...+

วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2550

The Icon ; ปรากฏการณ์คน : ชีวิตที่ขวนขวายสู่จุดสูงสุด จนกลับมาสู่ความสุขที่แท้จริงของพรศักดิ์ ส่องแสง

รายการดิไอคอน ปรากฏการณ์คน ที่ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 20 เม.ย. 2550 เป็นการสัมภาษณ์คุณ บุญเสาร์ ประจันตะเสน หรือ พรศักดิ์ ส่องแสง ไอ้หนุ่มแขนซ้ายลายมังกร คนอุดรธานี

เจ้าของเพลงดังที่แจ้งเกิดจนเป็นที่รู้จักกันทั้งประเทศเมื่อ 21 ปีที่แล้ว “เต้ยสาวจันทร์กั้งโกบ”

ปัจจุบันนี้ พรศักดิ์ อายุ 47 ปี เคยหยุดหายใจ 2 ครั้ง เพราะโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งพยายามรักษาสุขภาพร่างกายอย่างระมัดระวัง ยังไม่มีเวลาไปทำบอลลูน ทำการรักษา เนื่องจากติดคิวคอนเสิร์ตเดินสายไปตามต่างจังหวัด หากมีเวลาว่างตอนไหน จะทำการรักษาตัวต่อไป



ชีวิตในวันนี้ของพรศักดิ์ ส่องแสง มีความสุขมากกว่าวันวาน วันที่พยายามขวนขวายเพื่อเป็นนักร้องลูกทุ่งหมอลำอันดับ 1 ของเมืองไทย

จากแรกเริ่มบนเส้นทางนักร้อง เริ่มจากการเป็นนักร้องคั่นเวลาที่ขึ้นร้องเพลงบนเวทีก่อนนักร้องดังจะขึ้นเวที ซึ่งมีนักร้องคั่นเวลาอีกหลายคน จนถึงวันหนึ่ง ครูเพลงให้โอกาส อัดเพลงให้กับนักร้องหน้าใหม่ทุกคน

แต่โชควาสนาของคนเราไม่เท่ากัน แม้ว่า นักร้องคนอื่นจะหน้าตาดีกว่า เสียงดีกว่า แต่โชคชะตาของพรศักดิ์ กลับมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากกว่าใครๆ

พรศักดิ์ร้องเพลงลำก่อน แล้วจึงมาร้องเพลงลูกทุ่ง โดยชุดแรก คือ เพลง เสือสำนึกบาป ซึ่งเป็นเพลงลำ แล้วมาร้องเพลง ลูกทุ่ง คือ หนุ่มนานครพนม (เสื้อขาดจ่องวอง แจงแวง) ซึ่งเพลงโด่งดัง จนเป็นที่รู้จักทันที


ปี 2532 ดังสุดๆกับเพลง เต้ยสาวจันทร์กั้งโกบ โดยคิดนอกกรอบ ทำเพลงให้มันแปลก ไม่ซ้ำใคร เอาลูกทุ่ง ผสมกับเพลงอีสาน มีท่อนภาษากลาง + ท่อนร้องหมอลำ ทำให้โด่งดังแบบสุดๆ เป็นนักร้องดัง ขึ้นป้ายการแสดง ขึ้นชื่อพรศักดิ์ ตัวโตๆเป็นชื่อแรก ตัวใหญ่สมกับเป็นนักร้องดังของวงดนตรีทันที

(กั้งโกบ คือ การเอามืออังหน้าผาก จ้องดู)

พรศักดิ์ เป็นหมอลำคนแรกที่เดินสายเล่นดนตรีไปทางภาคใต้แทบทุกจังหวัด และมีคนดูเต็มทุกที่ ซึ่งในยุคนั้น มีนักร้องหมอลำน้อยราย ที่จะไปเล่นคอนเสิร์ตทางภาคใต้ได้

เมื่อไปแสดงทางภาคเหนือ คนก็นั่งเกวียนมารอดูพรศักดิ์ ส่องแสงซึ่งในยุคโด่งดัง เป็นวงดนตรีที่ใหญ่ที่สุดของอีสาน มีหางเครื่องเกือบร้อยคน (ในปัจจุบันนี้ วงดนตรีหมอลำชื่อดังมีหางเครื่องกว่า 200 คนเข้าไปแล้ว) ในยุคนั้น พรศักดิ์ เก็บเงินจากการแสดงได้หลายแสนบาท เดินสายทั่วประเทศ กลายเป็นนักร้องหมอลำอันดับ 1

