...+

วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2549

ธรรมชาติของกระแสจิตวิญญาณในตัวมนุษย์

ธรรมชาติของกระแสจิตวิญญาณในตัวมนุษย์เรานั้น
เป็นเรื่องน่าพิศวงและยากต่อการอธิบาย
นับแต่อดีตกาลมา ทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์ล้วนมีความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณตาม
แนวความคิดเฉพาะตน โดยส่วนมากเชื่อว่ามีจริงตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่
จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็นด้วยตา ยากแก่การพิสูจน์และอธิบายให้ทุกคนเข้าใจได้

ปรัชญาจีนเป็นอีกชนิดหนึ่งที่มีความเจริญทางด้านอารยธรรมมานาน
ได้พัฒนาแนวความคิดเหตุผลแบบพลังหยิน-หยางที่เป็นแก่นขั้วพลังของสรรพสิ่งใน
จักรวาลที่ล้วนมีธรรมชาติเดียวกัน ต่างกันก็แต่ระดับขั้นของการแปรรูปของ
พลังก่อนหรือหลัง เรื่องจิตวิญญาณนั้นเป็นสิ่งท้าทายภูมิปัญญาคนจีนมาช้านาน
นับตั้งแต่พิธีกรรมทางบูชาฟ้า-ดิน พิธีทางการกราบไหว้บรรพบุรุษ พิธีการฝังศพ พิธี
การสวดมนต์ภาวนา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนความเชื่อเรื่องพลังที่
ละเอียดสุดของคนเราคือ จิตวิญญาณที่ไร้รูปมองไม่เห็น
ชาวจีนยังคงใช้ปรัชญา หยิน-หยางในการอธิบายเรื่องลึกซึ้งละเอียดอ่อนของ
กระแสจิตวิญญาณว่า ทุกคนล้วนมีวิญญาณรวมอยู่ในตัวเรา 10 กระแสมา
จากฟ้า 3 กระแสเรียก ฮุ้ง (Hun) มีธรรมชาติเป็นหยาง
มาจากขั้วดิน 7 กระแสเรียก เผ็ก (Po) มีธรรมชาติเป็นหยิน ตามแนวความ
คิดของคนจีน บนฟ้ามี 10 ขั้วฟ้า ส่วนล่างเป็นโลกมนุษย์
มี 12 ขั้วดินที่แยกออกเป็นกิ่งก้านสาขาเหมือนต้นไม้หรือเหมือนขั้วแผงสวิตช์
ปลั๊กไฟจากฟ้าลงมา 3 จากดินขึ้นมา 7 บรรจบในมนุษย์อยู่ตรงกลาง 5
เป็น 3-5-7 คนเราจึงมี 5 ธาตุ มี 10 นิ้วบนมือข้างละ 5 นิ้ว รวมเป็น 10
10 คือผลิตภัณฑ์ขั้นสมบูรณ์ของฟ้า-ดินในตัวคน คนจึงมี 10 นิ้ว
และระบบสุริยะจึงมีดาวเคราะห์กับดาวฤกษ์รวมเปน 10

เมื่อเราพูดถึงวิญญาณในตัวคน คนจีนหมายถึง
วิญญาณทั้ง 10 ในร่างกายคน มิใช่วิญญาณเดียว
แต่ละวิญญาณนี้ เมื่อเรายังเป็นคนมีชีวิตอยู่มีลมหายใจ วิญญาณเหล่านี้ยังไม่
เป็นวิญญาณที่สมบูรณ์ ยังเป็นเพียงกระแสจิต เมื่อใดที่เราอายุครบ 120 ปี
หรือเมื่อเราสิ้นละสังขาร กระแสวิญญาณที่ออกจากร่างจึงจะเป็นวิญญาณเต็ม
ตัวหรือเปรียบกับนักเรียนหรือนิสิต ที่จะเป็นบัณฑิตก็ต่อเมื่อจบหลักสูตร
มหาวิทยาลัย คำว่า วิญญาณที่แท้จริงก็คือ
คลื่นจิตกระแสที่พัฒนาหรือบ่มจนถึงเวลาตามวงจรธรรมชาติ ครบกำหนด
