...+

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2552

ความยุติธรรมที่ยืดยาด…ทำชาติล่มจม

โดย สิริอัญญา

ยิ่งปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองมากขึ้นเท่าใด ก็สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการประสาธน์ความยุติธรรมในบ้านเมืองมีมากขึ้นเท่า นั้น เพราะบ้านเมืองใดก็ตามหากขาดไร้เสียซึ่งความยุติธรรมแล้ว บ้านเมืองนั้นก็ไม่มีวันสงบสุข
      
       คนชั่วก็จะลอยนวลเชิดหน้าชูตาอยู่ต่อไป คนดีก็จะถูกย่ำยีกดขี่ข่มเหงอยู่ต่อไป
      
       เมื่อคนชั่วฮึกเหิมลำพองคะนองใจ ย่อมกล้าก่อกรรมทำเข็ญ ย่ำยีอาณาประชาราษฎร์โดยไม่หวาดหวั่นต่อความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ในขณะที่คนดีก็จะระย่อท้อถอยหรือไม่ก็จำใจต้องสู้จนต้องยอมพลีแม้ชีวิต
      
       เพราะ เหตุนี้ปัญหาที่ควรเป็นแค่ปัญหาข้อพิพาทก็จะกลายเป็นปัญหาความขัดแย้ง แล้วก็จะกลายเป็นการลงไม้ลงมือฆ่าฟันกัน จนกระทั่งกลายเป็นสงครามกลางเมืองในที่สุด
      
       อันการปกครองแต่ก่อนๆ มาในครั้งประวัติศาสตร์เท่าที่มีปรากฏนานที่สุดก็พบว่าในระยะ 5,000 ปีก่อนก็ได้วางหลักการปกครองบ้านเมืองโดยเน้นไว้ที่จุดสำคัญ 2 จุด คือความมั่นคงและความยุติธรรม หรือที่เรียกว่าฝ่ายบู๊กับฝ่ายบุ๋นนั่นเอง
      
       ฝ่ายบู๊ดูแลรับผิดชอบด้านความมั่นคง ปกป้องขอบขัณฑสีมาอาณาจักรให้ปลอดภัยจากการรุกรานของเหล่าอริราชศัตรู และปกป้องอาณาประชาราษฎร์จากการปล้นชิงวิ่งราวของโจรผู้ร้ายทั้งหลาย
      
       ในขณะที่ฝ่ายบุ๋นก็ดูแลรับผิดชอบการภายในให้ดำรงอยู่ในความยุติธรรม ไม่ว่าการบริหารบ้านเมือง การค้าขาย การไปมาหาสู่ และการวินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างราษฎรหรือราษฎรกับรัฐ ให้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรมและด้วยความรวดเร็ว
      
       ดัง นั้นบ้านเมืองใดที่มีฝ่ายบู๊ ฝ่ายบุ๋น ซื่อตรงจงรักภักดีต่อแผ่นดิน เป็นคนดีมีฝีมือเอื้ออาทรทั้งต่อชาติและประชา บ้านเมืองนั้นย่อมถึงซึ่งความร่มเย็นเป็นสุข คือบ้านเมืองก็ร่มเย็น ราษฎรก็เป็นสุข ซึ่งเป็นสุดยอดของความสำเร็จในการบริหารบ้านเมืองทั้งปวง
      
       เพราะเหตุนี้ขุนนางแต่โบราณกาลก่อนไม่ว่าจะเรียกชื่อตำแหน่งแตกต่าง กันอย่างไร แต่ก็ยังรวมหลักอยู่ที่ความมั่นคงและความยุติธรรมทั้งสิ้น
      
       การปกครองของไทยเรานั้นก็ยึดหลักดังกล่าวตลอดมาช้านานจนถึงกาลบัดนี้ โดยในอดีตนั้นตำแหน่งฝ่ายบู๊อาจมีชื่อเรียกว่าสมุหพระกลาโหม ในขณะที่ตำแหน่งฝ่ายบุ๋นอาจมีชื่อเรียกว่าสมุหนายก
      
       แต่ทว่าสรรพสิ่งมีเกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ เสื่อมสลายและดับสูญไป การอำนวยความยุติธรรมในบ้านเมืองที่เคยรุ่งเรืองมาแต่ก่อนก็ตกอยู่ภายใต้กฎ ที่ว่านี้
      
