...+

วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สิ่งที่“มาร์ค” ไม่ควรทำ ซ้ำรอย “แม้ว” 1 : อย่าลุอำนาจ ยึดชาติเป็นของตัว

โดย ไทยทน     19 ธันวาคม 2551 17:57 น.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000149350

รากำลังมีนายกฯ คนใหม่ หลายคนก็รู้สึก “ดีใจ” ที่มีการเปลี่ยนแปลง “ชื่นใจ” ที่ไม่มีการพยายามแบ่งแยกแผ่นดิน หรือ แบ่งแยกพี่น้องคนไทย เป็น “พวกรัก” และ “พวกเกลียด” และ “ภูมิใจ” ที่เรามีนายกฯที่พูดจาประกอบด้วยความรู้ ความสามารถ วิสัยทัศน์ และคุณธรรม อย่างที่คนไทยได้ร่วมกันภาคภูมิใจ ไม่อายใคร
      
       ไทยทนเห็นว่า คนส่วนใหญ่ก็เอาใจช่วย หวังอยากเห็นประเทศที่ดีขึ้น แต่ด้วยเราเพิ่งผ่านบรรยากาศของการอยู่ภายใต้อำนาจของ “ระบอบทักษิณ” มายาวนาน สังคมไทยได้เรียนรู้ว่า ผู้นำมีอำนาจมาก ผู้นำที่ดี สร้างคุณูปการต่อประเทศได้มาก ผู้นำที่ไม่ดี ก็สร้างปัญหาและภาระของประเทศชาติมากมายเช่นกัน
      
       ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้น ถือได้ว่าเป็นต้นทุนประเทศที่แพงมาก เพราะคนๆเดียว ลุอำนาจต้องการยึดชาติเป็นของตัว ฉ้อราษฎร์บังหลวงดูดประโยชน์เป็นของตัว และ ลดมาตรฐานความชอบธรรมความถูกต้องเพื่อปกป้องตัว
      
       ไทยทนเชื่อว่า มีสิ่งที่“มาร์ค” ไม่ควรทำ ซ้ำรอย “แม้ว” ในข้อแรก คือ “อย่าลุอำนาจ ยึดชาติเป็นของตัว” หลายประการ ดังนี้
      
       1. อย่ายึดอำนาจรัฐ เป็นสมบัติของตัว : ระบอบทักษิณมักถือว่า ประชาธิปไตยเป็นวิถีทาง เข้าสู่อำนาจด้วยการลงทุน เป็นเจ้าของ และแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนและพวกพ้อง จนกระทั่งบัดนี้ เรายังเห็นความคิด ของลิ่วล้อ “ระบอบทักษิณ” ทักท้วงทำนองว่า ถูกปล้นอำนาจรัฐไปเป็นสมบัติของประชาธิปัตย์ สะท้อนความคิดอยู่นั่นเองว่า “การเมือง เป็นการเข้ายึดอำนาจรัฐเป็นสมบัติส่วนตัว” อยู่นั่นเอง
      
       นักการเมือง และประชาชนไทย ควรเลิกคิดได้แล้วว่า อำนาจรัฐ เป็นสมบัติส่วนตัว อันที่จริง การเข้าสู่อำนาจรัฐ เป็นการอาสามาทำงาน เพื่ออุทิศตัวเพื่อประเทศชาติและประชาชน เสียสละตนเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่เสียสละชาติเพื่อตน
      
       ในเบื้องต้น เราเห็นสุนทรพจน์ที่งดงามของนายกฯ มาร์ค ของเราที่น่าภูมิใจว่า “ผมสำนึกเสมอครับว่า ผมเกิดมาเป็นข้าของแผ่นดิน ต้องสนองคุณแผ่นดิน” หวังว่า ท่านจะยึดถือหลักการที่น่ายกย่องนี้ตลอดไป
      
