...+

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

รายงานพิเศษ : จะปล่อยให้ “อสมท” กลายเป็น “เอ็นบีที 2” หรือ?

โดย ผู้จัดการออนไลน์     20 พฤศจิกายน 2551 18:46 น.
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000137733

อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
      
       หาก การกลายร่างจาก “ช่อง 11” เป็น “เอ็นบีที” ตามใบสั่ง “จักรภพ เพ็ญแข” อดีต รมต.ใน รบ.นายสมัคร ถือเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนคนไทย ที่ต้องเสพความเท็จจากรายการ “ความจริงวันนี้” อยู่แทบทุกเมื่อเชื่อวันแล้วละก็ ต้องบอกว่า อาจมีข่าวร้ายกว่า ถ้าคนไทยจะได้มี “เอ็นบีที 2” ขึ้นมาอีกช่อง เพราะความฝันของ นายจักรภพ ที่ต้องการปลด “วสันต์ ภัยหลีกลี้” พ้นตำแหน่ง กก.ผอ.ใหญ่ อสมท เป็นจริงขึ้นมาแล้ว เมื่อ บอร์ด อสมท ชุดใหม่ ที่ นายจักรภพ ชงเองกับมือ ได้มีมติปลด นายวสันต์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลแค่ว่า “สไตล์การทำงานต่างกัน” ...ก่อนที่พนักงาน-สหภาพ อสมท จะประชุมสรุปในวันพรุ่งนี้ (21 พ.ย.) ว่า จะรับเหตุผลของบอร์ด อสมท ได้หรือไม่ เราลองมาย้อนเหตุการณ์ความพยายามปลด นายวสันต์ กันดูหน่อยเป็นไร แล้วจะพบพิรุธทั้งตัวบอร์ดและฝ่ายการเมืองที่น่าจะอยู่เบื้องหลังการครอบงำส ื่อครั้งนี้
      
       จนถึงขณะนี้ สังคมยังไม่ได้รับคำตอบหรือคำชี้แจงที่เป็นเหตุเป็นผลน่ารับฟังจากคณะกรรมกา รบริหาร (บอร์ด) อสมท แต่อย่างใด ต่อกรณีที่มีมติเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ให้นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ยุติการทำหน้าที่กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท ภายใน 1 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป) แม้บอร์ด อสมท จะสรรหาถ้อยคำที่สวยหรูมาแถลง เพื่อไม่ให้ถูกสังคมมองว่าบอร์ดกดดัน หรือบีบให้ นายวสันต์ ลาออก โดยบอกว่า “ทั้งบอร์ด และ นายวสันต์ หารือร่วมกันแล้วมีมติเห็นพ้องต้องกันว่า นายวสันต์ จะยุติบทบาทภายใน 1 เดือน” แต่คงทำให้ทุกคนเชื่อไม่ได้ว่า นี่ไม่ใช่การ “ปลดฟ้าผ่า”!
      
       นายธงทอง จันทรางศุ รองประธานและโฆษกบอร์ด อสมท พยายามจะแถลงถึงสาเหตุที่บอร์ด และ นายวสันต์ มีมติดังกล่าว ว่า “ การทำงานหลายเดือนที่ผ่านมา พบว่า สไตล์การทำงานระหว่างบอร์ด และ คุณวสันต์ มีความแตกต่างกัน ไม่สามารถพูดได้ว่าใครเป็นคนผิด แต่ตรงนี้ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่การทำงานเป็นทีมได้ เป็นสิ่งที่ทั้ง 2 ฝ่ายคำนึงถึง ที่ผ่านมา คุณวสันต์ ไม่ได้ทำงานบกพร่อง หรือหย่อนประสิทธิภาพ หรือมีเหตุให้กังวลเรื่องผลประกอบการแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องวิธีการและสไตล์การทำงานที่แตกต่างกัน”
      
       หลายฝ่ายฟังเหตุผลของบอร์ด อสมท แล้ว ถึงกับ “อึ้ง”ว ่า เพียงแค่สไตล์การทำงานต่างกัน สามารถเป็นเหตุผลให้บอร์ด อสมท ยกขึ้นมาอ้างเพื่อปลด กก.ผอ.ใหญ่ได้เชียวหรือ? ทั้งที่บอร์ดก็ยืนยันเองว่า นายวสันต์ ไม่ได้มีความผิด ไม่ได้ทำงานบกพร่องหรือหย่อนประสิทธิภาพแต่อย่างใด!?!
      
