++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ข้อคิดจาก อ.ประเสริฐ เรื่อง "Follow your heart, not follow your head!"

ข้อคิดจาก อ.ประเสริฐ เรื่อง "Follow your heart, not follow your head!"

Follow your heart, not follow your head!
ในทางโลกเราจะได้ยินคำๆ นี้บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่เรามีความรัก เขาก็จะพูดกันว่า Follow your heart, not follow your head ! คือทำตามหัวใจที่ปรารถนาอย่าไปมีเหตุผลให้มันมาก พวกเราก็มักจะทำอย่างนั้นกันอยู่แล้ว

อยากได้อะไร..ซื้อ Follow your heart, not follow your head !
อยากกินอะไร..กิน Follow your heart, not follow your head !
อยากไปไหน..ไป Follow your heart, not follow your head !
อยากทำอะไร..ทำ Follow your heart, not follow your head !

แต่พอมาดูทางธรรม มันชักทะแม่งๆ เพราะถ้าเอาเข้าไปเทียบในบท ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร ซึ่งพระองค์ตรัสเรื่องทางสุดโต่ง ๒ สายที่บรรพชิตไม่ควรเสพ นี่คือ กามสุขขัลลิกานุโยโค คือการประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยความใคร่ในกามทั้งหลาย แสดงว่าหากทำอย่างนี้จนเกิดความเคยคุ้นหรือคุ้นชินจะทำให้เป็นปัญหาต่อไป เพราะมันจะแสดงผลตอนที่ไม่ได้อย่างนั้นๆ อีก เพราะเมื่อเกิดความคุ้นชินในสิ่งนั้นๆ ก็นำพามาซึ่งตัณหาต่อไป เมื่อคุ้นกับสิ่งนั้น ก็จะอยากได้ในสิ่งนั้นๆ เรื่อยไป ราคะล้างไม่ได้ด้วยราคะ อยากได้อะไรทำมันให้หายอยาก อยากกินอะไร กินมันให้หายอยาก หายอยากชั่วคราวตอนมันอิ่ม ตอนที่มันเบื่อละก้ออาจจะใช่ แต่จนถึงวันนี้ก็หาอย่างอื่นแบบอื่นเรื่อยไปไม่เคยจบ จะพ้นจากอยากจึงต้องเนกขัมมะแล้วจะเห็นความจริง คนติดบุหรี่ ท่านคิดว่าสูบมากๆ จนหายอยากได้ไหมล่ะ จะได้เลิก?

แล้วพระองค์ก็แนะนำให้ภิกษุ (ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร) ให้เนกขัมมะออกจากกามเพราะนำมาซึ่งทุกข์และจะจมในกามคุณไม่มีทางออกจากวังวนนี้ได้ เพราะการปฏิบัติธรรม ดูจะเป็นการฝืน heart ขัดใจ heart ซะมากกว่าตามใจ heart นะ นี่จึงเป็นยาถอนพิษ นำเหตุผลสารพัดเพื่อจะทำตาม Head คือ อริยมรรคมีองค์๘ เป็นเข็มทิศนำทาง

พอมาปฏิบัติธรรม เราจะเริ่มมีเหตุผลสารพัด เช่นเมื่อนั่งสมาธิซักพักแล้วปวดขา ก็จะเริ่มมีเหตุผลมาบอกเราว่า นั่งอย่างนี้เลือดมันไม่ค่อยเดินนะ มันจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เวลาจะเข้าป่าทำความเพียรก็จะมีเหตุผลสารพัดว่ามันลำบากอย่างนั้นอย่างนี้ อันตรายมากมายอาจเกิดขึ้นแล้วยังแมลง ยุง สารพัด อย่าไปเลย มันเป็นการไปทรมานตน อ้าว! พอถึงตอนนี้การ follow your head ทำท่าจะกลายเป็นขัดขวางการปฏิบัติธรรมซะอีกเพราะก็ดูจะมีเหตุมีผลขึ้นมาอีก

เรื่องของสมมุติบัญญัติก็คือคำพูดต่างๆ นั้นมักจะมีข้อจำกัดในการสื่อสารเสมอ ดังนั้นจึงต้องใช้ปัญญาพลิกแพลงไปตามจริง แต่เอาอย่างนี้พอเป็นหลักปฏิบัติง่ายๆ

ถ้าเป็นการชักนำของกิเลส มีความโลภ โกรธ หลง เป็นตัวชักนำ ให้ Follow you head มีหลักการและเหตุผลในการเดินตาม อริยมรรคมีองค์๘ อย่าไป follow your heart

แต่ถ้าเป็นการทำตามสติ ปัญญา ที่มีพระธรรมของพระศาสดาเป็นสรณะ ให้ follow your heart คือ ตายเป็นตาย อย่าไปฟังกิเลส ลุยไปเลย อย่าไป follow your head เพราะกิเลสมันจะหาเหตุผลสารพัดให้เราเลิก ได้เวียนว่ายตายเกิดกันยาวล่ะ

--
เบียร์ (ชีฟอง)
สวนยินดีทะเล

คนในเน็ตเป็นโรคทางใจกันมาก

คนในเน็ตเป็นโรคทางใจกันมาก
ดังตฤณ
มิถุนายน ๕๗
.....................
มีคนเดียวเท่านั้น
คนนั้น ก็คือ "ดังตฤณ" ที่ไม่เป็นโรคทางใจ

เพราะ "คนในเน็ตเป็นโรคทางใจกันมาก"

เน็ตมีใช้กันอยู่ทั่วโลก

เพราะฉะนั้น
"คนทั่วโลกเป็นโรคทางใจกันมาก"
เว้น "ดังตฤณ" คนเดียวเท่านั้น
ที่ "ไม่เป็นโรคทางใจ"

เจ้าเหตุเจ้าผล


วันนี้ความมีเหตุผลเป็นเรื่องดีที่จะทำให้เราทำอะไรๆ อย่างมีเหตุมีผล แต่ด้วยความหลงของมนุษย์ เหตุผลของมนุษย์จึงมาจากฐานความหลงด้วยเช่นกัน จึงทำให้เราคิดวนอยู่ในกรอบความคิดของตัวเอง แล้วก็คิดว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกเพราะมีเหตุผลสนับสนุนมากมาย เช่นถ้าวันที่ผู้คนเชื่อว่าโลกแบนแล้วมีใครสักคนบอกว่าไม่ใช่หรอก โลกไม่ได้แบนโลกนี้กลม คนที่เชื่อว่าโลกแบนนั่นล่ะถูกแล้วก็จะพูดจากระแนะกระแหนว่าถ้าอย่างนั้นหากเราอยู่ที่เส้นศูนย์สูตร คือช่วงกลางๆ ของโลก เวลาทานข้าวหรือดื่มน้ำก็คงสำลักแย่เลย พร้อมชวนพรรคพวกที่เชื่ออย่างเดียวกันหัวเราะเย้ยหยันอย่างผู้รู้ โดยเฉพาะหากเรื่องนั้นๆ เป็นเรื่องที่แหวกจากคิดเดิมๆ ที่เรามีเช่น ภิกษุทั้งหลาย! กายนี้ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย.... ถ้าได้ยินอย่างนี้ล่ะ เราก็จะเอาเหตุผลภายใต้กะลาครอบหรือประสบการณ์เล็กๆ ของเราที่มีขึ้นมาเถียงอีกเช่นเคย นี่จึงทำให้สัตว์โลกวนเวียนแค่ในความคิดและเหตุผลของตัวเองเท่านั้น

วันนี้ต่างจากสมัยพุทธกาลมาก ดังนั้นองค์ประกอบหรือเหตุปัจจัยที่จะทำให้คนเข้าถึงธรรมจึงแตกต่างกันมาก องค์ประกอบหรือเหตุปัจจัยที่ทำให้คนถึงธรรมจึงมาจาก 3 ปัจจัยที่จะต้องถึงพร้อม โดยยืนยันทั้งจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสารีบุตรคือคำว่า "ใครกันเป็นโสดาบัน?" "ผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วย อริยมรรคมีองค์๘ ข้าพระองค์เรียกผู้นั้นว่า โสดาบัน" "ถูกแล้วๆ แม้เราเองก็เรียกคนเช่นนั้นว่า พระโสดาบัน" คำว่าผู้ประกอบพร้อมนั่นยืนยันอย่างแน่นอนว่า บุคคลนั้นจะเข้าสู่สัมมาฯทั้งหมด ๘ องค์ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้เอง แต่ที่จะชี้คือ เมื่อจัดหมวดเข้าสู่ไตรสิกขาให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจคือ ปัญญา ศีล สมาธินั้นทั้ง ๓ หมวดต้องถึงพร้อมจริงๆ

จะแสดงให้เห็นง่ายๆ แล้วทุกคนจะเห็นภาพตาม เราจะเริ่มจากจุดนี้ก็แล้วกัน วันนี้สื่อลามกมากมาย ซึ่งนั่นเป็นเหตุในการกระตุ้นจิตใจสัตว์ทั้งหลายที่เข้าไปเสพหรือหมกมุ่นให้มีสภาพกระสันเกิดกามตัณหาฝังตัวเป็นอนุสัยพร้อมจะปะทุขึ้นมาเมื่อมีแรงกระตุ้น ดังนั้นจึงทำให้เกิดการสมสู่ทางเพศกันอย่างกว้างขวางเป็นผลตามมาเพราะการเห็นสั่งสมเข้าไปบ่อยๆ (อย่างนี้เรียก อิทัปปัจจยตา เพราะสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น) นั่นจึงเป็นเหตุแล้วส่งผลให้ผู้ใหญ่ลักลอบสมสู่กัน รวมถึงส่งผลสู่เด็กนักเรียนท้องในวัยเรียน เมื่อทั้งผู้ใหญ่ก็พลาดจนตั้งท้อง ทั้งเด็กนักเรียนก็ท้องในวัยเรียนจึงส่งผลให้การทำแท้งเป็นไปอย่างกว้างขวาง เมื่อการทำแท้งกว้างขวาง ก็จะเริ่มเกิดการเสียชีวิตของทั้งเด็กที่ไปทำแท้งเสียชีวิตและที่แน่ๆ เด็กทารกในท้องก็ต้องเสียชีวิตจากการกระที่เกิดขึ้น

จะเห็นว่าความเป็นเหตุเป็นผลนั้นเกิดเป็นกระแสที่ดูเหมือนยากที่จะหยุดได้ เพราะต่อให้ไล่ขึ้นไปอีกก็จะมีเหตุไปเรื่อยๆเช่นอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์และอื่นอีกมากที่เป็นเหตุ ดังนั้นจึงดูเหมือนกับว่าจะหยุดไม่ได้เลย ทำได้ก็เพียงชะลอเท่านั้น การแก้ไขนั้นก็ไม่สามารถไม่ทำในองค์รวมแต่ทำได้ในลักษณะตัวบุคคลคือพรากออกมาจากเรื่องนั้นๆ นั่นรอดได้เป็นคนๆ เท่านั้นเอง

แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่จะสื่อ เมื่อถึงตรงนี้เรามองได้เลยว่าอีกไม่นาน การทำแท้งเสรีต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะความเห็นใจเด็กๆ ที่ท้อง เมื่อมองย้อนไปในมุมผู้ที่มีหน้าที่ทำแท้งคือหมอ ก็ต้องลงมือช่วยเพราะเหตุผลมันบีบเข้ามาไม่ช่วยก็ไม่ได้เพราะเป็นเหตุผลด้านมนุษยธรรม การทำปาณาติบาตต่อทารกซึ่งคือมนุษย์คนหนึ่งจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าสมมติเหตุการณ์นี้เกิดใน 5 ปีข้างหน้า หมอในช่วงแรกอาจจะไม่ยอมแต่ก็มีถูกบีบให้มองไปที่การช่วยเหลือเด็ก เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งนี้จะเริ่มกลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดาไปในที่สุด ไม่มีใครพูดถึงอีกแล้วก็ทำกันเป็นปรกติ หากมีสาวกประกาศธรรมแล้วบอกว่าการทำปาณาติบาตเป็นเรื่องผิดไม่ควรทำ ทุกคนในวันนั้นจะเถียงอย่างมีเหตุผลของมนุษยธรรมต่อเด็กน้อยผู้น่าสงสารที่ต้องเสียอนาคตไปหากผู้ใหญ่ไม่ช่วย

เห็นภาพไหม? ถ้าเข้าใจ ย้อน Time machine กลับมาที่ปัจจุบันวันนี้ทุกคนหลงไหลในสื่อ ทีวี การละเล่นกันมากขนาดไหน ทุกคนจะเห็นว่าใครๆ ก็ทำกัน บ้านไหนๆ ก็มีกัน หลงไหลเพลิดเพลินกัน วันนี้สาวกผู้เห็นความจริงเข้าไปบอกเรื่องเหล่านี้ คนจะนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันไม่ดียังไงก็มันให้ความสุข ความสนุกสนานไม่ใช่หรือ? หากเราเห็นภาพไม่ว่าการผิดศีลซึ่งวันนี้ศีลทุกข้อกำลังอยู่ในจุดที่คนมากกว่าครึ่งทำมันโดยไม่รู้สึกผิด วันข้างหน้าคนเกือบทั้งหมดจะไม่รู้สึกว่ามันผิดอีก นั่นจะส่งผลให้เราทุกคนเห็นเลยว่า การบรรลุธรรมที่ประกอบด้วย ปัญญา ศีล สมาธิอย่างถึงพร้อมจะเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วเขาจะมีเหตุผลมาสนับสนุนการไม่มีศีลของเขาอย่างชอบธรรม...เป็นอันปิดฉากการบรรลุธรรม เพราะสัญชาตญาณเถื่อนในสัตว์โลกจะไม่สามารถถูกขัดเกลาได้ เมื่อสันดานที่ปลูกฝังอย่างเหนียวแน่นและที่สำคัญไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันไม่ดีแล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาจัดการได้อีก

เคยได้ยินคำนี้ไหม "โลกจะไม่เกื้อกูลต่อการบรรลุธรรมอีก" ตอนนี้ผู้ที่เห็นความจริงยังพอมี ยังพอเข้าใจได้ จึงสามารถนำตนเข้าถึงความเป็นอริยะได้ แต่ผู้ที่มีเหตุผลสารพัด และเป็นคนเจ้าเหตุเจ้าผลเป็นนักวิเคราะห์ นักวิจารณ์ ก็คงหลงวนไปกับประสบการณ์ภายใต้กระแสโลกที่นับวันจะรุนแรงจนยากที่จะโงหัวขึ้นมาเห็นความจริงได้อีกเพราะศีลถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว

--
เบียร์ (ชีฟอง)
สวนยินดีทะเล

จิตกำพร้า

จิตกำพร้า
จิตกำพร้าหมายถึงจิตที่ขาดสติหลงใหลในอารมณ์ที่มากระทบ หลงโลภ หลงโกรธ หลงไปกับความหลง ล้วนแต่เป็นจิตกำพร้า ขาดพ่อแม่คือสติที่เป็นธรรมะอุปการะ
ชีวิตเลยเหือดแห้ง โศกตรมหลงทางอยู่บ่อยๆ จนบางรายคลั่งไคล้ไปถือผีถือเจ้าเมาหนักเข้าไปอีก ถ้ายึดถือหมอดูเป็นพระเจ้า........... ยิ่งน่าอนาถ
มืดมาสว่างไปดี
สว่างมาสว่างไปดีมาก
สว่างมามืดไปแย่
มืดมามืดไป...................เฮ้อแย่มากนะท่าน ในอบายที่แปลว่าหนทางที่หาความเจริญไม่ได้เลย
นักปราชญ์ข้างถนน
หมายเหตุ
“เด็กกำพร้า” หมายความว่า เด็กที่บิดาหรือมารดาเสียชีวิต เด็กที่ไม่ปรากฏบิดามารดาหรือไม่สามารถสืบหาบิดามารดาได้( พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ )
แล้วยังเป็นเด็กที่ด้อยโอกาสในการดำเนินชีวิต แต่ก็มีเด็กกำพร้าหลายคนฟันฝ่าชีวิตจนประสบผลความสำเร็จก็ไม่น้อย บ้างถึงกลับร่ำรวยมีความสุขจนแทบไม่น่าเชื่อ
ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรมให้อยู่เป็นสุข โดยธรรมสุจริต "ตดเกิดตดดับ"

ก ข ก กา ของพุทธศาสนาที่แท้จริง



อาตมาได้เคยกล่าวมาทุกครั้งที่บรรยาย ว่า เรื่อง กข ก กา นั้น มีทั้ง ฝ่าย
ปรมัตถธรรม และฝ่ายศีลธรรม ฝ่ายปรมัตถธรรม คือเป็นธรรมะชั้นจริง คือ
ชั้นที่ไม่เคยสมมติ คือเป็นธรรมะที่บอก สอนเรื่องไม่มีตัวตน ส่วนศีลธรรมนั้น
เป็นเรื่องที่สมมติ ให้เป็นบุคคล และมีตัวตน คำสอนประเภท ที่มีตัวมีตนเป็น
หลัก สำหรับจะได้เป็น ที่ตั้งแห่ง ความรัก ความสนใจ ความพยายาม ให้แก่
ตนเอง อย่างนี้ก็เรียกว่า เรื่องศีลธรรม ส่วนเรื่องปรมัตถธรรม นั้น พยายามจะ
สอน แต่ในแง่ที่ว่า มันไม่มี สิ่งที่ควรจะเรียกว่า ตัวตน

นี้พระพุทธภาษิต ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้เอง มีทั้ง ๒ ประเภท คือ ประเภท
ศีลธรรม ก็มี ประเภทปรมัตถธรรม ก็มี แม้ในธรรมะชื่อเดียวกัน คือ เรื่องบุคคล
ว่ามีบุคคล หรือไม่มีบุคคล

ตัวอย่าง เช่น เมื่อทรงสอน เรื่องศีลธรรม ก็สอนอย่างเช่นกับว่า เรามีกรรม เป็น
ของเรา เราทำกรรมใดไว้ เราจะได้รับผลแห่งกรรมนั้น เราทำดีก็ตาม เราทำชั่ว
ก็ตาม เราจะได้รับผลแห่งกรรมนั้น อย่างนี้มันมีตัวเรา มันมีตัวคน เรียกว่า ตรัส
สอนอย่างศีลธรรม และเป็นเรื่อง ก ข ก กา ที่สุดคือ คล้อยตามความรู้สึกสามัญ
สำนึกของสัตว์ทั้งหลาย ที่ไม่เคยฟังธรรมะ มาแต่ก่อน ก็รู้สึกว่า มีตัวมีตน หรือ
ได้ฟังธรรมะที่เป็นคำสั่งสอน แต่เรื่องที่มีตัวมีตน เขามีความรู้สึก ที่เป็นตัวตน
อยู่ตลอดเวลา ก็ทรงสอน เริ่มต้นด้วย ก ข ก กา ทำนองนี้ ว่าเรามีตนก็รักตน ก็
สงวนตนให้ดี คือประพฤติดี นั่นเอง แต่พอถึงคราว สอนเรื่อง ปรมัตถธรรม ก็
ตรัสสอนเรื่อง อนัตตา สุญญตา โดยเฉพาะ บุคคลที่ประกอบอยู่ด้วยขันธ์ทั้ง ๕
ไม่มีส่วนใด ที่จะ เป็นตัว เป็นตน ไม่มีบุคคลอย่างนี้

ทีนี้ คนพวกหนึ่ง ก็จะรู้สึกว่า เรื่องไม่มีตัว ไม่มีตนนี้ มันเป็นเรื่องสูงสุด เป็น
เรื่องลึกซึ้ง แต่อาตมาก็เอามาทำเสีย ให้อยู่ในระดับเดียวกัน ว่ามันเป็นเรื่อง
ก ข ก กา ว่า การที่เราจะเรียน เรื่องขันธ์ เรื่อง ธาตุ เรื่อง อายตนะ เรื่อง ไม่มี
บุคคลนี้ มันเป็นเรื่อง ก ข ก กา แต่ว่า มันเป็น ก ข ก กา ของเรื่องประเภท
ปรมัตถธรรม คือที่จะเป็นตัว พระพุทธศาสนา โดยแท้จริงนั่นเอง

เมื่อเรื่องมีตัวมีตน มันเป็นของ พวกคนเหล่าอื่น ไม่ใช่ของพุทธศาสนา โดย
เฉพาะ เพราะใครๆ ก็สอนอย่างนั้น พุทธศาสนา จะแปลกออกไป ก็สอนเรื่อง
ไม่มีตัวตน ฉะนั้น การเริ่มสอนเรื่อง ไม่มีตัวตนนี้ ควรจะถือว่า เป็นการเริ่ม
เรียน ก ข ก กา ในพระพุทธศาสนา ดังนั้น คำสอน เรื่อง ธาตุ เรื่องอายตนะ
เรื่องขันธ์ หรืออะไรก็ตาม ที่แยกออกไป ไม่ให้มีตัวตน เหลืออยู่ที่ไหนนั้น
ควรจะถือว่า เป็น ก ข ก กา ของพุทธศาสนาโดยแท้จริง

แต่แล้ว ก็มีคนเป็นอันมาก ไม่ยอม แล้วยังกล่าวหาอาตมา ว่า ท่านพุทธทาสนี้
สอนแหวกแนวบ้าๆ บอๆ อย่างนี้เสมอ อย่างนี้ก็ไม่โกรธ และไม่ถือสาอะไร ยัง
คงมุ่งหมาย ที่จะพูดถ้อยคำ ที่กระตุ้นเตือนใจ ท่านทั้งหลาย ให้ขะมักเขม้น
เรียน ก ข ก กา ประเภทนี้กันเสียที เพราะมันอยู่ที่ ตรงนี้แหละ ที่พุทธบริษัท
ยังทำเสียชื่อขายหน้า ไม่สมกับ ที่เป็น พุทธบริษัท ก็อยู่ที่ตรงนี้ พุทธบริษัท
ก็แปลว่า ผู้รู้ตามพระพุทธเจ้า ฉะนั้น ควรจะรู้เรื่อง ไม่มีตัว ไม่มีตน ส่วนเรื่อง
ของฆราวาส นั้น ก็สอนไปในฐานะที่ว่า มันเป็นเรื่องทั่วไป ของคนซึ่งยังไม่มี
อะไรแปลก ยังไม่มีอะไรพิเศษ ออกไป จากคนธรรมดา