       2. อย่าใช้สื่อของรัฐด้านเดียว อย่างไม่เป็นธรรมแบบเผด็จการ : ประชาธิปไตยแท้ ไม่ใช่วัดกันแค่เพียงเรื่องการเลือกตั้ง เพราะเผด็จการฮิตเลอร์ ก็มาจากการเลือกตั้ง เผด็จการเขมร หรือเผด็จการพม่าก็จัดให้ดูเหมือนมีการเลือกตั้ง หัวใจของประชาธิปไตย คือการที่ผู้นำมาจากเสียงส่วนใหญ่ แต่เป็นผู้นำของทุกคน เสียงส่วนน้อยช่วยตรวจสอบ จึงต้องมีการสื่อความ 2 ด้าน ภายใต้ระบอบทักษิณ เราเห็นการคุมสื่อเพียงด้านเดียว รายการประเภท “ความจริง (ส่วนของฉัน) วันนี้” ที่จัดโดย 3 เกลอหัวขวด เป็นตัวอย่างของการปล้นประชาธิปไตย ปล้นเสรีภาพของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารไป การคุมสื่อด้านเดียว ทำให้ใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไม่เป็นธรรม และทำให้สามารถใช้อำนาจรัฐทำบาปมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการแก้ไขปัญหาที่ไม่เป็นธรรม นำไปสู่คดีอุ้ม ทนายสมชาย ทนายแห่งสิทธิมนุษยชน คดีกรือเซะ และคดีตากใบ และความกดดัน ใช้สื่อของรัฐใส่ร้ายผู้เห็นต่าง มีแต่ทำให้ปัญหาบานปลาย ยังยากที่จะสงบลงได้
      
       ไทยทนจำได้ว่า ท่านอภิสิทธิ์เคยเอ่ยถึงการจัดรายการ “นายกฯพบประชาชน” และพร้อมจะเปิดโอกาสให้มีรายการ “ผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชน” ซึ่งหวังว่าท่านจะปฏิบัติดังที่ท่านพูด
      
       และหวังว่า ท่านจะไม่ใช้สื่อด้านเดียว ให้ความเท็จใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามอย่างเดียว ไทยทนเห็นว่า รายการโทรทัศน์แบบ “มองต่างมุม” ในอดีต เป็นรายการที่ให้ความรู้ แง่คิดหลายด้านหลายมุมที่เป็นธรรม รายการลักษณะนี้น่าจะกลับมา และอย่าถือเป็นทีของตัวจัดให้มีรายการแบบ “ความจริง (ส่วนของฉัน) วันนี้” อีกต่อไป
      
       3. อย่าละเลยประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภา: เรามีบทเรียนที่ อดีตนายกฯทักษิณ มีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมควร ส่อทุจริต แต่เมื่อผู้แทนราษฎร ในระบอบรัฐสภา ตั้งกระทู้ถาม ตามอำนาจและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ท่านก็ไม่เคยตอบ เมื่อมีการอภิปราย ก็ยุบสภาหนี
      
       ต่างกับอารยประเทศ เมื่อสภาสงสัยแม้เรื่องส่วนตัวของบิล คลินตัน ท่านก็ตอบจนสิ้น เมื่อสภาอังกฤษถามนายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ ถึงกรณีการเดินตามอเมริกาในสงครามอิรักท่านก็ต้องตอบ มีแต่ท่านทักษิณ “ไม่ตอบ”! ทำให้ระบบรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยถูกย่ำยีไป
      
       ท่านมาร์ค จึงควรเก็บปัญหานี้เป็นบทเรียน และอย่าได้ละเลยบทบาทการตรวจสอบของสภาแบบคล้ายๆกัน
      
       4. อย่าใช้เงินภาษีของประชาชน ทำเพื่ออ้างบุญคุณตัว : เรามีบทเรียนที่ อดีตนายกฯทักษิณ มีพฤติกรรมใช้เงินของรัฐ ซึ่งเป็นภาษีของประชาชน ใช้จ่าย แต่อ้างบุญคุณว่ามาจากตัว เราจะเห็นอารยประเทศอย่างอเมริกา เมื่อจะใช้เงินของชาติ ช่วยเหลือประชาชน จะพูดอย่างระมัดระวังว่า เป็นการใช้เงินของ “ผู้จ่ายภาษี (Tax-Payers)” ไม่ใช่เป็นเงินของตัว การใช้เงินของรัฐที่ผ่านๆมาทุกรัฐบาล ก็เป็นประโยชน์ต่อประชาชน การพัฒนา Eastern Seaboard การพัฒนาท่องเที่ยว การพัฒนาสาธารณูปโภคในหลายๆรัฐบาลนั้น ก็เป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศ และทำให้คนไทยมีงานดีๆทำ หายจนได้จริงๆมากมาย ก็ไม่ต้องยึดถือว่า เป็นบุญคุณใคร แต่เป็นบุญคุณแผ่นดินต่อเราทุกคน หวังว่าท่านมาร์คก็จะไม่อ้างการใช้จ่ายเงินของรัฐ เป็นบุญคุณของใคร คล้ายๆกัน
      
