...+

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2550

ยามเฝ้าแผ่นดินในแบบฉบับเดี่ยวไมโครโฟน 20 เม.ย. 2550 โดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล

วันศุกร์ที่ 20 เม.ย. 2550 เวลา 20.30-22.00 น. รายการยามเฝ้าแผ่นดินที่ออกอากาศทาง ASTV News 1 กลับมาอีกครั้ง กับการเดี่ยวไมโครโฟนของ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

เปลี่ยนรูปแบบใหม่แบบนี้ นานๆโผล่มาที ชักจะคิดถึงเหมือนกัน แต่คุณสนธิได้อธิบายแนวคิดว่า วันจันทร์ ถึง วันพฤหัสบดี จะมียามคนอื่นๆ มาเข้าเวร ทั้งคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ , คุณจินดารัตน์ เจริญไชยชนะ สลับกันเป็นผู้ดำเนินรายการ และมี อ.ปานเทพ พงษ์พัวพันธ์ และคุณคำนูณ สิทธิสมาน มาวิเคราะห์ข่าวสารการเมืองที่เกิดขึ้นวันต่อวัน ส่วนคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ขอพูดคนเดียว เพื่ออธิบายภาพรวม หรือป่าทั้งป่า ในวันศุกร์ เป็นเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง

รับชมแล้ว มองเห็นภาพรวมจริงๆ

เมื่อมาจัด 1 วัน ดูแล้วคุณสนธิ ลิ้มทองกุลดูสดชื่นมากขึ้น เพราะมีเวลาพักมากขึ้น และดูขลังยิ่งขึ้น
โผล่มาวันนี้ ห้อยจตุคามรามเทพมาด้วย ซึ่งคุณสนธิ บอกว่า จตุคามนั้น เริ่มเป็นที่รู้จักจากการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เริ่มมีการนำธงพระยาชิงชัย และเริ่มมีการนำจตุคามรามเทพมาแจกจ่ายในที่ชุมนุมของพันธมิตร จนเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ

ASTV ถือว่า เป็นทีวีเสรีอย่างแท้จริง เพราะไม่ขึ้นกับทุนที่ครอบสังคมไทยจากบริษัทใหญ่ๆ ที่สื่ออื่นๆ ไม่กล้าไปแตะต้อง เพราะจะไม่ได้รายได้จากค่าโฆษณา แต่ ASTV กล้าแตะ กล้าบอกถึงความไม่ชอบมาพากล จึงต้องพึ่งพาการสนับสนุนรายได้จากประชาชน โดยหนึ่งช่องทางในการสนับสนุนผ่านช่องทางของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินนั่นเอง เพื่อให้สามารถที่จะยืนหยัดนำเสนอข้อมูลอยู่ได้

จัดว่า ไม่ถอดใจ มั่นคงในจุดยืนอย่างมาก

มุมมองการวิเคราะห์ของคุณสนธิในเรื่องต่างๆ ได้ให้ความรู้อย่างมาก เสียดายที่คนอีกหลายภาคส่วน ไม่มีโอกาสได้ชมรายการนี้ ซึ่งในเวลาเดียวกัน หลายคนต่างเฝ้าดูรายการละครทีวีอย่างใจจดใจจ่อ

คนรู้ทันเกมการเมือง จึงเป็นคนที่รับข้อมูลข่าวสารจาก ASTV และจาก Nation TV ด้วย ในขณะที่คนที่เข้าไม่ถึงข้อมูล จึงตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มการเมืองในการปลุกระดมเพื่อข้อเรียกร้องและผลประโยชน์ต่างๆ

แม้จะยากลำบาก ในการยืนหยัดต่อสู้กับความไม่ถูกต้องในสังคม แต่หลายคนหลายส่วนก็ยังติดตามให้กำลังใจให้นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ให้ปัญญาแก่ประชาชนต่อไป



