...+

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

©© จดหมายรัก คนเสื้อแดง ©©

โดย ไทยทน    

สีแดงเป็นสีที่มีความหมาย หมายถึงประชาชนคนไทย 65 ล้านคน คนไทยทุกคนมีเลือดสีแดง มีความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย (สีแดง) มีหลักธรรมและคุณธรรม (สีขาว) และมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักเทิดทูนของพสกนิกรไทยทั้งประเทศ เป็นศูนย์รวมดวงใจ (สีน้ำเงิน) ร่วมกัน คนไทยทั้ง 65 ล้านคน จึงพึงรักสามัคคีกัน โดยเฉพาะผู้นำประเทศ พึงนำประชาชนให้ไปสู่ความรักสามัคคีของคนในชาติ ไม่มีความแตกแยก
      
       จดหมายรัก “คนเสื้อแดง” ฉบับนี้ จึงขอแสดงความรักผ่านแง่คิดมุมมองบางประเด็น ดังต่อไปนี้
      
       1. คนไทยพึงรักสามัคคีกันทุกคน ทุกสี : จะ มีประโยชน์อันใด หากคนไทยไม่รักกัน แบ่งเป็นสีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน คนเสื้อแดงไม่ยอมซื้อของจากคนเสื้อเหลือง คนเสื้อเหลืองไม่ยอมขึ้นแท็กซี่ของคนเสื้อแดง คนเสื้อเหลืองกับคนเสื้อแดงต้องทะเลาะกันเมื่อพบกัน สังคมที่ไม่รักสามัคคีกัน จะมีพลังได้อย่างไร หากสังคมแตกแยกถึงขั้นสร้างความลำบากต่อกัน ทำร้ายกัน สร้างอันตรายถึงชีวิตกันจนบ้านเมืองอาจวอดวาย เราและลูกหลานเราจะมีสันติสุขอย่างวันดีๆ ที่คนไทยเราเคยมีตลอดมาได้อย่างไร
      
       สังคมจะรักและเข้าใจกันเพียงใด เริ่มที่การชี้นำของผู้นำ เราจึงอยากเห็นผู้นำที่ไม่สร้างความแตกแยก ไม่เติมไฟในความขัดแย้ง และประชาชนไม่ต้องมีสีที่แตกต่าง ความแตกต่างทางการเมืองก็ดำเนินการผ่านสภา ความแตกต่างทางคดีก็ดำเนินการในศาล และประชาชนก็ติดตามเอาใจช่วยด้วยเสรีภาพที่มีตามระบอบประชาธิปไตย แต่ยังรักสามัคคีกัน ไม่ต้องทะเลาะกัน
      
       2. ให้ความรักชนะความโกรธ : ใน ทุกระดับของสังคม ครอบครัว ที่ทำงาน หรือประเทศชาติ ความโกรธไม่สามารถจบสิ้นได้ ที่ฝ่ายหนึ่งกำราบอีกฝ่ายหนึ่งให้หมดสิ้นขวากหนาม แต่พึงเอาความรักชนะความโกรธ
      
       เราโชคดี ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้นำที่ไม่สร้างความรู้สึกแตกแยก ไม่เติมไฟในความขัดแย้ง เราจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงจากทีวีรัฐที่เชียร์แต่ผู้นำเสื้อแดง เย้ยหยันคนเสื้อเหลือง แล้วเปลี่ยนเป็นทีวีรัฐที่เชียร์แต่ผู้นำเสื้อเหลือง หรือเสื้อน้ำเงิน เราไม่เห็นความเย้ยหยันคนไทยด้วยกัน
      
       และที่สำคัญ นายกฯ อภิสิทธิ์ ได้แสดงความรักที่ยิ่งใหญ่ ด้วยชีวิตของท่านเอง ท่านถูกมุ่งทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ เมื่อติดไฟแดงที่พัทยา ท่านถูกความพยายามทำให้เสียหน้า ด้วยการลงทุนถึงทำลายศักดิ์ศรีของประเทศด้วยการทำลายประชุมผู้นำอาเซียน ท่านถูกมุ่งทำร้ายอีกครั้งที่กระทรวงมหาดไทย หากถูกจับตัวได้คล้ายๆ คุณนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ก็อาจหัวแตกเหมือนกัน หรือยิ่งกว่านั้น ท่านก็เป็นปุถุชน ย่อมมีความรู้สึกได้
      
       ในขณะที่ท่านมีอำนาจในมือ มีกำลังทหารที่พร้อมด้วยอาวุธ และในขณะที่มีภาพกลุ่มคนเสื้อแดงที่ก่อความวุ่นวาย ปิดการจราจรจนผู้คนมากมายไม่พอใจเอารถแก๊สมาตั้ง ทำให้คนมากมายหวาดกลัว เผารถเมล์ เผายางทำให้บ้านเมืองเกิดบรรยากาศลุกเป็นไฟ ขณะที่มีคนไทยบางส่วนเอาใจช่วยคนเสื้อแดง ก็มีคนไทยจำนวนมาก อยากเห็นรัฐบาลใช้อำนาจเด็ดขาด เพื่อเอาผิดกลุ่มเสื้อแดงผู้สร้างความเดือดร้อนเหล่านี้ ย่อมเป็นเหตุให้นายกฯ อภิสิทธิ์แสดงอำนาจบารมี ตอบโต้คนเสื้อแดงอย่างเด็ดขาดได้ คนจะได้กลัว และไม่กล้าทำร้ายท่านอีกต่อไป
      