       ด้านนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กก.ผอ.ใหญ่ อสมท แม้จะยืนยันว่า ยอมรับได้กับการต้องยุติบทบาทในตำแหน่งดังกล่าว และยอมรับด้วยว่า วิธีการทำงานสไตล์การทำงานของตนไม่ตรงกับบอร์ดจริง แต่เมื่อสังเกตจากท่วงทำนองการพูดก็พอจับได้ว่ามีการกดดันจากบอร์ดให้ต้องยุ ติการทำหน้าที่ โดย นายวสันต์ บอกว่า “ผมทำงานกับบอร์ด 5 เดือน ก่อนหน้านี้ ก็มีปัญหาในลักษณะแนวทางการทำงานที่ต่างกันมาบ้างแล้ว แต่บอร์ดมองว่า ยังไงองค์กรก็ต้องเดินหน้าต่อไป และพยายามจะหาวิธีจัดการกับปัญหาดังกล่าว เบื้องต้นก็มีแนวคิดว่าน่าจะมีการปรับตัวเข้าหากันเพื่อลดความแตกต่าง แต่เมื่อวันที่ 13 พ.ย. บอร์ดกลับสรุปออกมาในรูปแบบนี้ ก็ต้องยุติบทบาทของตัวเอง”
      
       แต่เรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ อย่างที่บอร์ด อสมท คิด เพราะเหตุผลที่นำมาอ้าง ฟังไม่ขึ้น จึงเริ่มมีปฏิกิริยาทั้งจากภายในองค์กร อสมท เองและจากหลายฝ่ายในสังคม
      
       โดยในส่วนของสหภาพแรงงาน อสมท ที่มีนางอรวรรณ กริ่มวิรัตน์กุล เ ป็นประธาน มองว่า เหตุผลที่ว่าแนวคิดไม่ตรงกัน ไม่ใช่ปัญหาถึงขนาดจะต้องลาออก จึงสงสัยว่า งานนี้มีการเมืองเข้ามาแทรกหรือไม่ พร้อมออกแถลงการณ์ (14 พ.ย.)เรียกร้องให้บอร์ดชี้แจงเหตุผลที่แท้จริง เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ อสมท ถูกมองว่า มีความสมประโยชน์เกิดขึ้นทั้งบอร์ดและ กก.ผอ.ใหญ่ เพราะบอร์ดสามารถเปลี่ยนตัว กก.ผอ.ใหญ่คนใหม่ได้ ขณะที่ นายวสันต์ ไม่เสียชื่อเสียงเมื่อต้องพ้นจากตำแหน่งโดยไม่มีความผิดใดๆ แต่ฝ่ายที่ต้องเสียประโยชน์และภาพลักษณ์ คือ อสมท
      
       นอกจากออกแถลงการณ์แล้ว สหภาพแรงงาน อสมท ยังได้ขอเข้าพบบอร์ดเมื่อวันที่ 17 พ.ย.เพื่อฟังคำชี้แจงถึงการยุติบทบาทของ นายวสันต์ ด้วย แต่ นายธงทอง จันทรางศุ รองประธานบอร์ดและโฆษกบอร์ด อสมท ปฏิเสธที่จะเผยรายละเอียดกรณีการทำงานของบอร์ด และนายวสันต์ ที่ว่าแตกต่างกันนั้นได้แก่เรื่องอะไรบ้าง โดยบอกว่า “ การยุติบทบาทการทำงานของ กก.ผอ.ใหญ่ลง ทางบอร์ดมองว่าเป็นเรื่องสร้างสรรค์ แต่ไม่สามารถเปิดเผยเหตุผลและรายละเอียดในการทำงานที่แตกต่างกันของทางบอร์ด และของ กก.ผอ.ใหญ่ได้”
      
       ด้านนางอรวรรณ กริ่มวิรัตน์กุล ประธานสภาพแรงงาน อสมท บอกว่า บอร์ดยืนยันไม่บอกเหตุผลของข้อตกลงร่วมกับ นายวสันต์ ในการยุติการทำงานครั้งนี้ โดยอ้างว่าเป็นสัญญาสุภาพบุรุษ เพราะตกลงกันเรียบร้อยแล้ว และว่า หากเปิดเผยออกไป อาจจะมีผลในเรื่องที่จะมีการฟ้องร้องกันต่อไปได้ นางอรวรรณ ยังเผยด้วยว่า สหภาพได้ขอความมั่นใจจากบอร์ดหากสิ่งที่บอร์ดทำลงไปเกิดความเสียหายแก่องค์ก ร ซึ่ง นายธงทอง ยืนยันว่า บอร์ดพร้อมจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่ แต่คงรับผิดชอบเป็นตัวเงินไม่ได้ เพราะไม่มีกำหนดไว้ในสัญญา ทำได้อย่างมากที่สุด คือ การลาออกจากตำแหน่ง
      
       อย่างไรก็ตาม นางอรวรรณ บอกว่า ก ารแสดงความรับผิดชอบของบอร์ด ยังไม่หนักแน่นพอ ดังนั้น สหภาพจะประชุมปรึกษากับเพื่อนพนักงานในการประชุมใหญ่วิสามัญวันที่ 21 พ.ย.นี้ (14.00 น.) เพื่อแสดงความคิดเห็นว่า พอใจและเชื่อมั่นต่อคำตอบของบอร์ดหรือไม่ ถ้าพอใจ ก็จะขอดูสถานการณ์ต่อไป แต่ถ้าไม่พอใจ สหภาพก็จะมีการเคลื่อนไหวต่อไป
      
