...+

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ร้อยอักษรเป็นมาลัยให้แม่อารมณ์

โดย อัญชะลี ไพรีรัก    

เมื่อแรกที่รู้จักแม่อารมณ์ มีชัยเมื่อหลายปีก่อน เป็นวันแรกที่รู้จักกับสุภาพสตรีสูงวัยที่ทำงานเป็นประธานมูลนิธิบ้านคุ้ม ครองเด็กภาคใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราช
      
       บ้านอารมณ์ดีหลังน้อยหลังนี้ ทำหน้าที่กางปีกอบอุ่นปกป้องดูแลเด็กๆ ที่ถูกข่มขืน เด็กๆ ที่ถูกทำร้ายทารุณ และเฝ้าเพียรดูแลเด็กตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์
      
       วันแรกที่เห็นครูอารมณ์ เป็นวันแรกที่เห็นครูเกษียณอายุราชการ ทำหน้าที่เป็นทั้งแม่ และครูให้กับเด็กสาวที่โผเผป้อแป้ดุจนกน้อยปีกบอบบางที่ถูกคนใจร้ายทำลายจน ขาดวิ่น
      
       “อารมณ์ มีชัย” ไม่เพียงแต่จะเป็นแม่ หรือครูเท่านั้น แต่ยังเป็น “เสาหลัก” ให้กับวิหารหัวใจที่ว่างเปล่าของสาวน้อยที่มาจากทั่วทุกสารทิศ
      
       สาวน้อยน่ารักน่าทะนุถนอมเหล่านั้น ถูกสาดสีเปื้อนโคลนจากมือคนใจโฉด ให้กลายเป็นสาวน้อยไร้รอยยิ้มผู้มาพร้อมกับชีวิตยู่ยี่ที่ได้สองมือของแม่ อารมณ์ มีชัย ช่วยเก็บกวาดชะล้างกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูร่างกายและจิตใจ ให้ฟื้นกลับมาสดใสใช้ชีวิตปกติธรรมดาได้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
      
       แต่วันนี้ครูอารมณ์ มีชัย ของลูกๆ ได้เดินทางจากไปสู่โลกใหม่ที่สงบสวยงาม ณ ดินแดนไกลโพ้นโน้นแล้ว ครูของเรา แม่ของพวกเขาจะดำรงชีวิตใหม่ยังแผ่นดินกว้างใหญ่ แผ่นดินที่ไร้ทุกข์ เปี่ยมสุขและนิจนิรันดร์
      
       วันที่ครูแสนดีงามของเราได้ละทิ้งสังขารที่ถูกโรคร้ายรุมเร้า เป็นวันที่ครูจากไปพร้อมกับเรื่องเล่ามากมาย เป็นเรื่องเล่าของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งมีชีวิตทั้งชีวิตเต็มไปด้วยสีสัน และสดสวยคล้ายสายรุ้งงามที่โคนขอบฟ้า
      
       ครูอารมณ์จากไปด้วยกายแต่ชื่อยังอยู่ เพื่อให้อนุชนได้เรียนรู้วิถีชีวิตและความคิดของครูคนดี ที่มีจริยาเต็มไปด้วยความทรงจำอันจะถูกจดจาร และจารึกไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาถึงบทเรียนชีวิตครูคนหนึ่งซึ่งทุ่มเททั้ง กายและใจให้กับ “คนอื่น” เสมอมา...นับแต่ต้นจนวาระสุดท้ายมาเยือน
      
       ครูอารมณ์ มีชัย วัย 64 ปี เป็นลูกสาวคหบดีแห่งเมืองนครศรีธรรมราช สมรสกับครูเจริญ มีชัย และมีบุตรชายหล่อเหลาเข้มแข็ง 3 คน
      
       ครูสาวคนสวยสอนวิชาภาษาอังกฤษจนมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย แม้ครูจะมาจากสังคมที่แตกต่างกับสามี แต่ครูอารมณ์ไม่เคยเก็บมาคิดเป็นอารมณ์แต่ประการใด กลับกันครูกลับคิดเห็นไปว่า โชคชะตาฟ้าลิขิต แต่เมื่อชีวิตเป็นของครู ครูจึงตกผลึกความคิดได้ว่า ลองคนเราไม่ย่นระย่อท้อต่อชะตาชีวิต มีหรือที่อุปสรรคจะมาขัดขวางความตั้งใจในการดำรงอยู่ได้...คนสู้เท่านั้นที่ จะชนะ....ครูคิดอย่างนี้ และดำรงชีวิตนักสู้นับแต่นั้น
      