       แต่ท่านกลับใช้วิธีแห่งความรัก ความให้อภัย ความเข้าใจ ความถ่อม การใช้กำลังยุติการชุมนุม ทำด้วยความใจเย็น ไม่มุ่งทำลายประชาชนคนไทยร่วมชาติ เพียงหวังให้ผู้เข้าใจผิดและไม่เห็นด้วยกับการต่อสู้ด้วยวิธีการรุนแรงแยก ย้ายกันกลับบ้าน ท่านไม่โกรธ ท่านไม่เติมไฟความโกรธ ท่านเป็นแบบอย่างของผู้นำที่จะสร้างความรักความสามัคคีให้คนไทยกลับมารัก สามัคคีกันได้ต่อไปอย่างแท้จริง
      
       3. คดีว่ากันตามกระบวนการยุติธรรม : คน ไทยทุกคนควรอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่มี 2 มาตรฐาน รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ควรให้มีการบังคับใช้กับทุกคนเหมือนกัน การที่อดีตนายกฯ ทักษิณ กล่าวอ้างว่าถูกกลั่นแกล้งด้วย “กระบวนการยุติความเป็นธรรม” นั้น แต่ท่านก็ไม่เคยหาหลักฐานมาหักล้าง
      
       เช่น คดีที่ดินรัชดาฯ ท่านมักจะบอกว่า ภรรยาซื้อที่ดินธรรมดา แต่ไม่สามารถกลบเกลื่อนหลักฐานว่า รอบก่อนหน้าภรรยาท่านประมูลราคากลางอยู่ที่ 870 ล้านบาท วางมัดจำ 10 ล้านบาท มีผู้วางมัดจำ 10 ล้านบาทแล้ว 3 รายแต่กลับไม่ได้ยื่นซอง และในการจัดประมูลรอบใหม่ ยกเลิกราคากลาง เพิ่มมัดจำเป็น 100 ล้านบาท และภรรยาท่านซื้อไปที่ 772 ล้านบาท หลังจากนั้น มีการเปลี่ยนกฎแก้ไขข้อจำกัดความสูงของอาคารเอื้อประโยชน์ต่อภรรยาท่าน ท่านไม่ได้ชี้แจงอธิบายใดๆ เรื่องนี้
      
       ท่านมักจะบอกว่า ถูกกลั่นแกล้งจาก คมช. หรือ คตส. แต่หลักฐานที่เขาพบ เช่น วันที่ 31 สิงหาคม 2543 นายพานทองแท้ ต้องทำหนังสือสัญญาใช้เงิน 4,500 ล้านบาท ให้แม่ 1 วัน ก่อนโอนหุ้นชินฯ ให้ในวันที่ 1 กันยายน 2543 ท่านมักจะบอกว่าเป็นการโอนหุ้นในครอบครัวธรรมดา แล้วหนี้ 4,500 ล้านบาท คือหนี้ค่าอะไร ท่านไม่เคยตอบ แกนนำทุกคนไม่เคยให้คำตอบ แต่มันเป็นหลักฐานว่า เอาหุ้นไปเก็บไว้เฉยๆ เลี่ยงรัฐธรรมนูญ (ฉบับ 2540) เพื่อให้นายกฯ อยู่ในตำแหน่งได้ เอื้อประโยชน์ได้นับหมื่นนับแสนล้านบาท เช่น การลดส่วนแบ่งรายได้รัฐกรณีบัตรพรีเพด และการให้ภาระภาษีสรรพสามิต เป็นของ ทศท. ฝ่ายเดียว เป็นต้น และอีกหลายกรณี
      
       ท่านไม่ควรสู้คดี ด้วยการหลอกให้คนสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง แต่ควรสู้ด้วยหลักฐานในศาล ประชาชนก็รักความเป็นธรรม ติดตามการพิสูจน์หลักฐานให้กระจ่างดีกว่า สังคมจะได้ไม่อยู่ในความเท็จต่อไป
      
       4. เรื่องการเมือง ว่ากันตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ : ต่าง กับในที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่ตอบกระทู้ในสภาฯ ยุบสภาฯ เมื่อจะมีการซักฟอกกรณีหุ้นชินคอร์ปฯ ในสมัย นายกฯ อภิสิทธิ์ ท่านเปิดโอกาสให้ผู้เห็นต่าง ฝ่ายค้าน (ระดับดาวสภาฯ) ซักถาม ซักฟอกเต็มที่ ไม่มีความจำเป็นต้องต่อสู้ทางการเมืองนอกสภาฯ อีกต่อไป ประชาชนย่อมสามารถใช้สิทธิผ่านผู้แทนของเราในสภาฯ ได้
      