       ดังนั้นตั้งแต่ครั้งสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ก็มีความปรากฏในหนังสือมูลบทบรรพกิจให้เห็นถึงความวิปริตผันแปรไปของกระบวน การยุติธรรม ดังที่ปรากฏความตอนหนึ่งว่า
      
         “คดีที่มีคู่                คือไก่หมูเจ้าสูภา
         ใครเอาข้าวปลามา    เจ้าสูภาก็ว่าดี
         ที่แพ้แก้เป็นชนะ      ไม่ถือพระประเวณี
         ขี้ฉ้อก็ได้ดี              ใครด่าตีมีอาญา”
      
       ยิ่งเวลาผ่านเนิ่นนานวันไป กระบวนการยุติธรรมก็สลับซับซ้อนมีขั้นตอนมากขึ้น และแยกแตกแขนงออกไปเรื่อยๆ ทั้งที่บทเรียนก่อนหน้านี้ก็เคยมีมาแล้วตั้งแต่ก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีหน่วยงานความยุติธรรมมากมายหลายแห่งหลายที่ จนความยุติธรรมวิปริตผันแปรไปสิ้น
      
       ความเสื่อมทรุดของกระบวนการยุติธรรมในยุคนั้นปรากฏตามกระแสพระราช ดำริตอนหนึ่งว่า บ้านเมืองทุกวันนี้หากเปรียบเหมือนเรือก็ผุแล้วทั้งลำ ยากที่จะปะผุได้ จะต้องรื้อทำใหม่ทั้งหมด
      
       ดังนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของทั่วทั้งประเทศเสียใหม่ โดยสถาปนากระทรวงยุติธรรมขึ้น แล้วรวบรวมเอาศาลทั้งหลายมาไว้ในกระทรวงยุติธรรม โดยถือศาลเป็นกระบวนการขั้นปลาย อัยการเป็นกระบวนการขั้นกลาง และตำรวจเป็นกระบวนการขั้นต้น
      
       นายสัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตประธานองคมนตรี จึงได้กล่าวไว้ว่า ตำรวจเปรียบประหนึ่งต้นกระแสธารแห่งความยุติธรรม อัยการเป็นกลางน้ำ ศาลเป็นปลายน้ำ ต้นน้ำจึงต้องใสสะอาด จึงจะทำให้ปลายน้ำใสสะอาดตาม หากต้นน้ำขุ่นมัวเสียแล้ว ปลายน้ำก็จะขุ่นมัวตาม ราษฎรก็จะไม่ได้รับความยุติธรรม
      
       และมาถึงบัดนี้ นอกจากขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ยังดำรงแนวหลักดังกล่าวแล้ว ยังมีการแตกแขนงแยกย่อยออกไปอีกมากมาย กระบวนการยุติธรรมขั้นต้นก็มี ป.ป.ช. เพิ่มขึ้น และต่อมาก็มี ป.ป.ท. เพิ่มขึ้นอีก โดยในส่วนของการเลือกตั้งก็มี กกต. เพิ่มขึ้นมาอีก
      
       ต่อมาก็มีศาลปกครอง มีศาลรัฐธรรมนูญ และมีองค์กรอิสระเพิ่มเติมเข้ามาอีกหลายองค์กร
      
       สภาพ เหล่านี้ดูไปแล้วก็คลับคล้ายคลับคลากับสถานการณ์ก่อนที่พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จะปฏิวัติกระบวนการยุติธรรมของประเทศอยู่ไม่น้อย
      
       หากกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายเหล่านี้ได้ทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ด้วยการคำนึงถึงเจตนารมณ์อันแท้ในการก่อตั้งหน่วยงานแต่ละหน่วย และในการดำรงคงความศักดิ์สิทธิ์ของขื่อแปบ้านเมืองเพื่อประโยชน์แห่งชาติ ร่วมกันแล้ว อาณาประโยชน์ย่อมบังเกิดอย่างไม่ต้องสงสัย
      
       แต่การไม่เป็นไปเช่นนั้น ความจริงในวันนี้ได้บอกให้คนไทยทั้งประเทศได้รู้ถ้วนหน้ากันแล้วว่าความ ยุติธรรมนั้นล่าช้า และบางครั้งก็ซื้อขายกันได้
      
       ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความไม่ยุติธรรม นี่เป็นภาษิตทางกฎหมายที่บรรพชนของนักกฎหมายทั้งปวงอบรมสั่งสอนศิษย์ให้ คำนึงถึงความสำคัญของเวลาที่ย่อมเอื้อประโยชน์ไม่แก่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งอยู่ เสมอ และยิ่งมีการซื้อขายเกิดขึ้นอีก ความยุติธรรมก็ย่อมเสื่อมเสียไป
      
       พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 คงเล็งเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ล่วงหน้า จึงได้ทรงบทพระราชนิพนธ์ไว้ตอนหนึ่งในหนังสือเวนิช วานิช ว่า
      
       “ในกระแสแห่งยุติธรรมา ยากจะหาความเกษมเปรมปรีดิ์”
      
       ซึ่งตรงกับคำพังเพยของชาวจีนที่กล่าวกันโดยทั่วไปว่าหากจะเป็นคดี ความแล้ว กินขี้หมาเสียดีกว่า สะท้อนให้เห็นว่าความทุกข์เข็ญและขมขื่นใจของปวงชนต่อกระบวนการยุติธรรมนั้น หนักหนาสาหัสปานใด
      
       ในวันนี้ความหนักหนาสาหัสนั้นยิ่งทวีขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมากและ ส่งผลเสียหายอย่างยับเยินแก่ชาติบ้านเมืองและประชาชนเป็นส่วนรวม ดังตัวอย่างเช่น
      
       ถ้า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดคดียุบพรรคที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตเลือกตั้ง โดยคำนึงถึงเวลาที่จะก่อเกิดปัญหาเป็นการสำคัญ ก็อาจไม่มีเหตุการณ์ฆ่าประชาชนในวันที่ 7 ตุลาคม หรือเหตุการณ์ชุมนุมสนามบิน หรือที่ทำเนียบรัฐบาล
      
       ถ้าหาก ป.ป.ช. ชี้มูลคดีความผิดเรื่องเขาพระวิหารและเรื่องทุจริตจำนวนมากมายก่ายกองที่ นักการเมืองเกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นเสียภายในระยะเวลา 6 เดือนหรือ 1 ปี บ้านเมืองก็คงไม่ป่นปี้พินาศถึงปานนี้
      
       เพราะคนที่ไม่ผิดก็จะได้ออกจากคอกขังของคดีความ สามารถทำงานให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองได้สืบไป หรือถ้าหากใครผิดก็จะไม่สามารถใช้อำนาจหน้าที่ปล้นสดมภ์บ้านเมืองและราษฎร ได้อีกต่อไป อาณาประโยชน์ใหญ่ย่อมบังเกิดแก่ชาติและประชาชนมิใช่หรือ
      
       หรือ ถ้าตำรวจและอัยการดำรงไว้ซึ่งภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์แห่งตน ไม่ประพฤติตนเป็นข้าทาสบริวารนักการเมือง หรือเสพติดในอามิสและประโยชน์ที่นักการเมืองอวยให้ ทำหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์และทนายความแผ่นดินเต็มศักดิ์และศรีแห่งตน บ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข
      
       คนชั่วก็จะไม่กล้าฮึกเหิมลำพอง คนดีก็จะมีความอบอุ่นใจ แต่การไม่ได้เป็นไปดังนั้น
      
       ถามใจกันดูก็ได้ ในวันนี้จะมีสักกี่คนที่เชื่อและไว้ใจในตำรวจหรืออัยการ โดยเฉพาะตำรวจนั้นหากปะหน้ากลางทางข้างถนน ผู้คนจะรู้สึกหวาดกลัวต่างอันใดกับโจรผู้ร้าย
      
       ถามใจกันดูก็ได้ ในวันนี้จะมีสักกี่คนที่อุ่นใจกับการทำงานของ ป.ป.ช. หรือ กกต. โดยเฉพาะบางคนที่กักเก็บสำนวนเพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองป้องกันคนชั่ว ดังตัวอย่างเช่นคดีเกี่ยวกับสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังไม่มีออกผลเลยแม้แต่เรื่องเดียว
      
       ในส่วนของสถาบันศาลนั้น ในวันนี้ยังคงเป็นที่พึ่งแหล่งสุดท้ายของประชาชน คงเหลือก็แต่เวลาที่เนิ่นช้าเท่านั้น
      