//////////////

ข้อมูลเพิ่มเติม รายละเีอียดในรายการ

//////////////

“สนธิ”ชำแหละแผนภูมิอำนาจ “ฤาษี”ฮั้วทุนเก่า-ใหม่ ถีบส่ง ปชช.-นำวงจรอุบาทว์หวนคืน
ที่มา http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000045498


“สนธิ”แฉแผนภูมิอำนาจ อำมาตยาธิปไตยจับมือทุนเก่า ขณะทุนใหม่แทรกตัวเข้าร่วมผ่าน รมต.บางคนในรัฐบาลสุรยุทธ์ ขณะที่พันธมิตรฯ ชนชั้นกลาง ประชาชนที่มีปัญญากำลังจะถูกถีบออกวงนอก นำวงจรอุบาทว์ทางการเมืองหวนคืน พร้อมเตือนพี่น้องพันธมิตรอย่าหลงกลออกไปชุมนุม จนเกิดการปะทะ เข้าทางกลุ่มอำนาจที่จะใช้กำลังปราบทั้ง 2 ฝ่าย

ในช่วงที่ 2 ของรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 20 เม.ย. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้อธิบายถึงโครงสร้างอำนาจการเมืองของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ว่า ในอดีตนั้น (ภาพที่ 1) โครงสร้างอำนาจประกอบด้วยกลุ่มทุนเก่า อภิสิทธ์ชน อำมาตยาธิปไตยบางส่วนทับกันอยู่ โดยในสมัยก่อนการจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นแบบรัฐบาลผสม ส่วนการเลือกตั้งในสมัยก่อนก็เอาเงินไปจ่ายให้กับประชาชน ถ้าได้เป็นรัฐบาลก็จะได้ผลประโยชน์มากมายมหาศาล ส่วนทหารในสมัยก่อนไม่ค่อยได้เข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ก็มีส่วนเชื่อมโดยมีการของบประมาณลับ หรืออะไรต่างๆ ซึ่งนักการเมืองก็ให้ เพราะกลัวว่าทหารจะฮึ่มใส่ จึงต้องมีสะพานเชื่อมโดยการให้ถือหุ้น และจัดสรรผลประโยชน์แล้วแบ่งกันกิน

จากนั้น นายสนธิ ได้แสดงภาพที่ 2 ซึ่งเป็นรูปแบบโครงสร้างทางการเมืองระบอบทักษิณยุคแรกโดยนายสนธิ กล่าวว่า ในสมัยก่อนนักการเมืองที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาล จะต้องพาดสะพานเข้าไปในกลุ่มทุนเก่า และไม่ว่าใครจะเป็นนายกฯ ในสมัยนั้น ท่อน้ำเลี้ยงอันนั้นก็ยังอยู่ โดยในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระยะที่ 1 จะเห็นว่าทุนเก่า อภิสิทธิ์ชนถูกเตะออกไป และเริ่มมีทุนใหม่เข้ามา ผสมกับอำมาตยาธิปไตย คือข้าราชการประจำ ซึ่งทุนใหม่เข้ามาโดยใช้พวกอำมาตยาธิปไตยผ่านอำนาจทางการเมือง และพรรคไทยรักไทยฉลาด ใช้หลักประชานิยมโดยเอาเงินไปให้ประชาชน แล้วเริ่มเข้าไปในระบบทหาร โดยดึงเอาเตรียมทหารรุ่น 10 ในสายทหารเข้ามาในรัฐบาล จึงเป็นการรุกคืบไปทีละคืบ

