...+

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2548

ไฝและขี้แมลงวันกับความโง่ของคนไทย

เมื่อไม่นานมานี้หนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการ" ได้เสนอข่าวบรรดาผู้มีความใกล้
ชิดกับความโง่เขลาและงมงายจำนวนหนึ่งที่ต้องพยายามหาทางไปเอาไฝและ
ขี้ แมลงวัน ที่เกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกายออก เพราะว่าไฝหรือขี้แมลงวันที่เกิดขึ้นในส่วนต่างๆ ของร่างกายนั้น ทำให้เจ้าของร่างกายหรือเจ้าของไฝต่างๆ ในประเทศไทยไม่ประสบความสุขความเจริญสมความปรารถนา
โดยความเชื่อดังกล่าวนี้ ทำให้โรงพยาบาลหรือหมอต้องทำงานหนัก
เพราะปรากฏว่ามีคนเป็นจำนวนมากที่เกิดมาพร้อมกับไฝหรือขี้แมลงวันตาม
ส่วน ต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งก็ยังไม่มีใครทราบสาเหตุว่ามันทำไมต้องมาเกิดในส่วนต่างๆ ของร่างกายคน คนที่มีไฝมีปานเหล่านั้นเป็นคนบาปหนาหรือโชคร้ายจริงๆ หรือ แต่โดยที่ไม่รู้ที่ไปที่มาหรือเหตุผลในการเกิดของมันนี้เอง
เจ้าของไฝเจ้าของปานทุกคนก็เชื่อว่ามันให้ร้ายหรือเป็นโทษ

แม่ยายของผมอายุ 80 กว่าปีเศษ เป็นโรคหัวใจที่ต้องเข้าโรงพยาบาล
เพื่อหาทางผ่าตัดใส่กล่องหัวใจให้อายุยืนยาวต่อไปอีกหน่อย ก็ยังมีลูกหลาน
เชื่อ ว่าท่านมีเคราะห์กรรมมากที่ไปเจอไฝที่แขนข้างหนึ่งเข้าก็โวยวายว่าจะต้อง ให้หมอเอามันออก ปรากฏว่าการแก้ปัญหาไฝที่ว่านั้นต้องเสียค่าจัดการไปถึง 9,000 บาท และเอาออกแล้วก็มานอนแบ็บอยู่ที่บ้านโดยขยับเขยื้อนไม่ได้
ต่อมาอีกไม่ถึงปีก็เสียชีวิต ก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่าที่แม่ยายผมต้องตายนั้น
เพราะมีไฝมาก่อนหรือเปล่า หรือคนเราถ้าอายุมัน 80 กว่าแล้ว
มันต้องตายตามความเหมาะสม ของอายุและวัย?

ตอบ ได้หรือไม่ได้ก็ตาม แต่คนที่เชื่อว่าไฝคือเคราะห์ที่ให้โชคร้ายนั้นก็เสียเงิน 9,000 บาทไปแล้ว และโรงพยาบาลก็ได้เงินไปแล้ว โดยที่ไม่มีใคร หรือมีการกระทำใดๆ ที่ป้องกันการตายได้

เมื่อผมเด็กๆ ผมร้องไห้ง่าย เพราะถูกแม่ตีบ้าง พี่ชายเตะบ้างหรือพระ
ในวัดเตะบ้าง คนที่ถูกตีถูกด่าหรือถูกเตะบ่อยๆ มันก็ต้องเจ็บและมันก็ต้อง
ร้องไห้เป็นธรรมดา แต่คนสมัยนั้น บางคนก็บอกว่าที่ผมร้องไห้ง่ายไม่มีอะไร
มากหรอก มันเป็นเพราะผมมีไฝที่ใต้ตาเท่านั้น ถ้าเอาไฝออกเสียก็จะไม่มี
การร้องไห้ต่อไปอีก