พรศักดิ์ มีโอกาสได้ขึ้นเวทีเดียวกับเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย ในช่วงที่ออกอัลบั้มชุดแรกๆของเบิร์ดด้วย

เมื่อพรศักดิ์ ดังสุดๆแล้ว ชีวิตก็มาถึงคราวพลิกผัน จากดังสุดๆ กลายมาเป็นคนมีหนี้สิน ต้องไปอยู่ต่างประเทศช่วงหนึ่ง เพราะเป็นหัวหน้าวงดนตรี แต่ควบคุมคนไม่ได้ ลูกน้องไปเล่นการพนัน กินเหล้า เล่นไฮโล เป็นหนี้ เขาต้องตามไปจ่าย จนรายได้น้อยกว่า รายจ่าย ประสบภาวะขาดทุน จนเมื่อหมดงานที่รับไว้ จึงตัดสินใจขายเครื่องดนตรีไปทั้งหมด เลิกเลย....

จากนั้น ก็หันไปเล่นที่ดิน ลงทุนในธุรกิจต่างๆ จากเงินเก็บสะสมที่มีอยู่ ทำธุรกิจขนส่ง ซื้อรถสิบล้อ ซื้อสัมปทานรถโดยสารสายกาฬสินธุ์ – วังสามหมอมาทำอยู่ 2-3 ปี ทั้งๆที่ไม่มีความรู้เรื่องการเดินรถมาก่อน แต่เพราะเพื่อนชวนทำ เลยตัดสินใจทำ แต่ก็เก็บเงินได้วันละ 2-3 พันบาท เมื่อทำไปแล้ว ไม่คุ้ม ไปไม่ไหว ยางแบนบ่อย เครื่องมือ เครื่องยนต์หายไป ก็ขายกิจการออกไป แล้วไปอยู่ต่างประเทศ เงินเก็บที่มีอยู่ก็หมดไป มีหนี้สินขึ้นมาแทน

แต่พรศักดิ์ ส่องแสง มีแนวคิดที่สู้ ลุยตลอด

การที่ตัดสินใจไปต่างประเทศ เพราะถ้าอยู่เมืองไทย เหมือนเขาถูกลดศักดิ์ศรีนักร้องอันดับ 1 เคยรับค่าตัวเป็นหมื่น เมื่อชื่อเสียงตกลง ต้องมารับค่าตัวเพียงไม่กี่พัน เลยไม่รับดีกว่า จึงไปต่างประเทศ รับงานร้องเพลง ซึ่งคนไม่รู้จักว่าเขาประสบปัญหาอะไรมา จึงไม่ต้องกินศักดิ์ศรีเหมือนอยู่เมืองไทย


อยู่ต่างประเทศ รับเงินเป็นดอลล่าร์ เอามาแลกเป็นเงินไทย ก้ได้เงินหลายหมื่นหลายแสนเหมือนกัน จึงรู้ตัวว่า มาถูกทางแล้ว จึงตัดสินใจเดินสายร้องเพลงในต่างประเทศ ทั้งๆที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยจนปัจจุบัน รับร้องเพลงตามงานวัด งานใน Hall (ห้องประชุมที่เก็บตั๋วต่างๆ) สามารถเก็บสะสมเงินทองได้มากมาย นำมาใช้หนี้สินได้จนหมดหนี้

พรศักดิ์ ส่องแสง คิดตลอดเวลาว่า คนเรา ล้มได้ก็ลุกได้ อย่างแต่ก่อน เห็นวงดนตรีเสียงอีสาน ยุคก่อนยังเป็นวงเล็กๆ แต่ตอนนี้ กลายเป็นวงดนตรีใหญ่มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว

เดิมพรศักดิ์ ออกจากบ้านมีกางเกงยีนตัวเดียว เมื่อกลับมา ก็ยังมีกางเกงยีนตัวเดียว ก็ถือว่า ยังเท่าเดิม

