...+

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เรื่องเล่าจากตำนานกับ"พล.ต.อ.สล้าง(ต้อง) 6 ศพ"!

จารบุรุษ
      
       ลังจาก วันที่ 25 ต.ค. ที่พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ (รองอ.ตร.) ประกาศจะนำกองกำลังติดอาวุธ (ยังไม่ทราบสัญชาติ) เข้ามาปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปักหลักเป็นเวทีในการขับไล่รัฐบาลท รราชอยู่ โดยพล.ต.อ.สล้าง มีวัตถุประสงค์เพื่อตัดกำลังลำเลียง และเสบียงไม่ให้ส่งไปถึงผู้ชุมนุมภายในทำเนียบฯ เรียกยุทธวิธีดังกล่าวกันง่ายๆว่า ปิดล้อมให้อดข้าวอดน้ำตายกันไปข้างหนึ่ง แต่หลังจากนั้น เขาจะทำอะไรต่อ ยังไม่เป็นที่ประกาศชัด
      
       เมื่อครั้ง"จารบุรุษ" เป็นนักข่าวได้ไม่นาน ได้รับมอบหมายจากบก. ให้เดินทางไปทำข่าวที่สำนักงานพล.ต.อ.สล้าง บุนนาค รองอ.ตร. ซึ่งพล.ต.อ.สล้าง มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลงานด้านการจราจร ขณะนั้น พล.ต.อ.สล้าง พยายามผลักดันรถไฟฟ้าระบบใต้ดินจากประเทศเยอรมนี ในขณะที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้ว่าฯกทม.ในสมัยนั้น ยืนยันที่จะเดินหน้าโครงการรถไฟลอยฟ้า และในที่สุด รถไฟฟ้าบีทีเอส ก็เกิดขึ้น ถือเป็นรถไฟฟ้าสายแรกในเมืองไทย ในขณะที่โครงการของพล.ต.อ.สล้าง ล้มพับไปในที่สุด
      
       สำหรับวีรกรรมของ พล.ต.อ.สล้าง ในอดีตนั้นนับว่า "ไม่ธรรมดา" หากยังพอจำกันได้กับเหตุการณ์ "วิสามัญฆาตกรรมบันลือโลก" โจ ด่านช้างกับพวกรวม 6 ศพ
      
       เหตุการณ์ครั้งนั้น เกิดราวปลายเดือน พ.ย. 2539 แก๊งชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วย นายศุภฤกษ์ เรือนใจมั่น หรือ โจ ด่านช้าง หัวหน้าแก๊ง นายสุบิน เรือนใจมั่น น้องชายของโจ ด่านช้าง นายประสิทธิ์ โพธิ์หอม นายยิ้ว ปริวัตรสกุลแก้ว นายหยัด และนายปราโมทย์ (ไม่ทราบนามสกุล) นำอาวุธสงครามเต็มอัตรา หวังไปถล่มสังหารเหยื่อที่หักหลังกันในธุรกิจค้ายาบ้า เหตุเกิดที่จ.สุพรรณบุรี ต่อมาไม่นาน ตำรวจทราบข่าว ไปสกัดจับแก๊งคนร้ายรายนี้ โดยทั้งหมด หลบหนีเข้าไปที่บ้านเลขที่ 107/1 หมู่ 5 ต.บางใหญ่ อ.บางปลาม้า ซึ่งเป็นบ้านยกสูง 2 ชั้น และกำลังถูกน้ำท่วมขังรอบบ้าน
      
       ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.สล้าง เป็นผู้นั่งเฮลิปคอปเตอร์ ของกองบินตำรวจ ไปบัญชาการเหตุการณ์ด้วยตนเอง พร้อมกับส่งมือปราบ พ.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ลุยน้ำเคียงอก ถือโทรโข่งเข้าเกลี้ยกล่อม และในที่สุด ก็ช่วยเหลือตัวประกัน 3 คนในบ้านออกมาได้ หนึ่งในตัวประกันนั้น เป็นอัมพาต ต้องลำเลียงลงเรือออกมาอย่างทุกลักทุเล หลังจากนั้น แก๊งคนร้ายทั้งหมด ขอมอบตัว ตำรวจพาทั้งหมดลุยน้ำออกมาจนเกือบจะถึงฝั่งที่พล.ต.อ.สล้าง บัญชาการอยู่แล้ว แต่จู่ๆ กลับพาคนร้ายทั้ง 6 คน เดินกลับเข้าไปในบ้านหลังเดิมอีก (ซึ่งภายหลังตำรวจให้สัมภาษณ์ว่า คนร้าย จะยอมบอกและมอบอาวุธปืนสงครามที่ซุกซ่อนอยู่ให้) หลังจากนั้น เสียงปืนก็ระงมไปทั่วคุ้งน้ำ ตำรวจเดินลุยน้ำกลับมาในสภาพที่ปลอดภัยทุกคน แต่คนร้ายทั้ง 6 กลายเป็นศพอยู่ในบ้านหลังนั้น!
      
       พี่บก.ข่าวอีกผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ และยืนอยู่เคียงข้างพล.ต.อ.สล้าง เล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่ตำรวจพาคนร้ายเดินลุยน้ำออกมาจากบ้านหลังนั้น ได้ยินเสียงสบถออกมาว่า "ไอ้.... มึงเอาพวกมันออกมาทำไมว่ะ" จากนั้น ได้ยินนายตำรวจอีกผู้หนึ่ง วิทยุสั่งการไปยังชุดที่เข้าไปจับกุมคนร้ายว่า "นายบอกให้เอาพวกมันกลับไป ไม่ต้องพาออกมา" ต่อมา มีการนำเสนอข่าวกรณีการสั่งการดังกล่าวขึ้น จนพี่บก.ข่าวผู้นี้ ต้องเก็บตัวอยู่ระยะหนึ่ง จนเรื่องราวข่าว"โจ ด่านช้าง"ซาลง
      
       หลังคดี"โจ ด่านช้าง" เราถามรุ่นพี่นักข่าวคนเดิมถึงพล.ต.อ.สล้างอีกครั้ง คราวนี้ รุ่นพี่นักข่าว ต่อสายโทรศัพท์ให้เราพูดคุยกับอีกคน ซึ่งเราไม่รู้จัก แต่รุ่นพี่นักข่าวบอกเราว่า เป็น"นักข่าวรุ่นเก๋ากึ้ก" เมื่อแนะนำตัว ทำความรู้จักกันทางสายเรียบร้อย รุ่นพี่นักข่าวรุ่นเก๋ากึ้ก เริ่มต้นว่า ครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีคดีวิสามัญฆาตกรรมเกิดขึ้นบริเวณย่านสะพานซังฮี้ หรือสะพานกรุงธนบุรี ครั้งนั้น เจ้าของร้านตึกแถวร้านหนึ่ง ว่าจ้างลูกจ้างวัยรุ่นจากต่างจังหวัดที่มาแสวงหางานทำในเมืองหลวง แต่พอถึงสิ้นเดือน วันรุ่นจากบ้านนอกคนนี้ ยังไม่ได้รับเงินเดือน จึงทวงถามจากนายจ้าง เมื่อนายจ้างยังไม่ให้เงิน เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนี้ จึงข่มขู่ว่า พรุ่งนี้ จะพาเพื่อนๆ มาเอาเงินเดือน หากไม่ได้ ไม่รับรองว่าอะไรจะเกิดขึ้น จากนั้นก็จากไป รอวันรุ่งขึ้นเพื่อกลับมาทวงค่าแรงของเขา
      
       โชคชะตาคงลิขิตมาให้เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนี้ ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่เชิงสะพานซังฮี้เสียแล้ว เพราะเจ้าของร้านตึกแถว มีเพื่อนเป็นตำรวจยศ"พ.ต.ท."(ตำรวจแก่ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ ปัจจุบัน) เจ้าของร้านจึงนำเรื่องที่ถูกเด็กหนุ่มข่มขู่จะพาเพื่อนมาถล่ม ไปปรึกษา ซึ่งพ.ต.ท.คนนั้น ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง บอกกับเจ้าของร้านตึกแถวว่า "เรื่องนี้ เอ็งสบายใจได้ เดี๋ยวข้าจัดการให้ กลับไปนอนหลับให้สบาย พรุ่งนี้เช้าค่อยเจอกัน"
      
       รุ่งขึ้นตอนเช้า เด็กหนุ่มวัยรุ่นจากบ้านนอก พาเพื่อนรวม 6 คน ไปทวงถามเงินเดือนของเขาจากเจ้าของร้านตามคำมั่นสัญญาที่ประกาศไว้ จากนั้นไม่นาน พี่นักข่าวรุ่นเก๋ากึ้กก็ได้รับมอบหมายให้ไปทำข่าว 241 (รหัสวิทยุ หมายถึง เหตุฆ่ากันตาย) ที่เชิงสะพานซังฮี้ พี่นักข่าวรุ่นเก๋ากึ้กเล่าว่า เมื่อไปถึง มันแปลกตรงที่ว่า ตำรวจไม่ให้เข้าไปตรงบริเวณตึกแถวที่เกิดเหตุ แต่ให้รออยู่ที่บริเวณสะพาน พวกนักข่าวจึงพากันนั่งรอที่ราวสะพานซังฮี้ ซึ่งก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะๆ พี่นักข่าวรุ่นเก๋าก้กบอกว่า เขาเห็นวันรุ่นคนหนึ่ง พยายามวิ่งหนีไปตามระเบียงตึกแถวแล้วหายเข้าไป ขณะที่อีกคนหนึ่ง วิ่งออกมาจากตึกแถวแล้วไปล้มฟุบจมกองเลือดอยู่ริมถนน
      
       ถัดมาอีกวัน หนังสือพิมพ์พากันพาดหัวข่าว "ตำรวจวิสามัญฯคนร้าย 6 ศพกลางกรุง" ขณะที่ฟังเรื่องจากจากปากของพี่นักข่าวรุ่นเก๋า เราได้แต่นิ่งเงียบ รู้สึกหดหู่ใจอย่างไรชอบกล สุดท้าย พี่นักข่าวรุ่นเก๋ากึ้กบอกว่า "เรื่องมันเป็นอดีตไปแล้ว แต่ผลของกรรมก็ตามหลอกหลอนผู้กระทำกับชีวิตของเด็กวัยรุ่นทั้ง 6 คน เพราะต่อมาไม่นาน ลูกของพ.ต.ท.ที่ว่า ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเช่นเดียวกัน !

ที่มา http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000126471 

Clip video ตำรวจใช้ปืนยาวยิงใส่ผู้ชุมนุม

ตำรวจใช้ปืนยาวยิงออกจากรัฐสภาใส่ผู้ชุมนุม แต่เข้าใจผิดเพราะว่าเป็นนักข่าว ซึ่งถ้านักข่าวคนนี้เป็นผู้ชุมนุมคงจะเสียชีวิตไปแล้ว ...

FW: ธรรมะสวัสดี: เงิน 10บาท










เงินสิบบาท

ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร?

ค รูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า 'ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร' เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า '7 บาท' แต่มีเด็ก 2คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น
คนหนึ่งตอบว่า '2 บาท'
อีกคนหนึ่งตอบว่า 'ไม่ต้องทอน'

ค รูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน 2 บาท คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขาสำหรับเงิน 10 บาท คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้น จึงได้เงินทอน 2 บาท


ถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือเงินทอนเลย
ค ำตอบก็คือเด็กคนนี้คิดว่าในกระเป๋ามีเหรียญบาท 10 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา


โชคดีที่เป็นก ารถาม-ตอบในห้องเรียน ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบเป็น ก-ข-ค-ง เด็ก 2 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนนจากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่
การสร้างโจทย์ ที่ 'เสมือนจริง' จินตนาการของ 'ครู' อาจถูกจำกัดเพียงแค่ 'ตัวเลข' แต่สำหรับเด็ก จินตนาการของเขาไร้กรอบ 10 บาท จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาท

เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบเพิ่มอีก 1 คำตอบ คือ ได้เงินทอน 1 บาท


โ ลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน โลกในห้องเรียน ทุกคำถามส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ แต่โลกของความเป็นจริง ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ

'อย่าตัดสินความผิดของคนๆ นั้น เพียงแค่ คำตอบ ของเรา'







สารจากกัปตันการบินไทย ที่ไล่ สส พปช


กัปตัน (นาวาอากาศตรี) จักรี จงศิริ ขอแถลง

แถลงการณ์นี้เขียนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2551 ที่นครเวียงจันทน์ ประเทศ
สาธารณรัฐประชาชนลาว ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสงบสุข ประชาชน ประเทศนี้เต็มไปด้วย
รอยยิ้ม ทั้งใบหน้าและจิตใจ เขาอยู่กันอย่างเรียบง่าย ผู้หญิงสวมผ้าถุง เสื้อ
แขนกระบอก ตอนเช้าผู้คนจะออกมาใส่บาตรทำบุญ สร้างบุญบารมีไว้ชาติภพหน้า เห็น
แล้วผมรู้สึกดีกับประชาชนของประเทศนี้มาก

เวลานี้เป็นเวลาตี 3 ผมนอนไม่หลับ คิดว่าทำไมจะให้ประเทศชาติของเราจะ
กลับไปมีความสุขแบบในเมื่ออดีต ตอนเป็นเด็กๆ ประเทศของเราดูคล้ายกับลาวมาก แล้ว
อะไรที่ทำให้สองประเทศนี้จึงแตกต่างกันมายมายขณะนี้ ความเจริญที่เข้ามามาก ที่
เข้ามาขับไล่ความสงบสุขออกไป คนขาดซึ่งศีลธรรมจรรยา เพราะมุ่งเพียงเพื่อความรอด
ของชีวิต สังคมมีแต่ผู้รับไม่มีผู้ให้ คิดแต่ว่าในวันนี้เราจะได้รับอะไรบ้าง จะ
รับจากใครที่ไหนและอย่างไร สังคมไทยจึงมีแต่ความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเพื่อที่จะ
เป็นผู้รับ ดังนั้นประเทศไทยจึงถูกซื้อได้จากผู้ที่มีอำนาจเงินมหาศาล ซึ่งจะ
ซื้อบุคล ทุกสถาบันในประเทศ เพราะคนไทยในทุกสถาบันล้วนเป็นผู้รับ

ขณะนี้ผมก็ใคร่ขอให้ผู้คนซึ่งอยู่ในองค์กร สถาบันต่างๆ ที่เงินไม่อาจ
ซื้อได้ และเป็นคนที่มีใจเป็นธรรมะ, เป็นผู้ให้ ได้ออกมาแสดงจุดยืนแสดงตัวตนของ
ตนเอง ซึ่งสามารถคิดแยกแยะได้ในสิ่งดีงามและสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ผมขอให้พวก
ท่านออกมาแทรกอยู่ตรงกลางของสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในประเทศของเราทุกวันนี้
ประเทศของเรากำลังต้องการบุคคลอย่างท่าน

กระผมเองก็เป็นบุคคลเช่นท่าน ขณะนี้ผมได้ออกมาแล้วในฐานะที่เป็นประชาชน
ที่รักประเทศชาติ รักแผ่นดินเกิด รักศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่กระผมคนเดียว
นั้นยังไม่เพียงพอ ขอให้คนในทุกองค์กรโปรดแสดงตัวตนที่แท้จริงออกก่อนที่จะสาย
เกินไป ณ เวลานั้น ท่านจะเกิดเสียดาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่จะต้องล้มตายไปอีกกี่
ร้อยกี่พันชีวิต ขณะนี้ผู้คนเหล่านี้เขาอ่อนแรงเต็มที่แล้ว พร้อมที่จะถูกใช้
กำลังสลายได้ทุกเมื่อ ผมไม่ต้องการเห็นคนไทย ประชาชนไทยร่างกายฉีกขาดได้อีกต่อ
ไปแล้ว และท่านเองก็คงไม่ต้องการเห็นเช่นกัน

เมื่อวันที่ 8 ตอนเช้านั้น ผมได้เห็นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงภาพผู้คนซึ่ง
เป็นคนไทย ถูกทำร้ายด้วยอาวุธ ร่างกายฉีกขาด เลือดนองพื้น เป็นภาพซึ่งผมเห็น
แล้วรู้สึกอนาจใจอย่างมากที่รัฐบาลโดยการนำของพรรคพลังประชาชน เข่นฆ่าประชาชน
โดยคนในพรรคนี้เห็นดีเห็นงามต่อการกระทำกับประชาชน จิตใจของพวกท่านทำด้วยอะไร
เพียงเพื่อต้องการที่จะไปอ่านนโยบายบริหารประเทศ ท่านก็ฆ่าฟันผู้คนเข้าไปอ่าน
นโยบายแล้ว ฉะนั้นภายในนโยบายบริหารเหล่านั้นท่านคงจะต้องฆ่าประชาชนคนไทยไปอีก
กี่ศพ ท่านจึงจะบรรลุนโยบายการบริหารประเทศของท่าน

ด้วยความคิดดังนั้นผมเองจึงตัดสินใจ ที่จะไม่รับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่
มาจากพรรคพลังประชาชน สาเหตุเพราะหนังสือพิมพ์ซึ่งมีภาพผู้คนที่ถูกเข่นฆ่าเหล่า
นั้น เมื่อผู้โดยสารท่านอื่นที่โดยสารไปในเที่ยวบินนั้นได้เห็นภาพและข่าว อาจ
เกิดบันดาลโทสะ ขาดการยับยั้ง ยกมารุมทำร้าย ส.ส.ของพรรคพลังประชาชน ขณะที่
เตรียมขึ้นบินอยู่ ได้รับบาดเจ็บและล้มตายให้ตกไปตามกันก็ได้ ส.ส.พรรคพลัง
ประชาชนเข้าเครื่องในวันดังกล่าว ซึ่งถ้าการสอบสวนว่าผมกระทำความผิด และให้ผมไป
กล่าวคำขอโทษ ส.ส.เหล่านั้น ก็ขอให้ลงโทษด้วยการฆ่าผมเสียดีกว่าที่จะให้ผมไป
กล่าวคำขอโทษกับคนที่ไม่มีศีลธรรมเหล่านั้นให้เสียศักดิ์ศรีของความเป็นชายชาติ
ทหารนักรบอย่างผม

สุดท้ายนี้ผมคิดว่า ถ้าประชาชนถูกเข่นฆ่าด้วยอาวุธอีก ร่างกายฉีกขาดเป็น
ชิ้นส่วน กระจายเลือดแดงนองพื้น สภาพศพแต่ละศพไม่ครบ 32 แล้วเราก็ไม่สามารถ
เปลี่ยนแปลงสังคมไทยได้ เป็นเวรกรรมกันต่อไปอีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ สู้ขอให้เรา
ยอมตายด้วยการอารยะขัดขืนสูงสุดคือ เรามาร่วมกันอดอาหารเพื่อขอให้มีผู้นำของ
ประชาชนคนใหม่ นำไทยไปสู่อนาคตที่สังคมมีแต่ผู้ให้ด้วยเทอญ และ ขออดอาหารจนตาย
ถ้าเรายังไม่ได้ผู้นำของประชาชนคนใหม่ ขอให้ท่านออกมาเถิด เราจะรอท่านไปจนตาย
ถ้าท่านไม่ออกมา

กัปตันจักรี จงศิริ
ผู้ที่จะยอมเสียชีวิตโดยไม่ยอมเสียเกียรติและศักดิ์ศรี
เวลา ตี 4
13 ต.ค. 51

----- End forwarded message -----


“สนธิ” ตอกพวกอ้าง “ของจริง” รับเงินระบอบทักษิณ ขู่แฉสิ้นไส้


"สนธิ" ย้ำ ความศรัทธา-เชื่อมั่น เดินต่อไป ไม่สนใจวิชามารรูปแบบใหม่ มาบั่นทอน โต้พวกที่บอกว่า "ของจริง" ที่แท้ก็ของปลอม ทำตัวเป็นสปาย ชี้บางคนรับเงินระบอบทักษิณ เดือนละ 5 แสน มานานหลายปีแล้ว ลั่น "กูไม่กลัวมึง" เตือนหากยังไม่หยุดจะกระชากหน้ากากให้หมด อัด นักวิชาการ-สื่อมติชนกลางกลวง เดือดร้อนเพราะยอดขายตก


วันนี้ (30 ต.ค.) เมื่อเวลา 21.15 น.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีที่ทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเรื่องใกล้จบ ฝ่ายตรงข้ามก็จะทำทุกอย่างที่ไม่เคารพกฎหมาย เล่นนอกกติกา รัฐที่ต้องมีหน้าที่รักษากฎหมาย กลับเป็นโจรเสียเอง หรือสนับสนุนสร้างกองกำลังโจร แต่ขณะเดียวกัน ทำให้เรามีกำลังใจสู้เพราะพิสูจน์ว่าเดินมาไม่ผิดทาง

นายสนธิ กล่าวต่อว่า เวลานี้มีการออกข่าวทางสื่อมวลชนบอกว่าให้สมานฉันท์ แต่เมื่อเช้ามีการขว้างระเบิดใส่เรา ไอ้นักวิชาการบางคนที่ชื่อโคช้ำ โคหลับอะไรนั่น ทำไมไม่ออกมาพูดบ้าง

"ผมอยากจะเตือนนักวิชาการพวกนี้ รัฐบาลและทหาร รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง ถ้าพวกเราถูกรังแกจนทนไม่ไหวแล้วติดอาวุธมั่ง พวกคุณจะเหนื่อย และเวลานั้นใกล้จะมาถึงแล้ว หากยังถูกรังแกแบบนี้ อย่าคิดว่าอหิงสาแล้วสู้ไม่เป็นและเราจะลุกฮือขึ้นทั่วประเทศ" นายสนธิ กล่าว

แกนนำพันธมิตรฯ ผู้นี้ กล่าวอีกว่า การต่อสู้มา 159 วัน มันพิสูจน์ว่าไม่ได้ผิดเลยว่า เราสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จริงๆ เพราะการเมืองทุนสามานย์สัตว์นรกมันทำลายชาติ เราสู้ไม่ให้ฉ้อราษฎร์บังหลวง ให้กฎหมายเป็นกฎหมาย ไม่เหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อถูกจำคุกแล้วมาด่าศาล

นายสนธิ กล่าวว่า มีขบวนการทำร้ายราชบัลลังก์ แต่เพราะการชุมนุมของพวกเราแบบปักหลัก ทำให้ผู้มีอำนาจต้องออกมาพูดให้มีการจัดการกับผู้ที่จาบจัวงสถาบันพระมหากษั ตริย์

"เวลานี้มีวิชามารบอกว่า ผมของจริงของแท้ อ้างว่า ถ้ารักในหลวงให้อยู่ที่บ้าน เราอยู่ที่บ้านไม่ได้หรอก เพราะชาติกำลังถูกกลืน ผมไม่อยากพูดว่าบางคนที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทที่รับเงินของระบอบทักษิณเดื อนละ 5 แสนบาทมานานหลายปีแล้ว เพื่อเป็นสปาย อย่าให้เอ่ยชื่อว่าใคร แต่ถ้าติดตามมาตลอดจะรู้ว่าเป็นใคร บางคนเวลาขึ้นเครื่องบินก็ไปเบ่งกับการบินไทยขอเอาไวน์ที่กินเหลือเพื่อจะเอ ากลับบ้าน อย่าให้ผมเปิดโปงมากกว่านี้ ทำแอ็กว่าเป็นของจริง ตัวผมเองไม่มีเครื่องราชฯ เป็นแค่ลูกเจ๊กธรรมดา แต่กูไม่กลัวมึงหรอก" นายสนธิระบุและว่า บางคนบอกว่า รักพ่ออย่าทะเลาะกันหรือรักพ่อให้สามัคคี สามัคคีไม่ได้หรอก เพราะมันจะฆ่าพ่อ ดังนั้นจึงสามัคคีกับลูกทรพีไม่ได้หรอก

นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อรู้ว่าเป็นอย่างนี้ มีวิชามารอย่างนี้ ก็อย่าไปท้อ เพราะกว่า 5 เดือนที่เราออกมาสู้ได้สร้างคุณูปการให้กับบ้านเมือง ไม่เช่นนั้นก็จะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างนี้และย้ำว่า พันธมิตรฯ เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่เทิดทูนแต่ปาก น้องโบว์ และ สารวัตรจ๊าบ ที่เสียชีวิตไปก็เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพิสูจน์ว่าพันธมิตรฯ ไม่ใช่ของแท้หรอกหรือ แต่คนที่มาพูดแบบนี้นั่นแหละคือของปลอม และถ้ายังไม่หยุดตนก็จะเปิดโปงเบื้องหลังให้ได้รับทราบกัน

เตือนความทรงจำคนมติชน

จากนั้น นายสนธิ ได้กล่าวถึง นายบุญเลิศ ช้างใหญ่ คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์มติชน ที่เขียนบทความโจมตีตน โดยใช้ชื่อเรื่องว่า คุกคามสื่อ-สื่อคุกคาม โดยกล่าวว่า ตนอยากจะถามพี่น้องที่มีปัญญาอยู่ที่นี่ว่า แม้ว่าตนจะขอร้องอย่างไร ถ้าเขาไม่เห็นด้วยเขาก็ไม่ทำตาม แต่ขณะเดียวกันก็กล่าวว่า "ให้ย้อนกลับไปดูหนังสือพิมพ์ข่าวสด ที่ลงข่าวบิดเบือนกรณีภาพศิลปินอิสระชื่อตี๋ ที่ถูกทำร้ายมือขาด พวกคุณก็บอกว่าอีกมือกำระเบิด แต่ต่อมาแพทย์ ยืนยันว่า เป็นพวงกุญแจ พวกคุณก็ไม่แก้ข่าวให้ ต้องถามว่าพวกคุณเที่ยงตรงหรือไม่"

"สื่อพวกนี้เดือดร้อน เพราะยอดขายตก ดังนั้น พี่น้องต้องอย่าซื้อหนังสือพิมพ์ทั้งสี่ฉบับ คือ ข่าวสด มติชนรายวัน มติชนรายสัปดาห์ และประชาชาติธุรกิจ แม้รู้ว่าพวกคุณบางคนก็เขียนเชียร์พันธมิตรฯ แต่ปัญหาอยู่ที่เจ้าของ คือ ขรรค์ชัย บุญปาน พวกคุณยอมรับหรือไม่ว่า บก.มติชนรายวัน เป็นคนของ จาตุรนต์ ฉายแสง หรือ บก.มติชนสุดสัปดาห์ มีลูกทำงานอยู่ในเครือชินวัตร" นายสนธิ เปิดโปงพร้อมตั้งคำถามอีกว่า ทำไม ขรรค์ชัย ต้องเอาช่อดอกไม้ไปมอบให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯฆาตกรมือเปื้อนเลือด และย้อนอดีตสมัยการปฏิวัติ รสช. นายขรรค์ชัย คนเดียวกันนี่แหละ เขียนบทความเชียร์ พล.อ.สุจินดา คราประยูร และห้ามคอลัมนิสต์ที่เขียนตอบโต้ รสช.ไม่ให้เขียนลงมติชน

"แล้วคุณรู้ไหมว่าคอลัมนิสต์สองคนที่เปลี่ยนมาเขียนบทความลงหนังสือพ ิมพ์ผู้จัดการ แล้วเราก็ยินดีรับ คนหนึ่งชื่อ นิธิ เอียวศรีวงศ์ อีกคนชื่อ เกษียร เตชะพีระ คุณบุญเลิศพวกคุณลืมประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไปแล้วหรือ" นายสนธิกล่าว

นายสนธิ ยังกล่าวอีกว่า ในยุคที่แกรมมี่จะมาฮุบด้วยการซื้อหุ้นเครือมติชน ก็มี "หมา" อย่างสื่อเครือผู้จัดการนี่แหละที่สู้ให้ชาวมติชน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นตนมองว่าเจ้าของมติชนคิดจะขายหุ้นให้อยู่แล้ว แต่ข่าวดันปูดออกมาเสียก่อน ทว่าตอนนี้ก็ถูกแกรมมี่ซื้อหุ้นไปแล้วในที่สุด

นายสนธิ กล่าวด้วยว่า การต่อสู้ 159 วัน ได้ถลกหนังนักวิชาการจอมปลอมที่ชอบบอกว่าไม่นิยมความรุนแรง ซึ่งไม่มีใครชอบความรุนแรงอยู่แล้ว แต่อยู่ที่ใครเริ่มก่อน มีคนเตือนว่าอย่าไปทำลายแนวร่วม ถ้าแนวร่วมเป็นแบบนี้ก็ให้ไปร่วมกับพวกชินวัตรเลยดีกว่า เพราะแค่นี้ยังแยกไม่ออกว่าผิดถูกอย่างไร ก็อย่ามีหน้ามาเสนอทางออก พวกเราถูกกระทืบถูกฆ่าคนพวกนี้กลับอมสาก ดังนั้น เมื่อเรามีศรัทธา ยึดมั่นในสิ่งที่เดินมาก็เดินต่อไป ทำการเมืองใหม่ให้สำเร็จ







โดย ผู้จัดการออนไลน์30 ตุลาคม 2551 23:00 น.

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

นักวิชาการบุรีรัมย์ ชี้ ความขัดแย้งทวี/การเมืองวิกฤตเข้าสู่ทางตัน-หลังศาลตัดสิน “แม้ว” ติดคุก

บุรีรัมย์ - นักวิชาการและอดีตประธานพีเน็ตบุรีรัมย์ ชี้ ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายคัดค้าน ทวีความรุนแรงขึ้น และการเมืองไทยวิกฤต เข้าสู่ทางตัน หลังศาลตัดสินคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ สั่งจำคุก “ทักษิณ” 2 ปี เชื่อรัฐบาลยื้อไม่ยุบสภา หรือลาออก แต่เดินหน้าตั้ง ส.ส.ร.3 เข้าไปแก้รัฐธรรมนูญให้ได้ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง
      
       วันนี้ (22 ต.ค.) นายนิรันดร์ กุลฑานันท์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และอดีตประธานพีเน็ต จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ตัดสินคดีทุจริตซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ สั่งจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2 ปี เป็นการส่งสัญญาณว่าการเมืองจะเกิดความร้อนแรงเพิ่มขึ้น ต่างฝ่ายต่างมุ่งที่จะเอาชนะซึ่งกันและกันทั้งฝ่ายค้าน และรัฐบาลจนลืมที่จะแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง และจะมีการกดดันทำเพื่อตนเอง สังคมจะแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย
      
       ส่วนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็จะกดดันให้รัฐบาลยุบสภา หรือลาออก เพื่อจะนำไปสู่การเมืองใหม่ ขณะที่รัฐบาลก็เกรงว่าจะเสียเปรียบทางการเมืองก็จะยื้อไม่ยุบสภาหรือลาออกยิ ่งจะเดินหน้าผลักดันให้เกิดสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 3 หรือ ส.ส.ร.3 ให้ได้ เพื่อที่จะเข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้มา เพื่อให้ได้มาซึ่งความได้เปรียบทางการเมือง
      
       นายนิรันดร์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้การเมืองไทยได้เข้าสู่ทางตันไปแล้ว เพราะยังไม่มีผู้ใหญ่หรือใครที่น่าเชื่อถือเข้ามาเจรจาแก้ไขปัญหาวิกฤติการเ มืองปัจจุบันได้ และการตั้ง ส.ส.ร.3 ขึ้นมายกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถลดอุณหภูมิการเมืองได้แต่ยิ่งจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งหนักมากขึ้ น
      
       “ วันนี้แม้แต่นักวิชาการและหลายกลุ่มองค์กรที่ออกมาเคลื่อนไหว ก็ไม่มีใครสามารถวิเคราะห์ได้ถูกว่า อนาคตทิศทางการเมืองไทยจะเดินไปในทิศทางใดเช่นกัน” นายนิรันดร์ กล่าว

เสียเพื่อนดีกว่าเสียชาติบ้านเมืองครับ


ได้ดูสารคดีจากประเทศแถวๆแอฟริกา ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ตำรวจว่าทำไมสลายมอปตำรวจถึงไม่มีอาวุธปืนสักกระบอกเลยล ะครับ มีแต่กระบอง ตำรวจตอบว่า ผู้ชุมมุนก็คือประชาชน ไม่ใช่โจรผู้ร้ายที่ไหนทำไมต้องใช้ปืนด้วย(เอามาจากเวปเพื่อนบ้าน)


