...+

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552

Fwd: ไอ้เป๋...ผู้ภักดี

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

จาก วายร้ายฯ

ได้รับเมล์นี้จากกรุ๊ปเพื่อนบ้าน
เหมือนจะเคยอ่านมาแล้วแต่ก็ลืมเลือนไปเสียนาน อ่านกี่ทีก็น้ำตาร่วง
อาจเป็นเพราะรู้สึกสงสารและสังเวชใจในชะตากรรมของเจ้าเป๋และความจงรักภักดีของมัน
มองย้อนกลับมาถึงตัวเองเมื่อยามที่ทุกข์แล้วจมอยู่กับทุกข์นั้นอย่างถอนไม่ขึ้น
ระทดระท้อในการใช้ชีวิตต่อไป
ทั้งที่เรายังดีกว่ามันมากนักแล้วรู้สึกละอายใจ
ห้วงชีวิตที่เหลืออยู่เรายังสามารถเผื่อแผ่ความเมตตาให้กับสัตว์ร่วมโลกที่ยังไร้หนทางต่อสู้ดิ้นรน
เพื่อการมีชีวิตรอด
สร้างบุญบารมีให้กับตัวเองได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนกว่าลมหายใจสุดท้ายจะหมดลง
การให้..แก่สัตว์เดรัจฉานอาจจะได้บุญเพียงน้อยนิด
แต่นั่นเป็นการให้ขั้นต้นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ
เป็นการให้ที่จะเปิดใจเราได้กว้างที่สุด อย่าลืมค่ะ...ว่าทุกสิ่งในโลกนี้
1 ชีวิตมีค่าเท่ากันหมด ไม่แตกต่างกันเลย เมล์อาจจะยาวหน่อย
แต่อยากให้อ่านจนจบนะคะ...

ไอ้เป๋ผู้ภักดี

ในช่วงชีวิตของผม เคยเห็นสุนัขที่เกิดอุบัติเหตุ บาดเจ็บ
ทั้งสาหัส และไม่สาหัสมาแล้ว มากมาย ที่ตายต่อหน้าต่อตาก็นับครั้งไม่ถ้วน
เพราะเหตุว่า ผมใช้ชีวิตอยู่กับรถยนตร์บนท้องถนน แทบทุกวัน
ส่วนใหญ่สุนัขเหล่านี้ จะเป็นสุนัขจรจัด สุนัขข้างถนน ที่ไม่มีเจ้าของ
ซึ่งก็นับเป็นเวรกรรมของมันเอง บ้างก็ไล่ควบกัดกันออกมานอกถนน
รถเบรคไม่ทัน ก็โครม! บ้างก็ติดสัด วิ่งไล่ตามตัวเมีย บ้างก็ซื่อบื้อเอง
เดินข้ามถนนไม่ดูรถดูรา แต่ที่น่าสังเวช คือสุนัขที่มีเจ้าของ
และด้วยความรัก ความผูกพันที่เขามีต่อเจ้าของนั่นเอง
กลับทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
หรือตาย...เรื่องนี้จะโทษเจ้าของด้วยได้หรือเปล่า
ก็คือสุนัขที่ข้ามถนนตามเจ้าของ ซึ่งข้ามถนนไปก่อนแล้ว
หรือสุนัขเห็นเจ้าของกลับมาบ้าน แต่ลงรถ
หรือเดินอยู่อีกฟากถนนหนึ่งเตรียมที่จะข้ามมาบ้าน จึงดีใจ ข้ามไปรับ
พวกนี้โดนรถชนบ่อยครับ น่าสงสารจริงๆ ทางที่ดีหากเจ้าของเห็นสุนัขตามท่าน
หรือติดท่าน เวลาจะไปไหนมาไหน ควร เก็บ สุนัขของท่านให้ดีเสียก่อนนะครับ
จะผูก ล่าม ขังกรง ก็ดีกว่าให้เขามาบาดเจ็บสาหัส หรือจบชีวิตลง
เพราะความรัก ความซื่อสัตย์ จงรักภักดีที่มีต่อท่าน!!!
ส่วนท่านเจ้าของรถทุกคันแหละครับ ไม่มีใครซาดิสซ์ อยากชนหมา วิ่งเร็วๆ
เป็นร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ชนเข้า รถก็เสียหายหนักนะครับ กันชนบุบ ไฟแตก
กระจังยุบ ดีไม่ดีถึงหม้อน้ำก็เรื่องใหญ่ทั้งนั้น นอกจากพี่ๆ สิบล้อ
ยี่สิบล้อเท่านั้นที่ชนแล้วไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่ก็ชีวิตนะครับ
ถึงรถไม่เป็นอะไร ชนแล้วก็อดที่จะไม่สบายใจไม่ได้
สิ่งที่ผมเองเจอบ่อยและอยากเตือนกันเป็นข้อปฏิบัติเลยนะครับ คือ
เมื่อท่านเห็นสุนัขหรือหมา(คนชอบเรียกสุนัข คนไม่รักเรียกหมา..)
วิ่งตัดหน้า หรือเดินตัดหน้ารถกระทันหัน
ให้พยามยามขับเบี่ยงไปทางด้านหลังของตัวสุนัขเล็กน้อยนะครับ ส่วนมากจะพ้น
และห้ามกดแตรโดยเด็ดขาด หากท่านกดแตรเมื่อไหร่ สุนัขที่กำลังจะวิ่ง
หรือเดินพ้นไป จะวกหันกลับทันที...ก็ โครม!! น่ะซี่ครับ...

