...+

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2552

ให้กำลังใจครอบครัว “ธาตุนิยม”

โดย อุษณีย์ เอกอุษณีษ์

การเดินทางไปร่วมคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 5 ที่จังหวัดนครราชสีมา ทำให้ดิฉันได้มีโอกาสพบและพูดคุยกับคุณนาวี ธาตุนิยม สามีของพี่รุ่งทิวา ร่วมหลายชั่วโมง ทำให้ได้รับรู้ว่าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา วิถีชีวิตของคนข้างหลังในครอบครัว “ธาตุนิยม” ต้องเปลี่ยนไปมากแค่ไหน จากครอบครัวเล็กๆ ที่มีสามี ภรรยา และลูกๆ ที่น่ารัก เปิดร้านขายยา – ร้านหนังสือพิมพ์เล็กๆ ที่ปากช่อง ทำงานด้วยความมุมานะเก็บหอมรอมริบ จนมีฐานะที่แข็งแกร่ง
      
        วันนี้ลูกสาวของพี่รุ่งทิวากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ น้องของเรากำลังจะสอบเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 คุณพ่อนาวีเล่าว่า ลูกสาวแม้ไม่ใช่คนเก่งกาจ แต่มีความมานะพยายาม จะทำอะไรแล้วตั้งใจจะต้องทำให้ได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คุณพ่อนาวีเฝ้าเพียรพยายามขับรถไปรับ-ส่งลูกสาวด้วยตนเอง เส้นทางจากปากช่องไปตัวเมืองโคราชไม่ใช่ใกล้ๆ ถ้าต้องไปกลับเกือบทุกวัน แต่คุณพ่อทำได้เพื่อให้หนูน้อยได้เรียนพิเศษ และกลับบ้านอย่างปลอดภัย พี่นาวีเล่าว่า สมัยพี่รุ่งทิวายังดีๆ อยู่ บ่อยครั้งจะแกล้งเย้าคุณพ่อว่า “เธอจะเทียวไปเทียวมาทำไมหลายต่อหลายครั้งนะ” คุณพ่อบอกว่าก็เพื่อลูกๆ ไงแล้วพี่รุ่งทิวาของเราก็ยิ้มรับ แต่มาวันนี้หนูน้อยใกล้จะต้องลงสู่สนามสอบจริงแล้ว เขาต้องการกำลังใจอย่างใหญ่หลวง วันนี้พี่นาวีจึงเข้าไปกระซิบที่ข้างหูโดยบอกกับภรรยาว่า “ลูกจะสอบแล้วนะ ตื่นมาเป็นกำลังใจให้ลูกเร็วๆ นะ”
      
        ชีวิตของพี่นาวีเปลี่ยนไปมากหลัง 7 ตุลาคม 2551 จากที่เคยมีภรรยาช่วยเหลือเรื่องการงานและครอบครัว แต่มาวันนี้พี่นาวีต้องรับผิดชอบทุกวันเองคนเดียว ต้องขับรถขึ้นลงกรุงเทพฯ-ปากช่อง เพื่อมาดูแลภรรยาที่นอนป่วย และกลับไปคอยดูแลลูกๆ ในฐานะที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลานี้ ลูกสาวของพี่นาวีและพี่รุ่งทิวา กำลังอยู่ในวัยเติบโต น้องต้องการคุณแม่เป็นที่ปรึกษาในทุกเรื่อง ซึ่งบางครั้งคุณพ่อก็ไม่อาจให้คำปรึกษาได้ นั่นยังไม่รวมลูกชายคนโตที่แม้จะเคยติดเพื่อนและหลงใหลในชีวิตวัยรุ่น แต่หลังจากที่พ่อแม่ใช้ความรักชักพาเขากลับสู่อ้อมอก ก็บังเอิญเป็นความโหดร้ายอย่างเหลือเกิน ที่ฟ้าจะมาพรากคุณแม่ของเขาให้ห่างไกลออกไปอีก
      
        หลังเวทีคอนเสิร์ตการเมืองฯ แกนนำพันธมิตรฯ เพียรพยายามหมุนเวียนเข้าไปพูดคุยให้กำลังใจพี่นาวี หนึ่งในนั้นมีอาจารย์พิภพ ธงไชย เข้าไปถามด้วยความเป็นห่วงว่า พันธมิตรฯ ของเราให้การช่วยเหลือครบถ้วน หรือขาดตกบกพร่องอะไรขอให้บอก เชื่อไหม สิ่งที่พี่นาวีตอบออกไป ใครได้ฟังคงรู้สึกไม่ต่างกัน คือ เหมือนจะมีก้อนสะอื้นขนาดใหญ่วิ่งขึ้นมาจุกที่อก ตื้นตันไปหมดจนหายใจไม่ออก พี่นาวี ธาตุนิยม สามีของพี่รุ่งทิวาพูดว่า “ไม่อยากให้พันธมิตรฯ ทุกคนเข้าใจผิด แกนนำและเพื่อนพันธมิตรฯ ดูแลผมและครอบครัวอย่างดีมาก จนผมรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่เคยได้รับอะไรอย่างนี้มาก่อน”
      
        ใช่แล้วค่ะ พี่นาวีเล่าว่า ข้างๆ พี่รุ่งทิวา มีคุณหมอ และนางพยาบาลของโรงพยาบาลจุฬาฯ ที่ดูแลอย่างดีไม่ต่างจากญาติมิตร มีพี่ปอง อัญชะลี เพียรพยายามไปเยี่ยมอยู่เสมอๆ และคอยให้กำลังใจ มีแกนนำที่ห่วงใย มี ASTV เป็นบ้านหลังใหญ่ให้คนเจ็บจากสู้รบได้มาซุกตัวรักษากายใจ มีพันธมิตรฯ หลายท่านที่แม้อาจไม่รู้จัก หรือพูดคุยกันมาก่อน แต่ก็วนเวียนมาให้กำลังใจครอบครัวนี้เสมอ
      