เวลา นี้คนที่เป็นไฝไปหาหมอเอาไฝออกจะต้องเสียเงินประมาณ 1,000 บาท หรือ 2,000 บาท แต่ไฝบ้านนอกอย่างที่ผมเป็นนั้น มันไม่มีราคา ค่างวดถึงขนาดนั้น การจะเอาไฝพวกนี้ออก ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เขาใช้วิธี
ง่ายและไม่เสียเงินแม้แต่แดงเดียวคือ เขาใช้ปูนกินกับหมากนี่เอง เอามาผสม
กับสบู่ฟอกตัวหรือสบู่ซักผ้าอะไรก็ได้ ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันป้ายเข้าไปที่เม็ดไฝ
สองสามวันไฝและขี้แมลงวันก็หลุด ไฝที่ใต้ตาผมก็เหมือนกัน พ่อแม่ผมทำวิธีนั้น แต่มันไม่ทำให้ผมหยุดร้อง
ไห้แต่อย่างใด ถ้าผมถูกเตะหรือถูกด่าว่าหนักๆ ผมก็ร้องไห้เสมอมา แต่เมื่อ
ผมโตขึ้น พอเตะคนได้และตอบโต้มันได้ทุกรูปผมก็ไม่เคยร้องไห้ ไม่ว่ามีไฝ
หรือไม่มีไฝ ผมทราบว่าการร้องไห้ง่ายหรือไม่ง่ายมันขึ้นอยู่กับความ
สามารถในการเตะตอบโต้หรือการเติบโตของผมไม่ขึ้นกับไฝใต้ตาอย่างที่เชื่อ
กัน มันไม่ได้เกี่ยวกับไฝ ไม่ว่าแม่ยายผมจะตายหรือไม่ตาย ไม่ว่าผมจะร้อง
ไห้หรือไม่ร้องไห้ แต่มันมีปัจจัยอื่นๆ มากมายหลายอย่างในชีวิตที่จะมีผลต่อ
ชีวิตและความทุกข์ความสุขของมนุษย์ แต่คนไทยเป็นคนที่ไม่ยอมคิดหรือไม่พยายามใช้ความ
คิด แต่จะ ตั้งหน้าตั้งตาเชื่อเพียงอย่างเดียวว่า การมีไฝมีขี้แมลงวันนั้น ทำให้ชีวิตมีปัญหา
และต้องหาเงินไปเอามันออก ทั้งๆ ที่เสียค่าปูนกินกับหมากและเศษสบู่ไม่ เกิน 50 สตางค์
ก็เอาออกได้โดยไม่มี ร่องรอยเหลือให้ปรากฏตลอดไป

นี่คือคนไทย!
คนไทยสมัยปัจจุบันนี้
ทุกคนพยายามจะโง่และพยายามโง่กันจนจะหมดสติ
สังคมไทยปัจจุบัน นอกจากเราจะพยายามอยู่กับความชั่วและสั่งสมความชั่วทุกชนิดกันอย่างหนักแล้ว สิ่งหนึ่งที่คนไทยเราขอแสวงหา และ
สะสมไว้อย่างช้าๆ และเงียบๆ และไม่ยอมหยุดกันก็คือ พยายามแสวงหา
ความโง่และความบัดซบนานัปการมาประคบประหงมไว้ในชีวิตไม่ได้หยุด
อะไรที่มันจะโง่ และบัดซบได้ เราก็จะต้องพยายามทำกันและพยายามบ้า
คลั่ง กันโดยไม่มีเหตุมีผล อย่างการพยายามหาทางแก้ไขความบกพร่องในร่างกายเพราะการเกิดขึ้นของขี้แมลง วันและไฝ ขณะที่จิตใจของแต่ละคนนั้น เต็มไปด้วยความอ่อนแอ ความอหังการ โลภ โกรธ หลง ร้อยแปด
ตอนนี้ใกล้วันปีใหม่เข้ามาในร้านหนังสือตามแผงหนังสือต่างๆ จะเต็มไป
ด้วยตำราว่าด้วยการสะเดาะเคราะห์ แก้บาปแก้เคราะห์แน่นไปหมด
ไม่ว่าจะ โดยวิธีการฮวงจุ้ยหรือวิธีการบ้าบอคอแตกอื่นๆ ซึ่งมันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้
ถ้าหากว่าเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายหรือโชคชะตาคนจะแก้ให้มันดีให้มันชั่วขึ้นมา
ได้ คนเราก็ไม่ต้องทำมาหากินหรือไม่จำเป็นจะต้องประกอบคุณงามความดี
อะไร ในชีวิต ถ้ายากจนขึ้นมาเพราะอยู่บ้านหรือนอนใน ห้องที่ไม่ถูก ฮวงจุ้ยก็หาตำราฮวงจุ้ยมาแก้มันเสีย หรือถ้ามีหนี้สินไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ยก็เปลี่ยนที่อยู่ที่นอนเสียตาม ตำราฮวงจุ้ย หรืออาจจะใช้ของดำ
8 อย่างไป บูชาพระราหูเสีย หรือเปลี่ยนชื่อเสียให้ถูกต้องตามวันเกิดก็เรียบร้อย ชีวิตคน
ทุกคนก็จะไม่มีอะไรยุ่งยาก คนไทยที่กำลังยากจนไม่มีจะกินกัน อยู่ถึง 9 ล้านคนในขณะนี้ก็ไม่ต้องขวนขวายทำมาหากิน
อะไร เปลี่ยนชื่อกันเข้าไว้ หรือการทำพิธีสวดมนต์ทำพิธีแก้ราหูเสีย ก็เป็นอันว่าหมดเคราะห์สบายไป
เลย