       ครูทั้งสองใช้ชีวิตสมถะ และชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอมา เมื่อเขาและเธอมีลูก ครูหญิงและครูชายก็มักสอนลูกๆ ว่า “ถ้าเราทำดีไม่ต้องอาย” คำสอนนี้ติดอยู่ในหัวใจของลูกชาย 3 คนตลอดมา จนพวกเขาเติบใหญ่ และกลายเป็นคนของมวลชนสมดังเจตนารมณ์ของผู้เป็นบิดา-มารดา น่าชื่นใจ
      
       ครูอารมณ์ใช้ชีวิตด้วยความเป็นแม่และครูทั้งตัวและหัวใจ วันหนึ่งเมื่อครูเจริญจากเธอไป เธอจึงตัดสินใจเป็นทั้งพ่อ –แม่ และครูในคราวเดียวกัน...นักสู้ก็อย่างดี...ครูอารมณ์เคยยอมแพ้อะไรเสียที่ ไหนกัน
      
       และวันนั้นเองที่เธอตัดสินใจเดินออกมาจากบ้าน และสอดส่ายสายตาค้นหา “สิ่งผิดปกติ” ในสังคมเล็กๆ ที่เธออยู่ และรู้สึก สายตาธรรมะของครูอารมณ์ไม่เคยสัมผัสผ้าสวยแพรพรรณ หรือเพชรนิลจินดา สิ่งเหล่านั้นหาได้มีค่าไม่ในสายตาของครูผู้เปี่ยมอุดมการณ์
      
       ช่วงเวลานั้นเองที่สายตาของครูอารมณ์ผู้มากไปด้วยประสบการณ์ และความมุ่งมั่นกระทำความดี ได้นำเธอสู่โลกใบใหม่ เป็นโลกใหญ่ที่ยุ่งเหยิง แต่ความเส็งเคร็งของโลกใบนั้นได้นำครูไปพบกับชีวิตเล็กๆ ของสาวน้อยวัยใสที่แตกย่อยยับเยินด้วยน้ำมือมาร
      
       ครูอารมณ์เก็บเด็กสาวโสภาที่ถูกบดขยี้ด้วยทรชนคนใจโฉด ไปประคบประหงมดูแลคนแล้วคนเล่า จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เป็นปีแล้วปีเล่า จากคนแล้วคนเล่า และจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง และเรื่อยไปจนกลายเป็นว่า “ครูอารมณ์” คือ สัญลักษณ์ และศูนย์กลางของความช่วยเหลือที่ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
      
       ชีวิตแต่ละชีวิตก็มีชะตาชีวิตที่แตกต่างกันไป ชีวิตของครูอารมณ์กับสาวน้อยของเธอก็มีช่วงเวลาชีวิตที่อยู่ดูแลกันและกัน ด้วยความรักและความสุข เมื่อคนใดคนหนึ่งเติบใหญ่ นกปีกแข็งเหล่านั้นจะเดินทางไปสู่โลกกว้างที่ท้าทายความแกร่งของชีวิตใหม่ ที่ได้จากครูอารมณ์ และนกน้อยรายต่อไปจะเข้ามาแทนที่พี่ๆ ที่จากจร
      
       ตลอดเวลาหลายสิบปีมานี้ครูอารมณ์ได้ทำหน้าที่แม่พระคอยเก็บ กลีบดอกไม้บริสุทธิ์ที่ร่วงหล่นด้วยสังคมทรามมานักต่อนัก เธอเก็บกลีบร่วงกราวมาประดิดประดอยปะติดปะต่อ แล้วร้อยเรียงขึ้นรูปใหม่ค่อยๆ ร้อยค่อยๆ บรรจงเรียงจาก “กลีบลาย” จึงกลายเป็น “กลีบกรวย” สวยสดหอมชื่นรื่นตา เป็นมาลัยสวยหวานปานพิสุทธิ์ และงามดุจน้ำค้างกลางเวหา
      
       ดอกไม้ในมือครู จึงเป็นดอกไม้ดอกใหม่ที่เปี่ยมคุณค่า เป็นฝีมือบรรจงจัดชั้นครูที่จัดจ้านด้วยวิชาและเปี่ยมธรรม
      