       5. อย่าใช้อำนาจ “เลือกปฏิบัติ” สร้างความไม่เป็นธรรม ทำให้บ้านเมืองแตกแยก : เรามีบทเรียนที่ อดีตนายกฯทักษิณ ให้แนวทางว่า “พื้นที่ไหนเลือกผม ผมก็ต้องดูแลก่อน” ซึ่งเป็นการผิดหลักการประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง ท่านมาร์คเริ่มต้นด้วยดีจากสุนทรพจน์ของท่านว่า “วันนี้ประเทศของเราต้องมีความสามัคคี ผมขอยืนยันว่า ผมจะทำงานให้กับคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเลือกผมหรือไม่เลือกผม ไม่ว่าจะสนับสนุนผมหรือแม้แต่ต่อต้านผม ท่านจะเป็นใครก็ตาม หากท่านไม่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ท่านไม่ใช่ศัตรูของผม และท่านเป็นอีกคนหนึ่งที่ผมต้องรับใช้อย่างเต็มความสามารถ” ก็หวังว่า ท่านมาร์คจะยึดมั่นในหลักการนี้ตลอดไป
      
       6. อย่าใช้อำนาจรัฐ เพียงเป็นอาวุธเอาชนะกันทางการเมือง : มีการใช้ ปปง. ตรวจการฟอกเงินของผู้สนับสนุนพันธมิตร ทั้งๆที่ถ้าเรามองพันธมิตรด้วยความเป็นธรรม เขาไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้าย ผู้ใช้ความเถื่อนแต่อย่างใด เขาไม่ได้ไปบุกทำร้ายใคร ภาพรุนแรง มักเป็นภาพม็อบกลุ่มอื่น การโยนแผง การทุบรถ การลากคนมากระทืบ นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราจะเห็นจากกลุ่มพันธมิตรฯเลยนอกจากการป้องกันตัว
      
       แต่รัฐบาลโนมินีใช้ ปปง. เป็นดังอาวุธ กลั่นแกล้งผู้สนับสนุนการเมืองภาคประชาชน ทั้งๆที่เป็นการใช้วิธีอหิงสา และอโหสิ เพื่อประเทศชาติส่วนรวม
      
       ทั้งๆที่ ความผิดของท่าน ดังกรณีพบแหล่งเงินวินมาร์ค ซึ่งซื้อหุ้น 1,500 ล้านบาท จากท่านและภรรยาเป็นการฟอกเงิน ตั้งแต่ปี 2543 เลือกตั้งครั้งแรก ซึ่งดีเอสไอ และ กลต. ก็ชี้ความผิดแล้วว่า ท่านและภรรยา คือเจ้าของที่แท้จริงของ วินมาร์ค VAF,OGF และ ODF ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดก็ยืนยันตรงกันในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอสซี แอสเสท (SC) ว่า “ด้วยข้อเท็จจริงปรากฏว่า ท่านและภรรยา ซื้อหุ้นผ่านกองทุน” เท่ากับเปิดโปงว่าท่านเป็นเจ้าของ และปกปิดไว้จริงไว้
      