       ขณะที่สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ก ็ได้ออกแถลงการณ์ (18 พ.ย.) เรียกร้องให้บอร์ด อสมท ชี้แจงเหตุผลที่แท้จริงในการให้ นายวสันต์ ยุติบทบาทเช่นกัน เพราะเห็นว่า การอ้างว่า แนวทางการทำงานไม่ตรงกับบอร์ดนั้น ไม่น่าเป็นความผิดที่ร้ายแรง และไม่ใช่เหตุผลที่เพียงพอต่อการยุติบทบาท หรือการปลด นายวสันต์ ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากบอร์ดได้แถลงชัดเจนว่า นายวสันต์ ไม่ได้มีความผิดและไม่ได้มีปัญหาด้านการบริหารงานแต่อย่างใด
      
       3 สมาคมวิชาชีพสื่อ ยังชี้ด้วยว่า หากบอร์ดไม่สามารถชี้แจงเหตุผลที่แท้จริงได้ จะทำให้เชื่อได้ว่ามีการปลดหรือการบีบให้ออก และมีการเมืองเข้าไปแทรกแซง เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมา มีข่าวความพยายามจะให้ นายวสันต์ ออกจากตำแหน่ง กก.ผอ.ใหญ่ มาโดยตลอดและเพื่อพิสูจน์ว่า มีความพยายามจากฝ่ายการเมือง (ในระบอบทักษิณ) ที่จะปลด นายวสันต์ให้พ้นจากตำแหน่ง กก.ผอ.ใหญ่มาโดยตลอด เราลองมาย้อนเหตุการณ์ให้เห็นกันชัดๆ อีกครั้ง แล้วช่วยกันพิจารณาว่า การต้องพ้นตำแหน่ง กก.ผอ.ใหญ่ ของ นายวสันต์ ครั้งนี้ เป็นฝีมือของฝ่ายการเมืองผ่านบอร์ด อสมท ใช่หรือไม่?
      
       ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 มี.ค.2551 หลังนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในขณะนั้น (สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช) สามารถครอบงำ-ควบคุมสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ได้อย่างเบ็ดเสร็จด้วยการเปลี่ยนโฉมช่อง 11 เป็น “เอ็นบีที” เพื่อรองรับพนักงานไอทีวีบางส่วนที่ตกงาน (หลังทีไอทีวีเปลี่ยนเป็นทีวีสาธารณะไทยพีบีเอส) แถมภายหลังยังมีการปรับผังเวลาแบบฟ้าผ่า เพื่อยกเวลาให้ 3 อดีตแกนนำ นปก.(นายวีระ มุสิกพงศ์-นายจตุพร พรหมพันธุ์-นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ)ที่เคยนำม็อบบุกไปด่าทอและก่อจลาจลที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้จัดรายการ “ความจริงวันนี้”ท างเอ็นบีทีแทบทุกคืนแล้ว นายจักรภพ ก็เริ่มรุกคืบจะครอบงำสื่ออื่นอีก โดยเฉพาะ อสมท ที่ตนก็กำกับดูแลเช่นกัน หากควบคุม อสมท ได้ ไม่เพียงรัฐบาลจะมีทีวีเป็นกระบอกเสียงเพิ่มขึ้น แต่ยังมีวิทยุในเครือ อสมท อีกจำนวนมากที่รัฐบาลจะได้ใช้ประโยชน์
      
       การที่ นายจักรภพ หรือรัฐบาล จะครอบงำ อสมท ได้ ก็ด้วยวิธีให้คนของตนเข้าไปกุมอำนาจในตำแหน่งสำคัญๆ เช่น บอร์ด และ กก.ผอ.ใหญ่ ด้วยเหตุนี้กระมัง นายจักรภพ จึงเริ่มด้วยการส่งสัญญาณปลด นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กก.ผอ.ใหญ่ของ อสมท ในวันดังกล่าว (25 มี.ค.)
      
       วันนั้น อยู่ๆ นายจักรภพ ก็ออกมาอ้างว่า อสมท ขาดทุนถึง 27 ล้านบาท ในเดือน ม.ค. และว่า ตนได้สั่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบและประเมินผลการทำงานของ อสมท โดยมีตนเป็นประธานตรวจสอบ ไม่เท่านั้น นายจักรภพ ยังเริ่มเดินเกมวางคนของตัวเองให้เข้าไปนั่งเป็นบอร์ด อสมท ด้วย สังเกตได้จากคำพูดของ นายจักรภพ ที่ว่า “สัปดาห์หน้า (ช่วงระหว่างวันที่ 30 มี.ค.-4 เม.ย.2551) ตนจะเสนอรายชื่อบุคคลที่จะเป็นกรรมการบริหาร (บอร์ด) อสมท ที่ว่างอยู่ 9 คน จาก 13 คน ... รายชื่อบอร์ดทั้ง 9 ต้องให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติในเดือน เม.ย.หรือ พ.ค.นี้ จากนั้นจึงจะพิจารณาว่า ต้องปรับเปลี่ยนผู้บริหารคนปัจจุบัน โดยเฉพาะ กก.ผอ.ใหญ่ หรือไม่”
      
