยามคอร์รัปชันเฟื่องฟูจากรัฐบาลที่ได้อำนาจปกครองประเทศโดย
วิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

อนึ่ง อีกหนึ่งทางออกของปรากฏการณ์ดังกล่าวคือการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประชาชน
โดยมาตรา 163 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
ได้แก้ไขจำนวนประชาชนที่จะเข้าชื่อเสนอกฎหมายจากเดิมที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.
2540 กำหนด 50,000 คนเหลือแค่ 10,000 คน เพื่อความสะดวกคล่องตัวยิ่งขึ้น
รวมถึงกำหนดให้ในการพิจารณาร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอมานั้นจะต้องประกอบด้วย
ผู้แทนของประชาชนที่เข้าชื่อเสนอ พ.ร.บ.นั้นๆ จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3
ของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมดด้วย

ทั้งนี้ กำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 10,000
คนมีสิทธิเข้าชื่อเพื่อเสนอร่างกฎหมายที่จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องสิทธิและ
เสรีภาพของชนชาวไทย และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐต่อประธานรัฐสภา
และต้องจัดทำร่างกฎหมายที่ต้องการเสนอมาด้วย
โดยอาจขอให้องค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมายหรือขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อ
พัฒนาการเมืองภาคพลเมืองช่วยเหลือร่าง พ.ร.บ.ให้

ในห้วงปัจจุบันจึงน่าจะสัมฤทธิผลกว่า
เพราะไม่เพียงมีหน่วยงานสนับสนุนชัดเจน
ทว่ายังลดจำนวนพลเมืองผู้ตื่นตัวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงลง
ตลอดจนลดเวลาและขั้นตอนยุ่งยากอย่างหลักฐานแสดงตนก็เหลือแค่เอกสารที่ออกโดย
หน่วยงานราชการ เช่น บัตรประชาชน ใบขับขี่

นั่นน่าจะทำให้ได้ พ.ร.บ.จากการริเริ่ม (Initiative)
ของภาคประชาชนมากกว่าทศวรรษผ่านมาที่ได้เพียง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.
2550 ฉบับเดียวเท่านั้นจากความพยายามทั้งหมด 16 ครั้ง
แยกเป็นการเข้าชื่อเสนอกฎหมายกันเอง 10 ฉบับ เช่น ร่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชน
พ.ศ. .... และเสนอผ่านการจัดการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 6 ฉบับ
เช่น ร่าง พ.ร.บ.ธนาคารหมู่บ้าน พ.ศ. ....

ถึงกระนั้นก็จำต้องเร่งบัญญัติหลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อ
รวมทั้งการตรวจสอบรายชื่อของผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายให้สอดคล้องรัฐธรรมนูญ
พ.ศ. 2550 แทน พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2542
โดยวันนี้มีร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... แล้ว 3
ฉบับ ทั้งของรัฐบาล สถาบันพระปกเกล้า และมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.)
ที่ถึงจะมีจุดร่วมเดียวกัน คือ
เปิดโอกาสภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนริเริ่มตรากฎหมาย (Right to initiate
bills) เพื่อสร้างการเมืองภาคพลเมืองควบคู่กับการเมืองภาคนักการเมืองที่รวบอำนาจ
การปกครองมาเนิ่นนาน

หากทว่าฉบับผลผลิตของ
มสช.จะมาจากรากความต้องการของประชาชนหลากหลายกลุ่ม คงให้น้ำหนักช่องทาง
กกต. แทนรวมศูนย์สำนักงานเลขาธิการรัฐสภาที่มีแค่กรุงเทพฯ
และกำหนดกรอบเวลารวดเร็วแน่นอนทุกกระบวนการตั้งแต่ต้น ตรวจสอบรายชื่อ
คัดค้านรายชื่อ จนถึงสุดท้ายการพิจารณาของรัฐสภา
และที่สำคัญรัดกุมกับประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291(1) มากกว่า

เนื่องจากมาตราข้างต้นกำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อย
กว่า 50,000 คน มีสิทธิเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้
ตราบใดไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา
กษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ
โดยหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอ
กฎหมาย

แม้การเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะยึดหลักการแก้ไขได้ง่ายโดย
ประชาชนเข้าชื่อ 50,000 ชื่อ
รวมถึงมีตัวแทนเข้าชี้แจงเหตุผลและร่วมเป็นกรรมาธิการเพื่อพิจารณาแก้ไข
หากก็ไม่ควรง่ายดายขนาดจัดตั้งรวบรวมรายชื่อประชาชนแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อ
'ฟอกผิดเป็นถูก-ถูกเป็นผิด' ได้
เพราะต้องตระหนักเสมอว่าถ้าเพียงลิดกิ่งก้านความชั่วร้ายแต่ไม่โค่นต้นไม้
นั้นลงเสีย ก็ย่อมจะเจริญเติบโตอีกครั้ง
ดุจเดียวกับกฎหมายบ้านเมืองต้องกำจัดความชั่วร้ายสิ้นซาก
หากไม่แล้วความหายนะจะกลับมาอีกครา