นี้สรุปความว่า เรื่อง ก ข ก กา นั้น ต้องแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ๒ ประเภท ๒ ระดับ
แล้วแต่จะเรียก คือฝ่ายปรมัตถธรรม นี้เป็นเรื่องจริง พูดเรื่อง ความไม่มีตัวตน
และฝ่ายศีลธรรม นี้เป็นเรื่องสมมติว่า ให้มีตัวตน และก็พูดไปตามสมควร แก่
ความรู้สึก ของบุคคล ที่ยังไม่รู้สมมติแล้ว ก็หลงว่ามีตัวมีตน.



http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/abc_bud01.html

วัยสนธยา...................คิดถึงหลวงตาช้วน คุณธัมโม




                   ด้วยที่ผู้เขียนเป็นลูกศิษย์หลวงตาช้วน คุณธัมโม (อดีตเจ้าอาวาสรูปที่สิบวัดแคนางเลิ้งหรือวัดสุนทรธรรมทาน ) มานาน ได้ฟังท่านอบรมแทบจะทุกเรื่องและทุกวัย จากเด็กหนุ่ม มากลางคน ล่วงเลยมาถึงวัยชราที่ท่านเรียกว่าปัจฉิมวัยหรืออายุตั้งแต่ห้าสิบปีขึ้นไป
                   หลวงตาเทศน์สอนอย่างละเอียดยิบเลย แม้กระทั่งเรื่องความเสื่อมสิ้นแห่งสังขาร การดูแลตัวเอง ความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มมาเยือน แม้กระทั่งสภาวะนิโรธควรเดินเช่นไร
                   ในยามที่ท่านอยู่ต่อหน้าญาติโยมท่านก็เทศน์เบ็ดเตล็ด แต่เมื่ออยู่ตามลำพังสองตาหลาน
ท่านเทศน์ได้ถึงใจนัก จนหลานคนนี้มิเคยลืม อะไรที่สงสัย หลวงตาก็จะเฉลยให้แจ้ง เว้นแต่ว่าท่านจะบอกว่าไม่รู้
                    แม้แต่ตอนที่ท่านอาพาธหนักอยู่ในห้องไอซียูตามลำพังที่โรงพยาบาลหัวเฉียวและไม่รู้สึกตัว ผู้เขียนไปกราบเยี่ยมท่าน ท่านกลับรู้

                   ผู้เขียนเคยกราบเรียนถามหลวงตาหลายครั้งว่า.......หลวงตาถึงหรือยังครับ
                   ท่านมักจะยิ้มแล้วชี้ไปที่รูปปั้นหลวงปู่ธูป เขมสิริ(พระราชธรรมวิจารณ์) แล้วบอกว่า"ของแท้นั่นอยู่ตรงนั้นหลาน"
                   ก่อนที่ท่านจะละสังขารสองอาทิตย์ผู้เขียนได่มีโอกาสไปกราบท่าน แล้วกราบเรียนถามท่านเช่นเดิมว่าหลวงตาถึงหรือยังครับ แต่คราวนี้ท่านยิ้มอย่างเดียวแล้วให้พรหลานคนนี้หลายรอบ ดั่งที่เคยเมตตาท่วมหัวหลานคนนี้ทุกครั้ง
                    ได้แต่น้อมกราบระลึกถึงหลวงตาของหลานในวัยสนธยาคนนี้ ด้วยการสวดมนต์ เจริญภาวนา เอาหลวงตาเป็นที่น้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย

                                                         แทนสะมะชัยโย



                     หมายเหตู มีพี่สาวของผู้เขียนอยู่ท่านหนึ่งเป็นแพทย์แผนไทยที่ใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเองเป็นอย่างดี
 ช่ำชองในการรักษาโรคที่เรียนมามาก ตรวจสอบสมรรถะของร่างกายตนเองทุกวันจนพอใจ
                     แต่ที่ท่านลืมไปก็คือลืมตรวจใจให้ละเอียดด้วยการภาวนาที่แปลว่ามองให้ชัดๆ หวังว่าท่านคนได้อ่านแก่นธรรมตอนนี้ จะได้ลงมือตรวจใจตนเองให้ละเอียด จะได้เลิกขี้ระแวงความไม่เที่ยงเสียที เหมือนที่หลวงตาพร่ำย้ำสอน

                     หมายเหตูจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สนธยา หรือ โพล้เพล้[1](อังกฤษ: Twilight) หมายถึง ช่วงเวลาก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น หรือหลังจากดวงอาทิตย์ตกไปแล้ว เมื่อแสงจากดวงอาทิตย์ที่ยังกระจายอยู่ในชั้นบรรยากาศชั้นบน ได้ส่องมายังชั้นบรรยากาศชั้นล่างและพื้นผิวโลก ทำให้ขณะนั้นเห็นท้องฟ้าบริเวณใกล้กับขอบฟ้าเป็นสีเหลือง ส้ม หรือแดง ซึ่งแสงลักษณะนี้ในภาษาไทยเรียกว่า ผีตากผ้าอ้อม
                     หมายเหตุแก่นธรรม
                     ผู้เขียนและคณะเป็นผู้เขลาทางปัญญา หากมีข้อผิดพลาดบกพร่อง ขอน้อมรับทุกประการ บุญกุศลที่เกิดจากบทความนี้ขอน้อมถวายแด่หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ และอุทิศให้แก่บรรพบุรุษ อันมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นปฐม เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ รวมทั้งท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป

อยู่กับคน..ต้องอดทนตลอดไป ธรรมะจาก หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

ธรรมะจาก หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

อยู่กับคน..ต้องอดทนตลอดไป
ธรรมะจาก หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

ความอดทนเป็นสมบัติของนักต่อสู้
ความรู้เป็นสมบัติของนักปราชญ์
ความสามารถเป็นของนักประกอบกิจ
ความสามารถทุกชนิดเป็นสมบัติของผู้ดี

ความดีเป็นศัตรูของชีวิต ความดีต้องมีอุปสรรค
เขาร้ายมาอย่าร้ายตอบ เขาไม่ดีมา เราเอาความดีไปแก้ไข

คนตระหนี่ก็ให้ของที่ต้องใจ
คนพูดเหลวไหล เอาความจริงใจไปสนทนา
อย่าเอาเหลวไหลไปสนทนากับมัน เสียเครดิตหมด
อย่าไปเห็นแก่คนแบบนั้นแบบนี้เลย จะเสียหาย

คนเรานี่สุขไม่เหมือนกัน ทุกข์ไม่เหมือนกัน
แก้ไขเหมือนกันทุก ๆ คนไม่ได้
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
อย่าไปขัดคอเขา ต้องฝืนใจต้องอดทน

เราอยู่กับคนมากต้องอดทนมาก อยู่กับคนต้องอดทนตลอดไป
ถ้าเราอยู่คนเดียวก็ไม่ต้องอดทน เพราะไม่มีใครขัดคอ
ใครจะพูดอย่างไรก็ช่าง วันไหนมีคนด่าคนว่าอย่างโน้นอย่างนี้
ล้วนแต่ได้กำไร คนเรานี่มีปัญหามาก

คน แปลว่า ปัญหา คนสร้างแต่ปัญหาให้เรา
เราเป็นผู้จัดการผู้บริหารต้องอดทนมาก
เมื่ออยู่กับคนมากก็ต้องอดทนมากแน่นอน

เกิดเป็นมนุษย์ ย่อมมีความแตกต่างกัน
ไม้ไผ่ต่างปล้อง พี่น้องต่างใจ บ้านเดียวกันไม่เหมือนกัน
แต่เราควรสร้างความดีร่วมกัน

เป็นเรื่องจริงที่เราจะต้องอดทน คนเราแตกต่างกันจะคาดหวังให้เค้ามาเหมือนเราหรือให้เค้าเป็นตามที่เราคิดก็คงเป็นไปไม่ได้ การใช้ชีวิตก็เหมือนกันจะต้องอดทน ยิ่งความอดทนเรามีมากเท่าไหร่นั่นแหละเเสดงว่าเราเข้มแข็งมากขึ้นเท่านั้น..

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 166 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - พระราชาในดวงใจ

รายการรักพ่อ 166 พระราชาในดวงใจ

http://www.youtube.com/watch?v=q4bh-Lt4rAM


พบกับ สารคดีเฉลิมพระเกียรติฯ ในหลวง 2.ประโยชน์สุขแห่งแผ่นดิน ฝนหลวง ปฏิบัติการดับแล้งแกล้งเมฆ , สปอตข้าวผัดอิ่มใจ, เพลงพระภูมิพล , รักพ่อ-มุสลิม5: คู่ครองของอิสลาม, รายการรักพ่อ-เสียงมุสลิม โดย อ. สุรพงศ์ อ่อนหวาน ( รอซีดี อ่อนหวาน) คอเต็บมัสยิดนูรุ้ลมู่บีน บ้านสมเด็จ, หนังสือ ตามรอยพ่อ ตอน ความเมตตา เสียงโดย ดร.สนอง วรอุไร และ ทพญ.อัจฉรา กลิ่นสุวรรณ์ ธรรมทานจาก ชมรมกัลยาณธรรม, ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว

มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

การลดกรรม 45อย่าง (ควรอ่านอย่างยิ่ง)

การลดกรรม 45อย่าง (ควรอ่านอย่างยิ่ง)
มาทำความดี ละเว้นความชั่วกันดีกว่า


 
1. กรรมที่ไม่มีลูก
กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือ
มูลนิธิเด็กอ่อน

2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า
งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา
กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ
ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพร! ะ บริจาคเงินในกล่อง
ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด

4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย
กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ

5. สูญเสียคนใกล้ชิด
กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย
กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข

7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือ
ธรรมะแจกจ่ายฟรี

8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้

9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย
กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย

10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่
จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่าง
สม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้

11.ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ชาดเสน่ห์
กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี
ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด

12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น
พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี

13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค
กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้
ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก

14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป
กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์

15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนา! ถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ

16. อาภัพคู่ ร้างคู่
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่
เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น

17. ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย
กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา

19. รูปร่างหน้าไม่งดงาม
กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
ลด??รรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล

20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น!
ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆเดือน

21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ
กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

22. มีคดีความ
กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆละ 7 วัน

23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บู! ชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด

24. จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห
กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
ลดกรรม สวดมนต ์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ

25. ไม่มีชื่อเสียง
กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา

26. ไม่มีวาสนาบารมี
กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
ลดกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน

27. มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง
กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรม อุทิศให้ลูกตนเอง

28. เจอแต่คนเอาเปรียบ
กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆเข้ามาในชีวิต

29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ
กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
ลดกรรม ร่ว??ทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น!