จากแรกเริ่มอัดเพลงออกอัลบั้ม จนถึงปัจจุบัน พรศักดิ์ ส่องแสงยังอกเทปกับบริษัทเดียวมาตลอด ไม่เคยย้ายค่ายเลย เพราะเขาเกิดจากตรงนี้ จะจบหรือหยุดการออกเทป ก็ขอหยุดที่นี่....บริษัท เสียงสยาม แผ่นเสียงเทป จำกัด

ตอนที่เขาอยู่ต่างประเทศ เขาก็อัดเพลงมาให้บริษัทจำหน่ายให้ในเมืองไทย จนเพลงที่ทำใหม่ โด่งดัง ตั้งแต่ชุด เมียไม่มาไม่เจอ และชุด มีเมียเด็ก เจ้าของค่ายเพลง จึงเรียกให้พรศักดิ์ กลับไทยได้แล้วนะ ดังเหมือนเดิมแล้ว มีงานคอนเสิร์ตติดต่อเข้ามาแล้วนะ

ในวันนี้ บริษัทเทป ขายเพลงของเขาไป แต่การรับงาน พรศักดิ์จะรับงานด้วยตัวเอง แยกกันเป็นสัดส่วน สบายใจด้วยกันทุกฝ่าย

ในวันนี้ พรศักดิ์ มีบ้านอยู่ 2 ที่ คือ ที่อุดรธานี ซึ่งเป็นบ้านในตัวเมือง ราคาแพง 2-3 ล้านบาท แต่เขาไม่ชอบอยู่ในเมือง เขามักจะอยู่บ้านที่หนองบัวลำภูมากกว่า ซึ่งอยู่ในบรรยากาศชนบท ว่างๆ ก็ทำสวน บ่อปลา เลี้ยงไก่ หมู ยิงหนู ทอดแห หาปลา ใช้ชีวิตเป็นชาวนา ทำตัวแบบพอเพียง เมื่อมีงานร้องเพลง จึงจะใส่สูทเดินทางมาออกงาน ใส่หน้ากากออกสังคม

เขาชอบวิถีชีวิตในชนบท อย่างมีเงินน้อย แต่กินอาหารได้เต็มที่ เต็มโต๊ะ แต่มีเงิน 3000 บาท ไปนั่งกินข้าวใน กทม. ในโรงแรมหรู นั่งกินกันโต๊ะเล็กๆ กับข้าวนิดเดียว

สุดท้าย พรศักดิ์ ส่องแสง ความสุขก็กลับมาที่เดิม ซึ่งเขามีความสุขมากกว่า สมัยที่เขาเป็นนักร้องหมอลำอันดับ 1
เพราะเขาขึ้นไปถึงสุดยอดของอาชีพแล้ว ซึ่งเขาได้ขวนขวายอย่างเต็มที่แล้ว

ข้อคิดสำหรับคนอื่นๆ การจะไปถึงสุดยอดของอาชีพ ต้องขวนขวายไต่อันดับ ให้ยิ่งใหญ่ โด่งดัง แต่จำไว้ว่า ทุกอย่างไม่ยั่งยืน ไม่ได้อยู่เช่นนั้น ตลอดกาล เมื่อถึงจุดสูงสุด หรือยังไปไม่ถึงจุดนั้น ต้องทำใจ ยอมรับอย่างเข้าใจในชีวิต หาทางลงอย่างสวยงาม เพื่อสัมผัสความสุขที่แท้จริงของชีวิต


นั่นคือ เนื้อหาที่ได้รับฟังจากรายการดิไอคอน ปรากฏการณ์คน เมื่อ ค่ำคืนของวันที่ 20 เม.ย. 2550 ครับ


เพิ่มเติมจากคำสัมภาษณ์

"หลังจากครูคำหอมอาจารย์ของผมท่านเสียชีวิต ผมก็มารับช่วงวงจากท่าน คือซื้อวงต่อ ทำมา 2 ปีไม่ไหว มันได้แต่ชื่อเสียงไม่ได้เงิน กลายเป็นหนี้เขา เป็นเพราะเราคุมคนไม่ได้ ไม่มีอำนาจ ไม่มีบารมีเหมือนครูคำหอม คนในวงรุ่นใหญ่กว่าทั้งนั้นเขาไม่ค่อยเชื่อฟังเรา สั่งอะไรไม่ทำอย่างที่เราสั่ง มีเพื่อนๆ ก็ไม่จริงใจ สุดท้ายผมก็เลยคิดว่าหยุดดีกว่า ผมเลยขายทุกอย่างในราคาที่ถูกมาก ถามว่าเสียใจมั้ย ผมไม่เสียใจไม่เสียดาย ผมเป็นคนแฟร์ ผมคิดว่าผมมาก็ไม่ได้มีอะไรมา"

