++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

แสงไฟที่ปลายฟ้า. ที่ภูฝอยลม.. กับความเศร้าในอนาคต

เราอยากชวนคนไทยทุกคนไปเห็นภาพนี้ด้วยตนเอง
แสงไฟทีปลายฟ้า คือสัญญลักษณ์ของการเผาผลาญทรัพยากรบนป่าต้นน้ำชั้นที่1A ของแผ่นดินไทย ที่จะเกิดผลกระทบ จนนำไปสู่การทำลายแหล่งน้ำ ดิน พืชและสัตว์ ร่วมทั้งเกษตรกรและความมั่นคงอาหาร ซึ่งผลร้ายนี้จะเกิดในระยะเวลา 10-20 ปีข้างหน้า หลังจากที่บริษัทพวกนี้สูบซดเอาทรัพยากรไปจนหมดสิ้นแล้ว ก็ทิ้งซากความสิ้นหว้งไว้แก่คนไทยในท้องถิ่น เช่นเดียวกับที่เขาทำกับประเทศตนเองจนได้รับการขับไล่ประท้วงต้องเลิกทำ Fracking ไปหลายเมือง แต่ไทยมันง่ายและเชื่อง ด้วยมีคนเลวและเขลาเป็นผู้นำเปิดทางให้เขาทำร้ายแผ่นดินของเราตลอดมา
ถึงวันนี้ เราคนไทยต้องคิดแล้วว่า เราจะยอมแบบนี้อีกต่อไปได้ละหรือ ????
ขอเล่าบรรยากาศการเดินทางให้รู้สึกร่วมกัน ดังนี้
24 เมษายน 2558 คณะทัวร์เท่าทุนครั้งที่1 ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณสี่ทุ่ม แวะพักเข้าห้องน้ำกันไปแบบสบายๆตลอดทาง หลังจากทักทายพอเป็นที่รู้จักกันแล้ว ก็ปล่อยให้ทุกคนนอนหลับพักผ่อน รถแล่นผ่านสระบุรี เข้าโคราช เมื่อผ่านขอนแก่น เริ่มตั้งหลักจะเข้าอุดรฯ เราก็ปลุกทุกคนให้ตื่น ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาประมาณตี 3 เราให้ทุกคนเหลียวมองไปทางซ้าย ตามคำแนะนำของผู้มีประสพการณ์ที่ชี้บอกมาทางช่อง Line ตอนค่ำๆ
เมื่อทุกคนเห็นแสงไฟที่ลุกโชนเหนือขอบฟ้าสีดำทมึน ต่างก็ตื่นสนิท เราแวะจอดเพื่อให้ช่างภาพมืออาชีพทั้งหลายได้เก็บภาพจากระยะไกล ขณะที่อีกทึมหนึ่งปักพิกัดบนแผนที่ แสงไฟลุกโชนที่ขอบฟ้า ยังติดตามเราไปอีกหลายสิบกิโลเมตร ทำให้เราต้องจอดเก็บภาพกันหลายครั้ง เมื่อดูจากแผนที่พบว่าเราเห็นแสงจากถนนสายมิตรภาพ ระหว่างขอนแก่นไปอุดร ตั้งแต่ต้นเทือกเขาจนกระทั่งเกือบสุดปลายเขาอีกฟากหนึ่งของภูฝอยลม จากจุดสุดท้ายที่เก็บภาพอีกไม่นานเราก็มาถึงที่พักในเมืองอุดร เวลาประมาณตีสีเศษ ทุกคนหลับอย่างหมดเรี่ยวแรง เราได้นอนกันเพียงสองชั่วโมง เพื่อตื่นเช้าไปตามกำหนดที่เตรียมไว้ โดยมีไข่กระทะ กาแฟสดอันเป็นอาหารเช้าลือชื่อของอุดรฯ เป็นรางวัลสำหรับความเหน็ดเหนื่อยในราตรีที่ผ่านมา