       ด้านนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กก.ผอ.ใหญ่ ก็ได้ชี้แจง นายจักรภพ ถึงกรณีที่ออกมาระบุ อสมท ขาดทุนถึง 27 ล้านในเดือน ม.ค.ว่า ทุกคนก็รู้ว่ามีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้น (สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ สิ้นพระชนม์) แต่ยังมั่นใจว่า ผลประกอบการปีนี้จะเป็นไปตามเป้า คือ ขยายตัว 15-20% นายวสันต์ ยังยืนยันด้วยว่า ตั้งแต่ตนเข้ามาทำงาน อสมท ในเดือน มี.ค.2550 จะเห็นว่า ผลประกอบการครึ่งแรกของปีสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ครึ่งปีหลัง ผลประกอบการก็สูงกว่าครึ่งปีแรก 35% และมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นอีกในปีนี้
      
       ขณะที่แวดวงโบรกเกอร์ต ่างรู้สึกเห็นใจ นายวสันต์ ที่ถูกรัฐมนตรีจักรภพ ดิสเครดิต โดยโบรกเกอร์หลายราย บอกว่า นายวสันต์ สามารถอธิบายเหตุผลได้ เพราะเดือน ม.ค.มีรายการพิเศษมาก รายการบันเทิงน้อย ทำให้รายได้จากโฆษณาลดลง ซึ่งเป็นแนวโน้มของสถานีโทรทัศน์ทุกช่องอยู่แล้วที่ไตรมาสแรกรายได้ลดลง ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด
      
       หลังจาก นายจักรภพ ประกาศว่า จะเป็นผู้ชงรายชื่อบอร์ด อสมท เอง แถมส่งสัญญาณให้บอร์ดปลด นายวสันต์ พ้นตำแหน่งนั้น ทำให้บอร์ด อสมท หลายคนรู้สึกอึดอัดต่อการที่รัฐมนตรีเข้ามาแทรกแซงบอร์ด การกระทำของ นายจักรภพ ไม่เพียงทำให้บอร์ดบางคนถอดใจลาออก แม้แต่นายจุลยุทธ หิรัญยะวสิต ปลัดสำนักนายกฯ ในขณะนั้น ซึ่งเป็นบอร์ด อสมท โดยตำแหน่ง ยังถูก นายจักรภพ ปลดพ้นตำแหน่งบอร์ด อสมท แล้วให้ นายนัที เปรมรัศมี รองปลัดสำนักนายกฯ มาเป็นบอร์ด อสมท แทน พร้อมกับอีก 8 รายชื่อใหม่ที่ นายจักรภพ ชงให้บอร์ด อสมท รับรอง
      
       โดยมีข่าวว่า เหตุที่ นายจักรภพ ปลด นายจุลยุทธ เนื่องจากเชื่อว่า นายจุลยุทธ เป็นผู้เปิดเผยโผรายชื่อบอร์ดใหม่ 9 คน ที่ นายจักรภพ เป็นผู้เสนอให้สาธารณชนได้ทราบ ทำให้นายจักรภพถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเข้ามาแทรกแซงการสรร หาบอร์ด อสมท
      
       แต่ในที่สุด ก็ไม่มีอะไรที่นายจักรภพ ทำไม่ได้ (ขนาดพูดปาฐกถาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ยังทำมาแล้ว) โฉมหน้าบอร์ดใหม่ที่ปรากฏ จึงล้วนแล้วแต่เป็นไปตามโผที่ นายจักรภพ ชงตั้งแต่แรก เช่น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ซึ่งนอกจากเป็นอดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชาชน แล้ว ยังเป็นบิดาของ นายจารุวงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตเลขานุการ นายจักรภพ ด้วย โดย นายจารุพงศ์ ได้เป็นถึงประธานบอร์ด อสมท นอกจากนี้ ยังมีนายธงทอง จันทรางศุ ที่เคยเป็นบอร์ด อสมท สมัย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็น ผอ.อสมท ได้เข้ามาเป็นรองประธานบอร์ด อสมท อีกครั้ง (คงยังจำกันได้ว่า บอร์ด อสมท ยุค นายมิ่งขวัญ เป็นบอร์ดที่เคยปกป้องระบอบทักษิณด้วยการสั่งปลดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” พ้นผัง อสมท โดยอ้างว่า ทางรายการพาดพิงสถาบัน แต่ภายหลังผู้ที่ถูกพาดพิงตัวจริง คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ พร้อมเรียกค่าเสียหายเป็นพันล้าน นอกจากนี้ คงยังไม่ลืมผลงานที่ยืนยันว่า นายมิ่งขวัญ จงรักภักดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ จนนาทีสุดท้าย ด้วยการเปิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินข้ามประเทศ เมื่อคืนวันที่ 19 ก.ย.2549 แม้จะไม่สำเร็จ เพราะถูก คมช.ตีแสกหน้าด้วยการรัฐประหารก็ตาม)
      
