...+

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

สภาพจิตและวิบากกรรมของทักษิณ!

โดย สุวิชชา เพียราษฎร์ 18 พฤศจิกายน 2551 18:05 น.
       การก่อตั้งมูลนิธิที่ชื่อว่า “เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า” เป็นข่าวความเคลื่อนไหวล่าสุดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรหลังจากก่อนนี้ไม่กี่วันได้ “สร้างอนาคตที่ดีกว่า” แล้วด้วยการหย่าร้างกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยาที่ร่วมหอลงโรงกันมานาน
      
       ขณะที่หากย้อนหลังดูการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ หลายต่อหลายกรณีนับจากถูกรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ถูกตัดสินจำคุก 2 ปีในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดิน, เขียนจดหมายด่าทอกระบวนการยุติธรรม,หลบหนีคดีไปอยู่อังกฤษ,โฟนอินเข้ามาพูดใ ห้ร้ายต่อสถาบัน ปลุกระดมมวลชนของตน, กระทั่งถูกยกเลิกวีซ่าเข้าอังกฤษ ตามลำดับ
      
       อาการดิ้นทุรนทุรายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่บอกว่าจะสู้เต็มที่ จะโฟนอินรอบสอง รอบสาม ขู่จะแฉแหลก ศัตรูเป็นใคร จะทำเช่นนั้น เช่นนี้ ก็ว่ากันไปเป็นเพียงรายละเอียดเท่านั้น เพราะ เมื่อมองภาพรวม เขาคิดอะไร อย่างไรต่อจากนี้ รู้ๆ กันอยู่ว่า เพราะเพื่ออะไร?
      
       ทั้งหมดทั้งมวลต่างกรรมต่างวาระ แต่ก็วิเคราะห์ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณกระทำทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีใช้นั้นอยู่บนพื้นฐานเพื่อผลประโย ชน์ของตนเอง ทั้งในด้านการต่อสู้ทางการเมือง และการสร้างภาพลักษณ์แก้เกมกลบลบวิกฤตต่อสายตาชาวโลกที่เริ่มเข้าใจ และเชื่อว่า เขาเป็นอดีตผู้นำที่ทุจริตคอร์รัปชัน เป็นผู้ต้องหาหนีคดี!
      
       ทว่า คำถามที่มักถูกถามกันอยู่เสมอก็คือ ทำไม คนคนเดียวถึงทำร้ายทำลายประเทศ คนในประเทศได้ถึงเพียงนี้ เมื่อไหร่เขาจะหยุด?
      
       โดยหลักของคนทั่วไปก็จะบอกว่า คนที่จะรู้คำตอบนี้นอกจากตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เองก็คงไม่มีใครอื่น แต่ก็ไม่แน่! มีคนในสังคมบางส่วนโดยเฉพาะคนที่เป็นคุณหมอ อยู่กับคนไข้มาชั่วชีวิตมีมุมมองต่างออกไปว่า บางทีแม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณก็อาจจะไม่ทราบตนเองว่า กำลังทำอะไร!
      
       คุณหมอท่านหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) ซึ่งติดตามพฤติการณ์ของพ.ต.ท.ทักษิณ มาต่อเนื่องยาวนานเขียนบทวิเคราะห์ส่งมาที่กองบรรณาธิการผู้จัดการรายวัน ภายใต้หัวข้อเรื่องว่า “เช็กสภาพจิตและวิบากกรรมของทักษิณ”
      
       ท่านบอกว่า พ ฤติกรรมที่พ.ต.ท.กำลังดำเนินอยู่ ถ้าจะเปรียบเป็นผู้ป่วย อาจเทียบเคียงได้กับทฤษฎีทางจิตที่ใช้อธิบายพฤติกรรมของผู้ป่วย เมื่อทราบจากแพทย์ว่าตนเองป่วยเป็นโรคร้ายแรงรักษาไม่หายและใกล้ถึงวันตาย ทฤษฎีนั้นมี 4 ระยะดังนี้
      
       ระยะที่ 1 คือ การไม่ยอมรับ เมื่อแพทย์แจ้งว่าเป็นโรคร้ายไม่มีทางรักษา ผู้ป่วยจะยังไม่เชื่อและปฏิเสธเพราะรับไม่ได้ว่าตนเองจะต้องตายภายในอนาคตอั นใกล้ และอาจจะไปพบแพทย์อีกหลายคนเพื่อความแน่ใจ
      
       ระยะที่ 2 คือ การโทษผู้อื่น เป็นระยะที่ผู้ป่วยเอะอะโวยวายมักจะโทษผู้อื่นว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตนป่วยเช่นนี้
      
       ระยะที่ 3 คือ การยอมรับความจริง ขั้นตอนนี้ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกว่าการปฏิเสธหรือไม่ยอมรับความจริงหรือเอะอะ โวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งทำให้สุขภาพและใจทรุดลงกว่าเดิมจึงยอมรับว่า ตนป่วยจริงและหาทางรักษา
      