บริบูรณ์ 120 ปีคือ วงจรฟ้า 10 วงจรดิน 12 = 10x12 = 120 ปี
คนที่มีอันต้องสิ้นชีวิตหรือละสังขารก่อนเวลาอันควรจึงมี
โอกาสที่จะต้องโคจรย้อนกลับมาสู่โลกอีก ทั้งนี้เพราะ
คลื่นความถี่ของวิญญาณยังไม่ละเอียดพอที่จะทะยานพ้นเพดาน แรงดึงดูด
ของโลก คำว่า ฮุ้งหรือวิญญาณ ส่วนหยางในตัวคนมีอักษรจีนคำว่า เมฆเป็น
ตัวสะกดนำหน้า หมายความว่า วิญญาณส่วนนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับ
เมฆ หรืออยู่เหนือเมฆสูงหรือต่ำ ตามระดับความละเอียดและพลังขับเคลื่อน
ของกระแสวิญญาณสั้นๆ วิญญาณทั้ง 10 ส่วน ฮุ้งกับเผ็กนี้สัมพันธ์เกี่ยวโยงกับพลัง
ชีวิต 3 สิ่ง 3 ระดับในตัวเราคือ พลังเพศ พลังภายใน พลังปัญญา โดยมีปัจจัยของหยิน-หยาง
จากพลังฮุ้งและพลังเผ็ก ประกอบเข้าด้วย รวมเป็น 5 ทั้งสองอยู่ซ้าย-ขวา
ทั้ง 5 นี้มีตัวกลางร่วมเดียวกัน นั่นคือ เลือดในร่างกาย เลือดคือสภาวะ
หยาบ สภาวะหนัก และสภาวะสนามแม่เหล็กที่จะยึดเหนี่ยวปัจจัยทั้ง 5 นี้อยู่ใน
กายเรา เมื่อใดที่คนเราประสบอุบัติเหตุเสียเลือดมาก และสิ้นชีวิตร่างกาย
พร่องปริมาณเลือดสนามแม่เหล็กจากเม็ดเลือดน้อยลง
กระแสคลื่นวิญญาณฮุ้งหรือเผ็ก ก็จะหลุดออกจากร่างกายก่อนกำหนด ก่อน
เวลาอันควร องค์ประกอบไม่ครบ 10 ส่วน แต่ละส่วนอาจแยกออกไปทำให้
กลุ่มกระแสวิญญาณกระจาย หลุดออกวงโคจรสนามแม่เหล็กคนละทิศคนละ
ทาง ทำให้พลังขับเคลื่อนของกระแสวิญญาณอ่อนไปไม่ได้ไกล อาจลอยอยู่
แค่เหนือระดับเมฆต่ำบนท้องฟ้าเท่านั้น โอกาสที่คลื่น วิญญาณแยกส่วนจะถูกดึงดูดเหนี่ยวนำกลับสู่โลกสู่พื้นดิน
ย่อมเป็นไปได้สูง เมื่อใดที่มีสนามแม่เหล็กที่เกิดแรงดึงดูด จากขั้วพลังเพศชาย-หญิง ที่กำลังมี
เพศสัมพันธ์ คลื่นกระแสแยกส่วนเหล่านี้อาจโคจรกลับลงได้การปฏิสนธิใน
สิ่งมีชีวิตใหม่ได้ (ชาวทิเบตจึงมีการฝึกมรณสติเพื่อเตรียมการชี้แนะวิญญาณ
ผู้ตายให้พึงระวังหลีกเลี่ยงการถูกดึงดูดกลับลงสู่ครรภ์ของการเกิดของสิ่งมี
ชีวิต) ธรรมชาติคลื่นจิตวิญญาณเหมือนคลื่นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้า ในวิชา
วิทยาศาสตร์คือ มีความถี่ ความละเอียดของคลื่นเป็นรูป
ความถี่หยาบมากเป็นความถี่ของกาย ความถี่กลางเป“นของจิต
ความถี่ละเอียด เป็นวิญญาณ คนจีนเปรียบกายคนเหมือนแท่งเทียนไข ความร้อนจากเปลวเทียนเป็นพลัง
วิญญาณ ส่วนเผ็กที่แสดงอารมณ์จิตใจ ส่วนความสว่างเป็นพลังละเอียด พลังวิญญาณ
ส่วนฮุ้งที่สะท้อนสติปัญญา ฮุ้งดวงวิญญาณของคนจึงอาจเปรียบได้กับจุด
