...+

วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วิจารณญาณกองทัพในวิกฤตการเมือง 2551

โดย ว.ร.ฤทธาคนี     18 ธันวาคม 2551 23:10 น.
พ.ศ.2551 เป็นช่วงปีที่ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตการเมืองที่รุนแรงมากอีกครั้งหนึ่ง ผนวกกับวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฉุดให้โลกต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยที่พึ่งก ารส่งออกไปสหรัฐฯ และบรรยากาศการลงทุนเสียไปเพราะปัญหาการเมือง
      
       แต่นับเป็นความโชคดีที่หลายปัญหาเงื่อนไขการเมืองถูกขจัดไปด้วยหลักน ิติธรรมทำให้กลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณหรือ พธม.ยุติการเคลื่อนไหวแต่กลุ่มสนับสนุนระบอบทักษิณคือตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เอง และ นปช.คงยังหาเหตุสร้างเงื่อนไขสนองความต้องการพ.ต.ท.ทักษิณซึ่งในกลุ่ม นปช.มีพวกอนาธิปไตยคตินิยมหรือกลุ่มซ้ายในซ้ายของอดีตพรรคคอมมิวนิสต์แห่งปร ะเทศไทยที่พยายามจะสร้างความสับสนวุ่นวายจนให้ถึงขั้นกลียุคเป็นสงครามกลางเ มืองย่อยระหว่างคนไทยสองกลุ่ม พธม.และนปช.หากทหารเข้าแก้ไขก็จะทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลงทันที และทหารก็กลับเป็นจำเลยสังคมอีกวาระหนึ่ง
      
       พวกซ้ายในซ้ายที่แฝงตัวในกลุ่มเสื้อแดงหวังจะให้เกิดภาวะอนาธิปไตย และจะทำการล้มล้างสถาบันตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้มาช้านานแล้วให้เห็นเป็นร ูปธรรม โดยกลุ่มซ้ายในซ้ายได้แถลงในการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 4 โดยเรียกการประชุมนั้นว่า “สภาตรายางของฝ่ายซ้าย” เพราะมีบันทึกว่ากลุ่มเขาชนะมติที่ประชุมสมัชชาซึ่งกำหนดชี้ขาดให้สังคมไทยเ ป็น “ทุนนิยมกึ่งเมืองขึ้นที่ศักดินาดำรงอยู่”
      
       แต่บันทึกประชุมของ พคท.กลายเป็น “ ปัจจุบันลักษณะสังคมไทยยังเป็นกึ่งเมืองขึ้น เศรษฐกิจสินค้าเข้าแทนที่เศรษฐกิจธรรมชาติแบบทำเองใช้เอง โดยพื้นฐานทุนผูกขาดของจักรพรรดินิยม และทุนนิยมขุนนางนายหน้าได้ขยายตัวเติบใหญ่ และครอบงำเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยประสานกับศักดินานิยม ทุนนิยมแห่งชาติถูกเบียดขับ แต่ก็พัฒนาไประดับหนึ่ง ในขณะที่ทุนนิยมขยายตัวศักดินาก็ยังดำรงอยู่”
      
       จึงเห็นได้ว่าซ้ายในซ้ายต้องการให้มีการปลดแอกประเทศ เพราะเป็นกึ่งเมืองขึ้น และต้องการให้มีการนำเข้ากำลังต่างชาติเข้าร่วมด้วย และขจัดศักดินาเพราะเป็นเงื่อนไขที่สนับสนุนทุนนิยม เมื่อกลุ่มซ้ายในซ้ายของ พคท.ออกจากป่าเพราะขาดเอกภาพในพรรค ประกอบกับรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ใช้ยุทธศาสตร์ “การเมืองนำหน้าทหาร” ข้าราชการต้องปฏิบัติตามคำสั่ง นรม.ที่ 66/2523 ขจัดข้าราชการชั่ว เงื่อนไขทางสังคมได้รับการแก้ไข ประชาชนได้รับความเป็นธรรม ได้รับพระเมตตาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโครงการพระราชดำริต่างๆ จนออกจากป่าใช้ชีวิตปกติ ทำให้กลุ่มซ้ายในซ้ายขาดกำลัง ผลจึงต้องออกจากป่าด้วย
      
       แต่ยังคงมีความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองของชาติอยู่ จึงมองเห็นโอกาสหากสามารถสร้างความโกลาหลวุ่นวายจนถึงขั้นสงครามกลางเมืองแล ้ว ก็จะสามารถล้มล้างระบบศักดินาได้สำเร็จ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่าสามารถเอาชนะสงครามกลางเมืองได้ถ้าเกิดขึ้น เพราะกำลังเงินทุนซื้อ “คน” ให้เป็นฐานอำนาจทางการเมืองได้แน่นอน อันเป็นการแสดงจุดร่วมระหว่างเขากับซ้ายในซ้าย
      
       ดังนั้น การแสดงจุดร่วมนี้จึงเป็นความพยายามของรัฐบาลนอมินีที่อ้างความชอบธรรมจากกา รชนะการเลือกตั้งแต่ใช้เงินซื้อเสียงเป็น “ธนาธิปไตย” จนเป็นที่ประจักษ์ตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ
      