คนเราเกิดมานั้น เราอาจจะหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมคนเราต้องมี
ต้องจน ต้องทุกข์ ต้องโศก หรือต้องประสบความสำเร็จหรือประสบความล้ม
เหลว ความสงสัยเหล่านี้ไม่มีใครตอบได้นอกจากจะอาศัยความเชื่อเก่าๆ หรือ
ความเชื่อตามหลักพุทธศาสนาที่ว่า เพราะบุญทำกรรมแต่งหรือผลบุญผลกรรมที่แต่ละคนทำไว้แต่ชาติปางก่อน
เท่านั้นเองเป็นเหตุเป็นผล เพราะฉะนั้น ชีวิตคนจะดีหรือจะชั่ว จึงไม่มีอะไรที่จะแก้ไขได้หรือไม่สามารถ จะ
เปลี่ยนแปลงอะไรได้นอกจากจะยอมรับว่า เป็นบุญเป็นกรรมที่ทำมาตั้งแต่ ครั้งปางก่อน
พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติหรือรับสั่งเป็นคำตายว่า สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง
นาญโญ อัญญัง วิโสธเย คนเราจะดีหรือจะไม่ดีนั้น จะไม่มีใครมาทำให้ได้
นอกจากตัวเราเองเท่านั้นที่จะช่วยให้เราดีหรือไม่ดีขึ้นมาได้ การที่จะช่วยให้
ตัวเองดีหรือชั่วนี้ก็จะขึ้นอยู่กับการกระทำที่ตนเองเป็นผู้กระทำเท่านั้น ท่านก็
ว่า "กัลยาณการี กัลยาณัง ปาปการี จ ปาปกัง" คือ "การทำดีมัน ก็ย่อมดี
การทำชั่วมันก็ย่อมชั่ว" มันอยู่ ตรงนั้น ไม่ได้อยู่ที่ไฝ ไม่ได้อยู่ที่ขี้แมลงวันหรือไม่ได้อยู่ที่ฮวงจุ้ย ไม่ได้อยู่ที่ราหู
หรืออะไรทั้งสิ้น มันอยู่ที่การกระทำของคนซึ่งอาจจะเป็นการกระทำ ทั้งใน
ชาติก่อน (ถ้ามี) หรือในชาตินี้
สังคมไทยเป็นสังคมที่เก่าแก่ ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านยุคผ่านสมัยต่างๆ
มามาก ยุคสมัยต่างๆ เหล่านั้นได้นำเอาอารยธรรมและความเชื่อนานาชนิด
เข้ามาใช้และผสมปนเปกันอยู่ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เฉพาะอย่างยิ่ง
ความ เชื่อที่ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่ามันจริงหรือเท็จ เชื่อได้หรือไม่ได้ มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์อย่างไร เฉพาะความเชื่อเรื่องโชคลางและ โชคเคราะห์ เรามีตำรามากมายสารพัด
ไม่รู้ว่าตำราเหล่านั้นจะสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ มีรากฐานมาจากไหน แต่ก็เชื่อกันอย่างหัวปักหัวปำกัน
มาตั้งแต่บรมโบราณครั้งไหนก็ไม่รู้ เรามีตำราเขม่นตามเนื้อตามตัว จิ้งจกทัก ฝนตก ฟ้าร้อง
เมฆและลมร้อยแปดตำรา หมอดูก็มากมายตั้งแต่ทายใบไม้ที่คนมาดูหมอไปหักจาก
ต้นไม้ ยามอุบากองตอนนี้ในเมืองไทยนิยมในตำราทักษาพยากรณ์