ความสว่างของแสงเทียน และอาจกล่าวได้ว่า ฮุ้งเป็นสิ่งเดียวในร่างกายที่อยู่
เหนือกาลเวลา และเป็นอมตะ มีธรรมชาติเดิมเหมือนพลังฟ้า-ดิน และ
สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง เมื่อแยกออกจากขั้วในร่างกาย และเริ่มจุติเข้าใน
ร่างกายมนุษย์ตอนเป็นทารกในครรภ์มารดา เมื่อหลังคลอดจะรวมกันอยู่ที่
บริเวณภายในกึ่งกลางหน้าผากระหว่างตาทั้งสอง ทำให้คนเรามองเห็นด้วย
สายตาในชีวิตประจำวันกลับคืน ส่วนคลื่นฮุ้งนี้จะไหลลงเก็บสู่ตับ ทำให้เราเกิดความฝันต่างๆ
ส่วนวิญญาณหยินเผ็กนั้น จะรวมกันอยู่บริเวณหัวใจ
ใกล้จุดศูนย ์กลางของระบบเลือด มีอิทธิพลต่อสภาวะอารมณ์จิตใจระดับ
ต่างๆ ในตัวบุคคล คนจีนเชื่อว่า เมื่อถึงเวลาที่คนเราต้องสิ้นอายุขัย วิญญาณฮุ้ง 3 กระแสจะ
ไหลหลุดออกจากร่างของจมูกและปาก ภายใน 7 ถึง 49 วันจึงจะหมดจาก
ร่าง ส่วนวิญญาณหยินเผ็ก 7 กระแสจะยังคงอยู่ในร่างฝังไปกับดิน
และจะค่อยๆ เคลื่อนออกจากร่างจนสิ้นใช้เวลาเป็นปี ดังนั้น คนจีนจึงนิยมใช้ไข่มุกหรือหยกอุดรูปาก
จมูกเพื่อป้องกันการเข้า-ออกของวิญญาณ และเพื่อป้องกัน
มิให้วิญญาณของส่วนถูกรบกวน พิธีการฝังศพคนจีนจึงเป็นการเคารพและให้

ความสำคัญต่อวิญญาณทั้ง 7 กระแสของเผ็กที่มีธรรมชาติกลับสู่พื้นดินดังเดิม
การจุติของคลื่นบริสุทธิ์แรกก่อนที่จะประกาศเข้าในร่างกาย
และรวมเป็นสิ่งมีชีวิตต้องเกิดการจุติของประจุคลื่นวิญญาณ
เป็น 5 ส่วน แต่ละส่วนแยกเป็น 2 ขั้ว หยินกับหยางเป็น 10 ส่วนในวงจร
การจุติครั้งที่ 1 เป็นขั้วปฏิสนธิวิญญาณอันเริ่มต้นวินาทีแรกทันทีที่บิดา มารดามีเพศสัมพันธ์
บริเวณหน้าท้องของมารดาบังเกิดกระแสเหนี่ยวนำของ
สนามแม่เหล็ก มีความร้อนสูงพอใจที่จะทำให้เกิดการรวมตัวอัดแน่นเข้าหา
จุดศูนย์กลาง (Fusion) ทำให้ตัวอสุจิสปาร์กและชาร์จประจุระหว่างไข่กับ
อสุจิ ก่อให้เกิดการจุติของประจุแรกของวงจรกระแสวิญญาณ อันมีธาตุน้ำ
ของอสุจิบิดาและพลังสายฟ้าแลบจากหลั่ง พลังช่วงสั้นขับเคลื่อนเพียงพอ
แค่ตัวอสุจิปฏิสนธิผสมกับไข่ ต่อมาไข่ได้รับพลังขับเคลื่อน
หมุนรอบตัวเองจากผนังมดลูกที่ได้รับแรงสั่นสะเทือนเป็นความถี่กำหนด
สะท้อนจากแรงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองของโลก ทำให้ไข่สุกนี้หมุนเคลื่อนที่ไปจนเริ่มหยุดและฝังตัวในผนังมดลูกของมารดา
จากนี้วงจรขั้ววิญญาณส่วนที่ 2 ก็เริ่มโดยการย้ายจุดศูนย์กลาง จากปีก
มดลูกเข้าสู่กลางมดลูกใต้ท้องน้อยอันเป็นฐานแรกของการเพาะพันธุ์
ขั้ววิญญาณส่วนที่ 2 (Soul) ซึ่งเกิดขึ้นหลังช่วงปฏิสนธิ 1 สัปดาห์