       ครูทำได้ และทำเรื่อยมา ทำจน “ลูกสาว” ของครูส่วนใหญ่เป็นสาวงามพักตร์พริ้มพิไล และใจดีเหมือนครูอารมณ์ มีชัย ครูคนดีที่ท่านจันทร์ จันทเสฐโฐ จากสันติอโศกมักเรียกขานด้วยความนุ่มนวลว่า “ครูอารมณ์ดี มีชัย”
      
       ครูอารมณ์ใช้ชีวิตแม่ครูผู้เปี่ยมด้วยเมตตาสาธารณะมานานนับหลายสิบปี ความดีของครูเป็นที่ประจักษ์ เมื่อครูรับเด็กชายมาดูแลเพิ่มขึ้น ความดีของครูขจรไกลจนได้รับการยกย่องเป็นแม่ดีเด่น และครูดีเด่น
      
       รางวัลแห่งความดีไม่ได้ทำให้ครูหยุดอยู่กับที่เพื่อเสพสุข แต่รางวัลได้นำครูคนดีไปสู่หนทางกว้างใหญ่ และยิ่งมีรางวัลครูยิ่งเหนื่อย ยิ่งมากแรงศรัทธาครูยิ่งหนักหนา ครูทำงานหนัก ครูทำงานด้วยความรัก จนในที่สุดนกน้อยๆ ในรวงรังของครูก็ได้รับข่าวร้ายเมื่อโรคภัยร้ายมาเยี่ยมเยียนและไม่ยอมจากลา
      
       หลายปีก่อนครูอารมณ์พบว่าตัวเองมีสิ่งผิดปกติในร่างกาย หมอตรวจพบเจอ “มะเร็งร้าย” ในเต้านม ครูไม่ยอมเศร้าแต่เฝ้ารักษา จนวันหนึ่งครูก็หลั่งน้ำตาเมื่อหมอผ่าตัดเอาเต้านมซ้ายหายไป และที่เหลือไว้คือเต้านมที่รอคอยการมาเยือนของโรคมะเร็งลาม
      
       ครูกับมะเร็งจึงเหมือนเพื่อนใหม่ ที่ไม่มีใครยอมใคร ครูอารมณ์ลุกขึ้นสู้ด้วยข้อมูลและธรรมมะ ครูเชื่อว่า เวลาที่เหลืออยู่จะต้องวิ่งนำหน้าเอาชนะมะเร็งร้ายให้จนได้ และในที่สุดครูก็แพ้อีกหน หนนี้ครูเจ็บหนักปางตาย และสุดท้ายต้องย้ายมานอนที่ “ศูนย์มะเร็งแห่งชาติ”
      
       ครูจากบ้านมาอยู่ในศูนย์เพื่อรักษามะเร็ง ลูกๆ ของครูทำหน้าที่ดูแลน้องๆ กันต่อไป เมื่อมีคนทราบข่าว บางคนมาเยี่ยม บางคนมาร้องไห้ แต่บางคนมาพร้อมกับข่าวร้าย และที่ร้ายที่สุดไม่ใช่ข่าวมะเร็งแต่เป็นข่าว “ระบอบทักษิณจะคืนเมือง”
      
       ข่าวร้ายที่ชาติไทยจะสูญสิ้นหากไม่ตั้งรับต่อกร ทำให้ครูอารมณ์ซึ่งอารมณ์เสียกับระบอบทักษิณมานานแสนนาน ตัดสินใจเดินออกจากโรงพยาบาลและลากสังขารทรุดโทรมมา “ปราศรัย” กับพันธมิตรฯ ที่มัฆวานรังสรรค์...เป็นการตัดสินทำตามใจปรารถนา
      
       แรกเริ่มที่ทุกคนเห็นครู สาธารณชนไม่มีใครล่วงรู้ว่า ครูเป็นใคร มีแต่ลูกศิษย์ลูกหาและน้องๆ ที่เคยร่วมงานกับครูเท่านั้นที่รู้ว่า “แม่พระ” ของเราคืนเมืองมาจับไมค์ ร่ายปราศรัยเชือดเฉือนใจ “คนไทยทิ้งแผ่นดิน” แล้ว
      
       การปราศรัยที่กลั่นจากใจของคนเป็นแม่และครูได้จับใจพันธมิตรฯ ในเวลาไม่ช้า จนในที่สุดครูอารมณ์ที่มาเยือนเวทีพันธมิตรฯ ทุกวันก็เข้าไปอยู่ในใจของพันธมิตรฯ ทุกคน
      