       ส่วนรายชื่อบอร์ด อสมท อีก 10 คน ซึ่งมีทั้งคนเก่าและคนใหม่ ประกอบด้วย น ายนัที เปรมรัศมี รองประธานบอร์ด ที่ นายจักรภพ ชงมาเองเช่นกัน, นางดนุชา ยินดีพิธ, นายนฤนารท พระปัญญา, นายประสาน หวังรัตนปราณี, นายวิทยาธร ท่อแก้ว, นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ, นายอนุสรณ์ ธรรมใจ(ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีคลังในรัฐบาลนายสมชาย) ,นายพงษ์ชัย อมตานนท์, นายปราโมทย์ โชคศิริกุลชัย และ นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กก.ผอ.ใหญ่ อสมท ซึ่งเป็นบอร์ดโดยตำแหน่ง
      
       หลังจาก อสมท ได้บอร์ดชุดใหม่ที่น่าจะสมใจฝ่ายการเมือง สัญญาณความพยายามเล่นงานหรือปลดนายวสันต์ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น เริ่มจากที่ประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2551 เสนอที่จะปรับเปลี่ยนเงื่อนไขในการประเมินการทำงานของ นายวสันต์ ใหม่ เช่น เดิมการประเมิน จะให้น้ำหนักกับเรื่องการทำรายได้และกำไรให้ อสมท ไม่มากนัก คือ ประมาณ 15% ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 40% นั่นหมายความว่า ผลงานของ นายวสันต์ ที่จะทำให้ผ่านการประเมินอยู่ที่ตัวเลขรายได้ว่าจะทำให้ อสมท ได้แค่ไหน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า เงื่อนไขใหม่นี้อาจไม่เป็นธรรมกับ นายวสันต์ นัก และอาจส่งผลต่อตำแหน่ง กก.ผอ.ใหญ่ของ นายวสันต์ ได้ เพราะสถานการณ์มีการแข่งขันรุนแรงภายใต้การเมืองและเศรษฐกิจที่ไม่มั่นคง
      
       ต่อมา 28 ส.ค.มีรายงานข่าวว่า ที่ประชุมบอร์ด อสมท มีการประเมินว่า นายวสันต์ ทำผิดสัญญาการจ้างงาน โดยอ้างว่า นายวสันต์ ไม่ได้ทำแผนธุรกิจประจำปี 2551 ให้บอร์ดพิจารณา โดยบอร์ดสั่งให้ นายวสันต์ ทำแผนมาเสนอภายในวันที่ 5 ก.ย.
      
       ด ้าน นายวสันต์ ยืนยันว่า ตนได้ทำแผนธุรกิจปี 2551 ให้บอร์ดชุดก่อน (ชุดที่นายบุญปลูก ชายเกตุ เป็นประธาน) พิจารณาตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค.2550 แล้ว และบอร์ดชุดนั้นก็เห็นชอบแผนดังกล่าวแล้ว
      
       อย่างไรก็ตาม บอร์ดชุดใหม่นี้ ยังคงอ้างต่อว่า แผนดังกล่าวเป็นแผนของบริษัท อสมท ไม่ใช่แผนธุรกิจของนายวสันต์!?!
      
       ทั้งนี้ หลายฝ่ายประเมินว่า หาก นายวสันต์ ไม่สามารถทำแผนใหม่เสนอบอร์ดได้ตามที่ขีดเส้นไว้ 5 ก.ย.บอร์ดอาจใช้เป็นเหตุปลด นายวสันต์ พ้นตำแหน่ง กก.ผอ.ใหญ่ ก็เป็นได้ ท ั้งที่ก่อนหน้านี้ คณะอนุกรรมการประเมินผลการปฏิบัติงานของ นายวสันต์ ได้ประเมินผลการทำงานช่วงครึ่งแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.2551) ไปแล้วว่า นายวสันต์ ผ่านเกณฑ์ประเมินในระดับดี คือ ได้คะแนนร้อยละ 77 หรือ 3.85 จากคะแนนเต็ม 5 สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ โดยมีการปรับปรุง แต่บ อร์ดชุดใหม่ยังหาเหตุเล่นงานนายวสันต์ โดยอ้างว่า นายวสันต์ ไม่ได้ทำแผนธุรกิจปี 2551 อีกทั้งที่ นายวสันต์ ยืนยันว่า ทำไปแล้ว และบอร์ดชุดเก่าก็เห็นชอบแล้ว
      
       การหาเหตุเล่นงาน นายวสันต์ ทางบอร์ด อสมท อาจคิดว่าสังคมรู้ไม่ทัน แต่ผิดคาด เพราะหลังจากนั้น (30 ส.ค.) นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ บก.อาวุโส หนังสือพิมพ์มติชน ได้เขียนบทความชื่อ “หุ่นเชิดภาค อสมท” โ ดยตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลเริ่มปฏิบัติการเข้ายึดโทรทัศน์และวิทยุในเครือ อสมท อีกครั้ง หลัง นายจักรภพ พยายามเปลี่ยนตัว กก.ผอ.ใหญ่ อสมท แต่ไม่สำเร็จ กระทั่งบอร์ด อสมท ชุดใหม่ที่มีนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ บิดาเลขานุการของ นายจักรภพ เป็นประธาน ได้มีมติว่า นายวสันต์ทำผิดสัญญาจ้างโดยอ้างว่า ไม่ทำแผนธุรกิจปี 2551 เสนอต่อบอร์ด
      
       นายประสงค์ ยังจับพิรุธบอร์ด อสมท และ นายจักรภพ อีกว่า “ เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้ออ้างที่จะปลด นายวสันต์ ออกจากตำแหน่งนั้น ไม่ใช่เรื่องการบริหารงานขาดทุนเหมือนกับที่นายจักรภพ อ้างในตอนแรก เพราะปรากฏว่า ผลประกอบการของ อสมท ในไตรมาสแรกของปี 2551 มีกำไรสูงกว่าปี 2550 โดยมีกำไรสุทธิ จำนวน 406 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 68 ขณะที่ช่วงหกเดือนแรกของปี 2551 มีจำนวน 641 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 36”
      
       “เมื่อไม่สามารถนำเรื่องผลป ระกอบการมาเล่นงาน นายวสันต์ ได้ จึงหาเรื่องเล็กๆ เช่น เรื่องการทำแผนธุรกิจหรือไม่ มาเป็นข้ออ้างแทน ลักษณะจึงไม่ต่างจากนิทานอิสปเรื่อง “หมาป่ากับลูกแกะ”
      
       นายประสงค์ ยังแฉผู้ที่อยู่เบื้องหลังความพยายามปลด นายวสันต์ ด้วยว่า “ ผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดการเรื่องนี้เป็นนักกฎหมายใหญ่ไร้จริยธรรมที ่ร่อนเร่หาตำแหน่งใหญ่มาหลายหน่วยงาน ร่วมมือกับมือกฎหมายของหน่วยงานรัฐที่ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเองว่าต้องรักษ าผลประโยชน์ของแผ่นดิน นักกฎหมายใหญ่ผู้นี้ เคยเป็นผู้ทำสัญญาจ้างพนักงาน อสมท ในแบบรับจ้างทำของ ทั้งๆ ที่เนื้อหาสาระเป็นการจ้างแรงงาน ทำให้พนักงานไม่ได้รับสวัสดิการที่ควรจะได้รับอยู่นานนับปี จนกระทั่งถูกเปิดโปง แต่สหภาพแรงงาน อสมท กลับยอมรับบุคคลคนนี้”
      
       ทั้งนี้ แม้บอร์ด อสมท จะพยายามเล่นงาน นายวสันต์ ด้วยการให้ทำแผนธุรกิจปี 2551 ส่งใหม่ โดยขีดเส้นให้ส่งภายในระยะเวลากระชั้นชิดวันที่ 5 ก.ย.แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรนายวสันต์ได้ เพราะน ายวสันต์ ก็สามารถทำแผนธุรกิจใหม่ให้บอร์ดได้ก่อนกำหนด 1 วันด้วยซ้ำ คือ วันที่ 4 ก.ย.
      
       ต่อมา 8 ก.ย.นายธงทอง จันทรางศุ รองประธานบอร์ด อสมท เผยหลังประชุมบอร์ดว่า ที่ประชุมมีมติรับแผนธุรกิจของ นายวสันต์ เรียบร้อยแล้ว โดยได้แต่งตั้งอนุกรรมการเพื่อพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับแผนดังกล่าว พร้อมกันนี้ ยังได้ให้อนุกรรมการไปดูเรื่องเกณฑ์การประเมินการทำงานของ กก.ผอ.ใหญ่ด้วย
      
       23 ก.ย. นายวิทยาธร ท่อแก้ว 1 ในบอร์ด อสมท เผยผลประชุมบอร์ดว่า ได้เห็นชอบผลการประเมินการทำงานของนายวสันต์และเห็นชอบแผนธุรกิจของนายวสันต ์ พร้อมตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลและตั้งกรอบตัวชี้วัดการประเมิน 6 เดือนหลังเพื่อให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจที่นายวสันต์เสนอบอร์ด และว่า ที่ประชุมจะมีการประชุมรับรองเรื่องนี้อีกครั้งวันที่ 30 ต.ค.
      
       เมื่อถึงกำหนด 30 ต.ค.ปรากฏว่า ไม่มีการประชุมบอร์ด อสมท หรืออย่างไรไม่ทราบ แต่วันต่อมา (31 ต.ค.) มีรายงานข่าวจาก อสมท ว่า บอร์ดได้เตรียมประชุมในบ่ายวันเดียวกันเพื่อพิจารณาปลดนายวสันต์ ฐานทำผิดสัญญาจ้าง ไม่ยอมทำแผนธุรกิจปี 2551 เสนอ ทั้งนี้ แหล่งข่าวกล่าวว่า แม้นายวสันต์จะทำแผนธุรกิจปี 2551 เสนอต่อบอร์ดชุดนี้ใหม่แล้ว(ทั้งที่ได้เคยเสนอต่อบอร์ดชุดเก่าและได้รับการเห็นชอบไปแล้ว) แ ต่บอร์ดใหม่ก็ยังอ้างว่า แผนที่นายวสันต์นำเสนอมาใหม่นี้ ไม่ผ่านการประเมินของคณะทำงาน จึงจะใช้เป็นเหตุในการปลดนายวสันต์พ้นตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า หากถูกปลดจริง นายวสันต์จะฟ้องต่อศาลและขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวด้วย
      
       แต่หลังจากวันนั้น เรื่องดูเหมือนเงียบไป กระทั่งวันที่ 13 พ.ย.จึงมีข่าวปลด นายวสันต์ ออกมา โดยบอร์ดใช้คำว่า “ทั้งบอร์ด และ นายวสันต์ หารือร่วมกันแล้วมีมติเห็นพ้องต้องกันว่า นายวสันต์จะยุติบทบาทภายใน 1 เดือน” แถมบอร์ดยังยืนยันด้วยว่า นายวสันต์ไม่ได้ทำงานบกพร่องหรือหย่อนประสิทธิภาพ หรือมีเหตุให้กังวลเรื่องผลประกอบการแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องวิธีการและสไตล์การทำงานที่แตกต่างกับบอร์ด
      
       นอกจากสหภาพแรงงาน อสมท และ 3 สมาคมวิชาชีพสื่อจะออกแถลงการณ์จี้ให้บอร์ด อสมท ชี้แจงเหตุผลที่แท้จริงที่ นายวสันต์ ต้องยุติบทบาทแล้ว ทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็จี้ให้บอร์ด อสมท ชี้แจงเช่นกัน โดยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาตั้งข้อสังเกตเมื่อวานนี้ (19 พ.ย.) ว่า การที่บอร์ดอ้างเหตุว่าวิธีการทำงานต่างกัน เป็นเหตุผลที่ไม่เพียงพอ น่าจะเป็นความพยายามที่ทำให้ นายวสันต์ พ้นจากตำแหน่ง เพื่อนำคนของตัวเองเข้ามาแทนที่มากกว่า ซึ่งเคยมีความพยายามในลักษณะนี้มาแล้วในสมัยรัฐบาลนายสมัคร โดยอ้างว่า นายวสันต์บริหารงานทำให้ อสมท ขาดทุน แต่เมื่อนายวสันต์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า อสมท มีกำไร ก็ยังพยายามอ้างว่านายวสันต์ไม่ส่งแผนธุรกิจปี 2551 และเปลี่ยนตัววัดผลการบริหารเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งล้วนเป็นข้ออ้างที่จะเลิกจ้าง นายวสันต์ ทั้งสิ้น
      
       น ายองอาจ ยังชี้ด้วยว่า ความพยายามที่จะทำให้นายวสันต์ออกจากตำแหน่ง น่าจะเป็นแรงกดดันจากรัฐบาลหรือผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลที่ต้องการเข้ามากุม อำนาจใน อสมท เพื่อเอื้อประโยชน์ทางการเมืองในการทำลายคู่แข่ง และสร้างความนิยมให้ตัวเอง รวมถึงตักตวงผลประโยชน์ทางธุรกิจ เพื่อเป็นทุนทางการเมืองใช่หรือไม่
      
       มาถึงบรรทัดนี้ คงฟันธงกันได้แล้วว่า สาเหตุที่ นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ต้องยุติบทบาทในตำแหน่ง กก.ผอ.ใหญ่ อสมท ภายใน 1 เดือนนี้ ทั้งที่เพิ่งทำงานมาได้แค่ปีครึ่ง ยังไม่ถึงครึ่งทางของวาระการทำงานทั้งหมด (4 ปี) ด้วยซ้ำ เป็นเพราะสไตล์การทำงานที่แตกต่างกับบอร์ดดังที่บอร์ดอ้างหรือไม่? ถ้าตราบใดบอร์ด อสมท ยังไม่ให้ความชัดเจนเรื่องนี้ และนายวสันต์ก็ไม่ลุกขึ้นสู้ทั้งที่รู้ว่าตนเองก็ไม่ได้ผิดแล้วละก็ สังคมคงต้องช่วยกันคิดว่า จะทำให้เรื่องนี้เคลียร์ได้อย่างไร?
      
       แ ละหวังว่า ในส่วนของพนักงานและสหภาพ อสมท เองก็คงยอมไม่ได้กับเหตุผลของบอร์ด อสมท เพราะหากยอมให้บอร์ดเปลี่ยนตัว กก.ผอ.ใหญ่ได้ตามอำเภอใจแบบนี้ ต่อไป ก็ไม่ต้องมาตั้งกฎเกณฑ์การสรรหา กก.ผอ.ใหญ่ให้วุ่นวายมากความ ให้บอร์ดจับใครสักคนที่ตนอยากได้ มานั่งตำแหน่งนี้ หรือเสนอชื่อที่รัฐมนตรีอยากได้ แล้วประเคนตำแหน่งดังกล่าวให้ไปซะให้รู้แล้วรู้รอด!!



“เทพไท” จวก “พลังแม้ว” ใช้ NBT ปั่นหัวคนอีสานสร้างความแตกแยก
โดย ผู้จัดการออนไลน์     20 พฤศจิกายน 2551 23:18 น.

“เทพไท” แฉ “พลังแม้ว” ใช้เอ็นบีทีกรอกข้อมูลด้านเดียวปั่นหัวคนอีสาน ขณะข้อมูลอีกด้านอย่างเอเอสทีวีไม่มีโอกาสเข้าถึง แถมใช้รายการ “ความจริงวันนี้” เป็นเครื่องมือทางการเมืองช่วยนายใหญ่ให้พ้นคุก ไม่สนใจความแตกแยก ดันโคตรเหง้าชินวัตรนั่ง “พรรคเพื่อไทย” ต่อ หวังเป็นแหล่งผลประโยชน์
      
       วันนี้ (20 พ.ย.) นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า จากการที่ตนได้ลงพื้นที่ภาคอีสาน 2-3 จังหวัดได้พบปะประชาชนและได้สอบถามปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศ ซึ่งพี่น้องภาคอีสานได้รับข้อมูลด้านเดียวจากสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีซึ่งเป็น สื่อของรัฐ ในขณะที่ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง คือ เอเอสทีวี คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้เพราะมีข้อจำกัดในการส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมไปที่การร ับ แต่เอ็นบีทีเป็นสื่อเสรีของรัฐ จึงรับได้ตลอดเวลาทั่วทุกครัวเรือน และเมื่อรัฐบาลยังใช้รายการความจริงวันนี้ปลุกระดมให้ประชาชนรับข้อมูลเพียง ฝ่ายเดียวก็คงจะไม่สามารถสร้างความสมานฉันท์ทางการเมืองได้
      
       วันนี้รายการดังกล่าวพัฒนาจากการปลุกระดมมวลชนก็ยังมีการทำมาหากินโด ยใช้สื่อของรัฐประกวดภาพระดมทุนจัดเลี้ยงโต๊ะจีน ขายอุปกรณ์การชุมนุม และเปิดบัญชีให้ประชาชนบริจาค ซึ่งไม่ใช่เป็นการให้ข้อมูลที่เป็นธรรมหรือถูกต้องเพราะให้ข้อมูลเพียงฝ่ายเ ดียวผสมกับการหาประโยชน์บนสื่อของรัฐด้วย ตนจึงอยากให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่รับผิดชอบ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และผอ.สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เข้ามาดำเนินการ เพราะตนได้เรียกร้องมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่าจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้โดยเร ็ว ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในประเทศได้
      
       นายเทพไท กล่าวว่า เรื่องการสมานฉันท์ที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศตลอดเวลาว่ารัฐบาลจะยึดแนวสมานฉันท์ แต่ในทางปฏิบัติยังไม่เห็นสัญญาณใดสนองตอบนโยบายรัฐบาลได้เลย แม้แต่ลูกพรรคพลังประชาชนเองยังได้ประกาศว่าถ้าหากประเทศชาติจะต้องแบ่งแยกป ระเทศก็ยอมเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ตนคิดว่าการที่ลูกพรรคออกมาเคลื่อนไหวสร้างความขัดแย้งเป็นการสวนทางกับนโยบ ายของรัฐบาล นายกฯ จะต้องมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างชัดเจนและต้องรู้ว่าความขัดแย้งในสังคมวันนี ้เป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มของ พ.ต.ท.ทักษิณกับการเมืองภาคประชาชน แต่เมื่อมีข่าวว่าพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบก็มีการตั้งพรรคเพื่อไทยขึ้นมารอง รับและจะเห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยเป็นการท้าทายสังคม พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความขัดแย้งในสังคม ตั้งแต่การที่นายสุชาติ ธาดาดำรงเวช รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทยลาออกก็ได้มีการเปิดชื่อหัวหน้าพรรคขึ้นมาคนแล้ วคนเล่า ส่วนใหญ่เป็นในตระกูลชินวัตร ตั้งแต่นายพายัพ ชินวัตร พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และล่าสุดคือคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
      
       “คนในพรรคพลังประชาชนไม่รู้เลยหรือว่าคนในตระกูลชินวัตรเป็นสายล่อฟ้ าของการเมืองภาคประชาชน หรือคนเหล่านี้ไม่สนใจ เพียงแต่ขอให้มีคนในตระกูลชินวัตรเป็นคนถือธงต่อสู้กับกลุ่มการเมืองที่เห็น แตกต่าง โดยไม่คำนึงถึงความหายนะของประเทศ ผมคิดว่าคนเหล่านี้เคลื่อนไหวเพื่อให้คนในตระกูลชินวัตรมาเป็นหัวหน้าพรรค มีวาระซ่อนเร้นต้องการให้กลุ่มชินวัตรเป็นนายทุนสนับสนุนทางการเมือง คนเหล่านี้มีสัญชาติญาณเพียงแค่ปลิงที่คอยสูบเลือด ผมคิดว่าเมื่อเลือดจางไปพวกปลิงเหล่านี้ก็หนีหายไป ดังนั้น อยากจะให้คนเหล่านี้นึกถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตัวเ อง อะไรที่เป็นเงื่อนไขความขัดแย้งก็น่าจะทำให้ลดลง” นายเทพไท กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น