       5. ประเมินผู้นำให้กระจ่าง : มีความจริงหลายเรื่องที่ทุกคนควร “รู้ความจริง” ให้ตรงกัน
      
       ... จริงหรือที่ทักษิณเป็นผู้กู้ชาติจากวิกฤต 2540 : ทั้งๆ ที่รัฐบาลที่กู้ IMF ก็คือรัฐบาลชวลิต ซึ่งท่านทักษิณสนับสนุนมาโดยตลอด ในวันที่ 14 สิงหาคม 2540 และท่านก็เข้าไปเป็นรองนายกฯในวันที่ 15 สิงหาคม 2540 และก่อนหน้านี้ ท่านก็ส่ง นายทนง พิทยะ เป็นรัฐมนตรีคลังเพียงประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งเสนาะกล่าวหาว่า ท่านรวยเพราะค่าเงิน เหมือนเผาบ้านเมืองเอาประกัน และทักษิณมักจะฟ้องผู้ใส่ร้ายท่านเสมอ แต่ไม่เคยฟ้องหมิ่นประมาทเสนาะเรื่องนี้เลย
      
       ... จริงหรือที่ทักษิณ “ไม่กู้เงิน” : ยุครัฐบาลชวลิต ที่ท่านเข้าเป็นรองนายกฯ ก็สร้างหนี้รัฐโดยรับหนี้เอกชนจาก 56 ไฟแนนซ์เป็นหนี้รัฐหลายแสนล้านบาท ในยุคท่าน ทั้งสร้างหนี้ภาคประชาชนเพิ่มเติม ซ่อนหนี้เพิ่มเติม เช่น กองทุนศูนย์ราชการ ก็ซ่อนหนี้ในรูปภาระการจ่ายค่าเช่า กองทุนวายุภักย์ ก็ซ่อนภาระในการซื้อคืนกองทุนใน 10 ปีข้างหน้า ฯลฯ นอกจากนั้น ท่านยังขายและพยายามขายทรัพย์สินชาติมากมาย เช่น หุ้น ปตท. หุ้น กฟผ. ฯลฯ
      
       ... จริงหรือที่ทักษิณเป็นผู้นำรักษาประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ : ท่านอ้างว่าต่อต้าน คมช. ทั้งๆ ที่รัฐบาลขิงแก่ก็ลงจากอำนาจแล้ว แต่จริงๆ ท่านเคยขอสัมปทานจากเผด็จการ รสช. และเมื่อท่านมีปัญหา ท่านก็หารือ พลเอกสุจินดา และท่านเป็นผู้นำอย่างไร ยุยงจากต่างประเทศ แต่ครอบครัวหนีไปก่อนสร้างความวุ่นวาย แล้วใครจะรับผิดชอบคนเสื้อแดงที่ออกมาด้วยใจบริสุทธิ์ ท่านอ้างว่า “วันใดเสียงปืนแตก ท่านจะกลับมานำประชาชน” แล้วท่านอยู่ไหนครับ มันวุ่นวายน้อยไปหรือครับ ท่านจึงยังไม่กลับมา
      
       เราคนไทย ไม่ต้องโกรธกัน รักกันได้เสมอ เรื่องการเมืองเดินผ่านสภาฯ เรื่องคดีสู้ด้วยหลักฐานและความจริง บ้านเมืองก็สงบสุขครับ
      
       คนไทยสีใดๆ ก็รักสามัคคีกันครับ บ้านเมืองจะได้สันติสุขคืนมา เรารักคนเสื้อแดง เหลือง น้ำเงิน และทุกๆ สีครับ
      
       หมายเหตุ : ไทย ทนขอชวนท่านผู้อ่าน โหลดข้อมูล หรือทำสำเนาออกแจกจ่ายให้แท็กซี่ มอเตอร์ไซค์ ตอนชำระเงิน ด้วยความรัก ไทยทนเชื่อว่า การสร้างความรัก ความสามัคคีกลับคืนมา เป็นหน้าที่ของเราคนไทยร่วมชาติทุกคนครับ

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000044213

1 ความคิดเห็น:

  1. ผมขอถามหน่อยสิ่งที่อธิบายมามันพิสูจน์ได้จริงหรือไม่ เราอย่าไปคิดมากเกินตัวนี้คือข้อเสียของประชาธิปไตยถ้าคนยังคิดมากไป เป็นประชาชนเหมือนไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่าเท่าไหร ผมคิดอย่างนี้ คุณรู้ความผิดคนอื่น คนอื่นก็รู้ความผิดของคุเหมือนกัน มีคนคิดเหมือนคุณ บอกว่าพวกเสื้อแดงโง่ ผมว่าอย่าโง่กว่าเราแล้วกันคิดย้อนไปมันถูกแล้วหรือที่ทําลงไป ถ้าทําถูกต้องไม่มีมวลชนคนไหนมาลําบากประท้วงหลอก สุดท้ายนะ (คิดเหมือนเด็กทําเหมือนผู้ใหญ่ดีกว่า /ppp.ya

    ตอบลบ