ต่อมา นายสนธิ ได้แสดงชาร์ตที่ 3 โดยระบุว่า เป็นโครงสร้างอำนาจเมื่อระบอบทักษิณ ระยะที่ 2 และการที่ไทยรักไทยมีถึง 377 เสียง เหมือนกับเขากลืนไปหมดแล้ว ประชานิยมขยายรากหญ้าออกไปมากขึ้น ทำให้ทุนเก่าเล็กลง และบริษัทต่างๆ ที่เป็นทุนเก่าต้องตัดสินใจว่าจะมารับใช้ทุนใหม่หรือไม่ และเมื่อ 3-4 ปีแรก ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ ทั้งตลาดหลักทรัพย์ ปตท. หุ้นทุกอย่างเข้ามาหมด จึงร่ำรวยกันอย่างมหาศาลบนความทุกข์ยากของแผ่นดิน บนความไม่โปร่งใส บนความขัดแย้งทางนโยบาย ส่วนทหารก็เริ่มขยายมากขึ้น และยังมีตำรวจครอบไปเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นแล้วเขามีอำนาจทางรัฐบาล มีอำนาจในการออกกฎหมาย ออกกฎหมายเพื่อเอื้อทุนเขา อำนาจเขาบังคับอำมาตยาธิปไตยให้สนองตอบได้

ต่อมานายสนธิ อธิบายภาพแผ่นที่ 4 เป็นรูปแบบโครงสร้างภายหลังจากการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ซึ่งก่อนหน้านั้น กลุ่มทุนเก่า และกลุ่มที่ถูก พ.ต.ท.ทักษิณรุกคืบ เมื่อสู้ไม่ได้จึงต้องเอื้อต่อระบอบทักษิณ แต่ขณะนั้นมีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ยอมรับไม่ได้ จึงออกมาสู้ และมีทุนเก่า-อมาตยาธิปไตยที่เคยถูกระบอบทักษิณรังแกเข้ามาร่วมในภายหลัง เมื่อเห็นว่าพลังของฝ่ายพันธมิตรมีมากขึ้น

นายสนธิ กล่าวอีกว่า พอเกิดเหตุการณ์ 19 ก.ย. ทุนเก่าก็สืบสานมาสู่ คมช. อำมาตยาธิปไตยสานเข้ามาสู่ทุนเก่า ทุนใหม่ไม่กล้าเข้ามาทางนี้โดยตรง แต่ว่าเข้าไปทางรัฐมนตรีบางคนของรัฐบาลชุด พล.อ.สุรยุทธ์ เช่น ผ่านทางนายธีระ สูตะบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ที่ปรึกษา ซี.พี. ผ่านมาทางนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมาจากธนาคารกรุงเทพ และนายวีระชัย วีระเมธีกุล ลูกชายนายสุชัย วีระเมธีกุล เจ้าของตึกออลซีซันส์ เป็นอดีตลูกเขยของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ซึ่งมีสายสัมพันธ์กัน เมื่อเป็นเช่นนี้ คมช. จึงตัดสินใจเลือก พล.อ.สุรยุทธ์ เมื่อตัดสินใจอย่างนี้แล้วจึงถีบชนชั้นกลาง และเอเอสทีวีออกไป เพราะกลัวว่าประชาชนจะรู้ทัน เพราะว่าเขาไม่ต้องการประชาชนฉลาดขึ้น และด้วยเหตุนี้เองจะทำให้วงจรอุบาทว์กลับมาเหมือนเดิม ดังรูปที่ 5 ซึ่งทุนใหม่ของพรรคไทยรักไทยเข้ามาร่วมกับทุนเก่าและอมาตยาธิปไตยได้ ส่วนพรรคการเมืองก็มีพรรคเดิมๆ ขณะที่พันธมิตร ชนชั้นกลาง และประชาชนที่มีปัญญาถูกกันออกวงนอก