"หลังจากนั้นก็ไปทำรถบัสแดง ทำไร่อ้อย ทำสิบล้อ ทุกอย่างเจ๊งขาดทุนหมด เป็นหนี้เขาอีก เป็นช่วงลำบากชีวิตในเมืองไทยเป็นช่วงขาลง จ้างไปทำงานก็ราคาตก ผมก็ไม่ทำถึงจะอดก็อดอย่างมีศักดิ์ศรี สุดท้ายเลยตัดสินใจไปหาเงินที่ต่างประเทศ ไปร้องเพลง ผมไปได้ทุกที่ เพราะเมื่อก่อนเวลาเข้าหน้าฝนเข้าพรรษา ครูคำหอมเขาก็จะพาเราไปทำบุญต่างประเทศ ไปวัดไทยในสวิสฯ เยอรมัน อังกฤษ พ่อเสียเราก็กลับไปสายเดิม พรรคพวกเพื่อนฝูงก็ชักชวนให้ไปช่วยงาน ผมลำบากนะ แต่เงินดี ได้มากกว่าเมืองไทย และที่นู่นทุกคนยังต้อนรับเราแบบซูเปอร์สตาร์อยู่"

"ผมทำงานหนักนะ แต่ทำได้เพื่อความอยู่รอดของครอบครัวของพี่น้อง ช่วงหลังกลับมาเมืองไทยก็มาอัดเพลงทิ้งไว้ แล้วกลับไปทำงานต่อ ชุดแรก อยากจะร้องไห้ก้องไปทั้ง... กระแสมา พอมาชุดสอง ตอนเมียไม่มี ทำไมไม่เจอ ก็มาอีก ก็เลยใส่ชุด 3 เข้าไป มีเมียเด็ก ก็ได้อีก ตอนนี้เลยไม่ได้ไปไหนเลย 3 - 4 ปีนี่อยู่แต่เมืองไทย ก็ถือว่าเราโชคดี ถ้าจะให้กลับไปทำวงตอนนี้ผมไม่ทำแล้ว เขาสร้างให้พรศักดิ์มาเป็นนักร้อง ไม่ใช่ผู้บริหาร ถ้าทำวงก็เจ๊งอีก"

"ทุกวันนี้ถ้าไม่มีงานผมก็อยู่บ้านสบายๆ อยู่ที่อีสานหนองบัวลำภู เวลาอยู่บ้านผมมีความสุข ไม่เหงา ผมมีไร่ มีนา มีสวน เลี้ยงวัว จับปลา เป็นชาวบ้านเต็มขั้นอยู่อย่างพอเพียง ผมถือว่าผมโชคดี ผมประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว เพราะหมื่นคน ล้านคนก็ไม่ได้เหมือนเรา จบป.4 มาได้ระดับนี้ อยากจะไปประเทศไหนก็เก็บกระเป๋าไปได้เลย ไม่รวย แต่มีทุกอย่างพอเพียงให้ดูแลครอบครัวได้"

"ส่วนเรื่องสุขภาพ ตอนนี้ผมสุขภาพไม่ดีเป็นโรคหัวใจตีบ หัวใจขาดเลือด ทุกวันนี้กินยาคุมมันอยู่ พร้อมเมื่อไหร่จะไปทำบอลลูน ช่วงนี้งานเยอะอยู่ เอาเถอะ ผมไม่แคร์หรอกความตาย ตายก็ตาย เพราะว่าก็จะตายมาหลายเที่ยวแล้ว ปีนี้สองครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 15 มกราคม มันแน่นหน้าอก พูดไม่ได้เลย มารู้ตัวอีกทีก็อีกวันนึง..."
..........

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น