โดย ว.ร.ฤทธาคนี
เมื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ทางการเมืองที่ร้อนแรงในประเทศไทยตลอดปี 2551 แล้ว ก็พบว่า กลไกสำคัญของอำนาจอธิปไตยในส่วนของฝ่ายตุลาการเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำลายพลังพ ลวัตการเมืองตัวแทนที่ฝังตัวในอดีต พรรคพลังประชาชนที่เป็นตัวดักแด้ออกจากคราบอดีตพรรคไทยรักไทยโดยในระยะต้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเลือกนายสมัคร สุนทรเวช เป็นแม่ทัพทำสงครามตัวแทนกับกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณทั้งระบบ ทั้งๆ ที่รู้ว่านายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีหุ่นมีคดีหมิ่นประมาทติดตัว จึงเป็นปลาตายน้ำตื้น
เมื่อนายสมัคร สุนทรเวช เจอความผิดกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงต้องออกจากตำแหน่ง ขณะเดียวกันนั่นเองเสียงที่สนับสนุนนายสมัครในสภาฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปเกิดแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ จนต้องถอนตัว ทำให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผู้มีฐานะเป็นน้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องสวมหุ่นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และน้องสาวสามารถกดปุ่มได้เป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นแทน
แต่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ถึงการเลือกตั้งทั่วไป 2551 นั้น อดีตพรรคพลังประชาชนได้วางแผนยุทธศาสตร์เอาชนะการเลือกตั้งอยู่แล้ว โดยเน้นฐานเสียงในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ และภาคอีสานมาตั้งแต่ พ.ศ. 2549 และเพื่อความมั่นใจในการแย่งอำนาจรัฐ ก็ทำการซื้อเสียงอย่างกว้างขวางทั้งก่อนและหลังที่จะมีกฎหมายเลือกที่เกิดจา กรัฐธรรมนูญ 2550
ดังนั้น อดีตพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง แต่ก็ประสบกับข้อหาโกงการเลือกตั้งในอัตราเฉลี่ยที่สูงกว่าพรรคการเมืองใดๆ มากนัก โดยเฉพาะกรณีนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนที่จนต่อหลักฐานหลายอย่าง ทั้งพยานบุคคลและเอกสารจนต้องได้รับใบแดงหมดสภาพเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งขณะนั้นเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นหมากสำคัญยิ่ งในสงครามการเมืองที่อดีตพรรคพลังประชาชนจะรุกไล่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกรอดพ้นจากคดีทุจริตคดโกงชาติหรือการใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด
และเงื่อนไขที่รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนสร้างนั้น เกิดจากความย่ามใจ เพราะอำนาจบารมีในเขตจังหวัดเชียงราย แต่กลับตายน้ำตื้นถูกพิพากษาว่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งจนเป็นเหตุทำให้พรรค พลังประชาชนถูกอำนาจตุลาการตัดสินยุบพรรคร่วมกับอีก 2 พรรคการเมืองใหญ่
จึงทำให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีทันที และเกิดปรากฏการณ์ทางการเมืองที่สำคัญเมื่อกลุ่มเพื่อนเนวินคนที่เคยได้รับค วามไว้วางใจจาก พ.ต.ท.ทักษิณมากที่สุดคนหนึ่งยุติบทบาทเป็นสมุนการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณนำพรรคพวกเข้าร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาลและเป็นตัวแปรสำคัญทำให้อดีตพรรคร่วมรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตัดสินใจสลับขั้วอำนาจ
ทั้งห้วงเวลาของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เกิดวิกฤตการเมืองที่เป็นบทเรียนการเมืองไทยบทใหม่ เพราะทั้งสองรัฐบาลแห่งอดีตพรรคพลังประชาชนต้องการเพียงรักษาผลประโยชน์ให้ก ับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายไปแล้ว จึงได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่กระทำทุกวิถีทางตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญและความชอบธรรม ประท้วงมิให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี 2550 และบานปลายเมื่อมีการดื้อแพ่งที่จะเอาชนะด้วยอำนาจรัฐของทั้งสองรัฐบาลหุ่น รวมทั้งมีการใช้กำลังตำรวจสลายฝูงชนพันธมิตรฯ ด้วยความรุนแรงมีการบาดเจ็บล้มตาย ฝ่ายพันธมิตรฯ ก็ขยายขอบเขตการประท้วงจนถึงขั้นยึดทำเนียบรัฐบาล และท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ
กองทัพวางตัวเฉยไม่ได้ปฏิบัติตามกับดักที่ทั้งสองรัฐบาลหุ่นที่หวังใ ช้กำลังทหารสลายฝูงชนเพราะหากทหารออกมากระทำรัฐประหารก็จะโดน นปช.ต่อต้านแบบ “ล้มปืน” เลยทีเดียวหรือหากสลายม็อบก็จะถูกคนทั้งชาติโจมตีต่อต้าน เช่น กรณี 17 พฤษภาคม 2535