มหัศจรรย์แห่งคำสอนของพ่อ ตอนที่ 3 : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 36

มหัศจรรย์แห่งคำสอนของพ่อ ตอนที่ 3 : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 36
ตอนที่ 36 : มหัศจรรย์แห่งคำสอนของพ่อ ตอนที่ 3
หลากทฤษฎีที่เกิดจากการเสด็จเยี่ยมราษฎรจา?กวัน สู่เดือน สู่ปี จากหนึ่งท้องที่สู่ทั่วทุกหัวระแหง กลายเป็นแนวคิดที่เชื่อมโยงร้อยเรียงไปในแ?นวทางเดียวกัน แนวทางที่มีพลังที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงวิถี?ของโลกนี้ ชะลอความเสื่อมสลาย จากการบริโภคทรัพยากรมากมายเกินจำเป็น ตามกระแสทุนและวัตถุนิยม สู่แนวทางใหม่ แนวทางที่ชีวิตเดินช้าลงแต่พอเพียง แนวทางที่จะแก้ปัญหาใหญ่อย่างภาวะโลกร้อน ที่ใครคนเดียวไม่สามารถแก้ได้ แนวทางที่จะปลดปัญหาความขาดแคลนของชีวิตเก?ษตรกร แนวทางที่จะออกจากความเป็นหนี้ ความมหัศจรรย์ของคำสอนของพ่อ คำสอนเดียวที่เป็นทางออกของทุกปัญหาโลกวัน?นี้
http://www.youtube.com/watch?v=1xnJZCx_DDY

มหัศจรรย์แห่งคำสอนของพ่อ ตอนที่ 2 : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 35

มหัศจรรย์แห่งคำสอนของพ่อ ตอนที่ 2 : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 35
ตอนที่ 35 : มหัศจรรย์แห่งคำสอนของพ่อ ตอนที่ 2
นาม ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ พระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จัดแสดงแนวทางตามพระราชดำริ แสดงให้เห็นผลที่ปรากฏจริง เด่นชัด และเชื่อมโยงต่อกัน จากวัน สู่เดือน ปี ของการเสด็จไปยังทุกท้องถิ่นทั่วประเทศ สู่แนวทางตามพระราชดำริ คือ ความมหัศจรรย์แห่งคำสอนของพ่อ ที่เชื่อมโยงร้อยเรียงเป็นแนวทางเดียวกัน แนวทางที่มีพลังที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงวิถี?ของโลกนี้ ชะลอความเสื่อมสลายของโลก จากการบริโภคทรัพยากรมากมายเกินจำเป็น ตามกระแสทุนและวัตถุนิยม สู่แนวทางใหม่แนวทางที่ชิวิตเดินช้าลงแต่พ?อเพียง แนวทางที่จะแก้ปัญหาใหญ่อย่างภาวะโลกร้อน ที่ใครคนเดียวไม่สามารถแก้ได้ แนวทางที่จะปลดปัญหาความขาดแคลนของชีวิตเก?ษตรกร แนวทางที่จะออกจากความเป็นหนี้ นี้คือ ความมหัศจรรย์ของคำสอนของพ่อ คำสอนเดียวที่เป็นทางออกของทุกปัญหาโลกวัน?นี้
http://www.youtube.com/watch?v=Um8ElVBHJhQ

มหัศจรรย์แห่งคำสอนของพ่อ ตอนที่ 1 : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 34

มหัศจรรย์แห่งคำสอนของพ่อ ตอนที่ 1 : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 34
ตอนที่ 34 : มหัศจรรย์แห่งคำสอนของพ่อ ตอนที่ 1
ส่วนหนึ่งของความมหัศจรรย์ ตามแนวทางคำสอนของพ่อ การจัดการที่ดินที่แม้มีเพียง 1 ไร่ สองไร่ หรือสามไร่ หรือมีถึง 15 ไร่ ก็สามารถเดินตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงสู่ช?ีวิตที่ยั่งยืนได้ ด้วยการแบ่งพื้นที่สำหรับปัจจัยสี่ ความจำเป็นพื้นฐานของชีวิต บ้านจากไม้ที่ปลูกด้วยตนเอง จากป่า 3 อย่าง อาหารที่มาจากป่า และนาอินทรีย์ที่งอกงามด้วยความชุ่มชื้นขอ?งดินที่มาจากการมีป่าในบ้าน น้ำที่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงข้าวในปริมาณ?ที่พอกิน พอใช้ นี่คือความพอเพียงในระดับต้น จากไม่มีสู่พอมี พอกิน บนพื้นฐานความพอเพียง
http://www.youtube.com/watch?v=42pJu0aJbUk

คนรักดิน : เลี้ยงดิน ให้ดินเลี้ยงพืช : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 33


ตอนที่ 33 : คนรักดิน : เลี้ยงดิน ให้ดินเลี้ยงพืช
ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติสระแก้ว ดอกแก้ว-บ้านดิน จ.สระแก้ว เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของชาวชุมชนโดยร?อบ และเป็นหนึ่งในศูนย์ให้ความรู้เรื่องการทำ?บ้านดิน ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของคนอยากมีบ้าน บ้านดินที่สร้างจากดิน ฟาง แกลบ น้ำ กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่สำคัญของความอ?หังการของกลุ่มชน ที่กล้าลุกขึ้นมา สร้าง แนวทางใหม่ของการมีบ้าน ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เป็นบ้านที่มนุษย์ใช้อยู่อาศัยมาแต่ครั้นโ?บราณ ในแทบทุกพื้นที่อารยธรรมเก่าแก่ ก่อนที่บ้านดิน จะถูกแทนที่ด้วยบ้านไม้ บ้านตึก ซึ่งหมายถึงไม้จากป่าไม้ หินจากภูเขา ทรายจากแม่น้ำได้ถูกนำมาใช้เพื่อการสร้าง.?..บ้าน
วันนี้บ้านดินเป็นบ้านทางเลือกใหม่ สำหรับคนที่คิดจะมีบ้านที่ประหยัดพลังงาน พอเพียง และเรียบง่าย และพร้อมที่จะคืนกลับสู่ธรรมชาติ
http://www.youtube.com/watch?v=2mm7wc0LAK8

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

VDO บันทึกการแสดงสด นาท ซูดาน งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือสู่สังคม

นาท ซูดาน  : แสดงสด งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
งานครบรอบ 2 ปี ปล่อยหนังสือ สู่สังคม โดย เครือข่ายเพื่อนหนังสือ
27 ก.ค.2557 ที่หอศิลปะวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร



VDO บันทึกการแสดงสด จีน ปุถุชน งานครบรอบ 2 ปีกิจกรรมปล่อยหนังสือ โดย เครือข่ายเพื่อนหนังสือ


จีน ปุถุชน : แสดงสด งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
งานครบรอบ 2 ปี ปล่อยหนังสือ สู่สังคม โดย เครือข่ายเพื่อนหนังสือ
27 ก.ค.2557 ที่หอศิลปะวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร



VDO บันทึกการแสดงสด เดช อัสดง ในงานครบรอบ 2 ปีกิจกรรมปล่อยหนังสือ 27กค57


เดช อัสดง : แสดงสด งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
งานครบรอบ 2 ปี ปล่อยหนังสือ สู่สังคม โดย เครือข่ายเพื่อนหนังสือ
27 ก.ค.2557 ที่หอศิลปะวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร



VDO แสดงสด มงคล อุทก งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57


พี่หว่อง มงคล อุทก : แสดงสด งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
งานครบรอบ 2 ปี ปล่อยหนังสือ สู่สังคม โดย เครือข่ายเพื่อนหนังสือ
27 ก.ค.2557 ที่หอศิลปะวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร



3 VDO แสดงสด หล่อ ภูบรรทัด + เรียว ปัญญาวัฒน์+เจริญ คงสวัสดิ์+ป้อม เจริญกรุง งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57

หล่อ ภูบรรทัด + เรียว ปัญญาวัฒน์ : แสดงสด งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
งานครบรอบ 2 ปี ปล่อยหนังสือ สู่สังคม โดย เครือข่ายเพื่อนหนังสือ
27 ก.ค.2557 ที่หอศิลปะวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร




เจริญ คงสวัสดิ์ : แสดงสด งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
งานครบรอบ 2 ปี ปล่อยหนังสือ สู่สังคม โดย เครือข่ายเพื่อนหนังสือ
27 ก.ค.2557 ที่หอศิลปะวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร 



ป้อม เจริญกรุง  : แสดงสด งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
งานครบรอบ 2 ปี ปล่อยหนังสือ สู่สังคม โดย เครือข่ายเพื่อนหนังสือ
27 ก.ค.2557 ที่หอศิลปะวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร 


5 VIDEO ช่วงแรกงาน 2 ปี กิจกรรมปล่อยหนังสือ สู่สังคม โดยเครือข่ายเพื่อนหนังสือ

อ่านบทกวี พี่เลน จิตติมา ผลเสวก :  งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
งานครบรอบ 2 ปี ปล่อยหนังสือ สู่สังคม โดย เครือข่ายเพื่อนหนังสือ
27 ก.ค.2557 ที่หอศิลปะวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร




เปิดงานปล่อยหนังสือ :  งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
http://youtu.be/3RKZWY8Cw3c





สงวน สันทอง : แสดงสด งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
http://www.youtube.com/watch?v=21ZcHYudbmg
สงวน สันทอง : แสดงสด งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
งานครบรอบ 2 ปี ปล่อยหนังสือ สู่สังคม โดย เครือข่ายเพื่อนหนังสือ
27 ก.ค.2557 ที่หอศิลปะวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร




ฤทธิ์ ลำนำไพร : แสดงสด งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
http://www.youtube.com/watch?v=SFEwAOdDtjs
ฤทธิ์ ลำนำไพร : แสดงสด งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
งานครบรอบ 2 ปี ปล่อยหนังสือ สู่สังคม โดย เครือข่ายเพื่อนหนังสือ
27 ก.ค.2557 ที่หอศิลปะวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร




หลวง ทีลอซู : แสดงสด งานครบรอบ 2 ปีปล่อยหนังสือ 27กค57
งานครบรอบ 2 ปี ปล่อยหนังสือ สู่สังคม โดย เครือข่ายเพื่อนหนังสือ
27 ก.ค.2557 ที่หอศิลปะวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร 

เครือข่ายเพื่อนหนังสือ, ปล่อยหนังสือ, bookfriendnetwork, งานครบรอบ2ปี

9 ข้อควรรู้ที่เราไม่เคยใส่ใจ

(angry) อิ่มสยองสองข้างทาง (angry)

9 ข้อควรรู้ที่เราไม่เคยใส่ใจ

1. ยาคูลท์ขวดเล็กๆ มีส่วนผสม ของน้ำตาลทรายขาว 6 ช้อนชา

2. ร้านกาแฟโบราณรถเข็น ที่ขายโอเลี้ยง และชาดำเย็น มีต้นทุนค่ากาแฟเย็น แก้วละ 3 บาท
(ขณะที่มั่วๆ ขายเราแก้วละ 30บาท ประหนึ่งว่าตัวเอง เป็นร้านขายกาแฟสด)

3. ร้านขายน้ำส้มคั้นสด ตามรถเข็นริมถนน จะมีสวนผสมของยาฆ่าแมลง อยู่ด้วยเสมอจากผิวเปลือกส้ม ที่ไม่ได้ล้าง หรือล้างไม่สะอาด

4. 95% ของร้านที่ผ่าไข่ด้วยเชือกด้าย เช่น ร้านข้าวหมูแดง ร้านก๊วยจั๊บ เชือกด้ายนั้น ไม่เคยเช็ค ไม่เคยล้าง ไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่เปิดร้าน จนปิดร้าน