        และที่สำคัญที่สุด มีพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถที่ทรงรับพี่รุ่งทิวา ไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ได้ดลบันดาลให้ความหวังในการรอดชีวิตของพี่รุ่งทิวาที่เหลือเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาทันที
      
        มีอยู่ประโยคหนึ่งที่พี่นาวี ธาตุนิยมพูดออกมาในวันนั้น แล้วทำให้ดิฉันรู้สึกว่าอยากจะให้เสียงของพี่นาวี ดังคับฟ้าออกไปไกลถึงหูคนในทำเนียบรัฐบาล พี่ของเราบอกว่า “ถ้าการเสียสละของภรรยาผมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองเราได้ ผมคิดว่าคุ้มค่านะ แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงแค่เพียงเล็กน้อยก็ยังดี”
      
        เรื่องเล่าถึงพี่รุ่งทิวายังมีอีกมาก ด้วยความที่มีใจรักความเป็นธรรม รักบ้านรักเมือง พี่รุ่งทิวาไปร่วมการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่ปี 2549 แล้ว จนกระทั่งการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ รอบล่าสุดก็ไปร่วม มีอยู่ครั้งหนึ่ง พี่รุ่งทิวาไปร่วมชุมนุมแล้วกลับมาในสภาพที่เดินขากะเผลก ด้วยความเป็นสามีที่ห่วงใยก็เฝ้าไถ่ถามภรรยาจนได้ความว่า พี่รุ่งทิวามาร่วมชุมนุม และนั่งฟังการปราศรัยบนพื้นถนนที่ร้อนระอุ กระทั่งกลับมาบ้านจึงพบว่า สะโพกทั้งสองข้าง ซ้ายและขวาบวมมาก เพราะความร้อนของพื้นถนนคอนกรีตในวันนั้นนั่นเอง
      
        7 ตุลาคม 2551 เป็นวันมหาวิปโยคที่ไม่มีใครเชื่อว่า จะยังมีภาพเหตุการณ์ที่โหดร้ายเช่นนั้นหลงเหลืออยู่ในโลกยุคนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีภาพที่ “มนุษย์” ทำกับ “มนุษย์” ด้วยกันอย่างเลือดเย็น ในวันนั้นตามข่าวระบุว่า คุณรุ่งทิวา ทราบว่าจะมีเป่านกหวีดครั้งใหญ่ ก็จัดการธุระส่วนตัวเสร็จสรรพ ก่อนจะตีรถเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อมุ่งหน้ามายังทำเนียบรัฐบาล และหลังจากออกเดินทางมาวันนั้น เชื่อหรือไม่ว่า จนกระทั่งผ่านไป 5 เดือนแล้ว พี่สาวเรายังไม่ได้กลับบ้านเลย แม้ไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านอีกหรือไม่ แต่พี่นาวีบอกว่า ได้จัดเตรียมห้องใหม่สำหรับภรรยาแล้ว ห้องนั้นกว้างขวาง ทาสีใหม่สวยงาม และที่สำคัญอยู่ใกล้ลูกๆ และสามีนิดเดียวเท่านั้นเอง
      
        มาจนถึงวันนี้ ผลจากการต่อสู้ 193 วัน การสูญเสียของชีวิตนับสิบ สูญเสียอวัยวะอีกนับไม่ถ้วน สูญเสียโอกาสของครอบครัวหลายครอบครัวที่ไม่ได้มีชีวิตพร้อมหน้าพร้อมตากัน อีกครั้ง และสำหรับบางคนอาจจะสูญเสียหัวใจของเขาไปตลอดกาลกับคนรักที่จากไป ถามว่า ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาบ้าง ใช่ เรามีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีรองนายกฯ ด้านความมั่นคงคนใหม่ มีฝ่ายค้านพรรคใหม่ แล้วไงต่อ
      
        ในเมื่อเรายังมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนเดิมที่อยู่ร่วมเหตุการณ์สั่งฆ่า ประชาชน มีพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ที่พยายามทำทุกวิถีทางกระทั่งให้ทนายที่รู้จักหาทางฟ้องศาล เพื่อหวังผลให้มีการระงับกระบวนการสอบสวนสำนวนคดีของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ที่ส่งต่อไปยัง ป.ป.ช. เรายังมีนายตำรวจที่เบื้องหน้าออกมาขอโทษขอโพยคุณแม่น้องโบว์ เพื่อขอไกล่เกลี่ยคดี
      
        แต่ไม่กี่วันต่อมา มันก็ปล่อยให้สำนักงานพิสูจน์หลักฐานซังกะบ๊วยออกมาเล่นกลใส่ร้ายน้องสาวของ เรา และยังมีคนระดับเสนาบดีของบ้านเมืองที่เบื้องหน้าทำท่าสลดหดหู่ไปร่วมงานสวด พระอภิธรรมศพพี่น้องพันธมิตรฯ พร่ำบอกว่าให้กำลังใจเสมอ แต่เบื้องหลังมันสั่งพวกมันให้ถอยห่าง และสั่งตำรวจชั่วให้จัดการอย่างเด็ดขาดกับไอ้พวกโคถึกเหล่านี้ ...คุ้มกันแล้วกับการเปลี่ยนแปลงเพียงเท่านี้ ...

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000028487

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น