...+

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2550

เมตตา..


เมตตาคือความรัก ความปรารถนาดีให้เขามีความสุข การเจริญพรหมวิหาร 4 เริ่มต้นด้วยการเจริญเมตตาก่อน เพราะกรุณา มุทิตา และ อุเบกขานั้น เป็นคุณธรรมที่สูงขึ้น ไปตามลำดับ ต้องใช้กำลังสติปัญญามากยิ่งๆขึ้นไป

เมตตาเป็นบารมีอย่างหนึ่ง
เริ่มต้นให้ฝึกมีเมตตาแต่ตนเองก่อน
พ ยายามฝึกหัดขัดเกลาจิตใจให้มีความรู้สึกที่ดีออกมาให้เป็นไปตามธรรมชาติและใ ห้สังเกตศึกษาถึงความรู้สึกนึกคิด ที่เป็นข้าศึกคอยกีดขวางไม่ให้เกิดความรู้สึกที่ดีออกมา ความรู้สึกที่ไม่ดี จริตนิสัยที่จะคิดไปในทางที่ไม่ดี ซึ่งจะตรงข้ามกับเมตตา ทั้งทางกาย วาจา และ ใจ..

เช่น คิดอาฆาตพยาบาท คิดเบียดเบียน คิดแต่เรื่องกามารมณ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้าศึกต่อความเมตตา กามารมณ์คือความรักใคร่พอใจในเรื่องของกาม กามราคะตัณหาเป็นอุปสรรคในการมีเมตตาเป็นความรู้สึกที่ทำให้เกิดความเห็นแก่ ตัว อยากจะได้เขามาเป็นของเรา เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการมันเกิดความไม่พอใจ โกรธแค้น บางครั้งถึงกับฆ่าตัวตาย ทำลายชีวิตเขา ถ้าเราสามารถรักษาศีลให้มั่นคงได้ก็จะไม่เกิดเรื่องเดือดร้อนไปเบียดเบียนใค ร แต่ถ้ากามารมณ์รุนแรงมาก ก็ควรที่จะพิจารณาร่างกายของตนว่าเป็นอสุภะ ไม่สวย ไม่งาม เป็นปฎิกูล พยายามสงบระงับซึ่งกามารมณ์ จนรู้สึกได้ว่าทุกคนเป็นพ่อแม่ เป็นญาติพี่น้องของเรา คืออยู่ในวัยเดียวกับพ่อแม่ ก็ทำให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพ่อแม่..

ถ้ าวัยเดียวกับพี่ชาย พี่สาว หรือน้องชาย น้องสาว ก็ทำความรู้สึกเหมือนเป็นพี่ชายพี่สาว หรือน้องชาย น้องสาว ตามนั้น ทำอารมณ์ให้เย็น ใจเย็น หลุดจากโทสะ จากราคะ ทำให้มีความพอใจ สุขใจ และพยายามให้ความปรารถนาดีนี้เผื่อแผ่ไปถึงยังทุกคน

ฝึกคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี เรื่องส่วนตัวและเรื่องรอบๆตัวทั้งโลก เมื่อไม่ดี ไม่ถูกใจ ให้พักไว้ สงบเงียบอยู่ในใจ รู้อยู่ เห็นอยู่ แต่ไม่ต้องปรุงแต่งขึ้นมา มีหิริโอตตัปปะ ต่อคำว่า ไม่ดี รักษาใจ รักษาความรู้สึกที่ดีไว้ เมื่อรู้สึกดี ก็สบายใจ สุขใจ คิดดี พูดดี ทำดี

ส่งความรู้สึก กระแสจิตของใจดี สุขใจนี้ออกไป ความเมตตาจะทำให้เราไม่คิดร้าย ไม่พูดร้าย และไม่ทำร้ายใคร ที่สุดของความเมตตาคือจะไม่มีความพยาบาทเกิดขึ้นในใจ แม้ว่าจะมีผู้คิดร้าย พูดร้าย ทำร้ายเราก็ตาม เป็นความเมตตาที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีประมาณ เป็นเมตตาที่มีให้แม้แต่กับศัตรู ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่า

"แม้ถูกเขาจับมัดมือมัดเท้า แล้วเอาเลื่อยมาเลื่อยจนร่างกายขาดสองท่อน หากยังคิดโกรธ อาฆาต พยาบาทอยู่ ผู้นั้นไม่ชื่อว่าเห็นธรรม"

คัดลอกจากหนังสือสาระแห่งชีวิตคือรักและเมตตา - พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

....

ท ี่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ให้ละซึ่งความโกรธ ความอาฆาตนั้น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมากในความรู้สึกของคนธรรมดาเช่นเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนที่ถูกมัดมือมัดเท้าแล้วทำร้ายนั้นคือคนที่เรารัก คงยากยิ่งนักที่จะให้อภัย คงต้องใช้เวลาและการฝึกฝนอย่างมหาศาลแน่นอนถึงจะทำได้..

ในสังคมปัจจ ุบันยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นคือ แค่การมองหน้ากันธรรมดา ก็สามารถสร้างเรื่องราวขัดแย้งให้เกิดขึ้นได้ โดนรถปาดหน้าก็เป็นอันต้องมีผรุสวาทวาจาออกมา ผู้หญิงและเด็กก็ถูกทำร้ายมากขึ้น...ความเมตตาในหัวใจคนน้อยลงไปทุกที

ดังนั้น..ถ้าจะทำสิ่งใหญ่ๆให้ได้...คงต้องเริ่มที่สิ่งเล็กๆน้อยๆก่อนกระมัง


.....


ที่มา http://weblog.manager.co.th/publichome/myprecious/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น