เรื่องที่จะเล่านี้เกิดขึ้นกับตัวผมเอง เมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งในขณะนั้น
ผมมีธุระกิจ ที่จะต้องไปทำ ที่บ้านเพ จังหวัดระยองแทบทุกวัน
และเมื่อทำธุระเสร็จ หรือขณะรอทำธุระ ผมมักจะขับรถไปจอดริมชายหาด
และนอนงีบพักสายตา ฟังเสียงคลื่น และสดชื่นกับลมทะเลเย็นๆ
วันแรกที่หามุมเหมาะได้ เป็นทำเลร่มไม้ใบหนา
มีร้านค้าขายของกินประเภทอาหาร เครื่องดื่ม
ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ประปราย นักท่องเที่ยวก็มากันพอสมควรนะครับ
มาปิ๊กนิก ปูเสื่อนั่งกินอะไรกันบ้าง
นั่งเก้าอี้ผ้าใบที่ทางร้านค้าจัดไว้บ้าง เนื่องด้วยบริเวณนั้น
หาดทรายสวยงาม สะอาดตา ด้วยบรรดาร้านค้าช่วยกันทำความสะอาดทั้งริมถนน
และแนวหาดทรายทุกวัน
หลังจากที่ผมจอดรถเข้าที่เข้าทางเรียบร้อย เปิดประตูรถ
ปรับเบาะเอนเต็มที่ เตรียมตัวงีบสักหน่อย
ก่อนจะหลับตาก็มองอะไรไปเรื่อยเปื่อยแหละครับ หาสาวๆ ดูเผื่อจะหลับฝันดี
แต่แล้วก็พบอะไรบางอย่าง อยู่ไม่ไกลจากรถที่ผมจอดไว้นัก
มันเป็นภาพที่ผมเห็นแล้ว อยากจะเบือนหน้าหนี...

เด็กสองสามคน กำลังไล่ขว้างปา สุนัขตัวหนึ่ง
ให้ออกพ้นไปจากร้านอาหารที่มีคนนั่งดื่มกินอยู่...อาจฟังดูแล้ว
เป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่น่าสงสารมาก คือ สุนัขตัวนั้น ไม่ธรรมดา...
สุนัขตัวนั้น ค่อยๆ กระเถิบหนี ด้วยการตะกายขาหน้า เพียง สองขา
ตั้งแต่ช่วงเอว สะโพก และขาหลังทั้งสองข้าง แหลก เหลว ลีบเล็ก ปราศจาก
กำลังวังชา และความรู้สึก!
ยิ่งตะกุยตะกายหนีห่างออกมาช้า ก็ยิ่งโดนหินที่เด็กๆ ขว้างปา ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง..
แต่จะเป็นเพราะโชค วาสนา หรือสื่อทางจิตอะไรบางอย่างไม่ทราบได้
ทำให้สุนัขตัวนั้น ค่อยกระเถิบ ถัดไถ มาทางรถที่ผมจอดไว้พอดี...