เราออกเดินทางต่อไป ขอข้ามจุดแรกไปก่อน เพื่อเชื่อมโยงกับเรื่องแสงไฟบนยอดเขา เราเลี้ยวเข้าเขตอุทยานแห่งชาติภูฝอยลม ผ่านป่าที่ถูกไฟไหม้เกรียมไปด้วยจิตใจที่เศร้าหมอง (ขออัพแยกต่างหาก) เมื่อไปถึงแท่นขุดเจาะปิโตรเลียมกลางป่า จิตใจเราเต้นระทึก ภาพที่ไม่เคยจินตนาการได้ปรากฎอยู่ต่อหน้า เราให้รถขับเลยไปสักระยะ แล้วจึงกลับรถมาจอดเนินเขาใกล้แท่น บรรยากาศในแท่นสงบเงียบ แทบไม่มีผู้คน แต่มีรถตู้LOGO ของบริษัทพลังงานชื่อดัง รถกระบะและรถเก๋งจอดอยู่ใกล้ทางเข้าแท่นหลายคัน ขณะเดียวกันเสียงเครื่องปั่นไฟก็ดังกระหึ่มตลอดเวลา คงไม่มีสัตว์ป่าใดใดทนอยู่ใกล้บริเวณนั้นได้ ในบริเวณแท่นมีตู้คอนเทนเนอร์ ติดเครื่องปรับอากาศหลายตู้ ซึ่งโดยปกติ จะใช้เป็นที่ทำการของบริษัทขุดเจาะ และบริษัทผู้รับสัมปทาน รวมทั้งเป็นห้องประชุมด้วย (นี่เดาเอาจากที่เห็นนะเรามิได้เข้าไป)
เรามองไปรอบๆของตัวแท่นจากมุมบนเนินที่อยู่สูงกว่าแท่น ทำให้เราเห็นสภาพแท่นที่ผิดจากแท่นปกติ เป็นอีกแห่งหนึึ่งที่สะดุดใจ จึงชวนผู้เชี่ยวชาญด้านก๊าซนิรนาม ที่สละเวลาร่วมเดินทางมากับเราในครั้งนี้ ลุยลัดเลาะไปตามทางในป่าโปร่งนอกขอบรั้วของแท่น จนสุดทาง และ เดินเข้าไปใกล้รั้วเพื่ออ่านข้อความ ที่ติดอยู่ตามอุกรณ์ต่างๆ ด้วยกล้องมือถือที่สามารถซูมลงไปได้ทำให้เราได้ภาพที่ชัดเจน เมื่อพบท่อ และเครื่องอัดสารเคมีและน้ำ รวมทั้งชื่อบริษัทที่มารับจ้างขุดเจาะแท่นนี้ ก็หมดข้อสงสัยว่าที่นี่ทำ Fracking หรือไม่ เพราะ Schlumberger ถือเป็นบริษัทของสหรัฐอเมริกา ที่รับจ้างขุดเจาะปิโตรเลียมรายใหญ่ของโลก เป็นผู้หนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญในการขุดเจาะด้วยเทคโนโลยี่ Hydraulic Fracturing หรือเรียกสั้นว่า Fracking และ Acid Fracturing
แสงไฟทีปลายฟ้า คือสัญญลักษณ์ของการเผาผลาญทรัพยากรบนป่าต้นน้ำชั้นที่1A ของแผ่นดินไทย ที่จะเกิดผลกระทบ จนนำไปสู่การทำลายแหล่งน้ำ ดิน พืชและสัตว์ ร่วมทั้งเกษตรกรและความมั่นคงอาหาร ซึ่งผลร้ายนี้จะเกิดในระยะเวลา 10-20 ปีข้างหน้า หลังจากที่บริษัทพวกนี้สูบซดเอาทรัพยากรไปจนหมดสิ้นแล้ว ก็ทิ้งซากความสิ้นหวังไว้แก่คนไทยในท้องถิ่น เช่นเดียวกับที่เขาทำกับประเทศตนเองจนได้รับการขับไล่ประท้วงต้อเลิกทำ FRacking ไปหลายเมือง แต่ไทยมันง่ายและเชื่อง ด้วยมีคนเลวและเขลาเป็นผู้นำเปิดทางให้เขาทำร้ายแผ่นดินของเราตลอดมา
ถึงวันนี้ เราคนไทยต้องคิดแล้วว่า เราจะยอมแบบนี้อีกต่อไปได้ละหรือ ????
http://www.slb.com/…/com…/stimulation/reservoir/contact.aspx

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น