โดยมีธรรมชาติเป็นปัจจัย ธาตุไม้อัน
เป็นเช่นเมล็ดพันธุ์พืชเริ่มลงดินฝังรากลงลึก
และแยกส่วนลำต้นขึ้นบน ช่วงนี้อวัยวะส่วนตับจะเริ่มงอกออกเม็ดเลือดแรก
เริ่มก่อตัว ต่อมาวงจรที่ 3 ของวิญญาณเริ่มพัฒนาหลังจากตัวอ่อนเริ่ม
งอกระบบอวัยวะประกอบเป็นตัวทันที ส่วนหัวใจที่มีธาตุไฟ
เป็นพลังกำหนดส่งสัญญาณประจุจากฟ้ากระตุ้นเป็นจังหวะแรกของการสั่น
ของจุดศูนย์กลางที่กลายเป็นอวัยวะหัวใจต่อมา โดยย้ายฐานใหม่จากผนัง
มดลูกสู่ศูนย์กลางหัวใจและจุดชีพจรเริ่มเกิด (Spirt) วิญญาณอีกส่วน
ต่อมาวงจรที่ 4 ของวิญญาณเริ่มพัฒนาโดยรวมเอาปัจจัยส่วน
ของรกที่รวบรวมเอาธาตุภูมิสิ่งแวดล้อมในรูปของสภาวะเลือด
มารดาที่สกัดจากอาหารที่มารดารับประทานถ่ายทอดจากรกสู่สายสะดือ
กลายเป็นเบ้าหลอมอุปนิสัยใจคอของทารกที่จะเกิดเป็นปัจจัยกำหนดความ
นึกคิดจากพลังฤดูกาล ภูมิลำเนา บ้านเกิด พลังวิญญาณส่วนนี้
จะสะสม บริเวณม้ามอันเป็นธาตุดินในตัวทารกก่อให้เกิดสติสัมปชัญญะเข้าสู่การจะ
เป็นมนุษย์เต็มที่ ส่วนวงจรที่ 5 อันเป็นวงจรสุดท้ายในช่วงครรภ์และการคลอด
คือทันทีที่ทารกคลอดหลุดพ้นปากช่องคลอดมารดา
วินาทีแรกที่ทารกอ้าปากร้องเปล่งเสียงออกจากปอด
ปอด เริ่มทำงานรับลมหายใจของบรรยากาศโลกเข้าสู่
ปอดเป็นการเปิดวงจรขั้วที่ 5 เสร็จสมบูรณ์ จากฐานสะดือที่เคยมีสายรกเป็น
ศูนย์กลางย้ายขึ้นบน เป็นปอดและหัวใจทั้งระบบ
การหายใจและการหมุน เวียนของโลหิตในร่างกาย
เปรียบเสมือนการเริ่มทำการเปิดเครื่องโทรศัพท์ไร้
สายมือถือระบบสัญญาณผ่านดาวเทียม ด้วยเลขรหัส 5 ส่วน รวมกับรหัส
หมายเลขดีเอ็นเอ ทางพันธุกรรมที่เป็นหมายเลขเครื่องกับรหัสหมายเลข
สัญญาณ 10 หลักจากส่วนคลื่นวิญญาณ คนจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีกาย ใจ
วิญญาณที่ได้รับสัมปทานและหมายเลขเครื่องรหัสเบอร์โทรครบพร้อม
อุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่ครบทั้งระบบ การดูแลสุขภาพและหมั่นพัฒนาจิตกระแสให้ละเอียด
และบริสุทธิ์จนกว่าจะครบกำหนดวาระ 120 ปีโดยมีปัจจัยของอาหารประจำวัน
อันมีข้าวกล้องเป็นอาหารหลักเปรียบดั่งแบตเตอรี่ที่ธรรมชาติกำหนดมาให้คู่กับมนุษย์ที่มีจิต
วิญญาณ เมื่อใดเราเปลี่ยนอาหารที่ไม่ใช่ข้าวกล้อง เมื่อนั้น
เราเปลี่ยนคุณภาพแบตเตอรี่ที่ด้อยคุณภาพ ทำให้เราไม่สามารถพัฒนาคลื่น
ความถี่ของจิตวิญญาณเราให้ละเอียดพอตามมาตรฐานที่ธรรมชาติกำหนดเรา
จึงพลาดความประเสริฐที่เราควรจะเป็น
โดยคุณ : คารวะบรรพบุรุษ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น