5. 90% ของร้านขายข้าวขาหมู จะเอาคะน้าที่ไม่ได้ล้าง ไปลวกให้สุกในน้ำขาหมู ก่อนที่จะหั่นเนื้อ หันผัก และตักน้ำขาหมู มาราดข้าวให้เรา

6. 90กว่า% ของแม่ค้าขายของ ที่ใส่ถุงมือขายอาหาร จะใส่ถุงมือหยิบอาหารและทอนเงิน
(จริงแล้วประโยชน์ที่ใส่ถุงมือเพราะ กันมือแม่ค้าเปื้อน)

7. อาหารใส่ถุงที่ซื้อจากตลาด ในตอนเช้า แล้วกลางวันบูด แสดงว่า อาหารสกปรกมีเชื้อแบคทีเรีย แต่ถ้าไว้ข้ามคืน และไม่ได้ใส่ตู้เย็นอาหารก็ยังไม่เสีย แสดงว่า ใส่สารกันบูด

8.โรตีอาบังท่ีเข็นรถขายตอนเย็นๆ
หรือกลางคืน เวลาบังปวดฉี่ บังจะไปยืนหลบๆต้นไม้ฉี่เสร็จ บังไม่ได้ล้างมือท่ีจับจู๋ฉี่ บังก็มาจับก้อนแป้งตบๆปี้ให้แบน เหวี่ยงให้เป็นแผ่นแล้วก็ทอดโรตีขายให้เรากิน กลิ่นก็จะทะแม่งๆกลมกล่อมพร้อมเชื้อโรค

9.รถเข็นขายไส้กรอกอีสาน ขายจนดึกกลับท่ีพัก ก็จอดรถเข็นไว้หน้า
ท่ีพัก ห้องเช่า โดยท่ีไม่ได้เก็บท่ีปิ้งย่างไส้กรอก ก็ทิ้งไว้บนรถเข็น ตกดึกหนูก็จะมารุมแทะเศษหนังเศษมันของไส้กรอกท่ีติดอยู่ท่ีเหล็กเครื่องปิ้งกัน มันแถมฉี่ใส่อีกต่างหาก พอสายๆตื่นมาคนขายก็มาปัดๆกวาดๆแล้วก็ เตรียมของท่ีจะไปขายต่อ กินกันเข้าไปเชื้อโรคทั้งนั้น

***ก่อนจะทานคิดดูดีๆนะพี่น้อง***

คุณครอบครองลูกได้กี่ปี?

คุณครอบครองลูกได้กี่ปี?
เมื่อลูก 3 ขวบ
วันที่ลูกไปเรียนเตรียมอนุบาลวันแรก ลูกของคุณสวมชุดนักเรียนได้น่ารักที่สุดเลย เมื่อถึงโรงเรียน ลูกเอาแต่ร้องไห้ ไม่ออมออกจากอกคุณ คุณครูต้องมาอุ้มไป ลูกร้องไห้กรีดร้องเสียงดัง “แม่จ๋า แม่จ๋า!” แม้จะห่วงหาแต่ก็ต้องยอม ลูกห่างจากพ่อแม่เป็นวันแรก วันนั้นทั้งวันคุณเฝ้ารอให้ถึงตอนบ่าย เมื่อไปรับลูกที่โรงเรียน ลูกเห็นหน้าคุณก็รีบวิ่งเข้ามากอด พร้อมกับพูดว่า “แม่จ๋า หนูคิดถึงแม่จ๋าจังเลย” ในเวลานั้น กอดลูกเหมือนกับกอดโลกทั้งใบไว้ในอ้อมแขน

เมื่อลูก 6 ขวบ
ลูกเรียนประถมฯ ลูกเดินเข้าโรงเรียนเองโดยไม่ต้องให้คุณไปส่งถึงห้องเรียน มันช่างเป็นภาพที่น่าจดจำ ลูกของคุณเริ่มโตแล้ว วันนี้ลูกได้เริ่มต้นเปิดบันทึกชีวิตหน้าใหม่ของเขาแล้ว แต่ใครจะคาดคิด นี่เป็นก้าวแรกที่ลูกได้ก้าวเท้าออกจากชีวิตคุณเป็นก้าวแรก เพราะลูกเริ่มชินกับการพรากจากคุณเป็นวันๆแล้ว และลูกก็ชอบไปโรงเรียน นี่เป็นชีวิตที่ลูกชอบ บางครั้งลูกก็บอกกับคุณว่า “แม่ ผมไม่ชอบอยู่บ้านเลย ผมไม่มีเพื่อนเล่น”

เมื่อลูก 12 ขวบ
ลูกเรียนมัธยมต้นแล้ว ลูกบางคนต้องไปโรงเรียนกินนอน ทางทีเป็นเดือนหรือไม่ก็เป็นเทอมถึงจะกลับมาบ้านสักครั้ง เขาไม่ต้องพึ่งคุณอีกต่อไป บางครั้ง เขาก็ชอบจ้องคุณ เวลาที่คุณอยากช่วยทำอะไรให้เขา เชาจะบอกคุณว่า “ไม่ต้องหรอกครับแม่ เดี๋ยวผมทำเอง!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้จากปากของลูก คุณรู้สึกว่าคุณเริ่มหมดความสำคัญ หรือว่าลูกไม่ต้องการคุณแล้ว!

เมื่อลูก 18 ปี
ลูกได้จากคุณไปเรียนมหาวิทยาลัย กลับมาเยี่ยมบ้านปีละครั้งสองครั้ง ก่อนหน้าที่พวกเขาจะกลับมาวันสองวัน ตู้เย็นที่บ้านแทบยัดอะไรใส่ไปไม่ได้ คุณเตรียมของที่ลูกชอบไว้เต็มตู้ แต่เมื่อลูกกลับมา เขาก็อยู่กับคุณไม่กี่นาที จากนั้นเขาก็ไปอยู่กับเพื่อนในสมัยเด็กๆ
ในเวลานี้ สิ่งที่พวกคุณกลัวที่จะได้ยินที่สุดก็คือ “แม่ ผมไม่กลับมากินข้าวนะ พ่อกับแม่กินไปเลย”

เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ลูกไปทำงานไกลบ้าน ปีหนึ่งจะกลับมาสักครั้งก็ยากเหลือเกิน
กว่าจะกลับมาได้สักครั้ง อยู่ไม่กี่วันก็ไป
สิ่งที่คุณรอคอยก็คือเสียงโทรศัพท์ หวังว่าปลายสายจะเป็นเสียงของลูก และหวังว่าลูกจะพูดกับคุณว่า “แม่ ผมสบายดี แม่รักษาสุขภาพด้วยนะ!” แค่นี้ คุณก็สุขใจแล้ว

เมื่อลูกแต่งงาน การกลับมาเยี่ยมคุณก็แบ่งกับบ้านแม่ยายครึ่งหนึ่ง การกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ก็ลดน้อยลงไปอีก
กว่าที่คุณจะชิน คุณสองคนก็กลายเป็นคนแก่เฝ้าบ้าน แต่ว่าตอนนี้ สิ่งที่คุณต้องการได้ยินมากที่สุดจากลูกก็คือ “แม่ครับ ปีใหม่ปีนี้ผมกับบ้านนะ!”

และเมื่อเขามีลูกแล้ว คุณก็ไม่ใช่สมาชิกในบ้านของเขาอีกต่อไป ครอบครัวของเขามี 3 หรือ 4 ชีวิต ไม่มีคุณเป็นส่วนประกอบ และพวกคุณ ก็ค่อยๆชินกับชีวิตแบบนี้แล้ว
ชินกับเมื่อมีเวลาว่าง คุณมักจะเปิดดูอัลบั้มรูปเก่าๆ
ดูรูปครอบครัวของคุณ ครอบครัวที่มีสมาชิกด้วยกัน 3 ชีวิต ไม่ว่าลูกจะไปอยู่ที่ไหน เขาก็ยังคงเป็นสมาชิกในบ้านของเราตลอดไป
ใช่แล้ว! ตอนที่ลูกอยู่ข้างกายเรานั้นเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข แต่บางครั้งที่เราก็มักที่จะบ่น
บ่นว่าเพราะต้องเลี้ยงดูส่งเสียเขาเรียน ต้องเหนื่อยและใช้เงินทองไปแล้วมากมายเท่าไหร่?

แต่ทว่า หากคุณพิจารณาให้ดีๆ สิบปีให้หลังจากนี้ไป ต่อให้คุณอยากมีบรรยากาศแบบนี้อีก คุณก็ยากที่จะมีได้อีก
เพราะลูกโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผ่านช่วงนี้ไปแล้ว เขาก็ไม่ชินกับชีวิตอย่างนี้อีกต่อไป
หลังจากหย่านมลูกแล้ว คุณมักจะคิดถึงเวลาที่ให้นมลูกใช่หรือไม่?
แต่ว่าตอนนั้น คุณกลับรู้สึกว่ามันเหนื่อย มันลำบาก มันน่าเบื่อใช่หรือเปล่า?
คุณมักจะยิ้ม เมื่อเห็นภาพถ่ายตอนที่ลูกดูดหัวแม่มือของตัวเองใช่หรือไม่?
แต่ตอนนั้น คุณโมโหทุกครั้งที่เห็นลูกดูดมือ คุณมักจะตีลูก และมักรีบล้างมือลูก แถมยังบ่นแล้วบ่นอีก ใช่หรือเปล่า?
คุณนึกถึงเสียงออดอ้อนของลูกในตอนที่เขาเป็นเด็กๆใช่หรือไม่?
แต่ตอนนั้น คุณมักจะดุลูกว่าทำไมทำตัวเป็นเด็กไม่โตสักทีใช่หรือเปล่า?
คุณนึกถึงวันที่ลูกกอดขาคุณแน่นในวันที่เขาไปโรงเรียนใช่หรือไม่?
แต่ว่าตอนนั้น คุณคิดแต่เพียงว่าจะทำยังไงให้ลูกไปโรงเรียนแบบไม่งอแงใช่หรือเปล่า?

กาลเวลายากหวนคืน ที่ผ่านไปแล้วมันก็ผ่านเลยไป
เวลาที่ลูกอยู่ข้างกายเป็นเวลาที่มีค่า จงรู้รักษา อย่ารอให้มันผ่านไปแล้วมาเสียดายทีหลัง

คิดติดกรอบ?