ส่วนตัวของผม ผมไม่แคร์น่ะถึงจะเสียเพื่อนเพราะเรื่องนี้ เสียเพื่อนดีกว่าเสียชาติบ้านเมืองครับ อย่างที่ผมบอกแหล่ะว่า ผมสู้เพื่อลูกหลานของผม ถ้าอุปมาอุปไมย สมมติว่าลูกผมโตขึ้นแล้วคิดค้น เทคโนโลยีได้อย่างสุดยอดหรือเอาง่ายๆ(สมมติน่ะ)ลูกผมคิดรถยนต์ที่ไม่ใช้น้ำม ันเป็น พลังงานหลัก แต่ใช้น้ำได้ ลูกผมก็ร่วมหุ้นกับเพื่อนๆเขาทำกิจการตัวนี้ จนวันหนึ่งติดตลาดได้อย่างรวดเร็วมีแต่คนต้องการซื้อ จนการผลิต ผลิตไม่ทัน ลูกผมจะไปขอกู้เงินจากแบ๊งค์ แต่พอทักษิณ หรือพวกพ้องลูกหลานมันมาเห็น(เหมือนกับ TPI) อยากได้กิจการลูกผม แต่ลูกผมไม่ขาย ด้วยเหตุผลว่า เขาเป็นคนค้นคิดขึ้นมากับมือ อยากมีธุรกิจหรือกิจการ อยากลืมตาอ้าปาก ทำอย่างไรก็ไม่ขาย เพระถ้าขายไปต้องไปเป็นแค่ลูกจ้างของมัน แต่ทักษิณไม่ยอม ถ้าไม่ขายกรู เมิงก็ไม่ต้องได้ขายของหรอก ขั้นแรกก็ส่งเจ้าหน้าที่แบ๊งค์มาบอกไม่ให้กู้ ขั้นสองส่งเจ้าหน้าที่รัฐฯหน่วยต่างๆเช่น สรรพากร ฯ มากลั่นแกล้ง มาบีบจนให้ลูกผมขายให้ได้ หาทางกลั่นแกล้งตลอดเวลา นี่แหล่ะครับที่ผมยกตัวอย่างขั้นต้น คุณจะอยู่ในสังคมแบบนี้กันหรือครับ ต่อไปคุณต้องไปเป็น "ขี้ข้า" ของมันตลอด อย่าบอกน่ะครับว่าเรื่องที่ผมยกตัวอย่างไม่จริง ที่ยกตัวอย่างนี้แหล่ะของจริงทั้งนั้น เช่น จำได้ไหมว่าลูกใครอยากได้ร้านขนม ที่ประมาณปี46-48 ดังมากๆๆ จนลูกนักกินเมืองที่ตอนนี้เป็นนักโทษหนีคดี อยากได้มากๆให้พ่อเข้าไปเจรจา เจ้าของบอกไม่ขายแล้วเป็นไงล่ะตอนนี้ร้านนี้เงียบหายไปเลย ลองไปดูเองแล้วกันว่าหายเพราะอะไร,ลูกชายอยากขายกล้อง เห่อเพิ่งเล่นกล้อง ต้องไปไล่ที่เขาแถวสยามสแควร์ เปิดกิจการให้ลูกชาย แล้วสรุปตอนนี้เป็นไงร้านนี้เจ๊ง(ถือว่ามีเงินเจ๊งไม่กี่สิบล้านช่างมัน ถือว่าซื้อเฟอร์รี่คันเดียวเอง),ตอนพ่อยิ่งใหญ่อยากเปิดบริษัท ออร์แกไนท์ ผลิตรายการ แค่คิดก็มีช่อง iTV รีบหาเวลาให้เลย ไล่ผู้ผลิตคนเก่าย้ายเวลา (แล้วตอนนี้เป็นไงรายการนี้เจ๊ง) และทำโฆษณา ที่จะไปติดที่สถานีรถไฟฟ้า แล้วเป็นไง ผู้ผลิตสื่อที่เขามีประสบการณ์ไม่กล้าโววาย เพราะรายนี้ไม่ต้องประมูล แค่คิดโครงการความอยาก ก็มีคนเอามาประเคนให้(อันนี้แค่ตัวลูกน่ะครับ) ส่วนตัวพ่อ เข้าไป TPI เห็นอาณาจักรที่นี่แล้วอยากได้ ที่อยากได้ TPI เพราะว่า เป็นที่เดียวที่มีโรงกลั่นน้ำมันเป็นของตัวเอง ถ้าไม่นับ ปตท ส่ง พล.อ (ชื่อจำไม่ได้น่ะ) เข้าไปกลั่นแกล้งฟ้องร้องนาย ประชัย เรี่ยวไพรัตน์ ,เห็นการไฟฟ้าแล้วอยากแปรรูป หลังจากแปรรูป ปตท (ให้ไอ้กึ้ง เฉลิมชัย ที่ตอนนี้เพิ่งได้แต่งตั้งเป็น เลขา นายสมชาย สดๆร้อนๆนี่เองน่ะ)ได้เป็นผุ้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด เฮ้ออออ ความริยำมันมีอีกเยอะน่ะ คุณเลือกเอาแล้วกันว่าจะอยู่เป็นขี้ข้า มันตลอดไปหรืออย่างไร มีศักดิ์ศรีกันหน่อยสิครับ จะรอรับแค่เศษเงินก็ทำไป แต่ไม่ใช่ผม .



ผมก็คนหนึ่งล่ะที่ติดตามรายการของ ผจก มานานมากแล้วตั้งแต่ เมืองไทยรายสัปดาห์ที่ช่องเก้า และฟังรายการ เป็นเรื่องกับต่อพงษ์(รู้จักกันไหมครับ)ตั้งแต่คลื่นของ อสมท.fm 97 จนโดนทักษิณแกล้ง เวรคืนเวลาทั้งสองรายการจนต้องระเห็จมาเป็น เมืองไทยฯสัญจร และ metro life 97.75 คลื่นวิทยุชุมชน เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่แปลกน่ะว่า จุดยืน นายสนธิ ก็ยังเหมือนเดิม ซ้ำยังเข้มข้นกว่าเดิมด้วย คุณต้องเข้าใจน่ะว่า สถานการณ์ตอนนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนยังไม่ใช่การชุมนุมแต่เป็นการจัดรายการนอกสถานที่ แต่ตอนนี้มันเป็นการชุมนุมขับไล่รัฐบาลชั่ว จะให้มานั่งหยิมๆติ๋มๆ เหมือนเดิมคงไม่ได้แล้วล่ะ มันต้องเข้มข้น หนักหน่วงมีปลุกกระแสกับบ้างก็ไม่แปลกนิครับ ถ้า ของ เขาไม่ดีจริง จากเริ่มแรกมีคนฟังแค่ไม่กี่คนแต่ตอนนี้เป็นไงล่ะมีคนเป็นล้าน ดึงคนเยอะแยะมาเป็นพวกได้ ก็เพราะอะไร ถ้านาย สนธิ จุดยืนแกว่งไปแกว่งมา คงไม่มีใครเอาด้วยหรอก และถ้าทักษิณไม่เลวจริง กระแสก็คงจุดติดได้ยากครับ อย่ายึดติดครับ ถ้าคุณไม่ชอบแบบนี้ก็เป็นสิทธิ์ของคุณ แต่คนอีกหลายล้านชอบแบบนี้เห็นดีว่าทักษิณมันผิดมันเลวจริง ก็ต้องเป็นไปตามเสียงคนข้างมากแหละน่ะ


ขอเพิ่มชื่อผู้หญิงอีกคน ที่เราคิดว่า "หัวใจเธอ น่ากราบ"


ขอเพิ่มชื่อผู้หญิงอีกคน ที่เราคิดว่า "หัวใจเธอ น่ากราบ"

เ ธอผู้นั้นคือ คุณ เพ็ญพิมล ใสงาม ที่แม้วันนี้เธอจะสูญเสียสามี (สารวัตรจ๊าบ) แต่เธอยังยืนหยัดที่จะต่อสู้........เพียงลำพัง กับลูกน้อยของเธอ....เพื่อ.."มวลชน"

"....ฉันจะสานต่อเจตนารมณ์ของสา มีที่ได้สละชีวิตต่อสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยจะนำเงินที่ทางกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรฯ บริจาคมาเก็บไว้ให้กับลูกๆ และบางส่วนจะนำมาจัดตั้งสถานีวิทยุชุมชนถ่ายทอดสัญญาณเสียงของสถานีโทรทัศน์ ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี เพื่อให้ประชาชนชาวบุรีรัมย์ได้รับฟังข้อมูลข่าวสารที่แท้จริง รวมทั้งความเคลื่อนไหวต่างๆ ในการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองของประชาชนที่เกิดขึ้น" .......
"....ตนและ ครอบครัวขอยืนยันจะไม่รับเงินเยียวยาช่วยเหลือจากรัฐบาล หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุสลายการชุม นุมอย่างรุนแรงของรัฐบาลในเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา..."
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9510000128366


"ใจของเธอมันน่ากราบ"
















"ใจของเธอมันน่ากราบ"








ผู้เขียน: น้าเล็กนอนดึก (pardar สมาชิก)









เ ธอคนแรกคือเจ๊วิชชุดา ระดับปัญญาวุฒิ ผู้ซึ่งทุกคนรู้จักดีในฐานะผู้ที่เป็นทั้งวีรสตรี และคุณแม่ของวีรสตรีผู้ล่วงลับ จนถึงวันนี้กำลังใจที่จะต่อสู้กับระบบทุนนิยมสามานย์ของเธอก็มิได้ย่อท้อหรื อลดลงจากเดิมเลยแม้แต่น้อย


หลายคนคงคิดว่าพลังนี้น่าจะมาจากความคั่งแค้นตามสัญชาติญาณของแม่ผู้สูญเสีย ลูกสาว แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ความเศร้าโศกของเธอได้เปลี่ยนเป็นพลังที่จะต่อสู้กับความอยุติธรรมต่อไป


เท่าที่ได้รู้จักเป็นส่วนตัว เจ๊วิชชุดามีจิตใจเข้มแข็งมาก คนธรรมดาโดยเฉพาะคุณผู้หญิงผู้รักสวยรักงามตามธรรมชาตินั้นคงหมดกำลังใจที่จ ะสู้ต่อไปแล้วถ้าร่างกายมีบาดแผลแม้กระทั่งริ้วรอยแผลเป็นเล็กๆ แต่หญิงเหล็กใจเพชรอย่างเจ๊วิชชุดายังมีใจกล้าแกร่งที่พร้อมจะกลับมาสู้ต่อท ั้งๆที่เท้าข้างซ๊ายของเจ๊นิ้วขาดหายจากแรงระเบิดไปถึงสองนิ้ว - เจ๊บอกกับผมอย่างหน้าตาเฉยในวันไปที่ไปเยี่ยมว่า "ไม่เป็นไร"


(..ได้ยินไปถึงหูนักรบของชาติที่ประจำการอยู่สนามกอล์ฟหรือไม่) เธอคนต่อมาและต่อๆมาก็ได้แก่เหล่าคุณป้าย่ายายที่ยังปักหลักอยู่หน้าเวที ท่านผู้สูงอายุเหล่านี้ไม่เคยย่อท้อเลยที่จะต่อสู้ เป็นแนวหน้าของพันธมิตรที่น่ายกย่อง บางคนอาจคิดว่าจะมีอาไร้ - มันก็แค่คนแก่อยากออกทีวี (อันนี้ได้ยินทีไรควันออกหูทุกที) คำสบประมาทเหล่านี้จะหมดไปหากคนพูดได้ไปสัมผัสความจริงที่ทำเนียบประชาชน ใครที่เคยไปจะรู้ว่าที่นั่นไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลยสักอย่างสำหรั บสุภาพสตรี ห้องน้ำก็ต้องอดทนใช้เพราะเป็นห้องน้ำเคลื่อนที่ (ที่ทำจากไฟเบอร์แคบๆ) ไม่ใช่ไม่สะอาด แต่ไม่สะดวกเลยสำหรับคนสูงอายุที่เข่าและข้อไม่ดีอย่างแน่นอน ส่วนเก้าอี้พลาสติกที่เห็นใช้นั่งหน้าเวทีนั้นก็ไม่ได้สบายเลยสักน้อย ส่วนใหญ่จะชำรุด แตกบ้างหักบ้าง บางตัวนั่งแล้วถูกหนีบก้นจนต้องหากระดาษมารองก็ยังมี ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงความไม่สะดวกสบายอื่นๆที่ต่อให้จ้างวันละห้าร้อยก็ไม่ม า


เชื่อว่าคนที่เป็นลูกหลานมาเห็นสภาพอย่างนี้ก็คงไม่ปล่อยสุภาพสตรีเหล่านี้ม าร่วมชุมนุมด้วยหวังแค่ค่าจ้างแน่นอน อยากให้ท่านที่ไม่เคยไปสัมผัสได้ไปเห็นเวลาที่ฝนตกหนักแล้วน้ำรั่วจากหลังคา ผ้าใบ ไหลท่วมสูงปนโคลนปนทรายจนคนที่นั่งต้องยกขาโดยไม่หนีไปไหน หรือหนีไปแล้วพอน้ำลดก็กลับมานั่งอีก คนที่นี่เขายอมทำกันได้ เพียงเพื่อให้พ่อแม่พี่น้องที่ชมการถ่ายทอดได้เห็นว่ายังมีพวกเราที่ยังสู้ไ ม่ว่าดินฟ้าอากาศจะเป็นอย่างไรและที่สำคัญกว่าอื่นใดก็คือสู้เพราะใจสู้ ---------


เห็นด้วยหรือยังกับคำว่า "ใจของเธอมันน่ากราบ" ถ้าเห็นด้วยแล้ว พร้อมหรือไม่ที่จะไปร่วมเป็นกำลังใจให้ผู้หญิงเหล็กของชาติไทยเหล่านี้ - หรือจะคอยเข้าข้างฝ่ายใดก็ได้ที่ชนะ?









วันที่ : 29 ตุลาคม 5



Clip video ตำรวจเล็งปืนสั้นใส่พันธมิตร บช.น

ดู กันชัดๆ ตำรวจในชุด ตชด. เล็กปืนพกสั้นสีดำ ไม่ทราบชนิดเล็งใส่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และมีเสียงปืนดัง แต่ไม่แน่ใจว่าได้ยิงหรือ ไม่เหตุเกิดที่หน้า บช.น.

“วิหคเรดิโอ” ปักใจเหตุระเบิดมาจากป้องสถาบัน-ชี้ นปช.เคลื่อนไหวผิดปกติส่งสัญญาณรุนแรง
















โดย ผู้จัดการออนไลน์30 ตุลาคม 2551 10:25 น.






















ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - แกนนำกลุ่มทหารพระราชา เชียงใหม่เผยหลังมีเหตุลอบวางระเบิดที่สถานีวิทยุวิหค เหตุมาจากการเคลื่อนไหวสนับสนุนพันธมิตรฯ ยื่นเรื่องสอบการหมิ่นสถาบันฯ ชี้ นปช.เหนือเคลื่อนไหวผิดปกติส่งสัญญาณล่วงหน้า

สืบเนื่องจากเหตุลอบวางระเบิดที่สถานีวิทยุวิหคเรดิโอ 89.0 Mhz ซึ่งเป็นวิทยุชุมชนที่ถ่ายทอดสัญญาณเสียงการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประช าธิปไตย โดยเหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 03.30 น.ของวันนี้ (30 ต.ค.) ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับการเกิดเหตุระเบิดที่กรุงเทพฯ ได้เกิดเหตุระเบิดที่โรงรถด้านข้างสถานีวิทยุวิหคเรดิโอ ภายในหมู่บ้านระมิงค์นิเวศน์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ของนายเทอดศักดิ์ เจียมกิจวัฒนา แกนนำกลุ่มทหารเสือพระราชาเชียงใหม่ แรงระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้บริเวณโรงจอดรถด้านข้าง กระจกแตก และลุกลามเข้าเผารถยนต์วอลโว่ สีเขียว หมายเลขทะเบียน ค 4546 เชียงใหม่ของนายเทอดศักดิ์

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยดับเพลิงใช้เวลาราว 20 นาที เข้าระงับเหตุไม่ลุกลามจนดับเพลิงสำเร็จในเวลาหลัง 04.00 น.เล็กน้อย เบื้องต้นคาดว่าสาเหตุจะเป็นการปาระเบิดเพลิง เนื่องจากกระจกรถแตกและมีเพลิงไหม้ นายเทอดศักดิ์ประเมินค่าเสียหายเบื้องต้นราว 4 แสนบาท

นายเทอดศักดิ์ กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า ต นปักใจว่าสาเหตุเกิดจากการเคลื่อนไหวร้องเรียนกรณีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงหลาย รูปแบบในจังหวัดเชียงใหม่ โดยได้เป็นแกนนำเข้ายื่นหลักฐานแจ้งความดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องไว้หลายคดีที ่กองบังคับการตำรวจภูธรภาค 5 นอกจากนั้นเมื่อค่ำวานนี้บนเวทีปราศรัยของกลุ่มนปช.เชียงใหม่ที่หน้าโรงแรมว โรรส แกรนด์พาเลสยังประกาศบนเวทีว่าจะไม่ให้มีกลุ่มผู้สนับสนุนพันธมิตรเหลืออยู่ ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นัดหมายสอบปากคำเพิ่มเติมในเช้าวันนี้ (30 ต.ค.)

ม ีรายงานว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ซึ่งเป็นกลุ่มมวลชนรักทักษิณ เสื้อแดงที่เป็นเครือข่ายเดียวกับ นปช. นับตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค.เป็นต้นมา นายณรงค์ศักดิ์ มณี หรือเป๋ คลองเตย เดินทางมาร่วมชุมนุมและปราศรัยบนเวทีทุกคืน

ขณะที่ นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ประกาศบนเวทีเมื่อคืนวันที่ 27 ต.ค.ว่า ก่อนจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ในวันที่ 31 ต.ค. จะมีการสั่งสอนบทเรียนให้กับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยเฉพาะกลุ่มนายแพทย์ และสาวมือตบที่บุกเดี่ยวขึ้นไปบนวัดพระธาตุดอยสุเทพ

หลังจากนั้นในการปราศรัยคืนวันที่ 29 ต.ค. เวทีของกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ประกาศว่า ทางเวทีได้ทราบว่ามีแม่ค้านำมือตบมาขายที่ตลาดวโรรส หรือกาดหลวงซึ่งทางกลุ่มจะต้องไปเยี่ยมเสียหน่อย รวมถึงการประกาศว่า ห้ามมีคนเสื้อเหลืองที่ไม่ใช่คนเชียงใหม่อยู่ภายในพื้นที่ด้วย ทั้งนี้การปราศรัยบนเวทีของกลุ่มรักเชียงใหม่แทบทุกวันจะมีการพาดพิงถึงกลุ่ มทหารพระราชาโดยตลอด


“3 ดาบกายสิทธิ์” เผด็จศึกระบอบทักษิณ







โดย สันติ ตั้งรพีพากร29 ตุลาคม 2551 18:46 น.