       ความ ยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม แต่ความยุติธรรมที่จงใจทำให้ยืดยาดจะทำลายชาติบ้านเมืองจนพินาศป่นปี้ กระทั่งเกิดเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นในที่สุด และนี่คือเรื่องที่ผู้คนในกระบวนการยุติธรรมขั้นต้นทั้งปวงและขั้นกลางต่าง ต้องสำนึกไว้ให้เพียงพอ เพราะนี่คือความรับผิดชอบของพวกท่าน.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000025411


    ในอดีต ผมไม่เคยสนใจการเมืองเลย
จน มาถึงจุดที่รับไม่ได้กับนักการเมืองหน้าซื่อใจคด กับ หน้าคดใจก็คดใช้สมองซีกโกงที่มีอยู่ซีกเดียวคิดแต่ว่าจะโกงยังไง มีนักการเมืองคนใหนไหมที่คิดดีกับบ้านเมือง ที่มีดีอยู่บ้างก็พวกฤษีเลี้ยงลิง เลี้ยงโจร หรือเทพประทานที่ดีครึ่งมาผลมกับเน่าครึ่งเขย่าๆ บังคับให้กิน หน้าตาเราดูโง่ขนาดนั้นเชียวหรือ
ระบบยุติธรรมที่ คดในข้อ งอในกระดูกโดยเฉพาะ ตำรวจโจร ทำร้ายคนดีเหมือนมดปลวก แถมอัยการสมุนนักโกงเมือง

และเมื่อมี พธม และ แกนนำ ผมตัดสินใจแล้วว่า เราจะร่วมกันต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ด้วยกัน ในทุกวิถีทาง

นักการเมืองที่มีอยู่ในกระชังเหมือนปลา เน่าหัวบ้าง เน่าหางบ้าง เน่าทั้งตัวบ้าง มีพรรคไหนไม่เน่าบ้างไหม
อยากกินปลาดี ไม่เน่า ก็ต้องหาเอง ลงมือเอง จะรอให้เทวดามาประเคนให้จะได้หรือ เขายายเที่ยงยังทั้งเน่าทั้งนิ่งเลย

โดนทุบ โดนตี โดนทำร้ายขนาดนี้ยังจะรอเทวดามาโปรดอีก ทำตัวเป็นนางเอกในหนังสมองกลวงจริง เรียกว่าโง่ซ้ำซาก

คน ไทยนี่ชอบหวังลมแล้งจากเทวดา ชอบเป็นไทยมุงกับกองเชียร์ ติดนิสัยนักเรียนตอนเด็ก ครูให้ออกไปพูดหน้าชั้นไม่ยอมออก แต่อยู่หลังห้องคุยเก่ง และอยากได้คะแนนดีดี

แถมสื่อกลวงก็ชอบ คัดแปะ คิดเป็นท่อนๆ นึกอะไรไม่ออกก็โทษเรื่องยึดสนามบิน เปรียบเหมือนกับ กินอาหารเป็นพิษ ก็ต้องถ่ายเสีย แถมอาเจียรอาหารพิษออกมา ไม่ใช่นิ่งอมพิษ ระบบชั่วของมูลควาย และสมุนอาจมก็เหมือนอาหารที่เป็นพิษ ต้องคายออก ถ่ายออก ไล่โจรหน้าด้านก็ไม่ยอมไปแถมเอาปืนมาไล่ยิงไล่ฆ่าไม่มีทางออกก็ต้องยึดสนาม บิน จะให้ยืนล่อเป้าได้อย่างไร สมควรได้เหรียญเชิดชูเกียรติด้วยซ้ำไป แต่สื่อแกล้งโง่ก็ตัดแปะอยู่ท่อนเดียว หลอกพวกกระโหลกหนาปัญญาอ่อนไปวันๆ รู้จักคำว่า เสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตไหม โจรมันถือมีด ถือปืนปล้นเราอยู่ อ้อนวอนดีๆ ก็ไม่ไป ก็ต้องทุบกันบ้าง แต่สื่อพวกนี้กลับมาแนะนำให้ยอมโจรไปเรื่อยๆ มันเป็นสื่อหรือสมุนโจรกันแน่

ลง มือเองเถอะครับถ้าอยากได้การเมืองใหม่ การเมืองสะอาดจริงๆ ไม่ใช่พ่นออกมาแค่เอาเทห์ แล้วรอให้นักการเมืองมือสกปรกมาสร้างการเมืองสะอาด หลอกตัวเองไปวันๆ หรือไม่ ลองคิดดู
ignorant thai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น