       ซึ่ง นาย เสนาะ เทียนทอง ก็เคยบอกเมื่อต้นปี 2549 ว่า “เพราะรวยจากโกงชาติ กล้าทำแม้เผาบ้านเผาเมืองเพื่อเอาประกัน” ก็เป็นความผิดระดับ “ปล้นชาติ” และ การโทรสั่งการโนมินี ให้ใช้มาตรการรุนแรงกับผู้ชุมนุมด้วยอุดมการณ์เพื่อชาติ การขู่ว่าจะนองเลือด สอดรับกับจังหวะการยิงระเบิด M79 เข้าบริเวณทำเนียบใส่กลุ่มพี่น้องพันธมิตร ก็ผิดระดับ “ก่อการร้าย” ทั้งเบาะแสและฐานความผิดขนาดนี้ สมควรที่ ปปง. จะตรวจสอบ ก็ไม่ทำ
      
       สิ่งที่รัฐบาลมาร์คควรจะทำ คือไม่ใช่ใช้หน่วยงานเหล่านี้ ตรวจเงินผู้เห็นต่างทั้งหลาย แต่ต้องตรวจตามเนื้อผ้า ดังกรณีนี้ กลุ่ม 3 เกลอหัวขวด อาจไม่ต้องตรวจ เพราะยังไม่เห็นเบาะแส และมีฐานความผิดประกอบเหมือนกรณีอดีตนายกฯทักษิณ ซึ่ง ปปง. ควรจะได้ตรวจเพื่อความเป็นธรรมและความกระจ่างอย่างจริงจัง
      
       7. อย่าลืมบุญคุณแผ่นดินแม่ : อดีตนายกฯ ทักษิณ ได้รับบุญคุณแผ่นดินมากกว่าใครๆ แต่กลับวางตัวเป็นเหนือประเทศชาติ พยายามทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก ไม่สนใจรัฐธรรมนูญ กฎหมาย รัฐสภา ความชอบธรรม และล่าสุด ถึงกับส่งจดหมายไปทั่วโลก เพื่อตำหนิประเทศไทย แผ่นดินแม่ว่ากลั่นแกล้งตัว ทั้งๆที่ คดีความต่างๆ ท่านก็ไม่ได้ชี้แจงตอบโต้
      
       ท่านมาร์คกล่าวสุนทรพจน์อย่างงดงามว่า “แม้ว่าในชีวิตของผมไปใช้อยู่ในต่างแดนเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผมไม่เคยมีความรู้สึกว่า มีที่ไหนที่น่าอยู่เท่ากับประเทศไทย” ก็หวังว่า ท่านจะไม่ลืมความรู้สึกรักชาติเช่นนี้ตลอดไป
      
       ท่านมาร์คได้แสดงภาวะผู้นำอย่างดี ด้วยการจบท้ายสุนทรพจน์ว่า “ผมเชื่อมั่นในประเทศไทย ผมเชื่อมั่นในคนไทย ไม่ว่าเราจะเจอกับปัญหาอุปสรรคหนักหนาสาหัสเพียงใด ผมยังเชื่อในคนไทยและประเทศไทย และผมเชื่อว่า ถ้าผมได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ พลังของพวกเราจะทำให้ประเทศของเรานั้น ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ และเราจะได้ร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูกหลานของคนไทยทุกคน ผมมั่นใจครับว่า เราทำได้ ขอขอบพระคุณครับ”
      
       ก็หวังว่า ท่าน “มาร์ค” จะไม่ทำซ้ำรอย “แม้ว” ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหลายๆประการ ขอให้ท่านสานต่อสิ่งดีๆ ที่หลายๆรัฐบาลได้ทำสืบเนื่องมา และนำคนไทย และประเทศไทยให้ผ่านวิกฤตการณ์ที่ท้าทายโลกในปัจจุบันไปได้อย่างดีต่อไป

++
    รัฐบาลมาร์ค 1 คลอดออกมา รัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ มีทั้งถูกใจและไม่ถูกใจ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่นายกมาร์คต้องคำนึงถึงสภาวะ ณ. ปัจจุปัน ว่าตอนนี้ประเทศชาติอยู่ในภาวะอย่างไร ปกติหรือไม่ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ประชาชนภายในชาติ และรวมถึงสถาบันต่างๆ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตย์ การที่จะแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ มันก็คล้ายๆกับองค์กรของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งบริหารงานโดย ผอ. หรือ อาจารย์ใหญ่ นอกนั้นก็เป็นคุณครูประจำที่สอนหนังสือ ตามความถนัดแต่ละวิชาหรือแต่ละสายงาน ในเมื่อโรงเรียนแห่งนี้ขาดคุณครูประจำวิชาการตลาด ผอ. มาร์ค จะแต่งตั้งครูที่มีความถนัดวิชาการโรงแรม มาสอนการตลาด แล้วนักเรียนจะได้ความรู้ไหมแล้วจะออกไปประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองรอดไหม

ใ นเมื่อไม่มีครูสอนประจำสาขาอาชีพการตลาด แล้ว ผอ. มาร์ค จะลงมากำกับการสอนแทน คงเป็นไปไม่ได้ เพราะงานที่ตัวเองรับผิดชอบทั้งโรงเรียนก็เยอะมากพออยู่แล้ว เป็นการเพิ่มภาระให้กับตัวเอง เป็นการเสี่ยงต่อชื่อเสียงของสถาบันอย่างยิ่งที่ไม่สามารถผลิตบุคคลกรที่มีค วามรู้ความสามารถได้และต่อไปคงไม่ได้รับความไว้วางใจได้อีกกับบุคคลที่จะฝาก ความหวังไว้กับโรงเรียนแห่งนี้ที่มี ผอ. มาร์ค เป็นผู้บริหาร
ณ.เหตุการณ ์ ที่เกิดเกี่ยวกับ ครูประจำวิชาที่ขาดหายไป ผอ. มาร์ค ต้องคัดสรร มาเติมให้ได้อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ดรงเรียนแห่งนี้สามารถผลิดบุคคลกรที่มีคุณภาพออกมาได้เป็นกำลังของป ระเทศชาติได้ และเพื่อเป็นการลดภาระของ ผอ. มาร์ค เองไปในตัวด้วย และสามารถเอาเวลาไปบริหารดูแล วิชาการ หรืองานอื่นๆ ที่รับผิดชอบได้ ในเมื่อองค์กรหรือสถาบันโรงเรียนแห่งนี้ มีคณาจารย์ประจำครบทุกวิชา ก็สามารถแข่งขันกับสถาบันอื่นๆได้โดยไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป ว่าจะสู้กับสถาบันอื่นได้ไหม

ในเมื่อนายกมาร์ค จะนำพาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า ประการแรก รัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆ ต้องสามารถทำงานให้กับกระทรวงนั้นได้และเป็นที่ยอมรับของบุคคลภายนอกได้ ไม่ใช่ว่าตัวรัฐมนตรีทำงานไม่เป็นแล้วยังมาอาศัยทีมที่ปรึกษาทำงานแทน อย่างนี้คงนำพาประเทศชาติไม่รอดเป็นแน่แท้
333

++

    คิดว่าท่านนายกคนนี้ไม่ใช่คนเหลิงอำนาจครับ

ผมติดตามพฤติกรรมของท่านมาตั้งแต่ได้รับเลือกตั้งครั้งแรก ผมมั่นใจในความไม่ยอมงอให้ความไม่ถูกต้องของคุณอภิสิทธิ์

ถ้าทุกอย่างมันเกินจะรับ คุณอภิสิทธิ์จะใช้วิธียุบสภาแน่นอน

ต อนนี้สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์คิดลำดับแรกคือ โอกาสในการทำงาน สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้เสถียรภาพของรัฐบาลมั่นคง ซึ่งก็คงต้องซื้อใจพรรคร่วมก่อน

หลังจากนั้นก็ค่อยแสดงฝีมือด้านเศรษฐกิจให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อสร้างบารมีเอาไว้ต่อรองกับกลุ่มต่างๆ