คนส่วนใหญ่รู้ว่าถ้าเราต้องการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เราต้อง “คิดนอกกรอบ”!!! แต่คุณเชื่อไหมคะว่า น้อยมากที่คนจะรู้ว่า “กรอบความคิด” ของเขาอยู่ตรงไหน???
คำว่า “คิดนอกกรอบ”ในที่นี้ดิฉันไม่ได้หมายถึงแค่ ความคิดสร้างสรรค์ หรือไอเดียใหม่ๆเท่านั้น แต่ดิฉันอยากให้พิจารณาถึงวิธีคิดและวิธีการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วย “ข้อจำกัด” และ “กรอบ” ที่ปิดกั้นสิ่งที่เราอยากทำ อยากมี หรืออยากเป็น
เราใช้ชีวิตกับความคิดเดิมๆ การกระทำเดิมๆ มานานมาก เราทำซ้ำๆกันเป็นรูปแบบ(Pattern) เดิมๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว เหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ มันจะไม่เคยเห็นน้ำอย่างชัดเจน ถ้าเราจับมันขึ้นออกมาจากน้ำแล้วให้มันดู ปลามันคงตกตะลึงว่า ..ว้าว! นี่หรือน้ำที่ฉันใช้ชีวิตแหวกว่ายอยู่ทุกวัน!
เหมือนกันกับเราที่เป็นมนุษย์นี่แหละ เราจะทำทุกอย่างโดยอัตโนมัติ คิด..พูด..ทำ..จากอดีตที่สมองบันทึกไว้ แล้วเราก็โต้ตอบกับผู้คนและสถานการณ์ต่างๆไปตามสัญชาติญาณการเอาตัวรอดโดยอัตโนมัติ ขอเน้นอีกครั้งว่า “โดยอัตโนมัติ” .. ถ้าใครทำไม่ดีกับเรา เราก็โต้ตอบกลับไป .. ใครว่าเรา เราก็ว่ากลับไป บางคนก็โต้ตอบด้วยการนิ่งเฉย .. เราทำโดยที่เราไม่รู้ตัว . . เหมือนเราเห็นจระเข้ เราไม่ต้องคิดเลยว่าเราจะวิ่งหนีดีหรือเราจะสู้ดี เราจะวิ่งหนีโดยอัตโนมัติเลยใช่ไหมคะ?
เรามีรูปแบบ (Pattern) ในการคิด พูด ทำ แบบอัตโนมัติเดิมๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยว่า มันได้กลายเป็น “กรอบ” และเป็น “ข้อจำกัด” ในการใช้ชีวิตของเรา!
ถ้าเราอยากจะ “คิดนอกกรอบ” ก่อนอื่นเราต้อง “เห็นกรอบ” ของเราซะก่อน!
การที่คุณจะ“เห็นกรอบ”ได้ คุณต้องถอนตัวเองออกมาเป็น “ผู้ดู” .. ดูตัวอัตโนมัติของคุณว่ามันทำงานอย่างไร? เหมือนดึงปลาออกมาจากน้ำ จะได้เห็นน้ำที่ชัดเจนสักทีหนึ่ง และวิธีการที่คุณจะดึงตัวเองออกมาเป็น “ผู้ดู” ก็คือ คุณต้อง “มีสติ” ในการดูในการแยกแยะ และการที่คุณจะ “มีสติ” ได้นั้น คุณต้อง“ฝึกสติ”! คอยจับตาดูอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด คำพูด และการกระทำของคุณเองว่า มันเกิดอะไรขึ้น มันมีที่มาจากไหน? . . ถ้าคุณกลัว ทำไมถึงกลัว คุณมีความคิดอะไรที่ทำให้คุณกลัว? . . ถ้าโกรธ ทำไมถึงโกรธ ความคิดที่ทำให้คุณโกรธคืออะไร? อันที่จริงแล้ว มันไม่ใช่ว่า “ใคร” ทำให้คุณโกรธ แต่คุณมี “ความคิด” อย่างไรที่ทำให้คุณโกรธต่างหากล่ะ?
อย่างที่กล่าวถึงข้างต้นว่า คนเราจะมีรูปแบบความคิดและการกระทำซ้ำๆแบบเดิมๆ ซึ่งคำว่า “แบบเดิม” ก็มีที่มาจาก “อดีต” . . เราใช้ชีวิตโดยมี “ข้อจำกัดจากอดีต” เยอะมาก และนี่คือ “กรอบ” ของเรา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเคยเสนอความคิดเห็นอะไรบางอย่าง แล้วเจ้านายไม่เห็นด้วยกับเรา ต่อไปเราอาจจะไม่เสนอความคิดของเราแล้วก็ได้ บางครั้งมีเรื่องใหม่เข้ามา ซึ่งเรามีไอเดียที่บรรเจิดมาก แต่เราก็อาจจะไม่เสนอ เพราะเราคิดว่า “เดี๋ยวเจ้านายก็คงไม่เห็นด้วยกับเราเหมือนเดิม (เหมือนในอดีต) นั่นแหละ ไม่รู้จะเสนอไปทำไม” .. ถ้าคิดแบบนี้ แล้วสิ่งใหม่ๆมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร! .. นี่แหละคือ “ข้อจำกัด” และ “กรอบ”ในการใช้ชีวิตของเรา!
ดิฉันเชื่อว่า เวลาที่คุณสปอนเซอร์หรือรีครูตคนให้เข้ามาร่วมงานกับคุณ คุณคงได้รับคำตอบประเภทที่ว่านี้เยอะเลยใช่ไหมคะ? เช่น “โอ๊ย ฉันพูดไม่เก่ง ฉันทำงานแบบนี้ไม่ได้หรอก” “ฉันรู้จักคนน้อย ฉันทำไม่ได้หรอก” “ฉันเรียนมาน้อย ไม่มีใครเชื่อถือฉันหรอก” . . ถ้าถามคนเหล่านี้ว่าเขาเห็นโอกาสไหม? เขาอาจจบอกว่าเห็น ถ้าถามว่าเขาอยากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมไหม? เขาก็คงบอกว่าอยาก แต่ถ้าจะให้เขาทำงานแบบนี้ เขาคงทำไม่ได้หรอก .. เพราะ “คิด” ว่าคนที่ทำงานขายต้องพูดเก่ง ต้องรู้จักคนเยอะ ต้องเรียนสูงหน่อยคนถึงจะเชื่อถือ! .. เห็นไหมคะว่า คนเราจะติดอยู่กับ “ข้อจำกัด” และ “กรอบความคิด” ของตัวเองเยอะมาก..ก..ก! ทำให้โอกาสดีๆหลุดลอยไป หรือรายได้ที่เขาสามารถสร้างได้นั้นผ่านเลยไป!
ขอถามหน่อยค่ะว่า คุณกลัวการเสนอขายลูกค้ารายใหญ่ไหมคะ? .. ถ้ากลัว ทำไมถึงกลัวล่ะคะ? คุณ “คิด” แบบนี้หรือเปล่าคะ? . . “เขารวยขนาดนี้ เขาจะมาฟังเราเหรอ” “เรามันคนละชั้นกับเขา เขาไม่ฟังเราหรอก” “พวกเศรษฐี เขาไม่สนใจคนอย่างเราหรอก” . . ถ้าคุณ “คิด” ทำนองนี้ ดิฉันอยากจะบอกว่า คุณก็กำลัง “ติดกรอบความคิด”ของตัวเองอยู่ ทำให้คุณไม่กล้าเสนอขาย!!! ความจริงก็มีแค่ “เขามีเงินมากกว่าคุณ” เท่านั้นแหละ! ปล่อยวางความคิดเดิมๆของคุณซะ แล้วใช้คาถาของดิฉัน .. “1 .. 2 .. 3 .. ลุย!” เอ่ยปากขายทันทีเลย O.K.ไหมคะ?
อย่าลืมที่จะ “ฝึกสติ” แล้วสำรวจตัวเองบ่อยๆว่า “เราคิดติดกรอบ” มากแค่ไหน???
ขอพูดถึงงานสัมมนา “ปลุกยักษ์” สักนิดนะคะ . . วันก่อนเจอผู้นำท่านหนึ่งที่พาดาวน์ไลน์ใหม่ๆเข้า เขาบอกว่า “เวิร์คมากเลยค่ะ อาจารย์ .. แต่ละคนกลับไปมีความกล้ามากขึ้น มุ่งมั่นมากขึ้น!” .. ดิฉันเจอแม่ทีมใหญ่ท่านหนึ่งเขาบอกว่า “ถ้าผมอยากให้ยอดขายขึ้น ผมแค่ส่งทีมงานไปเข้าปลุกยักษ์เยอะๆ ยอดก็ขึ้นแล้ว!” .. มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า เขาเพิ่งเคยสัมผัสกับพลังที่ยิ่งใหญ่ในตัวเอง! .. น้องผู้ชายคนหนึ่งโทรมาหา พูดไม่หยุดเลยเพราะตื่นเต้นกับผลงานที่ตัวเองทำได้แบบเหนือความคาดหมาย! .. สามีภรรยาคู่หนึ่งพาทีมงานมาเกือบ 20 คน บอกว่าเขาอยากเข้าปลุกยักษ์มาก เขาตื่นเต้นที่เพื่อนของเขามีผลงานแบบก้าวกระโดด จากยอดขายที่เคยทำได้หมื่นต้นๆ กลับไปทำได้ 300,000กว่าบาท! .. ว้าว! สุดยอดมาก!
ที่ดิฉันเล่าให้ฟังเพราะอยากให้คุณได้มีโอกาสสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ในตัวเอง และถ้าคุณมีทีมงาน ก็ควรพาพวกเขาเข้า “ปลุกยักษ์” ให้มากที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้ เพราะทีมงานของคุณมีศักยภาพอยู่ข้างในมากมายที่เขายังไม่ได้เอาออกมาใช้!

พนักงานดีเด่นของบริษัท.เข้าพบผู้จัดการ

พนักงานดีเด่นของบริษัท.เข้าพบผู้จัดการ
"ผมขอขึ้นเงินเดือนครับ เพราะเงินเดือนน้อยไม่พอใช้จ่ายและตอนนี้ก็
มีบริษัทฝรั่ง 4 แห่ง คอยติดต่อ
และตามตัวผมอยู่ครับ"
ผู้จัดการได้ฟัง ก็รู้สึกเสียดาย
ถ้าจะปล่อยให้ไปอยู่บริษัทฝรั่ง จึงต้องตัดสินใจให้
"โอเค! ผมยอมให้ตามที่ขอ"
ต. : ขอบคุณมากครับ
ต. กำลังจะเดินจากไป
แต่ด้วยความอยากรู้ ผู้จัดการจึงอดถามไม่ได้
"ว่าแต่..บริษัทฝรั่ง 4 แห่ง ที่คอยติดต่อและตามตัวคุณอยู่
มีอะไรบ้างล่ะ?"
ต.: เอ่อ.. ก็มี Visa, Master card , First choice
แล้วก็ A-EON ครับท่าน