นายสนธิ ยังแสดงแผ่นภาพที่ 6 โดยระบุว่า เป็นรูปแบบโครงสร้าง และเป้าหมายทางการเมืองในอนาคตในมุมมองของระบอบทักษิณ ซึ่งถ้าสามารถทำให้รัฐบาลชุด พล.อ.สุรยุทธ์ เอื้อกับระบอบทักษิณ ด้วยการเร่งการเลือกตั้งสิ้นปีนี้โดยใส่เกียร์ว่าง ก็จะทำให้รัฐบาลตัวแทนของไทยรักไทยจะเข้ามาเหมือนเดิม ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่จำเป็นต้องกลับมา ทุนใหม่ก็ผสมกับทุนเก่า อิทธิพลของไทยรักไทยก็ยังมีอยู่ นั่นเป็นสาเหตุของการเตะพวกชนชั้นกลาง และพันธมิตรฯ ออกไป ซึ่งพวกเขาสนใจอยู่เพียงแค่นี้

“คมช.วันนี้ก็มีความขัดแย้งกันภายใน รัฐบาลเองก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เพราะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็มาอุ้ม พล.อ.สุรยุทธ์ โดยไม่สนใจว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จะเป็นอย่างไร ประชาชนจะชอบหรือไม่ ไม่สนใจ ขอให้อยู่ให้ครบเทอม ผมเองก็เป็นห่วงท่าน พล.อ.เปรม เพราะท่านเป็นประธานองคมนตรี และท่านเองก็เป็นที่ปรึกษาธนาคารกรุงเทพ และที่ปรึกษาของบริษัท ซี.พี.เจริญโภคภัณฑ์ จึงเป็นห่วงท่านมาก ผมพูดด้วยความเป็นเด็กเป็นเล็ก แต่ผมจำเป็นต้องพูด เพื่อชาติเพื่อบ้านเมืองผมไม่พูดไม่ได้” นายสนธิ ระบุ

นายสนธิ กล่าวอีกว่า สิ่งซึ่งทุกคนพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะว่าทุกคนรู้ว่าตัวเองไม่มีวันที่ทำตามที่พระเจ้าอยู่หัวตรัสได้ เพราะถ้าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงจริง ทุนจะไม่ขยายถึงขนาดนี้ ถ้าพอเพียงแล้วทำไมถึงซื้อเครื่องบินการบินไทย ทำไมถึงปล่อยให้ร้านโชห่วยตาย รวมทั้งทำไมค่าเล่าเรียนจึงสูงเหลือเกิน จนกระทั่งพ่อแม่ไม่มีปัญญาส่ง นี่ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งทำไมต้องเอา ปตท.เข้าตลาดหลักทรัพย์ จนวันนี้ก็ตอบตรรกะของการที่ทำไมต้องแปรรูปให้เอกชนไม่ได้ และทำไมถึงไม่สามารถที่จะจัดการกับทีไอทีวีให้ได้ รวมทั้งการที่เซ็นทรัลจะต่ออายุเช่าที่รถไฟนั้นมีความโปร่งใสหรือไม่

นายสนธิ กล่าวต่อว่า วันนี้พวก พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาป่วน แต่ไม่ต่อว่า พล.อ.สุรยุทธ์ แม้แต่คำเดียว แต่ไปเล่นงาน พล.อ.สนธิ และมาด่าพ่อล่อแม่ตน และนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นั่นเพราะเขาเห็นว่าพล.อ.สุรยุทธ์ เป็นเทพเจ้าในสายตาของพวกทักษิณ พีทีวีก็จะขอตั้งเวทีอีกแล้ว เขากำลังยั่วยุให้เราออกไปชนกับพวกทักษิณ แล้วเขาจะปราบทีเดียว 2 ฝ่าย โดยอ้างความชอบธรรมว่าบ้านเมืองมันแตกแยก อีกทั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ กลับมาบอกว่าให้อภัยโจร ดังนั้นเราไม่ได้ผิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วมาโทษบอกว่าทางเรานี่ทำให้การเมืองไม่นิ่ง แต่คนที่ทำให้การเมืองไม่นิ่งก็คือรัฐบาลชุด พล.อ.สุรยุทธ์ กับระบอบทักษิณ ตลอดไปจนถึงสมาชิก คมช.บางคน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น