...+

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ศิลปะการเตรียมการปรุง การเสิร์ฟ และการรับประทานอาหาร

ศิลปะการเตรียมการปรุง การเสิร์ฟ และการรับประทานอาหาร
เป็นศาสตร์ที่คิดค้นโดยบรรพบุรุษจากสามัญสำนึกตาม
ธรรมชาติที่ควร จากสัดส่วนของฟันกราม 24 ซี่ ที่พัฒนาให้คนแตกต่างจาก
สัตว์อื่นคือ มีส่วนสมองสามารถคิดตรึกตรอง มีสติปัญญานั้นได้พัฒนาพร้อม
กับข่าวในตระกูลพืช ที่เพาะปลูกตามบรรยากาศ 4 ฤดูกาลของฟ้า-ดิน เมื่อ
ยุคหลัง จากสภาวะอากาศบนโลกสมดุล คงที่และอุณหภูมิพอเหมาะ
ข้าวเป็นอาหารคู่กับสมองคน ข้าวจึงจัดเป็นสัดส่วนมากที่สุดเพราะสำคัญที่
สุดในเมนูอาหารของมนุษย์ โดยมีข้าว 50% ถึง 60% เท่ากับฟัน 20 ซี่ใน
32 ซี่ หรือ 5 ใน 8 ส่วน

นับพันปีมาแล้วที่มนุษย์รับประทานข้าวเป็นอาหารหลักและปัจจุบัน จวบจน
ต่อไปสู่อนาคตอีกนับพันๆ ปี ข้าวก็ยังต้องเป็นอาหารหลักเสมอ
เพราะระบบในร่างกายคนเราไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีก
ทุกเมื่อในเมนูอาหารต้องมีข้าวกล้องเป็นหลักตลอดกาล
นี่คือกฎธรรมชาติ ต่อมารับประทานพืชจำพวกถั่ว งา ถือว่าใกล้เคียงกับข้าวคือเป็นเม็ดอัดแน่น
ด้วยพลังหยางให้พลังสูงแต่ขนาดเม็ดเล็ก เราจึงจัดถั่วเป็นอาหารช่วยบำรุง
ส่วนล่างของร่างกาย จากเท้าสู่ลำตัว ต่อมารับประทานพืชทะเลสาหร่ายทะเลเป็นพืชอุดม
ด้วยแร่ธาตุจากทะเลเป็นพืชโบราณแต่กำเนิดให้ความเป็นด่างและมีธรรมชาติ
เดียวกับสภาวะลำไส้ใหญ่ของคนเราที่เป็นที่กลั่นกรองกากอาหารขั้นสุดท้าย
ก่อนถ่ายทิ้งจากร่างกายลำไส้มีจุลชีวิตเป็นพวกพยาธิคล้ายไส้เดือน คล้ายลูก
อ๊อด ลูกน้ำ ลูกกบ เป็นส่วนเดียวกับธรรมชาติในน้ำอสุจิชายหรือมดลูก ระดู
ตกขาวของสตรี อาหารประเภทสาหร่ายทะเล จะช่วยสร้างดุลให้กับร่างกาย
คนเรา ส่วนอวัยวะเพศกับลำไส้ ต่อมาเรารับประทานพืชรากที่อยู่ใต้ดินได้แก่
ขิง ข่า หัวผักกาด แครอท อาหารเหล่านี้ช่วยสร้างดุลยภาพในระบบ
ส่วนล่างลำตัวเพราะพลังจากฟ้าที่จุติในพืชรากมีสูงมากทำให้ฐานรากคนเรา
ได้รับพลังธาตุดิน หรือทำให้คนเราติดดิน ต่อมาพืชพวกแตง ฟัก ที่กลวง
ตรงกลางเหมาะสำหรับอวัยวะกลวง ลำไส้เล็ก กระเพาะต่างๆ เพราะพลัง
สมพงศ์กัน ต่อมาเรารับประทานผักพืชที่เป็นผักสวนครัวทั้งผัดหรือต้มร่วมกันเป็นต้มผัก
ย่อมให้ธาตุต่างๆ ครบวงจรเราจะเน้นหนักที่ผักสดในเขียวบ้างก็เพื่อช่วยการบำรุง
ส่วยอวัยวะปอดที่ต้องการพืชเขียว หรือโคโรฟินหรือช่วยสังเคราะห์พลังของ
ปอดเป็นพืชสมัยใหม่ซึ่งเกี่ยวโยงกับวิวัฒนาการมนุษย์จากสัตว์น้ำเป็นสัตว์
บก และเป็น สัตว์ที่มีระบบการหายใจด้วยปอด และระบายความร้อนทางผิวหนัง
ผักสดสลัดคู่กับปอด ส่วนท้ายของเมนูอาหารควรบรรจุอาหารประเภทผัก
ดองเล็กน้อย เพื่อเป็นการช่วยสร้างพลังในการย่อยสารอาหารในกระเพาะ
เพราะผักดองมีจุลชีพและการทำงานของสภาวะความเป็นด่างเพื่อ
ควบคุมสภาวะน้ำย่อยให้คงที่ รวมไปถึงเครื่องมือตอนท้ายของการรับ
ประทานมื้อหนึ่งของอาหารให้ครบสมบูรณ์คือ น้ำชาน้ำชาคือเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเป็นยาของคนจี
นนับพันปีมาแล้ว น้ำชาเป็น ด่างช่วยย่อยไขมันเป็นกรดลดความเข้มข้นของน้ำตาลในเลือด น้ำชาอุ่นให้
ความร้อนพลังงานง่ายต่อการย่อยอาหารของกระเพาะ กระเพาะจะแข็งแรง
ไม่จุกเสียด และลดมลพิษจากอาหาร ปัญหาเรื่องสิวใบหน้าจะลดลงด้วย
การรับประทานอาหารที่กฎง่ายๆ ที่ควรระลึกไว้ก็คือ ให้เริ่มรับประทานของที่
เป็นหยางก่อน แล้วต่อมาจึงเป็นหยินในที่สุด จากข้าว ถั่วพืชรากล้วนเป็นหยางเด่นเป็นใบผักต้มผัก
เป็นน้ำชาของเหลวเป็นหยิน ประกอบกับมีการปรุงอาหารด้วยปัจจัยน้ำ ไฟ
ความร้อน น้ำมัน ทำให้เราสามารถปรับดุลพลังในอาหารจากพืช
ผักดิบและ อาหารที่มีคุณค่าต่อสุขภาพและควบคู่กับอวัยวะภายในตามแบบฉบับที่ธรรมชาติ
วางแนว กำหนดนโยบายเอาไว้ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์
การเคี้ยวอาหารเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนมองข้าม ทุกมื้อ ทุกวัน
คนโบราณเปรียบปากฟันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผลิตผลในธรรมชาติได้ผ่านประตูแรกเข้าสู่
อาณาจักรของสิ่งมีชีวิตการเคี้ยวคือการคารวะต่อบรรพบุรุษของธรรมชาติ
ผู้ให้กำเนิดแห่งสรรพสิ่ง