       หลายคนได้รู้แล้วว่า ครูอารมณ์มีเวลาอยู่กับพวกเราน้อยเต็มที และครูอารมณ์ก็รู้ดีว่า เวลาที่เหลือน้อยนิดนั้นครูจะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับสาธารณชน
      
       สุดท้ายครูอารมณ์ก็ร่วมสู้กับพันธมิตรฯ เคียงบ่าเคียงไหล่กับพันธมิตรฯ สังขารและโรคร้ายไม่เป็นอุปสรรคกับครูหรือกับใคร ที่ไหนได้ใครๆ ที่เห็นฤทธิ์ครูต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
      
       “เวทีพันธมิตรฯ ต่อชีวิตและยืดลมหายใจของครูอารมณ์”
      
       แต่เมื่อสิ้นเสียงกลองศึก เหล่านักรบคืนมาตุภูมิ หลังสิ้นเวทีพันธมิตรฯ แค่นับคืนทิวาราตรีผ่านไปได้ไม่กี่เพลา ครูอารมณ์ที่พกพาความเป็นแม่อารมณ์ดี มีชัย ก็พาร่างกายสะบักสะบอมคืนสู่โรงพยาบาลเพื่อรับเคมีบำบัดเป็นครั้งสุดท้าย
      
       ครั้งนี้สำคัญมาก เพราะไม่ว่าจะดีหรือร้าย ครูคนดีของเราก็สัญญาจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ดูพระอาทิตย์ขึ้นและตกด้วยรอย ยิ้มเปี่ยมรักทุกวัน อย่างคนไม่กลัวความตาย
      
       ครูตัดสินใจรอรับวาระสุดท้ายด้วยใจเข้มแข็ง ไม่มีการฟูมฟาย ไม่มีการร้องไห้ ไม่มีแม้แต่คำอาลัยอาวรณ์ให้เสียกิริยา และอารมณ์
      
       แม่อารมณ์ผู้พกพาหัวใจสะอาดท่านนี้ เดินหน้าเตรียมตัวไปสู่โลกใบใหม่ ณ ดินแดนกว้างไกลในสัมปรายภพด้วยคำว่า “สู้ๆ พันธมิตรฯ สู้ๆ”
      
       นาทีสุดท้ายหลังเคมีบำบัดไม่สามารถสกัดมะเร็งร้ายในร่างกายได้แล้ว เธอเงยหน้าไม่มีน้ำตาและกล่าวลาลูกน้อยนับร้อยของเธอด้วยความรัก สุภาพ และเรียบง่าย ปราศจากร่องรอยเสียอกเสียใจ และบอกกับลูกชายว่า เรื่องเศร้าสร้อยกระร่อยกระหริบแบบนั้นไม่ใช่เรื่องของคนอย่าง “อารมณ์ มีชัย”
      
       ดังนั้นเมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลา 4 ทุ่มของคืนสงัด “อารมณ์ มีชัย” วัย 64 ปี จึงกล่าวอำลา น้อมคารวะแผ่นดิน และละถิ่นไปสู่โลกหน้าอย่างสวยงาม
      
       เป็นค่ำคืนเงียบเชียบ ...ค่ำคืนที่ไม่มีแม้แต่น้ำตา มีแต่ความอาวรณ์
      
       เป็นค่ำคืนที่ไม่มีความโศก มีแต่ความทรงจำ
      
       ความทรงจำของปัจจุบันที่เตือนเราๆ ทั้งหลายว่า ไม่มีแล้ว “อารมณ์ มีชัย”
      
       สิ่งที่มี ส่วนที่เหลือคือภาพความทรงจำของสุภาพสตรีงามสง่า ที่งามพร้อมทั้งกาย และใจ
      
       เวลาสลดหดหู่อย่างนี้ ไม่มีดอกไม้มากราบแม่ มีแต่สวนอักษรที่นำมาร้อยเรียงเป็นมาลัย
      
       ประนมกร ก้มกราบแนบอก แม่ครูอารมณ์ มีชัย ด้วยใจคารวะยิ่ง
      
       รักแม่อารมณ์เท่าหัวใจ...บ๊าย บาย ลาก่อน จุ๊บ จุ๊บ.

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000018777

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น