โดย สิริอัญญา
ขบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยที่ได้วางยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ ชนบทล้อมเมือง และลุกขึ้นสู้ในเมือง ขณะนี้เหลืออยู่เพียงยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมือง และการลุกขึ้นสู้ในเมืองเท่านั้น
เพราะยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศพังพินาศไม่เป็นท่าไปแล้ว จึงคงเหลือแต่สองยุทธศาสตร์หลัง ซึ่งวันนี้แนวรบต่างๆ ของยุทธศาสตร์ดังกล่าวก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
เคย วิเคราะห์ไว้ครั้งหนึ่งแล้วว่ายุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองนั้นประกอบขึ้นด้วย แนวรบอำนาจรัฐ แนวรบนักวิชาการ แนวรบสื่อมวลชน แนวรบในรัฐสภา และแนวรบภาคประชาชน
ก่อนหน้านี้แนวรบอำนาจรัฐก็ผันแปรไปแล้ว เพราะพรรคประชาธิปัตย์ได้ช่วงชิงอำนาจรัฐ จับขั้วการเมืองใหม่ได้สำเร็จ จึงส่งผลกระทบต่อแนวรบที่เหลืออย่างรุนแรง
ในบรรดาแนวรบที่เหลือคือแนวรบด้านนักวิชาการ แนวรบสื่อมวลชน แนวรบในรัฐสภา และแนวรบภาคประชาชนนั้น ต้องถือว่าแนวรบด้านนักวิชาการมีนัยที่สำคัญสูงมาก
เพราะเป็นผู้ออกแบบทฤษฎีและแนวความคิด ตลอดจนออกรูปแบบต่างๆ ในการเคลื่อนไหวของแนวรบอื่นๆ รวมทั้งเป็นตัวขยายผลด้วยตนเองอีกด้วย
ดัง ที่จะสังเกตได้จากเมื่อแนวรบทางวิชาการกำหนดรูปแบบทางความคิดและการเคลื่อน ไหวประการใดแล้ว ก็จะถูกแจกลูกลงไปสู่การปฏิบัติและจากนั้นแนวรบด้านสื่อมวลชน แนวรบในรัฐสภา และแนวรบภาคประชาชนก็จะขับเคลื่อนสอดประสานกันอย่างเป็นเอกภาพ
เพราะเหตุนี้แนวรบนักวิชาการจึงถูกจับตามองและถูกติดตามความเคลื่อน ไหวอย่างใกล้ชิด ซึ่งผู้คนในแนวรบนี้ต่างก็รู้ดีถึงความเสี่ยงต่างๆ ดังนั้นที่ผ่านมาจึงพยายามปกปิดตัวเอง ปกปิดการเคลื่อนไหว และดำเนินการในทางลับเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นก็แต่บางคนที่ถูกกำหนดตัวให้เป็นตัวเปิด
แนวรบด้านวิชาการนี้ประกอบขึ้นจากอดีตชาวพรรคคอมมิวนิสต์ที่เคยเข้า ป่าไปเมื่อครั้ง 6 ตุลา นักวิชาการในมหาวิทยาลัยในความมืดทางภาคเหนือ และนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ เช่น จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น
คนเหล่านี้ส่วนที่เป็นแกนนำของแนวรบนักวิชาการจะได้รับผลตอบแทนเป็น เงินเดือนประจำหรือเงินเป็นก้อนใหญ่ และมีการจัดสรรอำนาจและตำแหน่งให้ไปเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งในกิจการภาคเอกชนซึ่งอยู่ในเครือข่ายของอำนาจเก่า แม้กระทั่งการจัดสรรงบประมาณค่าวิจัยที่ฉ้อฉลเงินงบประมาณแผ่นดินบังหน้า แต่เนื้อแท้คือค่าตอบแทนการขายจิตวิญญาณและเป็นค่าดำเนินการของแนวรบนี้
ดัง นั้นจึงไม่เป็นที่แปลกใจอันใดว่าในหลายหลากสถานการณ์ นักวิชาการเหล่านี้จะชี้ดำให้เป็นขาว จะชี้ขาวให้เป็นดำ หรือเสนอแนวความคิดความเห็นในทางป้อนยาพิษให้กับประชาชน ตลอดจนอบรมสั่งสอนเยาวชนให้หลงผิดคิดชั่วตามตัวไปด้วย