ประชาชนจึงต้องเปลี่ยนตนเองเป็นพลังพลเมืองทั้งนำเสนอและยับยั้ง
กฎหมายในห้วงเดียวกันเพื่อถ่วงดุลอำนาจการเมืองของนักการเมือง
โดยต้องกระทำด้วยความรอบคอบว่ากฎหมายที่นำเสนอหรือคัดค้านนั้นมีสารัตถะที่
เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมแท้จริงหรือไม่ก่อนลงรายมือชื่อ
ขณะเดียวกันผู้แทนการเสนอกฎหมายก็ต้องศึกษากฎหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงมาจน
ถึงประกาศรัฐสภาเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
เรียนรู้รูปแบบการนำเสนอกฎหมาย
รวมถึงวิธีบันทึกสรุปสาระสำคัญและคำชี้แจงความมุ่งหมาย
เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาของรัฐสภา

มากกว่านั้นระยะเฉพาะหน้าต้องร่วมกันผลักดันร่าง
พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายภาคประชาชนให้สามารถรวบรวมรายชื่อครบ
10,000 คน เพื่อจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาของรัฐสภาให้ได้ในเร็ววัน
และมีสิทธิเสียงเจรจาต่อรองขึ้นมากจากการเป็นกรรมาธิการร่วม 1 ใน 3

ไม่เช่นนั้นเครื่องมือนี้จะพลังลดลงมหาศาลจากการขีดเขียนกฎหมายที่
ขัดขวางการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน
และหล่อเลี้ยงขวากหนามแหลมคมคอยทิ่มแทงพลเมืองผู้กระตือรือร้นต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องหลักฐานอย่างทะเบียนบ้านที่นำความยุ่งยากมาให้ทั้ง
ประชาชนและผู้แทนเสนอกฎหมาย การตรวจสอบหลักฐานยืดเยื้อยาวนานมากขั้นตอน
ตลอดจนกระบวนการยกร่างกฎหมายก็จำกัดสิทธิประชนเข้าร่วมดังเดิม

ทั้งๆ ที่ควรสนับสนุนประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมปฏิบัติการทางการเมืองเพื่อเรียนรู้
สิทธิและเสรีภาพสูงสุด
ฝึกฝนทักษะอำนาจการเรียกร้องให้ผู้อื่นกระทำการหรือละเว้นกระทำการอันใดอัน
หนึ่ง หรือใช้อำนาจตนเองตัดสินใจกระทำการหรือไม่กระทำการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจาก
การแทรกแซง

ด้วย อำนาจอธิปไตยจักเป็นของปวงชนแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อประชาชนเตือนตนตลอดเวลาว่า
การหย่อนบัตรเลือกตั้งมิใช่วิถีทางเดียวของระบบประชาธิปไตย
แต่ต้องการการมีส่วนร่วมมากจากประชาชน
โดยเฉพาะขณะประเทศท่วมท้นทุจริตคอร์รัปชันจากกลุ่มกุมอำนาจที่ไม่เพียงเพิก
เฉยกลับกลบเกลื่อนความผิดเคยกระทำผ่านการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยวาทกรรม
ความสมานฉันท์

ใช่ว่ารัฐธรรมนูญแก้ไขไม่ได้
ด้วยยุคสมัยผ่านพ้นไปก็ควรปรับปรุงกฎหมายให้เหมาะสมกับสถานการณ์จริง
การปกครองบ้านเมืองถ้าใช้กฎหมายตายตัวก็จะนำไปสู่การตัดสินที่ไม่ถูกต้อง
ด้วยเหตุผล พอๆ กับการไม่ใช้กฎหมาย
เพราะบ้านเมืองก็อยู่ไม่ได้ตามไปด้วยดังปราชญ์จีนเตือนสติไว้

ทาง รอดของชาติบ้านเมืองจึงต้องสร้างสรรค์ประชาชนที่รู้เท่าทันการแก้ไขเพิ่ม
เติมรัฐธรรมนูญคู่เคียงกับปฏิบัติการทางอำนาจเข้าชื่อนำเสนอกฎหมายสม่ำเสมอ
เพื่อรักษาสิทธิและเสรีภาพตามระบบประชาธิปไตยไม่ให้ถูกลิดรอน.

เวทีนโยบายสาธารณะ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000058453

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น