หินเล็กๆ ก้อนหนึ่ง ถูกปาเฉี่ยวรถของผมไป นั่นจึงเป็นโอกาสดี
ที่ผมจะได้ลุกออกมายืนเท้าเอว จ้องหน้าเด็กพวกนั้น...
พอเห็นท่าไม่ดี เจ้าของร้านที่เป็นผู้ใหญ่หน่อย จึงออกมาห้ามปรามลูกหลานว่า
"เฮ้ยๆ ระวังปาไปโดนรถเค้านะ..." เอ็ดลูกหลานเสร็จ ก็ไม่วายด่าว่า หมาต่อ..
"ไอ้ ห่..นี่ ชอบเข้ามาขออาหาร รบกวนแขก เดี๋ยว กูทุบหัวให้ตายซะหรอก!!"

ผมฟังแล้วก็เข้าใจ เจ้าของร้านอาหาร เห็นหมาตัวนี้
เข้าไปหาเศษอาหารในร้าน คงไม่พอใจ
เพราะมีแขกมารับประทานอาหารแล้วเป็นที่รบกวน
แต่ถ้าเป็นสุนัขจรจัดธรรมดา วิ่งหากินได้ ก็น่าเห็นใจเจ้าของร้าน
แต่ตัวนี้ น่าสงสารเหลือเกิน มันพิกลพิการอย่างสุดๆ
ไม่มีปัญญาหากินอะไรได้ เพียงขอแค่เศษอาหารตกหล่น เพียงเล็กน้อย
เพื่อต่อชีวิต และลมหายใจ อีกสักระยะเท่านั้น

เจ้าหมาเหมือนรู้ ที่ผมออกมาทำท่าห้ามปรามเด็กๆ ไม่ให้ขว้างปามัน
มันมองหน้าผม และถัดคลานเข้ามานอนหมอบข้างรถ แววตาเป็นมิตร มองดูผมเหมือนขอบคุณ

ก่อนผมจะขับรถมาจอดที่นี่ ผมเห็นร้านขายข้าวมันไก่ในตลาดเจ้าหนึ่ง
น่ากินเหลือเกิน จึงแวะซื้อติดรถมาด้วยกล่องหนึ่ง
ตั้งใจว่าเดี๋ยวเอนหลังสักงีบ ตื่นขึ้นมาก็ ได้เวลาเพล
จะซัดข้าวมันไก่ริมทะเลให้สบายพุง
แต่เมื่อเห็นหมาตัวนี้ ความน่าสงสาร ที่พิกลพิการ
ร่างกายที่ซูบผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ผมคิดว่า
ผมยอมเสียสละข้าวมันไก่กล่องนี้ให้เขาจะดีกว่า...
"เจ้าเป๋...มา มากิน.."
ผมเรียก พลางยื่นวางกล่องข้าวมันไก่ที่เปิดออกแล้ว วางไว้ใต้ต้นหูกวางข้างรถ
เจ้าเป๋ ทำท่าเลิกลั่ก คงคิดว่าฝันไป กล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ เมียงๆ มองๆ
อยู่อย่างนั้น ไม่กล้ากิน
ผมจึงค่อยๆ ย่องกลับเข้าไปในรถ เพื่อให้ห่างออกมาหน่อย เขาจะได้ไม่ระแวง
สักพักเดียว เจ้าเป๋ฟัดข้าวมันไก่เรียบ ทั้งๆ ที่ผมลืมเหยาะน้ำจิ้มให้มัน
พอกินเสร็จ ก็นั่งมองหน้าผมอีก เลียปากแผลบๆ จะขอบคุณ
หรือบอกว่ายังไม่อิ่มก็ไม่ทราบได้ แต่หูกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ
ผมมาทราบภายหลังว่าที่มันไม่กระดิกหาง เพราะหางมันกระดิกไม่ได้
ไม่มีเส้นประสาทอะไร ที่จะสั่งการให้หางกระดิกได้แล้ว
"เออ พอก่อน..เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่ จะซื้อมาฝากอีก.."
ผมก็พูดบอกมันไปอย่างนั้น ไม่ทราบว่ามันจะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า?
แต่สักพัก มันก็นอน และผมก็เผลอหลับไป

เวลา 10 ถึง 11 โมงเช้า ผมจะมาที่นั่นทุกวัน
และทุกวัน ก็จะเห็น เจ้าเป๋ มานั่งรออยู่แล้ว มันทำท่าดีใจ ค่อยๆ
กระเถิบเข้ามาหา เมื่อผมจอดรถเสร็จและเปิดประตูรถออก
และเมื่อเจ้าเป๋กินเสร็จ มันก็จะนอนหมอบอยู่ใกล้ประตูรถที่ผมเปิดอ้าออก
ใต้ต้นหูกวางต้นนั้น