แม้ยามมีเหตุการณ์สำคัญๆ ผู้คนในแนวรบนี้ก็จะอาศัยคราบนักวิชาการบังหน้าออกแถลงการณ์โอบอุ้มความชั่ว หรือไม่ก็ทำเป็นไม่เห็นคุณงามความดี กลับชี้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ต้องใจคน หมายทำลายการต่อสู้กู้ชาติของประชาชนผู้ตื่นรู้
แต่ยามนี้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศตื่นรู้แล้ว ความคิดความเห็นของเหล่านักวิชาการดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่ไม่ได้รับการยอม รับนับถือ หากถูกตอบโต้หรือเปิดโปงจนล่อนจ้อน
ตัวอย่าง บางคนที่ทำตนเป็นมหาปราชญ์ภาคเหนือ หลอกผู้คนให้หลงเชื่อมาช้านาน ก็ถูกเปิดโปงว่าแท้จริงแล้วก็คือวิญญูชนจอมปลอมที่อาจเป็นถึงทรชน เพราะสามารถเป็นชู้กับเมียลูกน้องตนเองและย่ำยีน้ำใจเมียตน จนกระทั่งทิ้งร้างเมียคู่ทุกข์คู่ยากไปกกชู้อย่างไม่ละอายต่อลูกศิษย์หรือ สายตาสังคม
เพราะเหตุนี้นับแต่เกิดการเคลื่อนไหวใหญ่ของประชาชนผู้ตื่นรู้ในการ ขับไล่ระบอบทักษิณเมื่อปี 2548 แนวรบนักวิชาการก็ถูกตีโต้และเปิดโปงอย่างหนัก จนกระทั่งล่อนจ้อนกลายเป็นชีเปลือยในห้วงเวลาการต่อสู้สามฤดูของปี 2551
ในห้วงเวลาการต่อสู้เช่นนั้น นักวิชาการเหล่านี้ฮึกเหิมลำพองว่าพวกตนครองอำนาจรัฐและหลงเห็นเป้าหมายว่า กำลังทอแสงเรืองรองอยู่ข้างหน้า จึงหาญกล้าเปิดตัวเปิดการเคลื่อนไหว แต่ในที่สุดก็ผิดคาด เมื่อการเมืองพลิกผันเปลี่ยนขั้ว หลายคนจึงกลับตัวแทบไม่ทัน
แต่ก็มิวายที่อารมณ์ค้างยังหลงเหลือ จึงเผลอไผลเปิดตัวครั้งใหญ่ในการเข้าชื่อกันเพื่อขอยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
แก่น แกนของเหล่านักวิชาการที่แนบแน่นมีจริงๆ แค่ 120 คน แต่ก็อาศัยความสัมพันธ์ขยายเครือข่ายเป็น 240 คน และในปฏิบัติการล่ารายชื่อเพื่อยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็ได้ชักชวนพรรคพวกให้ร่วมเข้าชื่อจนกลายเป็นพันกว่าคน
การปรากฏตนของเหล่านักวิชาการที่สอดประสานกับการเคลื่อนไหวของคน เสื้อแดงก็ดี และการเคลื่อนไหวในสภาของพรรคการเมืองก็ดี ตลอดจนจุดยืนท่าทีและท่วงทำนองที่แสดงออกในห้วงเวลาที่ผ่านมาจึงถูกจับได้คา หนังคาเขา
ถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าเหล่านักวิชาการกลุ่มนี้แท้จริงก็คือกลไก หนึ่งของขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่จะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นแนวรบสำคัญของยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองและยุทธศาสตร์มวลชนอีกด้วย
และถูกเปิดหน้ากากอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากนายใจ อึ๊งภากรณ์ ได้ออกแถลงการณ์แดงสยาม เปิดเผยการเคลื่อนไหวทั้งปวงว่ามุ่งหมายต่อการโค่นล้มการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
แถลงการณ์ ดังกล่าวได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินคดีในข้อหากบฏในราชอาณาจักร หาใช่แค่ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเท่านั้น และส่งผลสะเทือนสะท้านไหวไปทั้งแนวรบนักวิชาการ จนบางคนต้องออกมาก่นด่านายใจ อึ๊งภากรณ์ ชนิดผีไม่เผา เงาไม่เหยียบกันอีกต่อไป