คุณสำราญ รอดเพชร หนึ่งในแกนนำรุ่นที่สองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปรยถึง "3 ดาบกายสิทธิ์" (ประชาภิวัฒน์ ตุลาการภิวัฒน์ กองทัพภิวัฒน์) เผด็จศึกระบอบทักษิณ ในรายการสภาท่าพระอาทิตย์เมื่อเร็วๆ นี้ (ราว 19-20 ตุลาคม) เห็นว่า ถึงที่สุดแล้ว ดาบกายสิทธิ์เล่มที่สาม คือ กองทัพ จะต้องออกมาฟาดฟันให้ระบอบทักษิณพังพิณลงไป

ทั้งการทำงานของ "3 ดาบ" มีการประสานงานกันเป็นอย่างดี ตามสถานภาพและบทบาท และตามกระบวนการก่อกำเนิดของแต่ละดาบ ที่มีมาก่อนและหลังซึ่งกันและกัน และพัฒนาเชื่อมโยงเข้าเป็นกระบวนการใหญ่ในการต่อสู้เอาชนะระบอบทักษิณ เพื่อนำไปสู่การสิ้นสุดของการเมืองเก่า เปิดทางให้แก่การเมืองใหม่ต่อไป

แต่โดยรวมๆ แล้วก็คือ ดาบ 1 "ประชาภิวัฒน์" ต่อสู้เอาชนะทางการเมือง เสริมสร้างขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีพันธมิตรฯ เป็นแกนนำให้เข้มแข็งใหญ่โต ได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนของสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ

ดาบ 2 "ตุลาการภิวัฒน์" ต่อสู้เอาชนะทางกฎหมาย บั่นทอนการใช้อำนาจอย่างมิชอบ การคอร์รัปชันโกงกินของกลุ่มการเมืองที่ใช้อำนาจบริหารประเทศ ซึ่งก็คือสกัดกั้นการขยายตัวของอำนาจฉ้อฉลระบอบทักษิณ ทั้งในห้วงรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ดาบ 3 "กองทัพภิวัฒน์" เป็นการต่อสู้เอาชนะระบอบทักษิณทางด้านการทหาร ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้แสดงบทบาทอย่างชัดเจน แต่ด้วยสถานภาพของความเป็นเสาหลักของความเป็นชาติไทย จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยิ่งยวด แม้จะมีเบาะแสว่าระบอบทักษิณได้พยายามซื้อตัวขุนทหารบางคน (เช่นเดียวกับในแวดวงตุลาการ) แต่โดยเนื้อแท้แล้ว กองทัพก็ยังคงเป็นกองทัพที่ขึ้นต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จอมทัพแห่งกองทัพไทย เมื่อใดที่ปรากฏมีภัยคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ และประเทศชาติโดยรวม กองทัพก็จะออกมาต่อต้านขัดขวาง แม้ขุนทหารบางคนจะมีความเอนเอียงเข้าหาระบอบทักษิณ แต่ก็เป็นเพียงบางส่วน ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนจุดยืนของทั้งกองทัพได้

ยิ่งเมื่อบวกกับการทำงานของขบวนการประชาภิวัฒน์และตุลาการภิวัฒน์อย่างจริงจ ังแล้ว โอกาสที่กองทัพจะทำตัวออกห่างจากฐานเดิม ยิ่งเป็นไปได้น้อยมาก และเมื่อถึงจุดวิกฤตที่ต้องตัดสินใจและแสดงท่าทีอย่างชัดเจน กองทัพก็จะออกมาทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองขบวนการการเมืองภาคประชาชน ต่อสู้เอาชนะระบอบทักษิณ ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่ได้ในที่สุด

ลำดับบทบาทและความเป็นมาของ "3 ดาบกายสิทธิ์"

ดาบ 1 "ประชาภิวัฒน์" เป็นดาบเอก สะท้อนกระบวนการเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที ่มีพันธมิตรฯ เป็นแกนนำ มีมาตั้งแต่ต้นปี 2549 ที่มุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้นในประเทศไทย จากการเมืองเก่าในรูปของ "การเมืองเลือกตั้ง" ที่เป็นเผด็จการรัฐสภา นักการเมืองถือเอาผลประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง เป็นการเมืองใหม่ที่ประชาชนมีส่วนร่วมโดยตรงในการขับเคลื่อนกระบวนการการเมื องในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ดาบ 2 "ตุลาการภิวัฒน์" เป็นกระบวนการนำร่องของการต่อต้านระบอบทักษิณ ในความพยายามที่จะทำให้การบริหารประเทศของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในห้วงปี 2549 มีความเป็นธรรมาภิบาลมากขึ้น และสกัดการแผ่อิทธิพลของระบอบทักษิณได้อย่างมีนัยสำคัญ

การลงดาบ 2 มีส่วนทำให้ขบวนการประชาภิวัฒน์พัฒนาขยายตัวได้เป็นอย่างดี ชัยชนะของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีพันธมิตรฯ เป็นแกนนำ แต่ละครั้งแยกไม่ออกจากการตัดสินคดีความของศาล อันเป็นการขับเคลื่อนอย่างทรงพลวัตของขบวนการ "ตุลาการภิวัฒน์"

ดาบ 3 "กองทัพภิวัฒน์" แม้จะมีลักษณะสงวนท่าทีอย่างเห็นได้ชัด (โดยเฉพาะภายหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 49) ด้วยเหตุผลว่า กองทัพจะต้องรักษาความเป็นกลาง แต่เมื่อการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิต รฯ กับระบอบทักษิณไต่บันไดสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ "7 ตุลาทมิฬ" ที่ตำรวจใช้อาวุธร้ายแรงสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่หน้าตึกรัฐสภา ถึงกับมีผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บอีก 400 กว่าราย ในจำนวนนั้นบาดเจ็บสาหัสนับสิบราย ขบวนการการเมืองภาคประชาชน ("ประชาภิวัฒน์")ได้กล่าวหากองทัพที่ไม่ปกป้องประชาชน หนำซ้ำยังแสดงการสนับสนุนรัฐบาลอยู่ในที สร้างแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งกองทัพต้องออกมาแสดงท่าที "ยืนอยู่ข้างประชาชน" เรียกร้องให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระทั่งบีบให้ลาออก

แม้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์จะแข็งขืน ประกาศไม่ลาออก ไม่ยุบสภาฯ แต่กระบวนการประสานงานกันระหว่าง 3 ดาบ ก็ได้เกิดขึ้นแล้วโดยปริยาย

ทั้งนี้ ขบวนการประชาภิวัฒน์ "ดาบ 1" ซึ่งเป็นดาบเอก ยังจะต้องใช้ความพยายามในการส่งอิทธิพลให้ ดาบ 2 และดาบ 3 ทำงานประสานกับตนให้ดียิ่งขึ้น อย่างทันท่วงทียิ่งขึ้น เพื่อกำชัยชนะเหนือระบอบทักษิณ และเผด็จศึกระบอบทักษิณในที่สุด

ที่มาของทฤษฎี "3 ดาบกายสิทธิ์"

ทฤษฎี "3 ดาบกายสิทธิ์" เป็นผลพวงของการเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที ่มีพันธมิตรฯ เป็นแกนนำ เป็นพัฒนาต่อเนื่องของทฤษฎี "ธูป 3 ดอก" สะท้อนกฎเกณฑ์การพัฒนาขยายตัวของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ นับตั้งแต่การประกาศทำ "สงครามครั้งสุดท้าย" เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2551 เป็นต้นมา

ทั้งนี้ ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร "23 ธ.ค. 2550" พรรคทักษิณ "พลังประชาชน" ได้เสียงมากที่สุด จัดตั้งรัฐบาล ใช้อำนาจบริหารประเทศ และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรก็เดินทางกลับเข้าประเทศ

ในชั่วระยะสั้นๆ ก็ได้มีการฟื้นอำนาจระบอบทักษิณผ่านกลไกรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐสภาและสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างรวดเร็ว หลักๆ ก็คือ ในทางการเมือง "บนดิน" เดินหน้าแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อปลดเปลื้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรให้หลุดพ้นจากคดีความต่างๆ ส่วน "ใต้ดิน" ก็โหมโจมตีสถาบันกษัตริย์อย่างหนัก สุดที่แกนนำพันธมิตรฯ จะทนได้ จึงได้ประกาศฟื้นตัวระดมพลเดินหน้าชนรัฐบาลหุ่นเชิด และประกาศทำ "สงครามครั้งสุดท้าย" เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2551

เมื่อประกาศทำสงครามครั้งสุดท้าย อันมีนัยของการต่อสู้เพื่อมุ่งหวังชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จต่อระบอบทักษิณ แนวคิดทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพทางความคิดและการปฏิบัติ จึงได้มีการเน้นย้ำเป็นพิเศษ ถึงสถานภาพของความเป็น "เจ้าภาพ" ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่มีพันธมิตรฯ เป็นแกนนำ ในการต่อสู้กับระบอบทักษิณรอบใหม่นี้

ความจริงแล้ว หน่อความคิดเรื่อง ขบวนการการเมืองภาคประชาชนเป็น "เจ้าภาพ" ได้เกิดขึ้นแล้วก่อนหน้านั้น ในการนำเสนอบทบรรยายหัวข้อ "วิวัฒนาการขบวนการการเมืองภาคประชาชน" โดยผู้เขียน ในการบรรยายที่โรงเรียนการเมืองการปกครองของสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2551

ตามแนวคิดนี้ ผู้เขียนได้นำเสนอว่า ในการแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเมืองครั้งใหญ่นี้ อันหมายถึงการต่อสู้กับระบอบทักษิณ ขบวนการการเมืองภาคประชาชน นำโดยพันธมิตรฯ จะต้องเป็นเจ้าภาพ คือเป็นผู้ดำเนินการหลัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะทำให้สามารถเอาชนะระบอบทักษิณได้อย่างถึงที่สุด จะต้องได้รับการสนับสนุนเห็นดีเห็นงามจากทุกภาคส่วนที่ทรง "อำนาจบารมี" ในสังคมไทยอีกด้วย

โดยนัยก็คือ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีพันธมิตรฯ เป็นแกนนำ จะต้องได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น ทั้งทางด้านกำลังใจและการทำงานของขบวนการ "ตุลาการภิวัฒน์" รวมทั้งการสนับสนุนจาก "กองทัพ" ด้วย จึงจะประสบชัยชนะในบั้นปลาย (หน่ออ่อนทฤษฎี "3 ดาบกายสิทธิ์")

ธูป 3 ดอก - ประชาภิวัฒน์ - 3 ดาบกายสิทธิ์

ทฤษฎี "ธูป 3 ดอก" (ดอกที่ 1 ขบวนการการเมืองภาคประชาชนเป็น "เจ้าภาพ", ดอกที่ 2 สร้างอำนาจประชาชน คืออำนาจทางปัญญา, ดอกที่ 3 สถาปนาอำนาจประชาชนแทนที่อำนาจทุนสามานย์ระบอบทักษิณ) เป็นเนื้อในของขบวนการ "ประชาภิวัฒน์"

ทฤษฎี "ธูป 3 ดอก" จัดอยู่ในบริบทของ "วิธีการ" ทำให้ขบวนการประชาภิวัฒน์พัฒนาเติบใหญ่ เข้มแข็งเกรียงไกร ซึ่งจะส่งผลให้กระบวนการพัฒนาของทฤษฎี "3 ดาบกายสิทธิ์" เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูง

เห็นชัดว่า ในห้วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. 2551 จนถึงปัจจุบัน ขบวนการประชาภิวัฒน์เติบใหญ่อย่างรวดเร็ว มีเครือข่ายประชามหาชนที่ตื่นรู้ครอบคลุมไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะคือภาคใต้ทั้งหมด ภาคตะวันออกส่วนใหญ่ กรุงเทพมหานครส่วนใหญ่ และเขตจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันตกอีกจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ สามารถระดมพลได้อย่างรวดเร็วและมากมายมหาศาลเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินทุกคร ั้งไป พร้อมกับแสดงบทบาทด้านการตรวจสอบการใช้อำนาจของหน่วยงานรัฐและองค์กรอิสระได ้อย่างเข้มข้นเป็นประวัติการณ์

ปรากฏการณ์เช่นนี้ ได้ส่งผลสะเทือนไปยังขบวนการตุลาการภิวัฒน์ ทำให้การทำงานของศาล อัยการ ตลอดจนกลไกตุลาการด้านต่างๆ ระดับต่างๆ เป็นไปอย่างเที่ยงธรรม มีประสิทธิภาพ ปลอดพ้นจากการแทรกแซง (ด้วยอามิสสินจ้าง) ของระบอบทักษิณเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็นได้จากกรณี "ถุงขนม 2 ล้านบาท" ในทางกลับกัน ก็ได้สร้างความมั่นใจให้แก่ขบวนการประชาภิวัฒน์เป็นอย่างยิ่ง

จากนี้ เพื่อให้สามารถเอาชนะระบอบทักษิณได้อย่างเบ็ดเสร็จ จึงได้เพิ่มความพยายามในการดึงเอากองทัพมาร่วมด้วย ผลักดันให้เกิดกระบวนการ "กองทัพภิวัฒน์" อย่างเป็นจริง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า กระบวนการกองทัพภิวัฒน์เกิดจากความริเริ่มของขบวนการประชาภิวัฒน์ ด้วยการ "จี้" จุดอ่อนของกองทัพ ยับยั้งการซื้อตัวขุนทหารโดยระบอบทักษิณ แล้วหาทางขับเคลื่อนกระบวนการกองทัพภิวัฒน์จากภายในกองทัพ เพื่อให้กองทัพแสดงบทบาทสนับสนุนขบวนการประชาภิวัฒน์ในการต่อสู้กับระบอบทัก ษิณต่อไป

บทสรุป

การประสานงานกันระหว่างประชาภิวัฒน์ ตุลาการภิวัฒน์ และกองทัพภิวัฒน์ จะนำไปสู่การเผด็จศึกระบอบทักษิณในบั้นปลายอย่างแน่นอน ซึ่งภายหลังจากนั้น ทั้งสามปัจจัยนี้ก็จะแสดงบทบาทเป็น "เสาค้ำ" สำคัญของการสร้างการเมืองใหม่ สังคมใหม่ ชีวิตใหม่ และ "คนไทยใหม่" เปรียบได้กับการ "ตอกเสาเข็ม" ให้แก่การก่อสร้างประเทศไทยใหม่ด้วยมือของคนไทยเอง

ในท่ามกลางความเจริญรุ่งเรือง สงบร่มเย็น ของสังคมใหม่ ประชาชนชาวไทยจะถึงพร้อมด้วยสิทธิเสรีภาพในการพัฒนาชีวิตตนอย่างทั่วด้าน อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน สอดคล้องอย่างยิ่งกับขั้นตอนพัฒนาการของสังคมโลก

เ พื่อให้เป็นไปถึงจุดนั้น เราต้องยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน ปรับรูปแบบวิธีการทำงาน ทั้งต่อภายในขบวนการประชาภิวัฒน์เอง (เป็นหลัก) ต่อขบวนการตุลาการภิวัฒน์ และต่อขบวนการกองทัพภิวัฒน์อย่างเหมาะสม โดยต้องให้เป็นที่เข้าใจร่วมกันของผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง เกิดความเป็นเอกภาพทางความคิด และเอกภาพทางการปฏิบัติอย่างแท้จริง


ที่มา http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000128639





เมื่อกองทัพละทิ้งหน้าที่ปกป้องชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชน !
















โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์28 ตุลาคม 2551 16:39 น.























การชุมนุมแบบปักหลักพักค้างของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พันธมิตรฯ) ก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องยาวนานจนเลยระยะเวลากว่า 5 เดือนแล้ว การต่อสู้กันครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของการทะเลาะกันอย่างไร้เหตุผล แต่เป็นการเดิมพันความอยู่รอดและอนาคตของ ชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชน

เป็นการต่อสู้ของกลุ่มประชาชน กับฝ่ายรัฐบาลที่มีอำนาจทางการเมือง ที่ต้องมีข้างหนึ่งเป็นฝ่ายถูก และอีกข้างหนึ่งเป็นฝ่ายผิด!

ข้างพันธมิตรฯ คือกลุ่มคนที่ยืนออกมาปกป้องราชบัลลังก์มิให้ใครมาดูหมิ่นจาบจ้วงล้มล้างสถา บันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เคารพและยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม เรียกร้องให้ยกเลิกอภิสิทธิ์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีอาญาแผ่นดิน หยุดยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญมิให้ฟอกความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้อง หยุดยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อมิให้ลดพระราชอำนาจหรือโครงสร้างของสถาบันพ ระมหากษัตริย์ โดยใช้สิทธิการชุมนุมอย่างสงบ

ในขณะที่ข้างรัฐบาล คือกลุ่มคนที่ปล่อยให้คนที่มีทัศนคติเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มีอ ำนาจทางการเมือง ชะลอถ่วงคดีความอาฆาตมาดร้ายดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ในแทบทุกคดี มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและการความพยายามติดสินบนศาล โอบอุ้มและให้อภิสิทธิ์กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีอาญาแผ่นดินผู้ไม่เคารพกติกาดูหมิ่นคำตัดสินของศาลที่กระทำการในพร ะปรมาภิไธย และฝ่ายรัฐบาลยังคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับตัวเองและลดโครงสร ้างหรือพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ และใช้วิธีการรุนแรงโหดเหี้ยม เข่นฆ่าประชาชนที่เห็นต่างจากตัวเอง

ท ี่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของฝ่ายพันธมิตรฯ เป็นเพียง "แรงกดดัน" ในการเปลี่ยนหรือหยุดยั้งพฤติกรรมที่มิชอบของฝ่ายข้าราชการและนักการเมือง หรืออาจยกระดับเป็น "เงื่อนไข" ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ

อย่างน้อยที่สุดก็เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้ว ที่พันธมิตรฯ ได้หยุดยั้งนักการเมืองมิให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้เป็นผลสำเร็จ จนคดีความทุจริตคอร์รัปชัน และคดีทุจริตเลือกตั้งสามารถเดินหน้าต่อไปได้จนถึงทุกวันนี้

แต่พันธมิตรฯ ไม่สามารถเป็นผู้เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยตัวเองได้!

ชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาล รัฐบาลก็หน้าด้านบริหารประเทศย้ายสำนักงานและทำงานต่อไปได้ ชุมนุมหน้ารัฐสภาเพื่อคัดค้านการแถลงนโยบายรัฐบาลก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อ าวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชน จนแขนขาขาด บาดเจ็บ และล้มตายลง ดังที่ปรากฏ และรัฐบาลก็ยังหน้าด้านทำงานต่อไปอีก

พันธมิตรฯ จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง ยกเว้นว่าจะจับอาวุธขึ้นสู้ฟาดฟันยึดอำนาจรัฐด้วยตัวเอง หรือสามารถชุมนุมขัดขวางการทำงานของรัฐบาลโดยฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอาวุธค อยให้การสนับสนุนและไม่ยับยั้งการขัดขวางการทำงานของรัฐบาลนั้น ซึ่งดูจากผู้ชุมนุมที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้สูงวัยแล้ว แนวทางนี้จึงย่อมเป็นไปได้ยาก

นอกเสียจากว่ามี ยุทธวิธีปาฏิหาริย์ที่ทำให้ข่าวสารการชุมนุมของพันธมิตรฯ หรือการจัดรายการของ ASTV กระจายไปทั่วประเทศทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์เพิ่มมากขึ้นอย่างฉับพลันจนป ระชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมในการเลือกตั้งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้อีกเช่นกัน

ในช่วงระยะเวลานี้ คน 3 กลุ่มต่างหาก ที่จะเป็นตัวจริงในการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้โดยตรง คือ กลุ่มนักการเมือง, กลุ่มตุลาการ, และกลุ่มทหาร

1. เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยกลุ่มนักการเมือง
ม ีทางเลือกในการ พลิกขั้ว, ลาออก, ยุบสภาฯ ซึ่งทั้ง 3 แนวทางที่ว่านี้ เป็นการชะลอบรรยากาศความร้อนแรง ทางการเมืองเป็นการชั่วคราว แต่ถ้าการเลือกตั้งยังคงปล่อยให้มีการโกงและใช้เงินเป็นใหญ่ภายใต้ระบบที่เป ็นอยู่นี้ การเมืองไทยก็จะกลับมาสู่วังวนที่เป็นวิกฤตเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิมในที่ สุด

2. เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยกลุ่มตุลาการ ศาลสถิตยุติธรรม สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐได้เหมือนกันด้วยการเร่งรัดคดีทุจริต และเร่งรัดคดีที่กระทำผิดกฎหมายของนักการเมืองทั้งหลาย ตลอดจนการยุบพรรคการเมืองที่โกงการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามขบวนการวิ่งเต้น ติดสินบน หลบ หลีก และหนี การลงโทษทางการเมืองของระบอบทักษิณ ก็สามารถเกิดซ้ำได้อีกผ่านนักการเมืองและพรรคการเมือหุ่นเชิดดังที่ได้เคยทำ กันมาแล้ว และอาจทำให้คดีที่คั่งค้างอยู่ไม่สามารถส่งถึงการพิจารณาคดีในชั้นศาลได้

และหากการเมืองยังคงเป็นอย่างเดิมต่อไป แทนที่จะเกิดการเปลี่ยนอำนาจรัฐโดยตุลาการ ก็อาจจะกลับกลายเป็นการลดอำนาจตุลาการโดยกลุ่มการเมือง ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การนิรโทษกรรม ซึ่งก็ไม่สามารถทำให้บ้านเมืองได้พ้นจากวิกฤตอยู่ดี

3. เปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยทหารไ ม่ว่าจะมีกฎหมายรองรับหรือไม่ก็ตาม หรือจะร่วมกับประชาชนในการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐหรือไม่ก็ตาม การรัฐประหารคือการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐอย่างฉับพลันและรวดเร็ว แต่ก็ยังมีความเสี่ยงว่าอาจจะทำไปเพื่อเอื้อต่อระบอบทักษิณก็ได้ หรืออาจจะเข้ามาใส่เกียร์ว่างก็ได้ หรืออาจจะเข้ามาเป็นเผด็จการทหารที่แสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องก็ได้ หรืออาจจะเข้ามาปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐด้วยทหารนั้นทำเพื่อผลประโยชน์ของประเ ทศชาติหรือผลประโยชน์ส่วนตน

ซึ่งจากคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ย้ำอยู่เสมอว่าจะไม่ทำรัฐประหาร โดยอ้างว่านักธุรกิจ นักวิชาการ และชาวต่างชาติไม่ยอมรับ ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย

แต่สำหรับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ได้ประกาศออกทางโทรทัศน์ส่งสัญญาณให้นายกรัฐมนตรีลาออกเพราะสังคมไม่สามา รถยอมรับรัฐบาลที่อยู่บนกองเลือดของประชาชน แล้วนายกรัฐมนตรีไม่ลาออก และไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้นำเหล่าทัพและกองทัพย่อมได้รับผลเสียหายต่อเกียรติภูมิอย่างใหญ่หลวง

พ ล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเป็นประจำว่าตัวเองไม่มีอำนาจทางกฎหมาย มีข้อจำกัดทางกฎหมาย จึงอ้างว่าทำหน้าที่ได้เพียงแค่เป็นผู้ช่วยพนักงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และส่งคดีความดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเท่า นั้น

"เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน"
ค ือคำขวัญของกองทัพ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกทำได้เพียงแค่นี้เองหรือในยุคที่ได้รับงบประมาณจากภาษีของ ประชาชนในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์มากที่สุด?

แท้ที่จริงแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก มี "หน้าที่" ของทหาร ตามมาตรา 77 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่บัญญัติเอาไว้ว่า

"รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งอำนาจรัฐ และต ้องจัดให้มีกำลังทหาร ยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยจำเป็นและเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ"

ทหารจะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รอการร้อ งขอจากตำรวจเท่านั้นได้อย่างไร เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคู่กรณี ถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองให้มาเข่นฆ่าประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมก ับพันธมิตรฯ อย่างโหดเหี้ยม?

จ ะให้คนไทยที่ใช้สิทธิในการชุมนุมเพื่อปกป้องราชบัลลังก์และผลประโยชน์ของชาต ิล้มหายตายจากอีกกี่คน จากน้ำมือของอันธพาลและตำรวจของรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จึงจะรู้สำนึกในหน้าที่พิทักษ์ความมั่นคงของรัฐ และผลประโยชน์ของชาติ

กองทัพเพิ่งจะตื่นจากภวังค์ ทำหน้าที่ได้เพียงแค่พูดเตือนกลุ่มที่จาบจ้วงดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือส่งเรื่องให้ตำรวจดำเนินคดีกับแกนนำและแนวร่วมของกลุ่ม "นรกป่วนชาติ" (นปช.) และวิทยุชุมชนที่จาบจ้วงให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้นหรือ? ทั้งๆ ที่นายจักรภพ เพ็ญแข ยังคงลอยนวลต่อไปด้วยการโอบอุ้มจากตำรวจระดับสูง นายสุชาติ นาคบางไทร ก็ยังจับไม่ได้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้จัดรายการบนเวทีที่กลุ่มดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ กลายเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของรัฐบาล

ยังไม่นับเว็บไซต์ที่จาบจ้วงจำนวนมากที่ทำกันอย่างเป็นขบวนการ โดยปราศจากการสนใจของกองทัพ อ้างแต่เพียงว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง ไม่มีกฎหมายรองรับ ทั้งๆ ที่การดูหมิ่นล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นได้ทำกันเป็นขบวนการและให้ท้า ยสนับสนุนจากคนในรัฐบาล

เอาเฉพาะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้ส่งเข้ามาบรรจุเข้าวาระการประชุมของสภาฯ ก็เห็นแล้วว่า มีการเตรียมความพร้อมที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิดของตัวเอง ทั้งมาตรา 190, 237, 68 และ 309 อีกทั้งยังไม่รองรับสถาบันองคมนตรีที่เป็นพระราชอำนาจโดยตรงของพระมหากษัตริ ย์อีกด้วย พล.อ.อนุพงษ์ กลับมองเฉยๆ แล้วบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองได้อย่างไร?

ถ ้าตั้ง ส.ส.ร. 3 โดยฝ่ายรัฐบาลขึ้นมาสำเร็จ และนำร่างเหมือนที่รัฐบาลได้เตรียมเอาไว้ผ่านเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภาได้สำเร ็จ จนไปลดโครงสร้างและพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ ความผิดทั้งหลายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็สามารถออกกฎหมายนิรโทษกรรมได้เช่นกัน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ยังจะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของทหารที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติและส ถาบันพระมหากษัตริย์อีกหรือไม่?

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เคยพูดว่า กองทัพเน้นให้กำลังพลในความเป็นทหารของชาติ เป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมปฏิบัติหน้าที่ในการพิทักษ์ปกป้องและธำรงไว้ ซึ่งสถาบันหลักของชาติ

ในยามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยบ้านเมือง และมีกระแสพระราชดำรัสว่า "บ้านเมืองใกล้ล่มจม เพราะรัฐบาลใช้จ่ายเกินตัว" พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มองไม่เห็นหรือแกล้งมองไม่เห็นว่าอะไรคือภัยต่อความมั่นคงของชาติจนถึงขั้นใ กล้ล่มจมกันแน่!

อย่ามาพูดเลยว่ากองทัพบกไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะดำเนินการใดๆ เอาเรื่องง่ายๆ อย่างเช่น วิทยุในเครือกองทัพบก และสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในวันนี้นำไปทำมาหากินอิ่มหมีพลีมัน ให้สัมปทาน ให้เอกชนเช่า จำนวนเท่าไร แทนที่จะนำไปใช้เพื่อสร้างจิตสำนึกแห่งความรักชาติเพื่อป้องกันภัยต่อความมั ่นคงของชาติที่กำลังถาโถมเข้ามาต่อราชบัลลังก์?

กลับปล่อยให้สถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที บิดเบือนและขย่มทำลายความน่าเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมอยู่ทุกวัน

ทหารมีหน้าที่พิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

ถ ้า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พิทักษ์รักษาหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญไม่เป็น และทำไม่ได้ ก็สมควรพิจารณาสำรวจตัวเองได้แล้วว่ายังคงเหลือศักดิ์ศรีของผู้บัญชาการทหาร บก ทหารเสือพระราชินี และทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไปได้หรือไม่?


ที่มา http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000128037






แฉแผนชั่ว “1 พ.ย.” ก่อจลาจลล้มสถาบัน - โคราชกว่า 5,000 คนร่วมเวทีสร้างการเมืองใหม่
















โดย ผู้จัดการออนไลน์30 ตุลาคม 2551 13:47 น.























ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ชาวโคราชและจังหวัดใกล้เคียงกว่า 5,000 คน หลั่งไหลร่วมเวที "การเมืองใหม่ สร้างด้วยมือประชาชน" และไว้อาลัยวีรชนคนกล้า 7 ตุลาทมิฬ เผย "สำราญ รอดเพชร" แกนนำรุ่น 2 ยกทีมจัดรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ร่วมกับ "ประพันธ์-พิเชฐ" ท่ามกลางสายฝน ส่วน "ไชยวัฒน์" นำจุดเทียนชัยสดุดีไว้อาลัยวีรชนคนกล้า 7 ตุลาฯ พร้อมร้องเพลง "เทียนแห่งธรรม" กระหึ่มเมืองย่าโม แฉเป้าหมายระดมเสื้อแดงเข้ากรุง 1 พ.ย.เพื่อก่อจลาจลล้มสถาบันฯ ด้าน "สมเกียรติ" ชี้ 3 แนวรบหลักประชาชนกู้ชาติ แย้มการต่อสู้จะจบลงก่อน 5 ธ.ค.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คืนที่ผ่านที่ผ่านมา (29 ต.ค.) ตั้งแต่เวลา 18.00-24.00 น. ที่บริเวณลานข้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ถ.ชุมพล อ.เมือง จ.นครราชสีมา ประชาชนชาวโคราชและจังหวัดใกล้เคียง เช่น บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ชัยภูมิ และ จ.ขอนแก่น กว่า 5,000 คน ได้พากันหลั่งไหลเข้าร่วมชุมนุมฟังการปราศรัย "การเมืองใหม่ สร้างด้วยมือประชาชน และไว้อาลัยวีรชนคนกล้า 7 ตุลาฯ" ที่กลุ่มภาคีมวลชนคนโคราชรักประชาธิปไตยและองค์กรเครือข่ายพันธมิตรฯ จ.นครราชสีมาจัดขึ้นอย่างคึกคัก ส่งเสียงมือตบดั่งสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเมืองโคราช

ทั้งนี้ กิจกรรมบนเวทีได้มีแกนนำเครือข่ายพันธิมตรฯ และนักวิชาการ ทั้งในระดับจังหวัดและประเทศ ขึ้นเวทีปราศรัยสลับกับแสดงดนตรีอย่างต่อเนื่อง เริ่มจาก นายศรีเมือง วัฒนาชีพ แกนนำเครือข่ายพลังแผ่นดินบุรีรัมย์ ,ผศ.ดร.สามารถ จับโจร นักวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา, นายสาทร สินปุ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย สาขานครราชสีมา, ดร.ทวิช จิตสมบูรณ์ นักวิชการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.),ทพ.ศุภผล เอี่ยมเมธาวี เลขาธิการสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด

จากนั้น เป็นการจัดรายการสภาท่าพระอาทิตย์สัญจร โดย นายสำราญ รอดเพชร แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 ร่วม กับ นายประพันธุ์ คูณมี และนายพิเชฐ พัฒนาโชติ อดีต ส.ว. ลากไส้ความชั่วร้ายของรัฐบาลน้องเขยแม้ว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และระบอบทักษิณ ที่อยู่เบื้องหลังการเข่นฆ่าประชาชน และพยายามแทรกแซงกระบวนตุลาการ ทำลายทำร้ายสถาบันสูงสุด พร้อมร่วมกันเสนอทิศทางการเมืองใหม่กับทางออกวิกฤติประเทศไทย ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาแต่ผู้ชุมนุมทุกคนยืนหยัดสู้ไม่มีถอยกลับบ้าน

ต่อมา นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย ได้ขึ้นเป็นประธานประกอบพิธีจุดเทียนชัยพร้อมร้องเพลง "เทียนแห่งธรรม" ร่วมกับผู้มาชุมนุมกว่า 5,000 คน เสียงดังกระฮึ่มไปทั่วบริเวณ และกล่าวสดุดีไว้อาลัยวีรชนคนกล้าที่เสียชีวิตเหตุการณ์สลายการชุมนุมอย่างโ หดร้ายป่าเถื่อนของรัฐบาลทรราชฆาตกร พร้อมร่วมกันยืนสงบนิ่งไว้อาลัย

นายไชยวัฒน์ ปราศรัยเปิดเบื้องหลังถูกรัฐตำรวจจงใจกลั่นแกล้งจับกุมเข้าคุมขังในข้อกบฏ พร้อมระบุว่า เป้าหมายหลักของการระดมคนเสื้อแดงเข้าไปชุมนุมที่กรุงเทพฯ ไม่ต่ำกว่า 6 หมื่น ถึง 1 แสนคนในวันที่ 1 พ.ย. นี้ เป็นการหลอกลวงว่าจ้างประชาชนทั่วประเทศให้เข้าชุมนุมเดินขบวนให้เกิดการจลา จลขึ้นในกรุงเทพฯ เพื่อล้มสถาบันสูงสุดและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป ็นประมุข ดังนั้นประชาชนต้องรู้เท่าทัน หากใครมาว่าจ้างด้วยเงินเท่าไรก็ให้รับไว้หมดแต่เราไม่เดินทางเข้าไปเป็นเคร ื่องมือให้เขาอย่างเด็ดขาด

เวลาประมาณ 22.00 น. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 1 ใน 5 แกนนำพันธิมตรฯ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยเรื่องการเมืองใหม่ประเทศไทยใหม่ ระบุว่า แนวรบที่จะนำไปสู่ชัยชนะของประชาชนที่ออกมาต่อสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในขณะนี้มีอยู่ 3 แนวรบหลัก ๆ คือ

1. แนวรบด้านตุลาการและศาล ซึ่งได้ตัดสินคดีที่สำคัญชี้ชะตาบรรดานักการเมืองและระบอบทักษิณ ไปแล้วหลายคดีและมีอีกหลายคดีสำคัญที่จะเข้าสู่การตัดสินอีกอย่างต่อเนื่องใ นเร็วๆ นี้ ทั้งคดียุบพรรคการเมือง,คดีทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว

2.แนวรบด้านสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันที่ออกมาคลี่คลายสถานณ์วิกฤติสำคัญๆ ของชาติได้ทุกครั้ง เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ,พฤษภาทมิฬ แต่ขณะนี้สถาบันกษัตริย์ของไทยตกอยู่ในภาวะอันตรายยิ่ง

และ 3.แนวรบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถือเป็นแนวรบหนึ่งเดียวที่แข็งแกร่งมากในขณะนี้ เพราะมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะรักษาประเทศไทยไว้ได้ ส่วนแนวรบตุลาการ นั้นอยู่ในภาวะที่ดีขึ้น แต่ยังอยู่ในขั้นไม่ปลอดภัย


"ดังนั้น ในช่วง 1-2 เดือนนี้ ประชาชนทุกคนต้องจับตาติดตามเหตุการณ์บ้านเมืองอย่าได้กระพริบตาแม้แต่น้อย เพราะเมื่อประเมินสถานการณ์โดยรวมรอบด้าน โดยเฉพาะคดีต่างๆ ที่จะเข้าการพิจารณาตัดสินของศาลแล้ว ทุกอย่างจะจบลงไม่เกิน 5 ธันวาคมนี้ และอาจนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล หรือรัฐบาลเฉพาะกิจ ส่วนทักษิณ ไม่ได้กลับประเทศไทยแน่ คงต้องหลีภัยไปยาวนาน" นายสมเกียรติ กล่าว



"พันธมิตรฯ เมืองภูเก็ต" ฉะ! "รัฐบาลสัตว์นรก" สั่งฆ่าประชาชนอีกรอบ

















ดย ผู้จัดการออนไลน์30 ตุลาคม 2551 11:34 น.












































คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
น.ส.อาภารัตน์ ชาติชุติกำจร ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย เมืองภูเก็ต


ศูนย์ข่าวภูเก็ต- "พันธมิตรฯ เมืองภูเก็ต" ฉะ! เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นฝีมือของ "รัฐบาลทรราช" อยู่เบื้องหลัง คอยบงการฆ่าประชาชนทุกครั้ง ระบุชัดต้องรับผิดชอบ บอกนักวิชาการให้หันกระบอกเสียงเรียกความสมานฉันท์ไปทางรัฐบาล

น.ส.อาภารัตน์ ชาติชุติกำจร ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมืองภูเก็ต กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่ม "สัตว์นรก" ลอบกัดพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งรวมตัวชุมนุมขับไล่รัฐบาลทรราช อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล

โดยการขว้างระเบิด เอ็ม-26 ใส่เจ้าหน้าที่การ์ดบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ก่อนลอบยิงปืนใส่พี่น้องประชาชนบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย เมื่อช่วงรุ่งเช้าวันนี้ (30 ต.ค.) ว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมืองภูเก็ต ขอประณามการกระทำของผู้ที่เข้ามาก่อความวุ่นวาย และทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งออกมาทำหน้าที่ใช้หนี้แผ่นดิน และตามสิทธิอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ จนทำให้มีผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตหลายรายโดยการใช้อาวุธร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุระเบิด และอาวุธปืนขนาดต่างๆ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดรัฐบาลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะ นปช.คือ กลุ่มประชาชน ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อมาต่อต้านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโด ยเฉพาะ โดยที่ไม่คำนึงเลยว่าผลจากการกระทำดังกล่าวเพียงเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โกงชาติโกงแผ่นดินคนเดียว กลับต้องเข่นฆ่าประชาชน

ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ เมืองภูเก็ต กล่าวต่อไปว่า ขอเรียกร้องให้กลุ่มบุคคลที่ต้องการให้เกิดความสมานฉันท์ ซึ่งนั่นก็คือพวกนักวิชาการทั้งหลาย และคนของพรรคพลังประชาชน ที่ออกมาเรียกร้องให้คนสำคัญต่าง ๆ ออกมาเป็นคนกลางเจรจากับกลุ่มต่างๆ ขอบอกว่า ให้พวกคุณหันกระบอกเสียง และไมโครโฟน ไปทางรัฐบาลแทนเสียเถิด

"เพราะรัฐบาลเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นกับประชาชนทุกครั้ง รัฐบาลเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด เราจะไม่ยอมยื่นมือไปจับกับผู้ที่มีอาวุธอยู่ข้างหลังอย่างเด็ดขาด และการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งประเทศในครั้งนี้ มีประเทศชาติเป็นเดิมพัน" ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ เมืองภูเก็ต กล่าว




“จำลอง” ชี้ฝีมือรัฐเข่นฆ่า ปชช. ไว้อาลัยกองทัพ ติงอย่าอ้าง ปชช.


แกนนำพันธมิตรฯ แฉรัฐบาลสัตว์นรกลอบกัด เดินหน้าทำสงครามเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ทุกรูปแบบ มั่นใจเป็นฝีมือคนในเครื่องแบบ หมดอาลัยกองทัพนิ่งดูดาย โวยอย่าอ้างยินเคียงข้างประชาชนอีก เชื่อ "ป๋าเปรม" ไม่หลงคารมรับคนกลางเจรจาแน่

วันนี้ (30 ต.ค.) ที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงข่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายพันธมิตรฯ และฝ่ายรัฐบาล ไม่ใช่เป็น 3 หรือ 4 อย่างที่คนเข้าใจ รัฐบาลกำลังเดินหน้าทำสงครามเต็มรูปแบบ เข่นฆ่าประชาชนอย่างเต็มรูปแบบ เข่นฆ่าประชาชนผู้รักชาติที่ออกมาชุมนุมอย่างสันติ โดยมีประสงค์ที่จะทำร้ายทั้งในที่ตั้งและนอกที่ตั้ง กรณีเมื่อเวลา 02.00 น.วันที่ 30 ต.ค.รัฐบาลพยายามส่งคนเข้ามาก่อกวนที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ พันธมิตรฯ ก็จับกุมผู้ที่มาก่อกวนซึ่งเป็นชาวจังหวัดหนองคาย และสารภาพว่ารับจ้างมาจากฝ่ายรัฐบาลด้วยเงินเพียง 200 บาท หวังสร้างความวุ่นวายโดยการนำผ้าชุบน้ำมันเบนซินเตรียมมาจุดไฟ

รวมทั้งเมื่อเวลา 03.00 น. ฝ่ายรัฐบาลได้ส่งคนเข้ามาขว้างระเบิดสังหาร บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 9 ราย ซึ่งในนี้บาดเจ็บสาหัส 1 ราย นอกจากนี้ เวลา 04.00 น. ฝ่ายรัฐบาลได้เข้ามาบริเวณมิสกวัน หน้ากองทัพภาคที่ 1 แต่งกายชุดดำ พกอาวุธสงครามครบมือ ระดมยิงผู้ชุมนุมและการ์ดพันธมิตรฯ ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ข้อตั้งข้อสังเกตว่าพวกที่พกอาวุธได้อย่างไม่ผิดกฎหมายเช่นนี้ มีแค่ตำรวจ และทหารเท่านั้น

พล.ต.จำลอง กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาพันธมิตรฯ ได้เคยเรียกร้องต่อกองทัพบกให้ส่งสารวัตรทหารเข้ารักษาความปลอดภัย แต่ไม่มีการตอบรับกลับมา ดังนั้น จึงขอเรียกร้องจากสื่อมวลชลอีกครั้ง เพื่อไม่ให้มีผู้บาดเจ็บล้มตามไปมากกว่านี้ ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ต.ค.พันธมิตรฯ ได้ทำหนังสือไปถึง ผบ.ทบ.อีกครั้ง เพื่อให้ส่งสารวัตรทหารมาดูแลความปลอดภัย พร้อมกับพันธมิตรฯ จะช่วยออกค่าเบี้ยเลี้ยงให้กับสารวัตรทหารตามระเบียบ และเลี้ยงอาหารเป็นอย่างดี และอยากฝากบอกกับทหารอีกว่าจะนิ่งดูดายรอให้ประชาชนตายอีกสักกี่คน และบาดเจ็บเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เคยประกาศว่าจะอยู่เคียงข้างประชาชน

พล.ต.จำลอง กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเสนอให้ พล.อ.เปรม ติณสูรนนท์ เข้ามาเป็นคนกลางในการเสวนาและเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า ตนคิดว่า พล.อ.เปรม จะรับเป็นประธานหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลเคยทำให้ พล.อ.เปรม เจ็บช้ำน้ำใจมาหลายครั้งแล้ว แต่ถ้าหากต้องการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ จริงก็ไม่มีปัญหา

สำหรับการเคลื่อนไหวตามยุทธศาสตร์ดาวกระจาย ไปยื่นหนังสือที่สถานทูตอังกฤษให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งพันธมิตรน ก็ไม่กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรง เพราะพันธมิตรน รู้ว่ารัฐบาลจะลอบกัดพันธมิตรในช่วงมืดและช่วงที่ไม่พร้อมเท่านั้น

พล.ต.จำลอง กล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนเสนอข่าวออกมาว่า กทม.แจ้งความที่ สน.ดุสิต กรณีกลุ่มพันธมิตรฯ ยึดรถดับเพลิงว่า ตนได้โทรศัพท์ไปพูดคุยกับนายอภิรักษ์แล้วไม่ก็ไม่พูดถึงกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ ทางพันธมิตรน ได้บอกให้ กทม.นำรถดับเพลิงกลับไป แต่เหลือเพียง 1 คัน เนื่องจากรถคันดังกล่าวยางแบน อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฯ ก็อยากให้ กทม.นำรถดับเพลิงมาจอดไว้ในทำเนียบฯ พร้อมกุญแจ เพื่อป้องกันเหตุการณ์รุนแรงที่จะเกิดขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ นาย ดิสธร วัชโรทัย ประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ออกมาบอกว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้เกิดประโยชน์ แต่เป็นการสร้างความแตกแยกให้แก่ประเทศ รวมทั้งระบุว่าถ้ารักในหลวงให้อยู่บ้าน และกลับบ้าน พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ถ้ารักในหลวงอยู่บ้านแล้วเกิดประโยชน์ต่อประเทศ พันธมิตรน คงทำไปนานแล้ว คงไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้ ส่วนที่บอกว่ารักในใจก็ทำอยู่แล้ว ตนขอถามว่าถ้ารักในใจแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อชาติหรือไม่ ทั้งนี้ ถ้ามีกลุ่มหรือบุคคลที่จะมาทำหน้าที่แทนพันธมิตรฯ พวกเราก็ยินดีที่จะกลับบ้าน แต่เพราะไม่มีใครจึงต้องอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ออกมาระบุถ้าพันธมิตรฯ ยังไม่เลิกชุมนุม ก็จะมีการ์ดและผู้ชุมนุมตายทุกวัน พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ใครที่บอกว่าพันธมิตรฯ จะตายเรื่อยๆ แสดงว่าจ้องจะทำให้พวกเราตาย ตนขอให้เลิกคิดและเลิกพูด เพราะพวกเราคนไทยด้วยกัน พร้อมยืนยันว่าจะต่อสู้ด้วยสันติวิธีเหมือนเดิม



"อำนวย" หุบปากเงียบเหตุปาบึ้มใส่การ์ดพันธมิตรฯ


"อำนวย" ปิดปากเงียบเหตุคนร้ายปาระเบิดใส่การ์ดพันธมิตรฯ อ้างต้องรอดูกล้องวงจรปิดจากบริเวณรอบที่เกิดเหตุก่อน ขณะที่ตำรวจสอบพยานไปแล้ว 1 ปาก ระบุชัดเห็น 2 คนร้ายสวมชุดดำซิ่ง จยย.มาวนเวียนดูลาดเลา 2 รอบ ครบรอบที่ 3 จึงลงมาปาระเบิดใส่

วันนี้ (30 ต.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น.ที่ สน.นางเลิ้ง พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พ.ต.อ.วีรวิทย์ จันทร์จำเริญ รอง ผบก.น.1 เดินทางมาตรวจสอบความคืบหน้าคดีเหตุคนร้ายปาระเบิดเข้าใส่การ์ดพันธมิตรฯ บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา โดยใช้เวลาประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นจึงเดินทางกลับ โดยปฏิเสธที่จะตอบคำถามของผู้สื่อข่าว แต่เมื่อถูกซักถึงเหตุระเบิด พล.ต.ต.อำนวย กล่าวเลี่ยงว่า ที่เดินทางมายัง สน.นางเลิ้งในวันนี้ไม่เกี่ยวกับคดีระเบิด แต่มาดูคดีการเข้ามอบตัวของอดีต ผอ.เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ในคดีสวมชื่อผู้ค้าแผงตลาดโบ๊เบ๊เกินความจริง ส่วนเรื่องระเบิดคงต้องรอดูกล้องวงจรปิดของหน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ใกล้บริเวณที่เกิดเหตุก่อน

ด้าน พ.ต.ท.ภูเบศ เส้นขาว รอง ผกก.สส.สน.นางเลิ้ง กล่าวว่า ขณะนี้ได้ประสานไปยังหน่วยงานราชการบริเวณที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเพื่อขอกล้ องวงจรปิดมาตรวจสอบว่าสามารถจับภาพคนร้ายไว้ได้หรือไม่ ทั้งนี้ ได้ทำการสอบพยานที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นการ์ดของพันธมิตรฯ ไปแล้ว 1 ปาก แต่ยังให้การได้ไม่มาก โดยพยานคนดังกล่าวอ้างว่าติดธุระสำคัญ จากนั้นขอตัวกลับไปก่อน ซึ่งตำรวจจะเรียกตัวมาสอบอีกครั้ง รวมทั้งหาพยานที่เห็นเหตุการณ์มาสอบสวนเพิ่มเติมด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพยานที่เห็นเหตุการณ์คนร้ายขว้างระเบิดใส่นั้น ทางพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำนายเชิดศักดิ์ (ขอสงวนนามสุกล) อายุ 50 ปี การ์ดพันธมิตรฯ ซึ่งให้การว่า ได้มาเข้าเวรเป็นการ์ดอาสาสมัครพันธมิตรฯ ตั้งแต่เวลา 00.00-06.00 น. จนกระทั่งช่วง 01.00 น.เห็นชายฉกรรจ์สวมชุดดำ สวมแจ็กเกตสีดำ กางเกงสีดำ สวมหมวกกันน็อก ขี่รถจักรยานยนต์แบบผู้หญิงไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียน ขับขี่มาวนเวียนอยู่หน้าบริเวณสะพานมัฆวานฯ 2 รอบ โดยเริ่มขับขี่มาจากบริเวณจากแยก จปร. ใช้เส้นทางถนนราชดำเนินกลาง จนมาถึงบริเวณแยกสะพานมัฆวานฯ จึงเลี้ยงขวาไปทางถนนกรุงเกษม จากนั้นวนไปวนมาอีก 2 รอบ โดยทิ้งระยะห่างรอบละประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นในรอบที่ 3 พบว่าชายคนดังกล่าวขับขี่มาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีผู้ซ้อนท้ายมาด้วย 1 คน แต่งกายในลักษณะเดียวกัน เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้หยุดรถที่บริเวณทางแยกสะพานมัฆวานฯ จากนั้นคนที่ซ้อนท้ายก้าวลงจากรถ แล้วขว้างระเบิดใส่บริเวณสถานที่การ์ดพันธมิตรฯ ยืนรักษาการณ์อยู่ แล้วกลับไปขึ้นรถที่เพื่อนยังคงติดเครื่องรออยู่ และพากันเร่งเครื่องขับหลบหนีไป


“สัตว์นรก” ลอบกัด!! วางบึ้ม-ยิงใส่ “พันธมิตรฯ” บาดเจ็บระนาว


"สัตว์นรก" ลอบกัด ขว้างระเบิดเอ็ม-26 ใส่ "การ์ดพันธมิตรฯ" ที่บริเวณสะพานมัฆวาน ก่อนลอบยิงปืนใส่ "พันธมิตรฯ" ที่สะพานชมัยมรุเชฐ ส่งผลให้ "การ์ดพันธมิตรฯ" บาดเจ็บระนาว 6 ราย โดยมี 1 ราย บาดเจ็บสาหัส พร้อมนำส่ง รพ.วชิระ เพื่อทำการรักษาโดยด่วนแล้ว

วันนี้ (30 ต.ค.) เมื่อเวลา 03.20 น. รายงานข่าวแจ้งจากเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เกิดเหตุวุ่นวายขึ้น 2 จุด ซึ่งจุดแรกเกิดขึ้นที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่บริเวณปีกซ้ายตรงข้ามกับสำนักปลัดบัญชีกองทัพบก ได้มีมีชายฉกรรจ์ 2 คน ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาจอดอยู่ที่เชิงสะพานมัฆวานฯ จากนั้นได้ขว้างวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดเข้าใส่การ์ดพันธมิตรฯ ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก และต้องนำส่งโรงพยาบาลวชิระ โดยด่วนจำนวน 6 ราย

ภายหลังจากเหตุระเบิด การ์ดพันธมิตรฯ เข้าไปตรวจดูยังที่เกิดเหตุ พบวัตถุคล้ายสลักระเบิดเอ็ม-26 ซึ่งเป็นวัตถุสังหารที่เคยใช้กับพันธมิตรฯ ในวันสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา จากนั้นการ์ดพันธมิตรฯ ได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้เข้าตรวจสอบยังที่เกิดเหตุโดยด่วน

ส่วนเหตุวุ่นวายอีกจุดหนึ่งเกิดขึ้นที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ โดยการ์ดพันธมิตรฯ ที่รักษาการอยู่ที่บริเวณเชิงสะพานดังกล่าว ยืนยันว่าได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 3 นัด แต่เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บในจุดนี้แต่อย่างใด

ด้าน นายกิตติชัย ใสสะอาด หัวหน้าการ์ดพันธมิตรฯ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า จากการสอบถามการ์ดพันธมิตรฯ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ แจ้งว่า ชายคนร้ายที่ก่อเหตุขว้างระเบิด สวมเสื้อแจกเก็ตสีดำ มีแถบสีขาวคาดด้านหลัง โดยใน 2-3 วันที่ผ่านมา ทางการ์ดพันธมิตรฯ ได้เฝ้าระวังมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ เนื่องจากมีการกดดันให้เปิดการจราจรจากหลายๆ ฝ่าย

"เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วง 1-2 คืนที่ผ่านมา พบว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำป้อมยามตรงจุดเกิดเหตุ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยเข้าเวรรักษาความปลอดภัยเป็นประจำ และจากนี้จะมีการเพิ่มความเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยให้มากยิ่งขึ้น ส่วนเหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะเกิดจากฝ่ายตรงข้ามจงใจที่จะสร้างสถานการณ์เพื่อ ทำให้ผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมเกิดความตื่นกลัว ที่สำคัญก่อนหน้านี้การ์ดพันธมิตรฯ ได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยจำนวน 1 คน และเมื่อตรวจค้นตัว พบผ้าชุบน้ำมันจนชุ่มติดตัวมา 1 ผืน จึงนำตัวไปสอบสวน ซึ่งชายคนดังกล่าวรับสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างจากนายตำรวจคนหนึ่ง ซึ่งต้องการให้มาก่อเหตุป่วนพันธมิตรฯ ในราคาเพียง 200 บาทเท่านั้น

ต่อมาเมื่อเวลา 04.30 น. ร.ต.อ.ป้อมเพ็ชร โชติกลาง ร้อยเวร สน.นางเลิ้ง ได้เดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดยได้ขึงเชือกกั้นบริเวณจุดเกิดเหตุเพื่อกันไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าไปในบร ิเวณดังกล่าว จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า แรงระเบิดทำให้เกิดหลุมลึกกว่า 3 ซม. กว้าง 5 ซม. พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบสวนผู้เห็นเหตุการณ์เพื่อติดตามตัวคนร้าย มาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วต่อไป

รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อเวลา 04.25 น.ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 4-5 คน ได้ยิงปืนไม่ทราบขนาดเข้าใส่พันธมิตรฯ จำนวนหลายนัด โดยพยานในที่เกิดเหตุเล่าว่า ชายฉกรรจ์กลุ่มดังกล่าวสวมใส่ชุดสีดำ และพบว่ามีการปืนออกมาจากฝั่งรั้วของ บชน. จากนั้นได้ทยอยเดินเข้ามายังแผงกั้นพันธมิตรฯ แล้วระดมยิงอาวุธปืนเข้าใส่จำนวนหลายนัด ทำให้การ์ดพันธมิตรฯ ต้องวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น พร้อมกับตอบโต้โดยการใช้พลุแสงขว้างเข้าใส่ ทำให้กลุ่มชายฉกรรจ์เห็นท่าไม่ดีล่าถอยไป

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าตำรวจได้ตั้งแผงกั้นไว้ห่างจากพันธมิตรฯ ประมาณ 200 เมตร โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรักษาการณ์ตลอดเวลา แต่ในวันเกิดเหตุกลับไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าดูแลรักษาความปลอดภัยตั้งแต่ ช่วงเย็นที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้สถานการณ์การชุมนุมของพันธมิตรฯ ยังคงไม่น่าไว้วางใจ ส่งผลให้การ์ดพันธมิตรฯ ต้องทำงานอย่างหนัก โดยกระจายกำลังคอยเฝ้าระวังเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากกลุ่มคนที่ไม่ปร ะสงค์ดีตลอดเวลา

รายชื่อ 6 การ์ดพันธมิตรฯ ซึ่งได้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์

1.นายเสถียร ทับมะลิผล อายุ 40 ปี (บาดเจ็บสาหัส)
2.นายราชัน จันทร์ปลูก
3.นายจีรศักดิ์ อินทรีย์
4.นายสงกรานต์ คำด้วง
5.นายทศพล สุขอิ่มใจ
6.นายปัญญา กติกา

ต่อมา พ.ต.อ.วิบูลยุทธ สันทัดเวช ผู้กำกับ สน.นางเลิ้ง ได้เดินทางเข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง โดยขณะนี้กำลังรอเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด เข้าตรวจสอบพื้นที่เพื่อค้นหาวัตถุระเบิดที่อาจยังหลงเหลืออยู่ พร้อมหาชิ้นส่วนระเบิด เพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการตามล่าตัวคนร้ายต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าเคลียร์พื้นที่ซึ่งโดนคนร้ายลอบขว้างระเบ ิดแล้ว ได้พบผู้เสียชีวิต 1 ราย นอนเสียชีวิตใต้โคนต้นมะขาม บริเวณหลัง บชน. ซึ่งห่างจากแนวกั้นของพันธมิตรฯ ประมาณ 150 เมตร เบื้องต้นพันธมิตรฯ ได้ทำการเช็กจำนวนการ์ดที่เข้ารักษาความปลอดภัยแล้วพบว่า ไม่ใช่หน่วยรักษาความปลอดภัยของพันธมิตรฯ ขณะที่ตำรวจเข้าตรวจสอบผู้เสียชีวิตแล้ว คาดว่าจะน่าจะได้รับคำตอบในไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าเคลียร์พื้นที่ซึ่งโดนคนร้ายลอบขว้างระเบ ิดแล้ว ได้มีการพบชายไทยอายุประมาณ 20 ปี ผิวขาว สวมเสื้อยืดสีดำ สวมกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน สวมรองเท้าแตะพื้นสีแดง นอนคว่ำหน้าเสียชีวิตใต้โคนต้นมะขาม บริเวณหลัง บชน. ซึ่งห่างจากแนวกั้นของพันธมิตรฯ ประมาณ 150 เมตร จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ผู้เสียชีวิตคนดังกล่าวถูกกระสุนปืนเข้าที่บริเวณท้ายทอย

ขณะที่การ์ดพันธมิตรฯ ได้ทำการเช็กจำนวนคนที่เข้ารักษาความปลอดภัยแล้วพบว่าไม่ใช่หน่วยรักษาความป ลอดภัยของพันธมิตรฯ ขณะที่ตำรวจเข้าตรวจสอบผู้เสียชีวิตแล้ว คาดว่าจะน่าจะได้รับคำตอบในไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้

ด้านการ์ดพันธมิตรฯ ซึ่งเห็นเหตุการณ์เล่าว่า หลังจากเกิดเหตุคนร้ายขว้างระเบิดที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ จากนั้นประมาณอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาพบชายฉกรรจ์จำนวน 4 คน ซึ่งปีนข้ามรั้วแนวกั้นของตำรวจบริเวณด้านหลังกองบัญชาการตำรวจนครบาลเข้ามา จากนั้นจึงเปิดฉากยิงปืนใส่พันธมิตรฯ จำนวนหลายนัด ส่วนผู้เสียชีวิตอาจเป็น 1 ใน 4 ชายฉกรรจ์ที่ข้ามรั้วตำรวจเข้ามาแล้วได้หลบหนีไปอยู่ใต้ต้นมะขาม ซึ่งพบว่ากลายเป็นศพในช่วงเช้าที่ผ่านมา



ลำดับเหตุการณ์ "สัตว์นรก" ลอบกัด ขว้างระเบิดเอ็ม-26 ใส่ "การ์ดพันธมิตรฯ" ที่บริเวณสะพานมัฆวานฯ ก่อนลอบยิงปืนใส่ "พันธมิตรฯ" ที่สะพานชมัยมรุเชฐ ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย

เวลา 03.20 น. ชายฉกรรจ์ 2 คน ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาจอดอยู่ที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ จากนั้นได้ขว้างวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดเข้าใส่การ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก และต้องนำส่งโรงพยาบาลวชิระ โดยด่วนจำนวน 6 ราย

เวลา 03.25 น. ชายฉกรรจ์จำนวน 4-5 คน สวมชุดดำ ปีนข้ามรั้วกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาด สาดกระสุนจำนวนหลายสิบนัดเข้าใส่พันธมิตรฯ

เวลา 04.30 น. ร.ต.อ.ป้อมเพ็ชร โชติกลาง ร้อยเวร สน.นางเลิ้ง ได้เดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุที่สะพานมัฆวานฯ โดยได้ขึงเชือกกั้นบริเวณจุดเกิดเหตุ เพื่อกันไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าไปในบริเวณดังกล่าว จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าแรงระเบิดทำให้เกิดหลุมลึกกว่า 3 ซม. กว้าง 5 ซม.

เวลา 05.05 น. พ.ต.อ.วิบูลยุทธ สันทัดเวช ผู้กำกับ สน.นางเลิ้ง ได้เดินทางเข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง โดยมีเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด เข้าตรวจสอบพื้นที่เพื่อค้นหาวัตถุระเบิดที่อาจยังหลงเหลืออยู่ พร้อมหาชิ้นส่วนระเบิดเพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการตามล่าตัวคนร้ายโดยเร่งด่วน

เวลา 06.30 น. หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าเคลียร์พื้นที่ซึ่งโดนคนร้ายลอบขว้างระเบ ิดแล้ว พบชายไทยอายุประมาณ 20 ปี ผิวขาว สวมเสื้อยืดสีดำ ใส่กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน สวมรองเท้าแตะพื้นสีแดง นอนคว่ำหน้าเสียชีวิตใต้โคนต้นมะขาม บริเวณหลัง บชน. ซึ่งห่างจากแนวกั้นของพันธมิตรฯ ประมาณ 150 เมตร จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ชายคนดังกล่าวถูกกระสุนปืนเข้าที่บริเวณท้ายทอยจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา


http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000128735










ทำไมพันธมิตรยังให้พวกหัวหน้าโจรสีกากีที่มันมีส่วนทำให้คน
ตายยังทำงานอยู่อีกครับ พวกที่วางแผนทั้งหลายแหลให้
เกิดเหตุการตายเหล่านี้ขึ้นคือโจรสีกากีเหล่านี้ทั้งนั้นนาย
หัวหน้าโจรที่ดูแลเกี่ยวกับการสลายม๊อบที่โดนร้องเรียนและมีข้อหา
เรืองสลายม๊อบยังอยู่ครบทำหน้าที่อยู่ ดังนั้นพวกนี้จึงวาง
แผนให้เกิดการตายขึ้น....ไม่ต้องมองใครมองพวกโจรสี
กากีเหล่านี้ ทั้งนั้นที่ที่มันอยู่เบื้องหลังเพราะมันคงรู้ชะตา
กรรมตัวเองดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตถ้ามันโดนสอบ
เรืองการสลายม๊อบฉะนั้นมันก็วางแผนชั่วยังไงก็ได้เพื่อ
จัดการพันะมิตร....ยังปล่อยให้พวกหัวหน้าโจรสีกากีที่
โดนข้อหาสลายม๊อบอยู่ในตำแหน่งอีกเหรอ ควรย้ายพวก
โจรสีกากีเหล่านี้ให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ซะเพราะตอนนี้
มันไม่เพียงแค่ไม่ดูแลความปลอดภัยให้พันธมิตรแต่มัน
วางแผนให้คนชั่วคนเลวที่พวกมันไว้ใช้งานทำความชั่วแทน
มัน โดยที่พวกมันรู้เห็นเป็นใจให้....
888

PAD Letter to UK Ambassador to Thailand


People's Alliance for Democracy (PAD)



Letter to His Excellency Mr. Quinton Mark Quayle, United Kingdom Ambassador to Thailand on the extradition of Thaksin and Pojamarn Shinawatra

October 30, 2008

His Excellency Quinton Mark Quayle
Ambassador of the United Kingdom
Thailand, Bangkok, British Embassy
14 Wireless Road
Lumpini, Pathumwan
Bangkok 10330

We, the People's Alliance for Democracy, believe your government will be making a grave mistake by allowing former Prime Minister Thaksin Shinawatra and his wife, Pojamarn Shinawatra, asylum in the United Kingdom. We ask that you forward this letter to Prime Minister Gordon Brown and Members of Parliament in the UK and consider your decision carefully.

Ex-Prime Minister Thaksin Shinawatra claims the charges against him are unfounded and politically motivated by "enemies of democracy".

In a landmark ruling on October 21, 2008, he was found to have violated conflicts of interest rules in helping his wife Khunying Pojamam Shinawatra buy land from a state agency at three thirds the market price and sentenced to two years in jail. According to the Thai Supreme Court's Criminal Division for Political Office Holders, Thaksin was found guilty of breaching Article 100 of the National Counter Corruption Act by aiding his wife in 2003 while he was still Prime Minister.

The court stated that as Thai Prime Minister, Thaksin had been entrusted to administer the state for the highest benefit of the state and the people, but instead chose to break the law. As the head of government, he should have set a good example, been honest, and behaved with good political ethics.

The Ratchapisek land ruling is the first in a series of cases against Thaksin Shinawatra. Other cases still pending in the Thai Supreme Court are abuse of power allegations linked to a two and three digit government lottery scheme, abuse of power related to irregularities in a 4 billion baht loan given by state controlled Export Import Bank of Thailand to the military government of Burma which alleged to have benefited his family business, and amending tax policies to enrich his business empire (Shin Corporation), as well as concealing assets.

In addition, on July 31, 2008 the Criminal Court sentenced Pojamarn Shinawatra to 3 years in prison for tax evasion over a 546 million baht transaction, and falsifying statements, and the same for her adopted brother, and her secretary with no probation. In its reading, the court reprimanded her, saying that with her high economic, social, and political status - as wife of the prime minister - she should have acted as a role model for society.

Thaksin has claimed in his bid for asylum that he cannot receive a fair trial in Thailand, yet in June 2008, the Thai Supreme Court sentenced three lawyers working for him to a six-month jail term for trying to bribe a C-7 court official by presenting the official with a snack box containing two million baht. But at the same time, his lawyers are petitioning Thai Courts in several other cases while he claims the Thai Courts are unfair.

Thaksin claims the people fighting against him do not believe in democracy, yet in May 2007 his Thai Rak Thai party was dissolved due to violating electoral laws (vote buying). 111 of the party's executives including Prime Minister Thaksin Shinawatra were barred from voting and holding public office for five years. Even after his party was dissolved, things are, however, much more complicated.

For instance, the People's Power Party, which is Thaksin's Thai Rak Thai party in a new guise, came close to controlling the majority in the House of Representatives and won the right to set up a new government, but not without controversy. People's Power Party party executive and House Speaker Yongyuth Tiyapairat was found guilty of electoral fraud. Mr. Yongyuth was caught on video tape paying local village leaders 20,000 baht each to influence them in voting and canvassing for votes in their regions.

His brother-in-law is now the Prime Minister. His close allies occupy key government and bureaucratic positions and control key businesses. He is still one of Thailand's richest and most powerful person. However, he still claims that the "priveliged elite" is set to destroy him. In reality, it is he who is a leading member of the "various groups of privilege elites" that quite literally control Thailand.

Thailand and Great Britain have long enjoyed close and longstanding relations at all levels and in all aspects. Our two countries should not allow an individual to test the strength of our partnership. More importantly, the British Government should not exchange its broader national interests and opportunities to expand its cooperation with Thailand for Thaksin.

Thaksin Shinawatra must thus be brought back to Thailand not simply to face the Supreme Court's ruling but also, and more importantly, to help secure the future of justice in the country. A wrong decision on the part of the British government and judiciary system will help make the functioning of justice in Thailand difficult.

We, the People's Alliance for Democracy, call for the extradition of Thaksin and Pojamarn Shinawatra from the United Kingdom in order to face the guilty verdict and serve time in prison and appear in court for the other charges against them.

Expel them from the UK and return these fugitives to Thailand.

The People's Alliance for Democracy


(คำแปล)
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย



จ ดหมายกราบเรียน ฯพณฯ นายควินตัน มาร์ค เควลย์ เอกราชทูตแห่งสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย เพื่อให้ส่งตัวนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน ทักษิณ และพจมาน ชินวัตร

วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ฯพณฯ ควินตัน มาร์ค เควลย์
เอกอัครราชทูตแห่งสหราชอาณาจักร
ประเทศไทย, กรุงเทพมหานคร, สถานทูตอังกฤษ
14 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพ 10330

เ รา, พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เชื่อว่ารัฐบาลของท่าน จะได้กระทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่ได้ยินยอมให้อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พร้อมด้วยภรรยา, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ลี้ภัยอยู่ในสหราชอาณาจักร เราขอให้ ฯพณฯ ได้ส่งผ่านจดหมายฉบับนี้ไปยังนายกรัฐมนตรี นายกอร์ดอน บราวน์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสหราชอาณาจักร เพื่อนำไปพิจารณาตัดสินใจอย่างรอบคอบ

อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อ้างว่าคำตัดสินจำคุกตัวเขานั้นไม่ได้อยู่บนหลักเหตุผลและมีแรงจูงใจทางการเ มืองโดยกลุ่มที่เป็นศัตรูต่อประชาธิปไตย

จากคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย พบว่าเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ฝ่าฝืนกฎหมายในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในการช่วยเหลือคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยาของตัวเองในการซื้อที่ดินจากหน่วยงานของรัฐในราคาเพียง 1 ใน สามของราคาตลาดและได้ถูกพิพากษาให้จำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ระบุในคำพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กระทำความผิดต่อมาตรา 100 ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี

ศาลได้ระบุว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ ต้องทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศและประชาชน แต่กลับไปกระทำผิดกฎหมายเสียเอง ในฐานะที่เป็นผู้นำรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชิวัตรควรเป็นตัวอย่างที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต และประพฤติตนด้วยจริยธรรมทางการเมือง

การตัดสินในกรณีของที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก คือคดีแรกที่ในหลายคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ถูกฟ้องร้องในกระบวนการยุติธรรม สำหรับคดีอื่นๆนั้นศาลฎีกาได้รับคดีเอาไว้พิจารณาแล้ว ดังเช่น คดีการออกสลากพิเศษ 2 ตัว 3 ตัว ของรัฐบาลที่กระทำมิชอบด้วยกฎหมาย คดีการปล่อยสินเชื่อกว่า 4 พันล้านบาทของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยให้รัฐบาลทหารของพ ม่าเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของครอบครัวชินวัตร คดีการแก้ไขนโยบายทางภาษีเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจในเครือ (ชิน คอร์ปอเรชั่น) และคดีการปกปิดทรัพย์สิน

นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ศาลอาญาได้พิพากษาคุณหญิง พจมาน ชินวัตร, พี่ชาย และเลขานุการ ให้จำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญาในกรณีการหลบเลี่ยงภาษีในการซื้อขายหุ้นมูลค่ากว่า 546 ล้านบาท และปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งในการอ่านคำพิพากษานั้น ศาลอาญาได้ระบุว่า คุณหญิงพจมาน ชินวัตร มีฐานะที่ดี อยู่ในสังคมชั้นสูง และมีสถานภาพทางการเมืองในฐานะเป็นภริยาของนายกรัฐมนตรี จึงควรกระทำให้เป็นตัวอย่างแก่สังคม

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวอ้างในคำขอลี้ภัยว่าเขาไม่ได้รับคำตัดสินอย่างเป็นธรรมในประเทศไทย ทั้งๆที่เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2551 ศาลฎีกาได้ตัดสินทีมทนายของทักษิณ 3 คนให้ได้รับโทษจำคุก 6 เดือน โทษฐานละเมิดอำนาจศาลในการติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาลระดับซี 7 โดยการนำส่งเป็นกล่องขนมที่บรรจุเงินจำนวน 2 ล้านบาท ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอ้างว่ากระบวนการยุติธรรมไม่มีความเป็นธรรม ทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรกลับยื่นฟ้องร้องคดีความต่างๆต่อศาลไทยต่อไป

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อ้างว่า ประชาชนที่ออกมาต่อต้านเขานั้นคือกลุ่มที่ไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่พรรคไทยรักไทยได้ถูกยุบพรรคเพราะกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2550 กรรมการบริหารพรรค 111 คนซึ่งรวมถึง นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ถูกเพิกถอนสิทธิในการเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี แม้กระทั่งพรรคได้ถูกยุบไปแล้วแต่ทุกอย่างก็กลับมีความสลับซับซ้อนขึ้นยิ่งก ว่าเดิมหลายเท่า

ตัวอย่างเช่น พรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่พรรคไทยรักไทยของทักษิณตั้งขึ้นมาใหม่ ได้คุมเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร และจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ แต่รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร กลับถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานโกงการเลือกตั้ง ซึ่งนายยงยุทธ ติยะไพรัช ได้ถูกจับจากการบันทึกวีดีโอพบว่าได้จ่ายเงินให้กับกำนันหลายราย รายละ 20,000 บาท เพื่อจูงใช้ให้คนเหล่านั้นลงคะแนนและหาเสียงเพื่อรณรงค์ให้มีการเลือกตั้งใน พื้นที่เขตเลือกตั้ง

ปัจจุบันน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงดำรงตำแหน่งในรัฐบาล ตำแหน่งข้าราชการ และควบคุมธุรกิจที่สำคัญหลายแห่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศไทยและเป็นผู้ที่ทรงอำนาจที่สุด อย่างไรก็ตามเขากล่าวอ้างว่า "อภิสิทธิชนชั้นสูง" คือผู้ที่ได้ดำเนินการทำลายตัวเขา ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คือผู้นำของกลุ่มอภิสิทธิ์ชนชั้นสูงจำนวนมาก ควบคุมและครอบงำประเทศไทยเสียมากว่า

ประเทศไทย และสหราชอาณาจักร ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอย่างยาวนานในทุกระดับและทุกมิติ ประเทศของเราทั้งสองไม่ควรที่จะยินยอมให้เรื่องส่วนตัวของคนๆหนึ่งให้มากระท บความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรไม่ควรที่จะนำผลประโยชน์ นำโอกาสที่จะขยายความร่วมมือกับประเทศไทย ไปแลกกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องถูกนำตัวส่งกับมาประเทศไทย ไม่ใช่เพียงเพื่อมาต่อสู้คดีความในชั้นศาลฎีการตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญยิ่งไปกว่าที่จะช่วยทำให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศมีอนา คตที่มั่นคง การตัดสินใจที่ผิดพลาดในส่วนของรัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมของสหราชอาณาจักร จะทำให้การทำงานในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยประสบกับความยากลำบากเป็นอย ่างยิ่ง

เรา, พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอเรียกร้องให้ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร นักโทษหนีอาญาแผ่นดินจากสหราชอาณาจักรเพื่อมารับโทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา ใช้เวลาในคุกและปรากฏตัวต่อศาลเพื่อต่อสู้ในคดีอื่นๆ ต่อไป

ขอความกรุณาให้ขับไล่พวกเขาให้ออกจากสหราชอาณาจักร และส่งตัวผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดินกลับมาประเทศไทย

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย


วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แกนนำพันธมิตรฯอุดรยื่นฟ้องศาลเอาผิด “ขวัญชัย-อุทัย” ฐานพยายามฆ่า

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 24 ตุลาคม 2551 15:21 น.

นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯอุดรพร้อมด้วยทนายความยื่นฟ้องต่อศาลเอาผิดอาญานายขวัญชัย ไพรพนาและนายอุทัย แสนแก้ว


อุดรธานี - “สุวัตร อภัยภักดิ์” นำทีมทนายกู้ชาติพร้อมแกนนำพันธมิตรอุดรยื่นฟ้องศาลเอาผิดอาญาพร้อมเรียกค่า เสียหาย “ขวัญชัย-อุทัย” ในคดีพยายามฆ่า กรณีเหตุการณ์พันธมิตรฯถูกรุมทำร้ายฆ่าขณะเตรียมเปิดเวทีเปิดโปงกลโกงระบอบท ักษิณที่หนองประจักษ์ ย้ำที่ต้องฟ้องต่อศาลเพราะไม่วางใจกระบวนการทำสำนวนของตำรวจ เชื่อ มีนักการเมืองบงการเบื้องหลัง
      
       วันนี้ (24 ต.ค.) ที่ศาลจังหวัดอุดรธานี นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดอุดรธานี นายคณิศร ฑปผูผา และนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้นำหลักฐานเอกสาร 9 หน้า พร้อมภาพถ่ายเหตุการณ์ที่สมาชิกชมรมคนรักอุดรใช้อาวุธไล่ทำร้ายกลุ่มพันธมิต รอุดรธานี ที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ พร้อมด้วยตัวบุคคลที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา เข้ายื่นฟ้อง นายขวัญชัย สาราคำ ประธานชมรมคนรักอุดร และ นายอุทัย แสนแก้ว แกนนำคนรักอุดร ต่อศาลจังหวัดอุดรธานี ในข้อกล่าวหา พยายามฆ่า ทำร้ายร่างกายให้ผู้ถูกกระทำร้ายรบอันตรายสาหัส และทุนทรัพย์ 1,824,210 บาท ต่อศาลจังหวัดอุดรธานี
      
       โดยศาลจังหวัดอุดรธานี ได้ประทับรับฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2149 /2551 ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2551 โดยศาลนัดหมายสอบพยานนัดแรกในเวลา 13.00 น.วันที่ 19 ม.ค.2552
      
       นายเจริญ เปิดเผยว่า ใ นวันนี้ตนพร้อมด้วยคณะทนายความจากสภาทนายความแห่งประเทศไทย มายื่นฟ้อง นายขวัญชัย และ นายอุทัย ที่ได้นำสมาชิกชมรมคนรักอุดร บุกรุมทำร้าย ไล่ตี พยายามฆ่า พวกตนที่จัดเวทีพันธมิตรอยู่ที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2551 ที่ผ่านมา
       

       การยื่นฟ้องในวันนี้ มีทนายจากสภาทนายความ 2 คน มาเป็นทนายให้ในคดีอาญา ฐานความผิด พยายามฆ่า ทำร้ายร่างกายให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส และทุนทรัพย์ในการฟ้องเป็นจำนวนเงิน 1,824,210 บาท ซึ่งเป็นค่าเสียหายทรัพย์สินที่ถูกทำลายในวันนั้น
      
       หลังจากนั้น ก็เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนสาเหตุที่มาทำการฟ้องศาลโดยตรงนั้น ก็เนื่องจากได้รับคำปรึกษากับทางสภาทนายความ ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองโดยเฉพาะเจ้าห น้าที่ตำรวจนั้น ทางเราไม่สามารถให้ความไว้วางใจที่ผ่านกระบวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจไ ด้ จึงจำเป็นต้องยื่นฟ้องกับศาลโดยตรง และในตอนนี้ก็ได้รับการชี้แจงจาก คุณสุวัฒน์ ทนายความว่า หลังจากการยื่นฟ้องที่ศาลแล้ว ก็จะพากันไปแจ้งความที่ สภ.เมืองอุดรธานี อีกครั้ง
      
       สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 24 กรกฎาคม 2551 นายขวัญชัย สาราคำ หรือ ขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดรและนายอุทัย แสนแก้ว แกนนำคนรักอุดร ได้เป็นหัวหน้าชักชวนสมาชิกคนรักอุดรจำนวนประมาณ 100 คน ไปทำการปิดล้อมข่มขู่ นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ แกนนำพันธมิตรอุดรธานี พร้อมด้วยแกนนำทั้ง 6 คน ที่กำลังก่อสร้างเวทีพันธมิตรที่จะมีการปราศรัยในตอนเย็น ที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ ให้ล้มเลิกการจัดกิจกรรมนี้เสีย
      
       ต ่อมาในเวลา 15.30 น.วันเดียวกัน นายขวัญชัย และ นายอุทัย ก็ได้ร่วมกันปลุกระดมสมาชิกชมรมคนรักอุดรจำนวน 1,000 คน พร้อมด้วยอาวุธหลายชนิดมีทั้ง ขวาน มีดปลายแหลม ไม่กระบอง ท่อนไม้หน้าสาม ไม้กลมความยาว 3 ฟุต ท่อนเหล็กกลมยาว 3 ฟุต ด้านธง มาทำการปิดล้อมและบุกเข้าไปทำร้าย กลุ่มพันธมิตรอุดร ที่กำลังตั้งเวทีอยู่ในสวนสาธารณะหนองประจักษ์ จนทำให้กลุ่มพันธมิตรอุดรหลายคนได้รับบาดเจ็บ และบาดเจ็บสาหัส
      
       
โ ดยในครั้งนี้บุคคลที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสคือนายชนะศักดิ์ ผ่องเพลิดพริ้ง และที่ได้รับบาดเจ็บ คือ นายรังสี ศุภชัยสาคร นางธันยนันท์ จรัสจิรวงศ์ นายแก้ว จันธิชู น.ส.สุจิรา มีชั้นช่วง และ นายรัตนชัย ทองสุข ได้มาเป็นโจทก์ร่วมฟ้องในครั้งนี้ด้วย

ภรรยา “พ.ต.ท.เมธี” ลั่นไม่รับเงินเยียวยา “รบ.ฆาตกร” - ตั้งวิทยุชุมชนสานต่อเจตนารมณ์สามี


บุรีรัมย์ - ภรรยา "สารวัตรจ๊าบ" วีรชนผู้กล้า 7 ตุลาทมิฬ ที่ถูกระเบิดเสียชีวิตในเหตุการณ์สลายชุมนุมโหดร้ายป่าเถื่อนของรัฐบาลทรราช "น้องเขยแม้ว" ที่หน้ารัฐสภา ยืนยันไม่รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลฆาตกร แต่ขอให้ออกมาแสดงรับผิดชอบและให้ความเป็นธรรมสามีที่ถูกยัดข้อหาพกพาระเบิด เผยนำเงินบริจาคของพันธมิตรฯ เก็บไว้ให้ลูกและจัดตั้งสถานีวิทยุชุมชนถ่ายทอดเสียง "ASTV" เปิดหูเปิดตาชาวบุรีรัมย์ สานต่อเจตนารมณ์สู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ของสามี

วันนี้ (29 ต.ค.) น.ส.เพ็ญพิมล ใสงาม ภรรยา พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี หรือ "สารวัตรจ๊าบ" ประธานกลุ่มยามเฝ้าแผ่นดินบุรีรัมย์, ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.บุรีรัมย์ และหัวหน้าการ์ดพันธมิตรฯ ภาคอีสาน ที่ถูกระเบิดเสียชีวิตจากเหตุการณ์รัฐบาลสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภาเมื่อวันที ่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา เปิดเผยว่า ตนและครอบครัวขอยืนยันจะไม่รับเงินเยียวยาช่วยเหลือจากรัฐบาล หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุสลายการชุม นุมอย่างรุนแรงของรัฐบาลในเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา

แต่อยากให้รัฐบาลออกมาแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และให้ความเป็นธรรมกับสามีที่ถูกยัดเยียดข้อหาพกพาระเบิด ซึ่งเป็นข้อหาที่หนักไร้ความเป็นธรรมมากสำหรับสามีที่เสียชีวิตไปแล้ว จึงอยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่สามีและวงศ์ตระกูล และขอให้รัฐบาลยุติการกระทำความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะจะส่งผลกระทบสร้างความเจ็บปวดให้กับครอบครัว ญาติพี่น้องอีกหลายชีวิตที่อยู่ข้างหลัง และไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะนำเงินที่ได้มาจากภาษีของประชาชนมาเยียวยาประชาชน กับกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรมของรัฐบาลเอง

"ฉันจะสานต่อเจตนารมณ์ของสามีที่ได้สละชีวิตต่อสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยจะนำเงินที่ทางกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรฯ บริจาคมาเก็บไว้ให้กับลูกๆ และบางส่วนจะนำมาจัดตั้งสถานีวิทยุชุมชนถ่ายทอดสัญญาณเสียงของสถานีโทรทัศน์ ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี เพื่อให้ประชาชนชาวบุรีรัมย์ได้รับฟังข้อมูลข่าวสารที่แท้จริง รวมทั้งความเคลื่อนไหวต่างๆ ในการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองของประชาชนที่เกิดขึ้น" ภรรยาวีรชนผู้กล้า กล่าว








โดย ผู้จัดการออนไลน์29 ตุลาคม 2551 13:30 น.