การเคี้ยวอาหารในปากพร้อมน้ำลายให้ประโยชน์ 3 ระดับคือ
1. การเคี้ยวเป็นการช่วยย่อยโครงสร้างโมเลกุลของ
หน่วยต่างๆ ในอาหารให้เล็กและย่อยออกเป็นส่วนในแง่ของโครงสร้างคือ ทำให้เล็กลง

2.การเคี้ยวเป็นการช่วยสกัดหรือบีบคั้นสารอาหาร
ที่คลุกเคล้ากับน้ำลายให้ได้รับการเตรียมการง่าย
ต่อการดูดซึมต่อไปในกระเพาะและลำไส้ เป็นการดูดซึมก่อนเบื้องต้น

3. การเคี้ยวเป็นการถอดรหัสพลังในรูปสาร
ธรรมชาติให้ตรงตามและสะดวกง่ายต่อ
การทำงานขั้นต่อไปในลำไส้เล็กและใหญ่ ทั้งนี้เราต้องไม่ลืมว่าหลังจากการกลืนอาหารลงคอ
แล้วในกระเพาะไม ่มีอุปกรณ์เครื่องมือที่แข็งและ
มีความสามารถในการบดหรือทุบเคี้ยวหั่นใดๆ
นอกจากใช้น้ำย่อยเป็นปัจจัยหลักและการ
สั่นสะเทือนของหลอดลำไส้ที่เคลื่อนไหวเหมือน
กระแสคลื่นในทะเลเป็นพลังงานช่วยใน การย่อยเท่านั้น

ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือและสงสารโดยการลดภาระ
การปฏิบัติหน้าที่ของระบบย่อยอาหารของเรา เราควรฝึกฝน หมั่นขยันในการ
เคี้ยวอาหารให้นาน และละเอียดกว่าเดิมมากขึ้นจนเป็นนิสัย การเคี้ยวเป็น
การป้องกันและดูแลสุขภาพร่างกายที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำ
เป็นต้องพึ่งยา หรือหมอในการรักษาโรคภัยที่อาจจะตามมาภายหลัง
การเคี้ยวจึงเป็นศิลปะการป้องกันตัวของมนุษย์เบื้องต้น
ที่เราควรอนุรักษ์และส่ง เสริมให้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่
การเสื่อมของวงการยาปรากฏออกมาเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า มีแต่ผลร้ายตาม
มาในที่สุด
โดยคุณ : คารวะบรรพบุรุษ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น