หรือใช้วันเกิดเป็นหลัก หรือถ้าไม่พอใจก็มาตั้งหลักวิชากันใหม่เพื่อโกหก
หลอกลวงกันให้อึกทึกครึกโครมไป เช่น เอาของดำ 8 อย่างมาเป็นของสำหรับ
บูชาพระราหูโดยอ้างว่าราหูชอบ ซึ่งไม่รู้ว่าใครไปตรัสรู้จิตใจราหูได้อย่างไร
เพราะราหูเป็นการบังเงาของโลกและดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ที่เป็นเงามืดธรรม
ดาที่ไม่มีสติสัมปชัญญะใดๆ เลย แต่สำหรับคนไทยเรานั้น ใครบอกอะไร พูด
อะไรก็เชื่อกันตะบี้ตะบันไป แม้แต่วิชาโหราศาสตร์ไทยที่เรานำมาใช้กันอยู่ทุกวันนี้
ก็มากมายหลายตำรับ ทั้งๆ ที่เป็นของเก่าของใหม่ ตั้งกฎเกณฑ์เอาเองบ้าง แปลความหมาย
ผิดๆ ถูกๆ เอาเอง โดยการคาดเดาบ้าง หรือการบอกกล่าว ที่เป็น
ปริศนาบ้าง ครูบาอาจารย์สมัยก่อนๆ ก็จะบอกกล่าวเป็นปริศนาให้คาดเดาเอาเอง
แล้วแต่ใครจะเดาอย่างไร หรือมีภูมิปัญญาขนาดไหนก็จับแพะชนแพะ จับ
แกะชนแกะเอามาทำนายทายทักกันให้วุ่นไป อย่างการตั้งชื่อหรือเปลี่ยนชื่อ ในตำราดั้งเดิมนั้นท่านเขียนไว้ว่าการจะ
ตั้ง ชื่อคนนั้น จะต้องใช้อักษรที่ประจำอยู่ในฤกษ์หนึ่งๆ ในจำนวนฤกษ์ทั้ง 27 กลุ่มหรือฤกษ์ 9 หมู่นั้น ในตำราดั้งเดิมของอินเดียเมื่อ 5,000 กว่าปีก่อน ที่มีการกำหนดกลุ่มดาวฤกษ์ขึ้นมาใช้ในวิชาโหราศาสตร์นั้น ได้มีการกำหนดตัวเทวดาประจำฤกษ์โชคและเคราะห์สำหรับคนที่จะเกิดมา
ในระหว่างที่ดาวใดๆ สถิตอยู่ในฤกษ์แต่ละกลุ่มด้วย และในเลขแต่ละ
กลุ่มนั้น จะมีอักษรต่างๆ ประจำกลุ่มดาวฤกษ์เหล่านั้น เมื่อเอาอักษร
เหล่านั้นมาตั้งชื่อตั้งนามสกุลแล้ว ก็ถือว่าเป็นมงคลหรือไม่เฮงซวยเท่านั้น
คนอินเดียก็ดูเหมือนจะใช้กฎเกณฑ์นี้ในการตั้งชื่อคนอินเดียและกิจกรรม
อันเป็นมงคลอื่นๆ ซึ่งจะอย่างไรก็ตาม คนอินเดียที่ตั้งชื่อหรือกระทำการอัน
เป็นมงคลตามกฎเกณฑ์เดิมก็ดูเหมือนจะแก้ปัญหาอะไร ไม่สำเร็จ
เพราะตามความเป็นจริงนั้น อินเดียเป็นประเทศที่ผู้คนอดอยากยากแค้นมาก
ที่สุด เฉพาะคนชั้นศูทรหรือพวกจัณฑาลที่คบหาสมาคม กับคนวรรณะ
อื่นไม่ได้ หรือสังคมอินเดีย ไม่ยอมรับว่าเป็นคนนั้น ว่ากันว่ามีมากถึง
250 ล้านคน ซึ่งเกิดมาและอยู่เพื่อรอวันตายไปวันๆ เท่านั้น งานการอะไรทำไม่ได้นอกจากทำความสะอาดส้วมและแบกขนของหนักเท่านั้น ผู้ชายอินเดีย เวลานี้มี 60 ล้านคน ที่มีลูกมีเมียไม่ได้เพราะผู้หญิงอินเดียที่จะต้องเอาไป
เป็นเมียนั้น จะต้อง หาเงินสินสอดไปให้ผู้ชายก็เลยไม่ต้องไปเป็นเมียใคร
เพราะไม่มีเงิน แต่มาถึงสมัยหลังๆ ที่วิชาโหราศาสตร์เดินทางผ่านกาลเวลาอันยาวนาน
มาจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พร้อมกับความไม่รู้ไม่เข้าใจก็มาวางตำรากันใหม่
โดยวิธีง่ายๆ เช่น ตำราการตั้งชื่อ ตำราดั้งเดิมให้ใช้อักขระประจำกลุ่มดาว
ฤกษ์เป็นหลัก แต่วันเวลาที่ผ่านมาหมอดูหรือนักโหราศาสตร์ที่มักง่ายและไม่
ต้องใช้ความรู้และสติปัญญา ก็จะไม่คำนวณ ว่าในยามที่เจ้าชะตาเกิดนั้น
เป็นเวลาที่ดาวที่สำคัญโคจรอยู ่ในกลุ่มดาวฤกษ์ไหน เพราะคำนวณไม่เป็น
หรือไม่รู้วิธีการคำนวณก็ตัดตำราเดิมทิ้งไปเสีย รวบรัดตัดความเอาแต่เพียง
ว่าเกิดวันไหนใน 7 วัน ก็เอาอักษรประจำวันนั้นมาเป็นหลักก็แล้วกัน เช่น
เกิดวันอาทิตย์ก็เอา สระ นำหน้าตั้งแต่ อะ อา เรื่อยไป แล้วก็ไปเอา
ตำรามหาทักษาหรือตำรามหาภูติของพม่ามาสวมหัวสวมหางบอกดีบอกชั่ว
เอาตามความพอใจ โดยยกเมฆเอาว่าบริวารอักษรแต่ละตัวจะบอกถึงความมี
อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี และกาลกิณีกันเพลิดเพลินไปและใช้กัน
มาถึงทุกวันนี้ คนพม่า 17 ล้านคนเองก็จะมีชื่อวนเวียนกันอยู่ในทักษาเหล่านี้
ซึ่งว่ากันว่าคนพม่าจะมีชื่อซ้ำกันไปซ้ำกันมาไม่มากชื่อนัก ก็อาศัยหลักที่ว่านี้
แต่สำหรับคนไทยมีโอกาสมีชื่อได้มากเพราะอาศัยภาษาบาลี แต่คนไทย
ก็เช่นเดียวกับพม่าซึ่งเป็นประเทศและเป็นแผ่นดินที่มีคนยากคนจน
มากที่สุด เฉพาะชาวไร่ชาวนาไทยเวลานี้ที่ยากจนเป็นหนี้เป็นสิน
ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมากถึง 40 ล้านคน ในจำนวนคนไทย 62 ล้านคนหรือ
ในพม่า นอกจากจะยากจนกันเกือบทั้งหมดแล้วก็คือ จะต้องฆ่ากันเอง หรือ
ถูกฆ่าเพราะความขัดแย้งของคนต่างเผ่าต่างพันธุ์ภายในประเทศ
คนเหล่านี้ไม่ว่าจะไปสะเดาะเคราะห์หรือไม่สะเดาะเคราะห์ จะเปลี่ยนชื่อ
ไม่เปลี่ยนชื่อ มีไฝหรือไม่มีไฝก็ช่วยอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นยังคงยากจนอยู่และจะต้องยากจนกันต่อไปอีก
มันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับไฝหรือขี้แมลงวันแม้แต่นิดเดียว !
โดยคุณ : ผู้จัดการ

4 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ18 พฤษภาคม 2553 เวลา 09:35

    เอาปูนแดงผสมกับสบู่ทาไฝแล้วหลุดจริง ๆ หรือนี่

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ14 ตุลาคม 2553 เวลา 16:20

    จริงมั้ย?

    ตอบลบ
  4. สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมครับ

    ตอบลบ