นอกจากนี้ มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มชนสองกลุ่ม ซึ่งปัจจุบันจะเรียกว่าฝ่ายเสื้อเหลืองกับฝ่ายเสื้อแดงอย่างรุนแรงถึงตาย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การแยกพวกอย่างชัดเจน
เนื้อหาเหล่านี้น่าจะเป็นส่วนประกอบในบทความของฮันนาห์ บีช (Hannah Beech) นักเขียนบทความอาวุโสของนิตยสารไทม์ ประจำเอเชียฉบับล่าสุดที่ไม่ได้วิเคราะห์ความเป็นมาของเหตุการณ์ กลับสรุปเพียงเหตุการณ์การยึดสนามบินสุวรรณภูมิเป็นประเด็นหลัก และวิจารณ์ว่าการกระทำของพันธมิตรฯ ไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งยังสรุปว่าพันธมิตรฯ ทำให้ประเทศไทยเป็นอัมพาต
ฮันนาห์ บีช ยังตั้งคำถามนำว่า หากมีการเลือกตั้งอีกในอนาคตแล้ว จะได้ ส.ส.ที่มีความสัมพันธ์กับอดีตผู้นำที่อยู่นอกประเทศกลับเข้ามามีอำนาจอีกหรื อไม่ ซึ่งฮันนาห์ บีช ให้คำตอบชี้นำว่า “พันธมิตรฯ จะต้องกลับมีอีก” โดยอ้างคำพูดของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ประกาศจะต่อสู้กับระบอบทักษิณ “แม้ว่าจะต้องยอมเสียเลือดเนื้อก็ตาม” แต่ฮันนาห์ไม่ได้ชี้แจงเงื่อนไขที่แท้จริงให้ประชาคมโลกได้รับรู้ถึงปฐมเหตุ
ประวัติศาสตร์การเมืองของแต่ละประเทศ ก็มีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมและความเป็นมาทางการเมืองของแต่ละช นชาติ พื้นฐานความคิดในเชิงสังคมต่างกันไป ดังนั้น แนวความคิดของฮันนาห์ว่าด้วยหลักประชาธิปไตยแบบแองโกล-อเมริกันก็เป็นแบบหนึ ่ง และเหตุการณ์ทางการเมืองของไทยระหว่าง 2545-2551 นั้น ก็มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ โดยเฉพาะสภาวะความหลงใหลในตัวบุคคลที่เกิดจากอำนาจเงิน หรือมีลักษณะความสัมพันธ์บุคคลเชิงพาณิชย์ ซึ่งแตกต่างจากอดีต เพราะในอดีตนั้นคนมีศักดิ์ศรีเป็นพื้นฐานทัศนคติในการดำรงตนมากกว่าที่เงินจ ะซื้อได้ง่ายๆ
การสลับขั้วการเมืองนั้นมิได้หมายความว่าประเทศไทยจะเกิดสันติ เพราะเงื่อนไขตัวบุคคลยังไม่ยอมแพ้ กองทัพการเมืองของเขายังแข็งแกร่ง ซึ่งสังคมไทยเห็นได้จากการโฟนอิน ข่าวการจ้างล็อบบี้ยิสต์ ที่อาจจะเป็นทั้งจริงและเป็นข่าวที่ต้องพิสูจน์กันต่อไป
แม้ว่าฝ่ายรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พยายามที่จะหาทางเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นว่าไร้ประโยชน์ และดูเหมือนว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการฮั้วทางการเมือง เพราะว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องการเจรจาใดๆ จนกว่าจะได้อำนาจรัฐกลับคืนมา
สงครามการเมืองที่ชัดเจนคือ การประกาศต่อต้านการประชุมสุดยอดอาเซียนของ นปช.ที่จะเริ่มในอาทิตย์หน้าด้วยการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนต่างชาติว่า คนไทยไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาล และจะขอพบทูตกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อให้รับรู้ทัศนคติของ นปช.โดยจะเห็นว่า รัฐบาลนี้มีรัฐมนตรีเป็นผู้ก่อการร้าย จะด่วนพูดว่าเป็นคนไทยทั้งหมดได้อย่างไร จึงต้องให้บรรดาสื่อประเทศอาเซียนที่ไม่ได้ถูกซื้อเป็นคนวิเคราะห์ เพื่อประโยชน์ของคนอาเซียนเอง
หากวิเคราะห์ยุทธศาสตร์สงครามการเมือง 2552 ซึ่ง นปช.ไม่มีอำนาจรัฐเหมือนก่อนแล้ว จึงจะต้องทำทุกวิถีทางที่จะสร้างวิกฤตให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง อาจจะให้รุนแรงกว่าการประท้วงของพันธมิตรฯ เสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะต้องการทำลายบรรยากาศการเมืองของรัฐบาลประชาธิปัตย์ แสวงหาจุดร่วมในการทำลายเครดิตสถาบันซึ่งปัจจุบันมีขบวนการต่างชาติหนุนหลัง อยู่ สร้างจุดร่วมกับต่างชาติที่ต้องการจะชะลอความเจริญของไทย เพราะหากกระทำได้สำเร็จก็เท่ากับว่า รัฐบาลนี้ไม่สามารถฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจได้ จึงต้องการอัศวินม้าขาวเข้ามาช่วยและนี่เป็นสิ่งที่ระบอบทักษิณต้องการ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า
จ ึงเห็นได้ว่า แผนยุทธศาสตร์ของกลุ่ม นปช.ที่ต้องการชะลอหรือทำลายบรรยากาศการเมือง และแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียนมีความชัดเจน และนี่หรือความเป็นคนไทยของใครบางคน เพียงแต่ต้องการพ้นผิดและได้เงินเป็นแสนๆ ล้านบาทคืนเท่านั้นเอง
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000001870
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น