ผมได้เคยสอบถามคนกวาดถนน กวาดใบไม้แถวนั้นดู เขาเล่าเรื่องไอ้เป๋ให้ฟังว่า
มันโดนรถหกล้อ ชน และทับไปบนช่วงสะโพกและขาหลังทั้งสองข้าง เลือดนองเต็มพื้นถนน...
ไม่มีใครคิดว่ามันจะรอด มีคนลากมันไปทิ้งข้างกองไม้ริมถนน
แต่ผ่านมาหลายวัน พวกกวาดถนนเห็นมันร้องครวญคราง จึงเอาเศษกระโหลกกะลา
ตักน้ำจืดไปวางไว้ให้ นานๆ ที มีเศษอาหารจากกล่องข้าว
ปิ่นโตข้าวที่เอามากินกัน ก็เอาไปกองทิ้งไว้ให้มัน ผ่านไปเป็นเดือน
มันจึงเริ่มออกมาถัดไถ
ไปหาเศษอาหารเองได้...ซึ่งผมสังเกตุดูตั้งแต่วันแรก
มันก็คงไม่ค่อยได้กินอะไรเท่าไหร่ เพราะผอมเหลือเกิน

ผมไปที่นั่นอยู่นาน เป็นเดือน และไอ้เป๋ ก็คุ้นเคย มันมารอรับผม
ตรงตามเวลาทุกวัน มีบางอย่าง ที่บอกให้รู้ ว่าไอ้เป๋ มีความจงรักภักดี
มีความกตัญญูและแสนรู้ไม่น้อยเลย
ทุกครั้งที่ผมนอน ผมจะรำคาญมาก เพราะจะถูกปลุกให้ตื่น จากบรรดา
พ่อค้าแม่ขาย ที่เดินกระเดียดกระจาด ขนมบ้าง ผลไม้บ้าง
ข้าวเหนียวไก่ย่างบ้าง ร็อตเตอรี่บ้าง เข้ามาเรียกให้ซื้อหา โดยไม่สนใจ
ว่าผมกำลังหลับอยู่...
จนผมรำคาญมาก และแกล้งพูดกับไอ้เป๋ว่า...
"ไอ้เป๋เอ๊ย...แกช่วย ดุ-เอ็ด
พวกแม่ค้าขายของทีสิ..อย่าให้พวกเขามารบกวนฉัน เวลาฉันนอน..."
เป็นเรื่องน่าแปลก ผมพูดอย่างนั้นได้ วันสองวัน
ผมก็ต้องประหลาดใจเมื่อ...
พอผมเอนตัวลงนอน ยังไม่ทันหลับดี ผมก็ได้ยินเสียงไอ้เป๋ขู่คำรามเบาๆ...
ผมเหลือบเผยอเปลือกตาขึ้นมอง...
มีแม่ค้าเดินเข้ามาใกล้รถนั่นเอง!!!
พอแม่ค้าทำท่าจะเข้ามาใกล้ๆ อีกเพื่อเรียกปลุกให้ผมซื้อของ..
คราวนี้ ไอ้เป๋ ขู่คำรามดังขึ้น และแยกเขี้ยวใส่...!!

โอ...มหัศจรรย์จริงๆ ไอ้เป๋มันรู้ได้ยังไง ว่าผมต้องการให้มันทำอย่างนั้น!!

ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ได้หลับสบาย ไม่มีใครกล้ามากวนใจอีกเลย

ไอ้เป๋ อ้วนท้วนขึ้นทุกวัน บางทีผมก็ไปที่ร้านข้าวขาหมู ขอซื้อ
กระดูกหมูที่เขาเลาะเนื้อออกแล้วมาฝากมัน หมาจรจัดตัวอื่นๆ
ก็คอยมาเมียงมอง จะแย่งกระดูกไอ้เป๋ แต่ยาก ไอ้เป๋ขู่เก่ง แยกเขี้ยว
ทำตาเขียว ไอ้พวกนั้นก็หางตก ไม่กล้าเข้าใกล้