หลักฐานสำคัญในการดำเนินคดีข้อหากบฏในราชอาณาจักรได้ปรากฏชัดเจนแล้ว การตั้งต้นของการดำเนินคดีในข้อหานี้ตั้งต้นแล้ว ดังนั้นบรรดาผู้คนที่ร่วมขบวนการจึงย่อมมีความหวั่นไหวเป็นธรรมดาว่าอาจต้อง ตกติดร่างแหกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีฉกรรจ์ร้ายแรงของแผ่นดิน
ดังนั้นจึงเป็นไปตามธรรมชาติของนักวิชาการที่มีธาตุแท้เป็นนายทุน น้อย มีความโลเล ไม่กล้าสู้และเสียสละจนถึงที่สุด ส่วนใหญ่รักตัวกลัวตาย กลัวตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาแผ่นดินฐานกบฏ กลัวกระทบถึงฐานะ อาชีพ การงาน กลัวผลกระทบไปถึงลูกเมียครอบครัว ตลอดจนชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล
ดังนั้นบรรดาผู้เข้าร่วมลงชื่อกว่าพันคนจึงแตกฮือประหนึ่งผึ้งแตกรัง พากันปฏิเสธความรับผิดชอบกันจ้าละหวั่น ว่าไม่ได้รู้เห็น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการล้มล้างการปกครอง บ้างก็อ้างว่าแค่ลงชื่อไปตามที่พรรคพวกขอร้อง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความจริงเช่นนั้น
ดัง นั้นเป้าใหญ่จึงถูกจ้องมองไปที่กลุ่มแก่นแกน 120 คน และส่วนขยายที่เป็น 240 คน ดังนั้นจึงยิ่งแตกกระจัดกระจายกันไปยกใหญ่ จำนวนมากขอเข้ารายงานตัวและชี้แจงแถลงไขถึงความไม่เกี่ยวข้องผูกพันของตน บางคนได้เผยข้อเท็จจริงให้กับหน่วยงานความมั่นคงได้รับรู้ว่าเขาทำอะไรกัน
วงจึงแคบมาที่กลุ่มแก่นแกน 120 คน บางคนตระหนักดีว่าภัยกำลังใกล้มาถึงตัว จึงเตรียมเผ่นหนีกันจ้าละหวั่น ล่าสุดที่ยังเกาะตัวกันจริงๆ ก็มีไม่เกิน 40 คนแล้ว จำนวนได้ลดลงอย่างรวดเร็วตามประสานักวิชาการที่มีขีดความสามารถในการเปลี่ยน สีแปรธาตุ และการเอาตัวรอดอย่างยอดเยี่ยม
การที่แนวรบนักวิชาการถูกจับได้คาหนังคาเขาและทำให้คดีกบฏในราช อาณาจักรตั้งต้นขึ้น จึงบั่นทอนและสั่นคลอนแนวรบนักวิชาการอย่างถึงที่สุดนับแต่มีการจัดตั้งมา และยังส่งผลกระทบไปถึงแกนนำทางการเมือง จนกระทั่งหลายคนเตรียมการเผ่นหนีไปต่างประเทศ และหลายคนก็ยังไม่มีทางออกว่าจะเอาอย่างไรกันดี
ดัง นั้นในวันนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าแนวรบนักวิชาการซึ่งเป็นแนวรบหลักของ ยุทธศาสตร์ชนบทล้อมเมืองกำลังสั่นคลอนและใกล้พังพินาศเต็มที การหลบหนีเอาตัวรอดของนายใจ อึ๊งภากรณ์ คือสัญญาณที่ชัดเจนของการแตกสลายของแนวรบนี้
ดังนั้นเมื่อกระบวนการทางทฤษฎีทางความคิดและการออกแบบการเคลื่อนไหว ต่างๆ ให้กับแนวรบอื่นๆ ใกล้แตกสลายเต็มทีเช่นนี้ ก็เป็นไปได้ว่าแนวรบที่เหลืออยู่คงจะเดี้ยงไปตามๆ กัน
แม้แนวรบสื่อมวลชนก็เถอะ เห็นจะไม่นานจากนี้ไป คนไทยก็จะได้เห็นการปฏิรูปสื่อมวลชนที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนแล้ว.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000017352
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น