...+

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2550

มุทิตา..


มุทิตาคือความยินดีเมื่อเขาได้ดี เห็นเขาอยู่ดีมีสุข เจริญก้าวหน้า ก็พลอยแช่มชื่นเบิกบานใจ ไม่คิดอิจฉาริษยาและพร้อมที่จะส่งเสริม สนับสนุน

สำหรับคนทั่วไป แม้มีเมตตากรุณามากพอสมควรแล้วก็ตาม แต่ที่จะมีมุทิตาจากใจจริงนั้น ยังหายาก ปกติเมตากรุณาคือการเผื่อแผ่ให้คนที่ด้อยกว่าตน มุทิตาทำจิตพลอยยินดีกับบุคคลที่มีความสุข อาจจะมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มากกว่าตน ปกติจิตใจที่เห็นแก่ตัว มักจะเกิดความรู้สึกอิจฉา ริษยา น้อยอก น้อยใจ ฯลฯ เป็นธรรมดา

เราจึงต้องพัฒนาจิตใจให้มีมุทิตาต่อตนเองก่อน หมายถึง หัดนิสัยมองดูตนเองให้มากๆ อย่าเปรียบเทียบแต่กับคนที่ดีกว่าเรา คนที่มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข น้อยกว่าเราก็มีมาก พลเมืองในโลกนี้มีประมาณหกพันล้านคน เป็นคนยากจนที่ไม่เคยมีข้าวกินอิ่ม หนึ่งในห้าส่วนก็เท่ากับคนพันสองร้อยล้านคนที่กินข้าวไม่อิ่ม

คนที่อยู่ในสังคมที่ไม่สงบ อยู่ท่ามกลางสงคราม ป่วยเป็นโรค ติดยาเสพติด มีปัญหาในชีวิตมากมาย มองดูตน จะเห็นว่าเรามีโอกาสดีอีกหลายๆคน อย่างน้อยก็ให้เกิดสันโดษขึ้นในจิตใจ ยินดีในสิ่งที่ได้ พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ขอบคุณหลายๆคนที่ช่วยสนับสนุนชีวิตของเรา

เมื่อเรามองดูชีวิตของตนด้วยใจเป็นธรรม ใจเป็นศีล ใจมีเมตตา กรุณาแล้ว จะเกิดความพอใจ สุขใจในฐานะของตน สันโดษพอใจในชีวิตตนปัจจุบัน เมื่อใครได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เขาพอใจ มีความสุข เราก็พลอยยินดีกับเขา ยิ่งพลอยยินดีกับความสุขของเขา เราก็ยิ่งเพิ่มความสุขในใจตนยิ่งๆขึ้นไปอีก

มุทิตาธรรมที่สมบูรณ์ จึงต้องประกอบด้วยคุณธรรมของความเมตตาและกรุณาอยู่ในตัวนั่นเอง


คัดลอกจากหนังสือ สาระแห่งชีวิตคือรักและเมตตา - พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

ขออนุญาตเผยแพร่เป็นธรรมทาน..

......

ใ จเปี่ยมด้วยเมตตา ย่อมปรารถนาให้เขามีความสุข ยามเขาทุกข์ก็ใช้ความกรุณาช่วยปลดเปลื้องแก้ไข ชี้ทางที่สว่างให้ หากเมื่อเขาได้ดี มีความสุข เจริญก้าวหน้าในลาภ ยศ สรรเสริญแม้ทุกอย่างจะมีมากกว่าเรา ก็ใช้ความมุทิตาเป็นที่ตั้ง ยินดีกับเขาโดยไม่คิดอิจฉาริษยาแต่อย่างใด..

.......



ที่มา http://weblog.manager.co.th/publichome/myprecious/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น