       ระยะที่ 4 คือ การปลง เมื่อยอมรับและรักษาตนเองแล้วแต่อาการยังไม่ดีขึ้น โรคกำเริบหรือมีอาการแทรกซ้อนมากกว่าเดิม ผู้ป่วยจะเริ่มปลง จะเริ่มเข้าใจสภาวะของโรคภัยไข้เจ็บ เริ่มคิดถึงหลักธรรมของศาสนา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง ไม่คงทน ไม่มีตัวตน
      
       ระยะเวลาทั้ง 4 ระยะนั้นจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะทางจิตของคนคนนั้น บางคนอาจใช้ระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือน หรือเป็นปีก็ได้ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับพ.ต.ท.ทักษิณที่ทราบว่า ตนเองต้องติดคุก 2 ปี ถูกถอนวีซ่า ความรู้สึกในใจก็จะเป็นไปตาม 4 ระยะดังกล่าว คือ ในขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงระยะที่ไม่ยอมรับและโทษผู้อื่น เห็นได้จากการว่าจ้างสื่อต่างชาติ และต่อท่อน้ำเลี้ยงไฟเขียวให้ลิ่วล้อสู้อย่างเต็มที่ทั้งรายการความจริงวันน ี้ การเกณฑ์มวลชนคนเสื้อแดง หรือแม้แต่ออกตั๋วเครื่องบินให้นักการเมืองน้ำเน่า คนไร้ราคาทั้งหลายบินไปรับออร์เดอร์ที่ฮ่องกง ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้าสู่ระยะยอมรับความจริงและปลงหรือไม่ คุณหมอท่านนี้บอกว่า ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะทางจิตใจของพ.ต.ท.ทักษิณเอง
      
       ขณะที่หากเทียบเรื่องวิบากกรรมตามหลักศาสนาพุทธก็จะมีอยู่ 4 ระยะเช่นกัน คือ
      
       1. วิบากกรรมที่เกิดกับจิตใจเมื่อใดที่เราทำผิด ผลกรรมที่เกิดขึ้นก็คือ เราไม่สบายใจ คิดมาก นอนไม่หลับ กลัวคนอื่นรู้ จะกระวนกระวายใจอยู่ตลอดเวลา
      
       2. วิบากกรรมที่เกิดกับร่างกาย ก็จะมีผลทำให้ต้องปกปิดร่างกาย เช่น ใส่แว่นตาดำ อยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ออกงานสังคม เกรงว่าคนอื่นจะรู้ว่าตัวทำผิด ต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา
      
       3. วิบากกรรมที่เกิดกับครอบครัวสมาชิกในครอบครัวก็พลอยวิตกกังวลกินไม่ได้นอนไม่หลับ ต้องตกระกำลำบากไปกับผลกรรมที่คนในครอบครัวได้ก่อขึ้น
      
       4. วิบากกรรมที่เกิดจากสังคมส ังคมก็จะวิพากษ์ถึงความชั่วที่ตนได้กระทำ และจะพิพากษาลงโทษตามกฎเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ เช่น โทษทางอาญา ทางแพ่ง แสดงถึงสังคมไม่ต้องการให้มีคนเช่นนี้เกิดขึ้น
      
       ในหลักธรรมของพุทธศาสนาที่กล่าวว่า “คนเราทำดีได้ดี คนทำชั่วย่อมได้ชั่ว” คุณหมอคนเดิมนี้มองว่า คนเราทั่วไปย่อมได้รับผลกรรมในระดับจิตใจและร่างกายโดยทันที ที่ถึงแม้คนอื่นไม่รู้แต่ตัวเขาเองนั่นแหละรู้ เขาจะวิตกกังวลกับความชั่วที่ทำมาตลอดเวลา
      
       ส่ว นผลกรรมที่เกิดถึงขั้นที่ถูกสังคมลงโทษหรือไม่นั้น อยู่ที่มาตรฐานของสังคมนั้นๆ จะเป็นผู้ให้คำตอบได้ดีที่สุด และสำหรับพ.ต.ท.ทักษิณ ผลกรรมได้สนองเขาขั้นไหนอย่างไรแล้ว ความจริงคุณหมอท่านนี้ฟันธงไปเรียบร้อย แต่ขออนุญาตไม่เฉลย
      
       หนึ่งนั้น เพราะเชื่อว่า ใครก็ตามที่ติดตามพฤติกรรมของพ.ต.ท.ทักษิณ มาโดยตลอดย่อมมีคำตอบแล้ว
      
       สอง ถ้าเป็นตัวพ.ต.ท.ทักษิณเองหากอยากจะรู้ อยากตรวจสอบวิบากกรรมของตนเองก็ไม่ยากเช่นกัน เพราะเขาพูดเองว่า ระยะหลังชอบนั่งสมาธิ!
      
       งั้นก็ลองนั่งสมาธิดูนะครับแล้วจะได้คำตอบ!
      
       **ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อกhttp://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th
       

from http://www2.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000136702

1 ความคิดเห็น: