แก้ว แกมทอง
เมื่อล่วงเข้าเดือนอ้ายเดือนยี่ น้ำที่เอ่อนองล้นตลิ่งอยู่ก็ค่อยไหลลงจนงวดแห้ง ลมหนาวเริ่มโกรกกรายเข้ามาเยือน เราเรียกลมนี้ว่าลมเหนือ
หน้าหนาวของชาวสวนไม่ค่อยมีอะไรเป็นพิเศษ เพราะเป็นระหว่างที่ต้นไม้เตรียมตัวจะออกดอก พวกผู้ใหญ่เขาก็เลยมีเวลาว่าง แต่พวกเราเด็กๆนั่นซี บางคนต้องหยุดเล่นซุกซนไปเลยเพราะต้องลงไปนอนจับไข้
เมื่อหมดฝนหมดน้ำ แล้วลมหนาวเยี่ยมกรายมาอย่างนี้ มันไม่ได้มาเปล่าๆ มันพาอาการไข้มาฝากด้วย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ตะพากันครั่นเนื้อครั่นตัว สะบัดร้อนสะบัดหนาว บางคนก็ตัวร้อนนอนซม เป็นหวัดคัดจมูกน้ำมูกไหล เขาเรียกไข้นี้ว่า ไข้หัวลม
พวกผู้ใหญ่นั้น เมื่อเขาเป็นไข้แบบนี้ เขาก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลย เพียงแต่หยุดทำงานหนัก แล้วไปเก็บยอดแคอ่อนๆมาต้มจิ้มน้ำพริกกินกัน ต้มกันทุกวัน จนกว่าอาการไข้นั้นจะหายไป บางคนถ้าเป็นมาก เขาก็จะไปหายาหมอมาต้มกิน ยกเอามาต้มกันกลางนอกชานบ้าน เพราะพวกยาต้มนี้เขามีเคล็ดว่า ต้องต้มนอกชายคาบ้าน หม้อยาก็ต้องซื้อหม้อดินใหม่เอี่ยม รูปร่างแบบหม้อข้าว เวลาจะต้มต้องมีใบตองสดปิดปากหม้อ ปล่อยช่องว่างไว้สักนิ้วหนึ่ง บนใบตองสดนั้นจะมีเฉลวปักไว้
เฉลวนี่เขาทำด้วยตอกเส้นเล็กๆ เส้นเดียว หักพับไปพับมาเป็นรูปลักษณะ คล้ายดาวแปดแฉก แล้วก็ปักไว้บนหม้อยาทุกหม้อไป ไม่ว่าใครจะต้มยากลางบ้านกิน ก็ต้องปักด้วยเฉลวทั้งนั้น
คำว่ายากลางบ้านนี่ มาจากเหตุนี้เอง คือ ยาพวกนี้ต้องต้มกลางนอกชานบ้านทั้งนั้น แล้วบ้านชาวสวนดอกตอนนั้นก็มีนอกชานบ้านกันทุกบ้าน ไม่เคยเห็นใครยกหม้อยาลงไปต้มใต้ถุนบ้านสักที หรือต้มในครัวเขาก็ไม่ทำกัน
การต้มยอดแคกินแก้ไข้หัวลมนั้น เป็นข้อปฏิบัติและจดจำทำกันมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ พอใครเป็นไข้หัวลม เขาจะบอกให้กินยอดแคต้ม ส่วนน้ำพริกนั้นธรรมดาน้ำพริกผักจิ้มผักของชาวสวน เขาไม่เคยตำแบบโล่งๆโดยไม่ใส่อะไรเลย อย่างน้อยถ้าไม่ใส่มะอึก เขาก็ใส่มะเขือพวง ไม่ใส่มะเขือพวงก็ใส่มะเขือขื่น ตำด้วยมะดันบ้าง มะขามอ่อนบ้าง บางทีก็ระกำ อีกสารพัดที่เขาจะพลิกแพลง แต่ถ้าเป็นหน้าไข้หัวลม น้ำพริกชาวสวนจะใส่ลูกมะแว้ง
รู้จักลูกมะแว้งกันไหม ลูกมันคล้ายมะเขือพวง แต่เล็กๆใสๆกว่า รสชาตินั้นอย่าบอกใครเชียว ทั้งขมทั้งขื่นจาระไนไม่ถูก ผู้ใหญ่เขาชอบเอามาตำกับน้ำพริก บางทีก็เอามายำ แล้วนั่งกินกันหน้าตาเฉย เขาว่าแก้ไข แก้เจ็บคอดี บางทีเขาก็เอามาบีบผสมยากวาดคอเด็ก ซึ่งเป็นอาการทารุณมาก เด็กคนไหนถูกมะแว้งกวาดคอ กำลังนอนจับไข้อยู่ดีๆ ก็แทบจะโดดโครมเดียวลงใต้ถุนไปเลย
ยาแก้ไขสำหรับเด็กตอนนั้น นอกจากยาต้มแบบผู้ใหญ่แล้ว ก็มียากวาดคอนี่แหละเป็นขึ้นหน้าขึ้นตา ทุกบ้านจะมีโกร่งบกยาสำหรับกวาด โกร่งบดยานี้มีอยู่สองชนิด ชนิดหนึ่งนั้นมีลักษณะกลมเล็กๆเหมือนครกตำหมาก แต่ลูกโกร่งที่ใช้ตำยาหรือบดยานั้นเล็กกว่าสากตำหมากมาก แล้วตัวโกร่งไม่กลมเฉยๆ แต่ตรงปากของมันจะมีรอยแหว่งไว้หน่อย เหมือนตรงที่เขี่ยบุหรี่ เขาไว้สำหรับเทยาออกมา
โกร่งอีกชนิดเป็นรูปแบน ยาวประมาณสักคืบหนึ่ง หนาสักสาวนิ้ว ความกว้างสักเท่าฝ่ามือ หัวท้ายมาหน่อยๆ ลูกโกร่งของโกร่งแบบนี้ใหญ่เกือบเท่าตัวโกร่งเลย เป็นรูปกลมยาวหัวท้ายมนแล้วหนัก เวลาจะบดยาเขาก็เอาเม็ดยาวางบนโกร่งแล้วเอาลูกโกร่งนี่มาวางขวางตัวโกร่ง กลิ้งลูกโกร่งบดไปบดมาเหมือนการนวดแป้งทำขนมด้วยไม้นวด โกร่งแบบนี้ใช้บดยาที่มีตัวยามากหน่อย ถ้าเป็นยากวาดของเด็กๆ เขาก็ใช้โกร่งอย่างเล็ก
ยากวาดของเด็กนั้น ที่เห็นประจำก็คือ ยากวาดแสงหมึกเป็นยาเม็ดเล็กๆสีดำ รสชาติไม่ขมไม่ขื่น จืดๆ แต่ที่มาทำให้ไม่จืดก็คือตัวยาที่แทรกมานั่นแหละ บางทีเขาก็แทรกเกลือ บางทีเขาก็แทรกลูกเบ็ญกานี บางทีก็บรเพ็ด แล้วบางทีลูกมะแว้งอ่อนอย่างว่าแล้วแต่แม่หมอคนไหนจะสั่งยาแทรกอย่างไหนให้ถูกโรค
ยาแทรกนี้ก่อนจะเอามาผสมกับตัวยาจริง เขาจะเอามาฝนเสียก่อน อย่างบรเพ็ดนี่มีลักษณะเหมือนเถาวัลย์ เขาก็ไปตัดมาสักคืบหนึ่งเก็บไว้ประจำบ้าน ใช้ไปจนแห้งเป็นสีน้ำตาลก็ไม่ทิ้งสักที บางทีเราเด็กๆก็แอบเอาไปทิ้งเอง เวลาเขาจะหามาฝนให้เรากินก็หาไม่เจอ ต้องไปหาตัดมาใหม่ ถ่วงเวลาไปได้อีกวันหนึ่ง เพราะบรเพ็ดไม่ได้มีปลูกทุกบ้าน
เครื่องมือที่ใช้ฝนยาแทรกก็คือฝาละมีหม้อข้าว เขาจะมีประจำไว้วางอยู่ข้างโกร่งยาอยู่ฝาหนึ่ง เวลาจะฝนก็หงายฝาละมีขึ้น เอาเถาบรเพ็ดถูไปถูมากับฝานั่น ฝาละมีเป็นดินเผามีเนื้อหยาบ ก็ขุดเนื้อบรเพ็ดเป็นผงละเอียดออกมาเขาก็เอาน้ำหยดลงไปนิดหนึ่ง คนไปคนมาก็เกิดเป็น"น้ำกระสายยา" ขึ้น เอาเทลงไปในโกร่ง ผสมกับยาแสงหมึก แล้วเอานิ้วชี้กวนยากับน้ำกระสายยาให้เข้ากัน เสร็จแล้วก็เอานิ้วชี้นั่นแหละ ปาดยาขึ้นให้ติดอยู่ปลายนิ้ว เตรียมล้วงคอเด็ก
การวาดยานี้ ไม่ใช่เขาเอานิ้วเข้าไปแค่ลิ้นแล้วป้ายเท่านั้นนะ เขาล้วงเข้าไปถึงลูกกระเดือกเลย แล้วทำนิ้วกวนไปมารอบหนึ่งด้วย กวาดให้ทั่วเพดานข้างบน แบบนี้ยามันก็เข้าไปติดหมดเลยในคอ ขมขื่นบอกไม่ถูก แถมคลื่นไส้พอเขาเอานิ้วออกเด็กอ้อกทุกคนเลย อ้อกนะไม่ใช่อ้วกเพราะอ้วกไม่ได้ เขาจะรีบอุดปากเราไว้บังคับให้เรากลืนยาเข้าไปให้หมด คิดดูซิบังคับหัวใจกันแค่ไหน เด็กทุกคนที่ถูกกวาดยา ทำได้อย่างเดียวคือ ร้องไห้จ้า ถึงเขาจะเอานิ้วที่เปื้อนยามาจิ้มที่หน้าผากเราทีหนึ่ง เป็นเครื่องหมายเหมือนการเจิมหน้าแล้วเป่าลมมาที่หน้าเราทีหนึ่ง พร้อมกับคำพูดว่า เพี้ยง หาย....เป็นการเอาใจ เราก็ไม่ยินดีด้วยแล้ว ร้องไห้ท่าเดียว
หมอกลางบ้านสำหรับเด็กๆนี่ ก็คือ หมอคนเดียวกะหมอตำแยนั่นแหละ ยายแกเที่ยวเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นไม่ไปไหน เดี๋ยวออกลูกบ้านโน้น เดี๋ยวกวาดคอเด็กบ้านนั้น กิจการของแกดำเนินอยู่ไม่มีขาด เด็กทุกคนรู้จักแกทั้งนั้น เพราะแกทำคลอดมาบ้าง จับกวาดยามาบ้าง จนโตๆกันไปหลายรุ่น แต่ไม่น่าแปลกที่เด็กเล็กๆไม่มีคนไหนชอบแกเลย เห็นแกเดินมาเป็นร้องไห้จ้า หรือไม่ก็กำลังร้องอยู่ พอเห็นแกเข้าก็เงียบกริบ
แต่ยายแกก็เลือกคนไข้นะ ส่วนมากแกจะชอบรักษาแต่เด็กที่ยังไม่มีฟัน พวกเด็กฟันเต็มปาก โดยเฉพาะเราชาวเด็กหัวถนนนี้ ยายแกก็ออกขยาดเหมือนกัน ไม่ค่อยจะตอแยด้วย จะอะไรเสียอีกล่ะ ก็พวกเราชอบกัดมือแกน่ะซี
ไม่มีเด็กคนไหนชอบถูกกวาดยา รับรองได้ พวกเราก็เหมือนกัน พอจะถูกกวาดยาทีไรเป็นดิ้นกันสุดฤทธิ์ พอดิ้นเข้าเขาก็ช่วยกันจับแขน จับขา กดตัว กดหัว ดึงคอ แม่โวย เล่นกันนัวเชียว พอเราจวนตัวก็กัดฟันเข้าไว้ ไม่ยอมอ้าปาก เขาบีบจมูกอีก คิดดูว่าแค่ไหน แล้วจะไม่ให้พวกเราแค้นใจได้ยังไง เมื่อแค้นก็ต้องแก้แค้น พอถูกบีบจมูกหายใจไม่ออก ก็ต้องอ้าปากร้องจ๊าก นาทีวิกฤตินี่แหละที่ยายหมอล้วงมือเข้าไปในคอได้ ก็เสร็จเรา พอล้วงปั้บเรางับปุ๊บ กัดติดเลย โดนเข้าไม้นี้ยายหมอก็ร้องจ๊ากเหมือนกัน ทีนี้ก็ศึกใหญ่ละ เราจะโดนกลุ้มรุมทำร้ายทันที ทั้งโดนทุบโดนถอง โดนงัดปาก ชุลมุนไปหมด ที่สุดเราก็ต้องพ่ายแพ้จนได้ ไม่แพ้ยังไง ผู้ใหญ่ทั้งบ้าน มีเราเป็นเด็กเล็กๆอยู่คนเดียว ต้องยอมกลืนยาขมขื่นร้องไห้จ้าอยู่คนเดียวทุกที
การแก้แค้นของพวกเราที่ช่วยกันกัดมือหมอกวาดยาก็มีผลเหมือนกันนะ ทำให้พวกผู้ใหญ่เขาเกิดหัวใสคิดแก้ลำพวกเราได้อีกชั้นหนึ่ง คือ แทนที่จะใช้นิ้วมือล้วงคอพวกเราเป็นการบังคับให้กินยานั้น (เพราะเด็กไม่ชอบอ้าปากกินยาง่ายๆ เขาถึงมีระบบกวาด) เขาก็ใช้ไม้ไผ่เป็นเครื่องมือง้างปากเด็ก
อ้าว จริงๆ เมื่อก่อนแถวบ้านผู้เขียนมีตาแก่ๆ อยู่คนหนึ่ง เขาเรียกแกว่า ตาไผ่ อาจเป็นสมญาที่เขารียกกันก็ได้ เพราะแกมีกระบอกไม้ไผ่ไว้ง้างปากเด็ก กระบอกนั้นทำด้วยไม้ไผ่ขนาดเล็ก ตัดหัวท้ายปล้องให้เหลือยาวสักคืนหนึ่ง ปลายข้างหนึ่งนั้นปาดเฉียงไว้ ลักษณะเหมือนปากพวยกาน้ำ เวลาจะทำทารุณกรรมเด็กก็เอาตรงปลายไม้ไผ่ที่เหมือนพวยกานั้นแหละ งัดฟันเด็กที่ขบไว้แน่นออก แล้วเอายาละลายน้ำกระสายยาให้เหลวหน่อย เทเข้าไปทางอีกด้านของกระบอกไม้ไผ่ ยาก็จะไหลเข้าคอเด็กได้สบาย โดยเด็กหมดหนทางแก้แค้น ก็ใช่ใครจะกัดกระบอกไม้ไผ่เข้าไปลง
ตาไผ่นี้เป็นที่กลัวเกรงของพวกเราเป็นอันมาก แค่รูปร่างของแกก็เต็มกินแล้ว แกรูปร่างสูงใหญ่ หน้าดุ เวลาเดินไปไหนแกจะไม่ใส่เสื้อ นุ่งแต่กางเกงขาก๊วยสีกรมท่า เอาผ้าขะม้าพาดไหล่ มีถุงย่ามสะพายบ่า แล้วในถุงย่ามนั่นแหละ เรารู้ แกมีเครื่องยาพร้อม มีโกร่งด้วย มีกระบอกไม้ไผ่เจ้ากรรมอันนั้นด้วย แกเป็นหมอเด็กมือหนึ่งนะ ส่วนยายหมอตำแยน่ะเป็นมือสอง คือ เด็กคนไหนที่ยายหมอแกหมดปัญญาที่จะกวาดยาได้ เพราะดิ้นเก่งแล้วยังกัดเก่งอีกด้วย ยายหมอแกก็จะสั่นหัว ให้เจ้าของเด็กไปเรียกตาไผ่มาเถอะ เจ้าของเด็กก็ต้องรีบไปตามตาไผ่มา ตาไผ่แกก็มาจัดการเดี๋ยวเดียวเรียบร้อย เด็กไม่มีทางไม่กลืนยาได้
แต่เด็กบางคนก็เอาตัวรอด อย่างผู้เขียนนี้ไม่เคยถูกตาไผ่กรอกยาเลยเพราะผู้เขียนกลัว พอเขาบอกว่าจะไปตามตาไผ่มาละโว้ยใครไม่กินยา ผู้เขียนก็จะรีบกล้ำกลืนฝืนซดจนหมดโกร่งทันที เรื่องอะไรจะยอมให้เอากระบอกไม้ไผ่มางัดฟัน
แต่ไอ้จุกซีมันเคย ตอนแรกมันคุยนักคุยหนาว่ามันไม่กลัวหรอกตาไผ่ ลองมาปล้ำมันซีมันจะดิ้นให้น่าดู แต่แล้วเมื่อไข้หัวลมมาเยือนในคราวหนึ่งมันก็เสร็จ ผู้เขียนไม่ได้เห็นกะตาเองหรอก แต่คนเขาเล่ากัน เขาว่ามันก็ดิ้นน่าดูจริงๆ แต่มันถูกตาไผ่ขึ้นไปขี่อยู่บนอก แล้วตาไผ่กะไอ้จุกน่ะมันเปรียบมวยกันได้ที่ไหน ที่สุดมันก็แพ้โดนตาไผ่กรอกยา
ตั้งแต่วันนั้นไอ้จุกเลิกพูดถึงตาไผ่เลย เจอกันที่ไหนมันจะทำเป็นมองไม่เห็น หันไปทางอื่นเสีย เรียกว่า เจอเข้าหนเดียวก็เข็ด ครั้งหนึ่งก็เกินพอ ไอ้จุกหายซ่า
จาก ต่วย' ตูน กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น