...+

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วิธีสุภาพบุรุษใช้ไม่ได้กับคนหน้าด้าน

โดย ราวี เวียงพยัคฆ์ 20 ตุลาคม 2551 18:12 น.

ทันทีที่เห็นผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกรายการโทรทัศน์ช่อง 3 ผู้คนทั้งหลายในบ้านนี้เมืองนี้ที่ติดตามสถานการณ์การเมืองมาตลอดระยะเวลา 5-6 เดือน ต่างก็คิดว่า สถานการณ์ที่ค่อนข้างจะวิกฤตร้อนแรง คงจะสามารถผ่อนคลายลงได้เสียที
      
        เพราะในรายการโทรทัศน์วันนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พูดชัดถ้อยชัดคำว่า หากท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านจะตัดสินใจลาออก
      
        เหตุที่ท่านผู้บัญชาการทหารบก ปกติเป็นคนพูดน้อย ต้องพูดคำอันหนักแน่นนี้ออกมาก็เนื่องจากเกิดเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สั่งสลายการชุมนุมของประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปิดล้อมรัฐสภาตั้งแต่คืนวันที่ 6 ตุลาคม 2551 เพื่อขัดขวางการแถลงนโยบายของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
      
        ทำไมต้องขัดขวางการแถลงนโยบายของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
      
        รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นรัฐบาลที่สืบต่อจากรัฐบาลหุ่น นายสมัคร สุนทรเวช ผู้คนทั้งหลายทั้งปวงต่างก็รู้ว่า อายุของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่ยาวนานเกิน 3 เดือน เพราะนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก้าวขึ้นมาแทนนายสมัคร สุนทรเวช ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เฉดหัวพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะไปจัดรายการทำอาหารแสวงหาประโยชน์ ทั้งที่เป็นนายกรัฐมนตรี
      
        บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญห้ามไว้
      
        เป็นการก้าวขึ้นมาท่ามกลางความขัดแย้งในพรรคพลังประชาชน แม้พวกเขาจะสามารถประนีประนอมกันได้ภายหลัง แต่รอยร้าวก็ยังดำรงอยู่ระหว่างกลุ่มก๊วนต่างๆ ในพรรคพลังประชาชน นั่นอย่างหนึ่ง
      
        ขณะเดียวกันที่พรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย ต่างก็มีปัญหาที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะพิจารณาชี้ขาดยุบหรือไม่ยุบในอีกไม่กี ่วันนี้
      
        แถมยังมีกรณีที่วุฒิสมาชิกร้องเรียนผ่านไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาคุณสมบัติของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อีก
      
        อนาคตของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จึงไม่น่าจะยืดยาวเกิน 3 เดือน
      
        แต่ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทนไม่ได้ก็คือ การจับนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แล้วตามมาด้วยการจับพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ข้อหากบฏ ในขณะที่หน้าหนึ่งของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คือการเปิดฉากเจรจากับฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงทำให้ฝ่ายนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตอบโต้ด้วยการปิดล้อมรัฐสภา ขัดขวางมิให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แถลงนโยบายได้ง่ายๆ
      
        ใครเลยจะคิดว่า ท่าทางเซื่องๆ สุภาพบุรุษ แถมมีภูมิหลังมาจากการเป็นผู้พิพากษาจะกระหายเลือดได้ขนาดนี้
      
        ตำรวจที่ไปเคลียร์พื้นที่ในเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ไปถึงรัฐสภาก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ตั้งแถวแล้วยิงแก๊สน้ำตาตูมเข้าใส่ประชาชน จนกระทั่งขาขาด แขนขาด และล้มตาย เป็นความโหดร้ายที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในประเทศของเรา หลังจากที่มีบทเรียนมาแล้วหลายครั้งทั้ง 14 ตุลาคม 2516 6 ตุลาคม 2519 และพฤษภาคม 2535
      
        กระนั้นก็มีนักสื่อสารมวลชนออกมาให้การรับรองว่า ปฏิบัติภารกิจการสลายการชุมนุมเป็นไปตามหลักการสากล
      
        กระนั้นก็ยังมีวิญญูชนออกมาเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติความรุนแรง ทั้งๆ ที่ฝ่ายที่ถูกยิง ถูกฆ่า ถูกทำร้ายคือประชาชน
      
        และนี่เองคือที่มาของคำว่า “ถ้าผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมก็ลาออก!”
      
        เชื่อว่ากว่าจะเปล่งคำพูดนี้ออกมาของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เต็มไปด้วยความลำบากยากเข็ญ
      
        ไม่ได้ลำบากยากเข็ญสำหรับความรู้สึกนึกคิด ใครก็คิดได้ คิดเป็น หากใครคนนั้นพอจะมีความเป็นคนอยู่บ้าง เพราะการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยที่มือเปื้อนเลือดโลกทั้งโลกก็เห็นว่า ตำรวจภายใต้การบังคับบัญชาของตน (ตัวต้องการเข้าประชุมเพื่อแถลงนโยบายในวันรุ่งขึ้น จึงได้สั่งการให้เคลียร์พื้นที่ เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุมให้ได้) เข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมขนาดนั้น
      
        เข่นฆ่ารอบเช้าเพื่อให้มีการแถลงนโยบายให้ได้แล้วยังไม่พอ ช่วงบ่างและมืดค่ำการเข่นฆ่าก็ยังดำเนินต่อไปด้วยความเมามัน
      
        “อยู่ได้ มึงอยู่ไป”
      
        เสียงสัตว์นรกกระหายเลือดคำราม
      
        นี่คือที่มาของคำว่า “เป็นผมก็ลาออก” ของพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
      
        เป็นคำพูดที่ผู้ใต้บังคับบัญชาพูดไปให้ผู้บังคับบัญชา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้คิด
      
        แม้จะเป็นคำพูดด้วยความปรารถนาดีเพื่อให้เกิดการประพฤติปฏิบัติเป็นผู้เป็นค น เป็นมนุษย์มนา หรือมีความเป็นสุภาพบุรุษ ก็เป็นคำพูดที่ค่อนข้างเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจถูกตีความว่า ผู้พูดซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชากระด้างกระเดื่อง ปฏิวัติเงียบ ปฏิวัติหน้าจอ ฯลฯ อย่างที่หลายฝ่ายกำลังตีความกันอย่างสนุกสนาน
      
        ทั้งๆ ที่ผู้พูด พูดด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ พูดแบบซื่อๆ ว่า ถ้าหากเป็นเขา เขาก็ต้องลาออก
      
        ลืมคิดไปว่า วิธีการของสุภาพบุรุษนั้น ใช้กับคนหน้าด้านไม่ได้
      
        นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีรู้ไหมว่า การก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของเขา ทำให้พรรคพลังประชาชนที่เขาเป็นรองหัวหน้าพรรคอยู่ร้าว
      
        นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีรู้ไหม เมื่อเขาก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีประวัติต่างๆ ที่เขาอยากจะลืม จะต้องมีผู้คนขุดคุ้ยและตีแผ่สู่สาธารณะ เพราะตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งสาธารณะที่สำคัญที่จะต้องถูกตรวจสอบ ผู้คนเขาเกือบจะลืมไปแล้วว่า นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภริยาของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เคยวิ่งล็อบบี้ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญช่วยพี่ชาย (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ขณะนี้ก็มีการขุดคุ้ยมาให้สังคมรับรู้ หรือแม้กระทั่งหน้าห้องของข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งฆ่าตัวตายทั้งกลม ก็ยังมีการเล่าขานกันอยู่ไม่ขาดปาก นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รู้ไหมว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้
      
        ขณะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รู้ไหมว่า พรรคพลังประชาชนที่ตัวสังกัด กกต.กำลังจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งลงโทษนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคอีกคนไปแล้ว นี่ก็ย่อมรู้อีก
      
        แล้วนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผู้ซึ่งคอลัมนิสต์หลายต่อหลายฉบับยกย่องสรรเสริญว่าเป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ที่มีท่าทีอ่อนน้อม ถ่อมตน วาจาไพเราะเพราะพริ้ง
      
        ถึงตอนนี้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็คงจะประจักษ์ด้วยตัวเองแล้วว่า วิธีการของสุภาพบุรุษนั้นใช้ไม่ได้กับคนหน้าด้าน
      
        ก ารจัดการกับคนหน้าด้านนั้น มีแต่การใช้ตัวบทกฎหมายอย่างที่ศาลสถิตยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญเคยใช้กับนายกรัฐมนตรีที่หน้าด้านมาก่อนหน้านี้ให้เห็นเป็นตัว อย่างแล้วเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น