พวกคนกวาดใบไม้ กวาดถนน แวะเวียนเข้ามาทักทายผมบ่อย ต่างก็ชื่นชม
ที่ผมเป็นคนรักหมา ไม่รังเกียจหมาพิกลพิการอัปลักษณ์
ผมก็ภูมิใจ และก็ดีใจที่อย่างน้อย ไอ้เป๋ ก็รอดตายมาจากคนใจบุญกลุ่มหนึ่ง..
คนกวาดถนน ที่ลำบากยากไร้
ตัวเขาเองก็หาเลี้ยงตัวเองแทบไม่พอกิน
แต่ก็ยังมีเมตตา ต่อเพื่อนร่วมโลกที่กำลังลำบาก เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ตามมีตามเกิด
เขาเคยพูดกับผมว่า หากบ้านเขาพอมีสตางค์ เขาก็จะเอามันไปเลี้ยงเหมือนกัน
เขาพูดว่า...
"ดีนะที่มันได้คุณมาเลี้ยงดูมัน ถึงมันจะโชคร้ายอย่างไร มันก็ยังมีบุญ
ที่ได้มาเจอคุณ...."

จากนั้นไม่นานนัก ผมก็เสร็จสิ้นภาระกิจ ที่ระยอง
และงานต่อไป ก็ต้องไปทำต่อในจังหวัดที่ห่างไกลจากระยอง ไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร
ก่อนไป ผมได้ฝากไอ้เป๋ ไว้กับคนกวาดถนน
ให้เขาช่วยเมียงมองมันบ้าง มีเศษอาหารเศษน้ำดื่ม ก็ช่วยเอามาทิ้งให้มัน
เพราะคงอีกนานมาก ที่ผมจะได้กลับมาหามันอีก...

วันสุดท้ายที่ผมจะจากมันไป ผมไม่ได้บอกร่ำลามันเลย
เพราะไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจหรือเปล่า? และวันนั้นก็ยุ่งมาก
ต้องสะสางงานเก่าเยอะแยะไปหมด

เวลาผ่านไปถึงสองเดือนเศษ...
ผมจึงได้มีโอกาส กลับไปที่นั่นอีก
หลังจากทำธุระเรียบร้อย ก็ไม่ลืมซื้อข้าวมันไก่ และขอเศษกระดูกหมู
จากร้านเจ้าประจำ ตั้งใจจะเอาไปฝากเจ้าเป๋ ให้กินกันให้เต็มอิ่ม...

ผมจอดรถที่เดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก สำหรับหาดสวนสน
คลื่นทะเล ยังคงซัดสาด แผ่วเบา สายลมยังคงโชยเฉื่อย พัดกลิ่นไอทะเลให้ได้รับรู้
ผมเริ่มสอดส่ายสายตา มองหาไอ้เป๋..
เดินไปดูตามกองไม้ มองเข้าไปตามร้านอาหาร...
เดินดุ่มๆ เมียงมอง ชะเง้อหาอยู่พักใหญ่
ก็มีเสียงดังเนิบๆ มาจากข้างหลังว่า...
"คุณมองหาไอ้เป๋หรือ?..."
ผมหันกลับมา อ๋อ คนกวาดถนน คนนั้นเอง
"คุณไม่ต้องหาแล้วหล่ะ.." เขาพูดต่อ
"ไอ้เป๋ มันตายแล้ว....."
"หา....ว่าไงนะ..?" ผมถาม เหมือนได้ยินไม่ค่อยถนัด
"ไอ้เป๋ มันตายได้ เกือบเดือนแล้ว..."

"ตั้งแต่คุณไป มันมานั่งรอคุณทุกวัน รออยู่ใต้ต้นหูกวางต้นนั้น
ไม่ยอมไปไหนเลย....ก่อนที่มันจะตาย ฝนตกมาก มันนอนซม อยู่อย่างนั้น
ข้าวปลาไม่กิน...."

"ฉันเอามันฝังอยู่ใต้ต้นหูกวางนั่นแหละ นั่นไง ดินยังฟูๆ อยู่เลย......"

ข้าวมันไก่ และ กระดูกหมู ถูกวางไว้อย่างดี ใต้ต้นหูกวางนั้น
ผมขับรถกลับด้วยใจที่แสนจะหดหู่ ปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบแก้มเป็นทาง
แต่คราวนี้ ก่อนจะมา ผมได้บอกไอ้เป๋ไว้แล้วว่า...

"ไอ้เป๋ แกไม่ต้องรอฉันอีกแล้วนะ กินข้าวซะ กินกระดูกหมูซะ...กินให้อิ่ม
แล้วหลับให้สบาย หากชาติหน้ามีจริง ขอให้แก
ได้เกิดมาเป็นเพื่อนกับฉันอีก...."

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น