งานวิจัยกรม สุขภาพจิตชี้ 5 ปัจจัย ครอบครัวต้นเหตุเด็กฆ่าตัวตาย
พ่อแม่ด่าทอ-ไม่มีเวลาให้-กดขี่-เครียด-ไร้ค่า
แนะพูดจาให้เกียรติกันและกัน งดเว้นการดูถูกเหยียดหยาม
กรณีเด็ก-หนุ่มฆ่าตัวตายเชื่อมีปมในใจเป็นทุนเดิมบวกการถูกบีบคั้นจิตใจ
รุนแรง
นายนิตย์ ทองเพชรศรี เจ้าหน้าที่ศูนย์สุขภาพจิตที่ 12 จ.สงขลา
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัยเรื่อง
"ปัจจัยด้านครอบครัวที่มีความสัมพันธ์กับการพยายามฆ่าตัวตายของประชาชนจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทย"
โดย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ
เก็บข้อมูลจากครอบครัวผู้พยายามฆ่าตัวตายในทุกอำเภอของจังหวัดตรัง จำนวน
30 ครอบครัว และครอบครัวที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันที่อาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกัน
จำนวน 30 ครอบครัว ระหว่างเดือนมีนาคม - เมษายน พ.ศ.2551 พบว่า
ปัจจัยภายในครอบครัวที่มีผลต่อการพยายามฆ่าตัวตายอย่างมาก คือ
1.การสื่อสารในครอบครัวที่ไม่เข้าใจกัน มีการใช้คำพูดที่รุนแรง คำด่าทอ
เช่น "มึงโง่" โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่มักได้ฟังคำพูดจากพ่อแม่
ผู้ปกครองหรือญาติว่า "อยู่ไปก็ไม่ได้ทำประโยชน์ให้ใคร ให้ไปตายเสีย"
คำพูดเหล่านี้อาจสร้างความน้อยใจให้เกิดขึ้นกับบุตรหลานโดยที่ไม่มีใครรู้
นายมานิตย์ กล่าวอีกว่า
2.สัมพันธภาพในครอบครัวที่พ่อแม่ลูกหรือคนในครอบครัวเดียวกันไม่มีการพูดคุย
ปรึกษาหารือกันและกัน และไม่มีเวลาให้กันอย่างเพียงพอ
ทำให้ไม่ทราบเรื่องราวความเป็นไปในชีวิตของแต่ละคน
จึงไม่สามารถช่วยกันคิดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
นำไปสู่การคิดว่าหาทางออกไม่เจอของใครคนใดคนหนึ่ง
จนคิดแก้ปัญหาในทางที่ผิดด้วยการฆ่าตัวตาย 3.วิธีการเลี้ยงดูแบบกดขี่
การสั่งการ โดยพ่อแม่มักคิดเองว่าลูกต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
ไม่ฟังความต้องการหรือความคิดเห็นของอีกฝ่าย
4.การปรับตัวของสมาชิกในครอบครัวต่อปัญหาเศรษฐกิจและความเครียด
เกิดการแสดงออกหรือมีท่าทีที่ทำให้สัมพันธภาพของคนในครอบครัวห่างไกลกันมากขึ้น
และ 5.บทบาทของสมาชิกในครอบครัว
สมาชิกบางคนอาจรู้สึกตนเองไม่มีคุณค่าที่จะอยู่ในครอบครัวต่อไป
ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการถูกตอกย้ำความไร้ค่าจากสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวเดียว
กัน
"ข้อมูลที่ได้ จากงานวิจัย
ศูนย์ฯได้นำมาจัดทำเป็นแผ่นพับและจัดพิมพ์คู่มือประชาชนเพื่อป้องกันการฆ่า
ตัวตายประมาณ 400 -500 เล่มแจกให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภายในจ.ตรัง
โดยหวังว่าจะเป็นแนวทางให้ประชาชนใช้สำหรับป้องกันไม่ให้คนใกล้ชิดฆ่าตัวตาย
เนื่องจากแนวโน้มการฆ่าตัวตายของคนไทยในทุกจังหวัดเริ่มมีมากขึ้น
โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาอย่างในปัจจุบัน
มีการคาดการณ์ว่าอาจจะเพิ่มขึ้นราว 1 % ต่อแสนประชากร จากเดิมอยู่ที่ 4.5
% ต่อแสนประชากรเพิ่มเป็น 5.5 %ต่อแสนประชากร" นายนิตย์ กล่าว
นายนิตย์ กล่าวอีกด้วยว่า สำหรับกรณีนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมฆ่าตัวตายเพราะอกหักและติดยาและกรณีเด็กชายชาว
อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยาฆ่าตัวตายจากการที่พ่อบังคับให้ไปเรียนที่กทม.