เราต้องให้กำลังใจท่านครับ ถ้าเราเชื่อมั่นในตัวท่าน
เชียร์ท่านนายกครับ

++
    ในฐานะที่ผมเองเป็นพวกเสื่อมศรัทธากับระบบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งหลายพรรคแ ละระบบรัฐสภาที่ประกอบไปด้วยนักซื้อเสียงมาเนิ่นนานเต็มที ใจจริงผมปราถนาอย่างยิ่งที่จะได้เห็นรัฐบาลอภิสิทธิ์เป้นรัฐบาลในระบบเดิมรั ฐบาลสุดท้ายก่อนที่ประชาชนจะสามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองใหม่ไปเป็นระบบอื่นที ่นักการเมืองต้องถูกกำจัดบทบาทไปตลอดปล่อยให้นักปฎิบัติเข้ามาเป็นผู้บริหาร รัฐแทน อย่างไรก็ตามอภิสิทธิ์มีโอกาสที่จะรักษาระบบการเมืองแบบเก่าไว้ได้ วิธีหนึ่งก็คือทำตามที่บทความนี้เขียนไว้ให้ดีที่สุด อย่าได้ปลาตายน้ำตื้นเช่นที่เคยเกิดกับพรรคนี้เสมอมาเป็นอันขาด ผมเชื่อว่าเที่ยวนี้หากอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ทำไม่ได้ ประชาชนจะไม่ยอมทนอยู่กับระบบการปกครองแบบเลือกตั้งนักการเมืองมากินเมืองอี กต่อไป การเมืองใหม่จะมาแน่ อาชีพนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจะสาบสูญอย่างที่ผมอยากเห็น
ไม่สงวนความเห็น

++

    คำที่ไม่ควรพูดซ้ำกับทักษิณคือ"ธรรมาภิบาล"ซึ่งทักษิณเข้าใจว่าหมายถึง"Good Governance"ในภาษาอังกฤษนั้นสับสน..ไม่ควรใช้

เพราะเป็นคำที่สร้างความล้มเหลวปฏิรูปการเมืองให้รัฐบาลทักษิณ

คำว่า Governance ปรากฏในกฏหมายปฏิรูปการเมือง/ปฏิรรูปการบริหารภาคเอกชนของสหรัฐอเมริกา
นั่นคือ Public Law (Aug. 20,1967)...โดยสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ(NIST)ให้ความหมายว่า
Governance หมายถึง"ระบบบริหาร"(System of management)

ดังนั้น คำว่า Good Governance จึงหมายถึง"ระบบที่ดี"
สอดคล้องกับคำที่เป็นหัวใจของการปฏิรูปการบริหารของโลก..นั่นคือ"ระบบคุณภาพ"(Quality system)

คำว่า Good Governance จึงหมายถึงระบบที่ดี หรือ ระบบคุณภาพ..ที่เป็นหัวใจของการปฏิรูปการเมือง
สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่บัญญัติในมาตรา 78(2) รัฐต้อง"จัดระบบ"การบริหารราชการฯ

"ธรรมาภิบาล"ไม่มีความหมายกับนโยบายรัฐบาลประชาธิปัตย์ปัจจุบัน
แต่"จัดระบบ"(Governance)เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องกำหนดในนโยบายของรัฐบาลโดยหลีกเลี่ยงมิได้

เพราะ"จัดระบบ"การบริหารราชการฯอยู่ในหมวดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่ต้องเป็นนโยบายของรัฐบาลประชาธิปัตย์
หมายความว่า..รัฐบาลประชาธิปัตย์ต้องปฏิรูปการเมืองทั้งส่วนกลาง การเมืองส่วนภูมิภาคและการเมืองส่วนท้องถิ่น

และต้องเขียนในนโยบายของรัฐบาลที่จะนำไปแถลงในสภาด้วย

ปฏิรูปการเมือง(ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น)
Good Governance

++
ความคิดเห็นที่ 2             คลิกที่นี่หากท่านสนับสนุนความเห็นนี้     คลิกที่นี่หากท่านไม่สนับสนุนความเห็นนี้     คลิกที่นี่หากท่านต้องการตอบกลับความคิดเห็นนี้     คลิกที่นี่หากท่านเห็นว่าความคิดเห็นนี้ขัดต่อกฎ กติกา มารยาท
    อภิสิทธิ์ต้องมีคนดีอยู่ใกล้
ต้องเลือกคนใกล้ชิดที่ปรึกษาที่ดี และฟังคนดี ไม่ใช่ผลักไสคนดีที่เตือน

ไม่งั้นก็จะเหมือนทักษิณ

เสาใหญ้สิบศอกตอกเป็นหลัก
ไปมาผลักหินเข้าเสายังไหว
เอาใจช่วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น