       กองทัพถูกท้าทายตลอดห้วงระยะเวลาปีหนึ่งที่ผ่านมา ด้วยการสร้างกระแสให้เป็นชนวนการปฏิวัติ เพื่อที่จะมีการต่อต้านปฏิวัติ และสร้างเงื่อนไขการต่อสู้ระหว่างทหารกับประชาชน ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็สามารถใช้เป็นข้ออ้างกับประชาคมโลกว่าระบอบเผด็จการทหารต้องการทำลายเขา จึงถูกขับออกจากประเทศ และถูกตัดสินแบบไร้ความยุติธรรม สิ่งเหล่าเห็นได้จากการโฟนอิน
      
       เงื่อนไขสำคัญที่รัฐบาลนอมินีทั้งของนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ซึ่งนักการเมืองหลายคนที่ฉ้อฉล ขี้โกง ไม่ชอบ และทำให้พ.ต.ท.ทักษิณรอดพ้นจากคดีทุจริตคดโกงแผ่นดินได้ หากแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้สำเร็จ ทำให้ พธม.ต่อต้านด้วยกำลังคนที่มากพอ และยึดทำเนียบฯ และสนามบิน เป็นการประท้วงเป็นเวลานานกว่าครั้งใดๆ จึงทำให้รัฐบาลนอมินีทั้งสองพยายามที่จะใช้กำลังทหารเข้าสลายฝูงชนและยึดทำเ นียบฯ และสนามบินคืน
      
       มีการกดดัน ผบ.เหล่าทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มีการกระตุ้นให้กลุ่มทหารที่เสียประโยชน์ในกองทัพกดดันให้ พล.อ.อนุพงษ์ จัดการกับ พธม. มีการพิจารณาที่จะโยกย้าย พล.อ.อนุพงษ์ ออกจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. และมีการที่จะแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร แต่ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โยกย้ายและแต่งตั้งกลุ่มนายทหารที่รัฐบาลนอมินีสามารถจะชี้นิ้วได้
      
       ทำให้จุดยืนของ พล.อ.อนุพงษ์ แข็งแกร่งและนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลนอมินีไม่สามารถที่จะบังคับข่มขู่ได้ ขณะเดียวกัน กองทัพอากาศเสนอ พล.อ.อ.อิทธิพล เป็น ผบ.ทอ.ที่มีจุดยืนที่แข็งแกร่งเช่นกัน ทั้งยังมีเอกภาพในเรื่องความชอบธรรมที่แท้จริงในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอ ันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นสัญญาณให้ทหารอากาศเห็นจุดยืนของ ผบ.ทอ.อย่างชัดเจน ทำให้สาธารณชนอนุมานได้ว่า ผบ.ทบ. และ ผบ.ทอ. มีเอกภาพที่ชัดเจน 2 กรณีคือ เป็นทหารของในหลวง และเป็นทหารประชาธิปไตย
      
       ส ัจธรรมที่แท้จริงแล้วก็คือ การที่ได้รับพระราชทานความไว้วางใจในตำแหน่ง ผบ.เหล่าทัพแล้วเป็นเกียรติยศอย่างสูงสุดของทหาร หากถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะนักการเมืองด้วยสาเหตุทางการเมืองแล้ว นายทหารทั้งสองคงไม่เสียใจ และไม่เสียดายตำแหน่ง แต่จะเป็นตำนานของกองทัพตลอดไปว่าเกียรติอยู่เหนือสิ่งใด

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000149014


    ดิฉันเชื่อมั่นในทหารที่ขึ้นสู่ตำแหน่งตามครรลองที่ควรจะเป็นว่า...
....เป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์
....เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิที่ได้จากประสบการณ์ วิสัยทัศน์ที่ดีถูกต้อง
มากกว่าทหารที่ได้รับการอวยยศโดย "ระบอบทักษิณ"

ข อชื่นชม"คุณอนุพงษ์ เผ่าจินดา" ในความอดกลั้นและอดทนต่อสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ได้อย่างดีเยี่ยม...สมชายชาติทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ขอบคุณนะคะ
แต่กรุณาจัดการ "เสธแดง" ..แกะดำแห่งกองทัพ

ส่วนตัวชื่นชมคุณอนุพงษ์ค่ะ แต่หลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็อดระแวงไม่ได้ว่าทหารจะมาไม้ไหน
เห็นแก่ประชาชนจริงๆ หรือกลัวถูกลดอำนาจจนต้องยื่นมือเข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
หลายครั้งๆเหลือเกินที่ท่านรอจนกระทั่งประเทศชาติเสียหายหรือประชาชนทุกข์ใจจนถึงที่สุดจึงจะขยับตัว
และเมื่อมีข่าวลือว่าจะถูกปลดจากการเป็นผบ.ทบ. การเมืองจึงเปลี่ยนขั้วอย่างรวดเร็ว
แล้วจะให้ประชาชนเข้าใจยังไงดี?????
kookkuk

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น