ส่วนตัวเห็นว่าทั้งสองคนอาจมีปมบางเรื่องอยู่ในใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เมื่อต้องพบเจอกับเรื่องราวที่บีบคั้นจิตใจเพิ่มเติมกอรปกับการไม่มีภูมิ
คุ้มกันทางด้านจิตใจ จึงหาทางออกของปัญหาไม่ได้
ซึ่งอยากแนะนำบุคคลทุกวัยที่ต้องประสบปัญหาไม่ว่าในเรื่องใด
อยากให้คิดว่า เราต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
เพราะทุกคนล้วนมีปัญหาทั้งสิ้น
แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นต้องรักชีวิตตนเองก่อนที่จะไปรักคนอื่น
"สิ่ง ที่คนในครอบครัวควรจะปฏิบัติเพื่อไม่ให้มีคนในครอบครัวฆ่าตัวตาย
ต้องเริ่มจากการพูดจากันในลักษณะที่ให้แต่ละคนรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า
มีหน้าที่ของแต่ละคนที่จะต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุด
เว้นการด่าทอที่มีลักษณะเป็นการดูถูกหรือเหยียด หยามเกียรติ
จนทำให้อีกฝ่ายน้อยใจ และสังเกตบุตรหลานหากเห็นมีการเศร้าซึมผิดปกติ
หรือชอบหมกมุ่นอยู่คนเดียว ควรเข้าไปพูดจาถามไถ่เพื่อช่วยกันแก้ปัญหา
ซึ่ง สิ่งเหล่านี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนฆ่าตัวตาย"นายนิตย์กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักสุขภาพจิตสังคม
กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า
เด็กซึ่งกำลังจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นจะมีความละเอียดอ่อนมาก
จำเป็นต้องระวังความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
แม้จะเป็นเรื่องที่คนอื่นคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก
แต่ก็อาจเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กบางคนได้
จำเป็นต้องมีการพูดคุยกันด้วยเหตุผล อธิบายถึงผลดี ผลเสีย
และรับฟังเด็กให้มากหากมีปฏิกิริยาหรือการต่อต้านเกิดขึ้น
จำเป็นต้องอธิบายและค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดทีละนิดด้วยความเข้าใจ
"เด็ก บางคนอาจมีปัญหาในเรื่องการปรับตัว การเปลี่ยนสภาพแวดล้อม
บางครั้งเข้าข่ายเป็นโรคภาวะการปรับตัวผิดปกติ (adjustment disorder) คือ
จะมีความสามารถในการปรับตัวต่ำ บางครั้งพบในผู้สูงอายุได้ด้วย
แสดงอาการหลายอย่าง เช่น ซึมเศร้า ดื้อ ใช้อารมณ์ ใช้ความรุนแรง
ซึ่งอาการเหล่านี้ บอกได้ยากว่าเกิดขึ้นกับเด็กกลุ่มใด
ต้องใช้การสังเกตุเฝ้าระวังอาการที่ผิดปกติไป"นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่สำคัญคือเรื่องการเก็บอาวุธปืน
ควรเก็บให้พ้นมือและลับตาเด็ก
เพราะปัจจุบันมีกรณีการใช้ความรุนแรงที่นำอาวุธปืนมาเกี่ยวข้อง
ซึ่งเด็กอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้ตั้งใจ
แต่เมื่อการที่เด็กได้สัมผัสอาวุธ ไม่ว่าจะเป็น ปืน มีด หรือ อาวุธอื่นๆ
ก็อาจก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงได้ เพราะเด็กยังถือว่ามีวุฒิ
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000033094
การให้เกียรติซึ่งกันและกัน การสอนแบบเพื่อน ไม่ใช่สอนแบบควาย
ถามและฟังกันมากขึ้น ไม่ใช่เถียงแบบควาย เข้าข้างกันเอง จนควายเรียกพ่อ
ทำให้ออกสังคมไปแล้วมีแต่ความอับอาย ฟังคนนอก ไม่ฟังคนใน
ฟังแต่คนที่มีอายุมาก ๆ อายุใกล้เคียงมาก และติดอยู่วงแคบ ๆ ชอบตีความผิด
ๆ ความคิดแง่ลบ แบบไม่มีประสบการณ์ แบบมั่ว ๆ ชอบกดดัน แบบโง่ ๆ
โดยเอาคนอื่นที่ดีกว่ามาเปรียบเทียบ
ปรับซะพวกฟาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น