เรื่องของหลักการ 90/10

วันนี้หมออยากจะเล่าให้ฟังถึงเรื่องของหลักการ 90/10 ซึ่งหมอได้นำมาจาก บทความเรื่อง “The 90/10 Principle” ผู้เขียนคือ Stephen Covey คนเดียวกันกับที่เขียนหนังสือ The seven habits of highly effective people หนังสือที่ขายดีระดับเบสต์เซลเลอร์ทั่วโลกและได้แปลเป็นภาษาไทยด้วย หมออ่านเรื่องหลักการนี้แล้วคิดว่ามีประโยชน์ดี ใช้ได้ในชีวิตประจำวันทั่วๆไปรวมถึงการเลี้ยงเด็ก
หลักการนี้บอกเราว่า สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานั้นประกอบด้วย 10% ที่เราไม่ สามารถควบคุมได้ เช่น ฝนตกน้ำท่วม แผ่นดินไหว การเจ็บป่วย การสูญเสียต่างๆ หากมันจะเกิด มันก็ต้องเกิด ไม่มีใครห้ามได้
ส่วนอีก 90%นั้นเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ คือ ปฏิกิริยาของเราที่มีต่อเหตุการณ์ 10%ที่เราควบคุมไม่ได้นั้นๆ เช่น ถ้าอุบัติภัยไฟไหม้บ้าน เราจะทำอย่างไร เราจะร้องไห้ฟูมฟาย ทำร้ายตัวเอง หรือจะอดทนและค่อยๆนั่งแก้ปัญหาไปทีละจุด ตรงนั้นหลักการ 90/10 บอกว่าอยู่ที่เราเลือกเอง
สตีเฟน โควีย์ ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาอันหนึ่งซึ่งหมอคิดว่าเห็นภาพได้ชัดเจนดี
ครอบครัวหนึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ บังเอิญว่าลูกสาวตัวเล็กปัดถ้วยกาแฟหกใส่เสื้อทำงานของพ่อ
การที่ถ้วยกาแฟหกใส่เสื้อพ่อ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือควบคุมได้ นั่นก็คือ 10% ของหลักการ 90/10
หลังจากนั้นปฏิกิริยาของพ่อที่เกิดตามมา ตรงนั้นพ่อเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำอย่างไร สิ่งที่พ่อทำคือ 90% ที่พ่อควบคุมได้
สมมติว่าอารมณ์ความรู้สึกขณะนั้นทำให้การควบคุมทำได้ไม่ดีนัก พ่อลุกขึ้นยืน ชี้หน้าและว่าลูกรุนแรงว่าทำไมทำแบบนี้ พ่อพูดคำหยาบ ปัดจานข้าวหกเลอะพื้น ลูกสาวร้องไห้เสียงดัง พ่อหันไปว่าแม่เสียงดังบอกว่าทำไมไม่วางถ้วยกาแฟให้ไกลๆลูก พ่อกับแม่ทะเลาะกันเสียงดัง หลังจากจะเสียเวลาในการทะเลาะ พ่อต้องขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อที่เลาะ เมื่อลงมาข้างล่าง แม่ซึ่งปกติต้องเป็นคนที่พาลูกไปส่งที่โรงเรียน แต่เพราะว่าโกรธเลยออกจากบ้านไปทำงานทันที่ ทิ้งลูกสาวนั่งร้องไห้อยู่ข้างล่าง พ่อต้องพาลูกไปโรงเรียนเอง และเนื่องจากใกล้เวลาทำงานของพ่อ ทำให้พ่อต้องรีบขับรถจนความเร็วเกินกำหนด ถูกตำรวจเรียกจอด ต้องจ่ายค่าปรับ พ่อรู้สึกหัวเสีย ส่วนลูกสาวก็นั่งร้องไห้ไปตลอดทาง พอไปถึงที่ทำงาน พ่อพบว่าตัวเองลืมเอากระเป๋าเอกสารไป ในนั้นมีงานที่ต้องส่งด่วน พ่อต้องขับรถกลับบ้านมาเอากระเป๋าอีกรอบ ตกเย็นเมื่อกลับบ้านไป ปรากฏว่าแม่ยังไม่กลับบ้าน ไม่มีใครทำอาหารเย็น ลูกสาวเห็นพ่อก็ไม่พูดด้วย พ่อรู้สึกว่าวันนั้นเป็นวันที่แย่มากในชีวิต
ในกรณีนี้เมื่อมาพิจารณาดูจะเห็นว่าสาเหตุของเรื่องทั้งหมดไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์กาแฟหกใส่เสื้อพ่อ แต่เป็นเพราะสิ่งที่เกิดตามมาหลังจากนั้นซึ่งเป็นผลกระทบจากสิ่งที่พ่อทำทั้งสิ้น จริงๆแล้วหากพ่อควบคุมอารมณ์ตนเองได้ ค่อยๆพูดกับลูกดีๆ และไปเปลี่ยนเสื้อ แม่ก็คงเป็นคนไปส่งลูกเหมือนปกติ และพ่อก็คงไม่ต้องรีบจนถูกตำรวจจับและลืมของ วันนั้นก็อาจเป็นอีกวันที่ดีๆ เป็นวันที่แฮปปี้ของครอบครัววันหนึ่ง
ไม่มีทางที่การเลี้ยงลูกหลานของเราจะราบรื่น มีปัญหาให้เราต้องแก้ไขจัดการอยู่เรื่อยๆ
หากเราควบคุม 90% ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของเราได้ ชีวิตครอบครัวน่าจะสุขสงบขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องครอบครัว แต่รวมถึงชีวิตประจำวันอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น กับเพื่อนร่วมงาน คนอื่นๆที่อยู่รอบตัว ถ้าเราควบคุม 90%นี้ได้อย่างเหมาะสม ชีวิตเราน่าจะดีขึ้นกว่าเดิม ลองเริ่มตั้งแต่วันนี้ค่ะ...
#หมอมินบานเย็น

10 วิธี สลายความคิดแง่ลบให้หายไป



"ปวดเฮด" "เซ็ง""เครียด"!!... เมื่อรู้สึกมีความคิดในแง่ลบทีไรเป็นต้องมีอาการอย่างที่บอกไปทุกทีเลยใช่ไหมล่ะ ถ้าใช่สละเวลาของคุณสักนิดแล้วมาอ่านบทความนี้ดูสักหน่อย เพราะทางเว็บไซต์ Balanceinme.comได้ทำการรวบรวมเอา 10 วิธีสุดเจ๋งที่สามารถช่วยจัดการความคิดแง่ลบของคุณให้อยู่หมัดได้อย่างง่ายๆ ชักสนใจขึ้นมาแล้วใช่ไหมครับ งั้นจะมัวช้าอยู่ทำไม มาดูกันว่าทั้ง 10 วิธีนั้นจะมีอะไรบ้าง และจะเจ๋งจริงตามที่บอกหรือเปล่า เลื่อนเมาส์ตามดูกันได้เลย...

1. พูดคุยกับใครสักคนด้วยมุมมองแง่บวก

การมีความคิดในแง่ลบมักเป็นเรื่องที่ชวนหงุดหงิดอยู่เสมอฉะนั้นแล้ว การแก้ปัญหาในอันดับแรกคือการควบคุมตัวเอง ใจเย็น ๆ แล้วมองหาใครสักคนอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงาน พี่น้อง หรือเพื่อนสนิทก็ตามแต่ แล้วลองเล่าปัญหานั้น ๆให้เขาฟัง อย่างน้อย ๆ ก็เป็นวิธีการระบายออกที่ดีวิธีหนึ่งซึ่งจะทำให้คุณใจเย็นลง และกลับมามีความคิดในแง่บวกตามเดิม

2. เขียนระบายผ่านตัวอักษร

หลาย ๆครั้งเมื่อเกิดความคิดแง่ลบขึ้นมาในจิตใจและหัวสมองจะมองหาใครสักคนนั้นเป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นนัก ทำให้อึดอัดมาก ๆถ้าเป็นแบบนี้มีหวังได้อกแตกตายแน่ ๆ อย่างนี้ต้องหากระดาษมาสักแผ่นปากกาหรือดินสอมาสักด้าม จากนั้นบรรจงเขียนระบายความรู้สึกแย่ ๆ นั้นออกมาเขียนให้เต็มที่ ไม่ต้องยั้ง ไม่ต้องกลัวกระดาษจะไม่พอ เชื่อเถอะว่าวิธีนี้สามารถช่วยระบายความอึดอัดนั้นได้จริงๆ ไม่เชื่อก็ลองทำตามดูก็ได้

3. จดจ่อในงานอดิเรก
มีผลวิจัยระบุว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณสนใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษจะทำให้คุณหยุดคิดในเรื่องแง่ลบไปแบบปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะชอบอ่านหนังสือ ดูหนังฟังเพลง ถ่ายรูปและอื่น ๆ อีกสารพัด จะสามารถช่วยลบความคิดแง่ลบออกไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว

4. ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่
อีกหนึ่งวิธีที่ดูเหมือนจะทำยากไปนิดแต่ก็ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ ก็คือการตัดความคิดแง่ลบนั้นออกไปจากหัวสมองแล้วตั้งสมาธิที่พุ่งตรงไปกับการทำงานเพียงอย่างเดียวและไม่สนใจสิ่งอื่นใดทั้งนั้น นอกจากความคิดแง่ลบจะหายออกไปจากสารบบสมองแล้วงานที่คุณทำยังเสร็จตรงเวลาและมีประสิทธิภาพอีกต่างหาก

5. มองหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ

หันหลังให้กับเรื่องแย่นั้น ๆ ซะแล้วออกไปหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ จากสถานที่ใหม่ ๆ ดูบ้างเพื่อให้คุณมีความรู้สึกที่ดีขึ้นสดชื่นมากขึ้นและลืมเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดใจได้ดียิ่งขึ้น

6. ควบคุมตัวเองให้อยู่
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรทำอย่างยิ่งเป็นอันดับแรก ๆเมื่อเกิดความคิดในแง่ลบขึ้นก็คือการควบคุมอารมณ์ของตัวเองเพราะถ้าหากไม่ควบคุมล่ะก็ จะทำให้คุณสติแตก พาลใส่คนนู่นคนนี้ไปทั่วและจะกลายเป็นเรื่องแย่ ๆ ที่เพิ่มขึ้นในชีวิตของคุณทันที ฉะนั้นใจเย็น ๆ เข้าไว้คุมตัวเองให้อยู่ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

7. รู้จักการให้อภัย

การรู้จักให้อภัยเป็นสิ่งที่ทำให้โลกสดใสเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งดี ๆ ถ้าโกรธใครหรือมีความคิดในแง่ลบกับใครก็ลืม ๆ ไปบ้างอย่าเก็บมาคิดให้เสียความรู้สึกเลย ปล่อยไปเถอะ แล้วคุณจะมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว

8. ลองหาสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นการท้าทายชีวิต

ไปครับ!ไปหาเรื่องท้าทายชีวิตแทนกันนั่งจมปลักอยู่กับความรู้สึกแย่ ๆ กันดีกว่าไม่ว่าจะไปเที่ยวลุยป่า แข่งรถ ปีนเขา หรืออะไรก็ตามแต่ที่ไม่เคยทำและเสี่ยง ๆหน่อย ได้ทั้งลืมความคิดในแง่ลบ ได้ทั้งประสบการณ์ชีวิตรูปแบบใหม่...คุ้มเห็น ๆ

9. เรียนรู้จากประสบการณ์ที่เคยพบเจอ
เชื่อว่าหลายคนคงจะต้องเคยเจอเรื่องราวมากมายที่ชวนให้รู้สึกแย่ ๆ กันอยู่พอสมควรแต่ถ้ามองในมุมกลับกัน ปัญหาต่าง ๆ ที่เคยเจอมานั้นก็เป็นประโยชน์อยู่ไม่น้อยเพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มมีความรู้สึกหรือความคิดในแง่ลบขึ้นมานั้นให้ลองนึกทบทวนไปถึงเรื่องราวในลักษณะเช่นนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างและมีวิธีการแก้ไขปัญหานั้น ๆ อย่างไรซึ่งการนึกทบทวนนี้จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับความคิดแย่ ๆเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี

10. หาความสุขใส่ตัวซะสิ

พี่ตูน บอดี้แสลม เคยกล่าวไว้ว่า "ชีวิตนี้บางทีก็น้อย คิดไปทำไม ชีวิตนี้บางวันก็เยอะ ถือเป็นกำไรชีวิตเราก็เท่านี้ ความสุขที่หัวใจต้องการ สุดท้าย มันอยู่ไม่ไกลค้นลงไปข้างในจิตใจ ใคร ๆ ก็พบมัน" (มาเป็นเพลง !!)..ผมว่าจริงนะครับ คนเรามีเรื่องราวต่าง ๆ นานาเข้ามาในชีวิตมากมายที่ดีก็มีความสุขกันไป ที่แย่ก็นั่งซึมเศร้าทำโลกหงอยกันอยู่ไม่น้อยแต่อย่าไปคิดอะไรให้มากความ ใช้ชีวิตให้เต็มที่ หาความสุขให้ตัวเองเยอะ ๆ เจอเรื่องเครียดหรือเรื่องแย่ ๆ ก็อย่าเพิ่งไปเครียดหรือหัวเสียกับมันเพราะการมีความสุข จะทำให้ชีวิตของคุณมีแต่รอยยิ้มและทัศนคติต่อสิ่งต่างๆ ในแง่บวกอยู่เสมอ

เป็นอย่างไรกันบ้างเอ่ย กับทั้ง 10 วิธีที่ได้นำมาบอกกล่าวกันในวันนี้ เชื่ออย่างหนึ่งครับว่าหากคุณมีความคิดในแง่ลบมารบกวนอยู่ในหัวสมองแล้วล่ะก็ ขอให้ลองนำวิธีการดี ๆเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันกัน วิธีเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีความสุขกับสิ่งต่างๆ รอบตัว มีความคิดในเชิงบวกด้านการใช้ชีวิตและจะทำให้ความคิดในแง่ลบไม่กล้าแหยมเข้ามาทำลายความสุขของคุณอย่างแน่นอน...คอนเฟิร์ม !!

ขอบคุณเนื้อหาจาก kapook

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 165 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - King of Thailand



http://youtu.be/R-8oDywqoow
รายการรักพ่อ165 King of Thailand






พบกับ สารคดีเฉลิมพระเกียรติฯ ในหลวง  1.ประโยชน์สุขแห่งแผ่นดิน 84 พรรษา ประโยชน์สุขสู่ปวงประชา , สปอตข้าวผัดอิ่มใจ, เพลงพระภูมิพล , Dj nickie English tutor กับประวัติวันสงกรานต์, หนังสือ ตามรอยพ่อ ตอน ปณิธานของลูก เสียงโดย ดร.สนอง วรอุไร และ ทพญ.อัจฉรา กลิ่นสุวรรณ์ ธรรมทานจาก ชมรมกัลยาณธรรม,
ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว

มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

วิธีฆ่าคนที่เลือดเย็นที่สุด ... ก็คือทำให้เขาเสียกำลังใจ

วิธีฆ่าคนที่เลือดเย็นที่สุด ... ก็คือทำให้เขาเสียกำลังใจ
ทหาร ... ยอมพลีชีพเพื่อชาติได้ด้วยเพราะกำลังใจที่เข็มแข็ง
ทหารหาญยอมตายด้วยความภาคภูมิในหน้าที่
ทั้งๆที่ ไม่มีใครอยากตาย
แต่หากเขาต้องตาย ... เขาก็จะตายด้วย “ใจ”
ใจ... เป็นกำลังที่ดีที่สุดของมนุษย์
จงอย่าพูด ... เพียงเพื่อทำลายให้ใครไม่มีหวัง
แม้ว่า - - คำพูดนั้นจะเป็นสิ่งที่เป็นความจริง
หรือหากว่าคุณไม่พูดออกไป
อาจเป็นการถ่วงเวลาความถูกต้องเอาไว้บ้างก็ตาม
ความถูกต้อง ที่ถูก ที่ควร... ที่สุด คือ ความเหมาะสมของเวลา
เวลาที่ประมาณได้ว่า ... คำพูดและความรู้สึกหนึ่ง
จะไม่ทำให้ใครคนหนึ่งต้องสูญเสียกำลังใจเหมือนถูกทำร้าย
หากคุณอยู่ในห้วงเวลาที่ต้องสื่อสารกับใครสักคนเพื่อให้เขารู้ความจริง
โปรดหาวิธีและเลือกเวลาที่เหมาะสมที่สุด...ที่จะช่วยให้ ...
หัวใจของใครคนหนึ่ง - - ยอมรับความเป็นจริงทุกสิ่งได้
อย่างไม่เจ็บปวดหรือหมดหวังอย่างสิ้นเชิง
#กำลังใจ_เป็นสิ่งมีค่า
คนบางคนยังมีลมหายใจอยู่ได้
ก็เพียงเพราะมีหวังจากสิ่งเล็กน้อยเท่านั้น
และเพียงชั่ววินาทีบางคนอาจเลือกตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตอยู่
ก็ด้วยเพียงแค่กำลังใจที่เขายังพอมีอยู่หรือหาได้ในชั่วขณะนั้น
จงอย่าทำลายความหวังของใคร
เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้น

?

#หมอก้อย

คนรักดิน : บ้านดิน บ้านพออยู่เพื่อพอเพียง : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 32

คนรักดิน : บ้านดิน บ้านพออยู่เพื่อพอเพียง : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 32
ตอนที่ 32 : คนรักดิน : บ้านดิน บ้านพออยู่เพื่อพอเพียง
บ้าน หนึ่งในปัจจัยสี่ของการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐ­าน แต่วันนี้การมีบ้านสักหลัง กลับกลายเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเก็บออมเงิ­นทองเกินครึ่งชีวิต หรือมิเช่นนั้น ก็หมายถึงตัวเลขหนี้สินหกหลัก ที่เป็นภาระอันนักหนาสำหรับคนยุคปัจจุบัน การมีบ้านสักหลัง ไม่น่าจะกลายเป็นสิ่งที่เกินกว่ามนุษย์จะไ­ขว้คว้า บ้านบนวิถีการพึ่งตนเองจึงเกิดขึ้น เป็นบ้านที่พออยู่ บนความพอเพียง
http://www.youtube.com/watch?v=zmpxaYbwPkg

มหัศจรรย์ป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 31

 มหัศจรรย์ป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 31
ตอนที่ 31 : มหัศจรรย์ป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง
ป่า...คำตอบที่ยั่งยืนของการรักษาภาวะสมดุ­ลโลก ทางออกของการแก้ไขสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้นใ­นปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะโลกร้อน...พระบาทสมเ­ด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทานแนวคิด ป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง มากว่า 30 ปี จนวันนี้แนวคิดดังกล่าวได้รับการสานต่อและ­สำเร็จเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ป่า 3 อย่างอันได้แก่ ไม้ฟืน ไม้ผล และไม้สำหรับที่อยู่อาศัย ซึ่งให้ประโยชน์อย่างที่ 4 คือ การคืนกลับความสมดุลของระบบนิเวศน์สู่ผืนด­ิน วันนี้เป็นหนึ่งในฐานเรียนรู้ของศูนย์กสิก­รรมธรรมชาติ ที่กระจายอยู่กว่า 100 ศูนย์ทั่วประเทศ
http://www.youtube.com/watch?v=fH3YaP8b0Eo

วิถีชาวนาไทย...วิถียั่งยืนด้วยการพึ่งตนเ­อง : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 30

วิถีชาวนาไทย...วิถียั่งยืนด้วยการพึ่งตนเ­อง : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 30
ตอนที่ 30 : วิถีชาวนาไทย...วิถียั่งยืนด้วยการพึ่งตนเ­อง
ชุมชนหมู่บ้านคลองตะเคียนพัฒนา เป็นหนึ่งในชุมชนที่ได้รับการอบรมจากหลากห­ลายศูนย์เรียนรู้ วันนี้ชาวชุมชนเริ่มเปลี่ยนวิถี
มาสู่กสิกรรมธรรมชาติ ด้วยการใช้ปุ๋ยหมักแทนปุ๋ยเคมี ใช้ธรรมชาติสู้ธรรมชาติ โรงปุ๋ยชุมชนตั้งขึ้นเพื่อผลิตปุ๋ยหมักใช้­ในครัวเรือน
สารกำจัดแมลงถูกแทนที่ด้วยน้ำหมักจากเมล็ด­สะเดา
http://www.youtube.com/watch?v=t8_3Glmlsv4

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

บวงสรวง 4 เทพเจ้า ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ในยุคปัจจุบัน

บวงสรวง 4 เทพเจ้า ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ในยุคปัจจุบัน จะ นำพาชีวิตให้อุดมไปด้วยความเจริญ ความรอบรู้ครับ

1. เทพกูเกิ้ล :: ถามอะไรตอบได้
2. เทพเฟสบุ๊ค :: หยั่งรู้ฟ้าดิน เพื่อนฝูงไม่ได้เจอหน้าเจอตากันเป็นสิบยี่สิบปี ยังบอกได้ว่าอยู่ไหน
3. เทพยูทูป :: หูทิพย์ ตาทิพย์
4. เทพไลน์ : โลกรู้ เพื่อนรู้ เรารู้

ให้เซ่นไหว้ด้วย ค่าเน็ตรายเดือน
ยิ่งได้ package แรง ๆ
เทพยิ่งขลัง ประทับเร็วๆ5555555

กำจัดทัศนคติเชิงลบ


ก่อนจะสร้างทัศนคติเชิงบวกได้ เราจำเป็นต้องรู้จักขั้วตรงกันข้ามที่เป็นเชิงลบเหนี่ยวรั้งให้เราไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับโอกาสดีๆ ได้
ไอทีไร้พรมแดน ฉบับที่แล้วเกริ่นไป 4 ข้อ วันนี้มาต่ออีก 6 ข้อ
ประการที่ 5 ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ไม่กล้ารับความท้าทายต่างๆ ซึ่งจะทำให้ไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ หากมัวแต่วิตกกังวล ไม่กล้าเผชิญหน้าสู้ปัญหา ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเองและปฏิเสธเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โอกาสประสบความสำเร็จจะยิ่งน้อยลงไปอีก
เพราะท้ายที่สุดเราจะรู้แค่สิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว ยิ่งทำงานก็ยิ่งทำซ้ำจุดเดิม ขณะที่อนาคตมีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเสมอ และมีแต่ความไม่แน่นอน มีสิ่งที่เดียวที่ต้องทำ คือต้องปรับตัวให้เข้าสถานการณ์ รับความท้าทาย กล้ายอมรับว่าอะไรที่เรารู้และอะไรที่เราไม่รู้ เพื่อเร่งเรียนรู้เสริมจุดอ่อนของตัวเอง
ประการที่ 6 ยึดติดกับอดีต โดยเฉพาะอดีตที่เคยประสบความสำเร็จจนทำให้หลงอยู่กับความสำเร็จเก่าๆ หรือแม้แต่คนที่เคยล้มเหลวแล้วหวาดกลัวจะเกิดขึ้นซ้ำอีกจนไม่กล้าก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่กล้าเผชิญหน้าความไม่แน่นอนของอนาคต
เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน ความสำเร็จจึงขึ้นอยู่กับความพร้อม การฝึกฝน กล้าท้าทาย กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าเรียนรู้ของตัวเอง รวมถึงต้องลืมความสำเร็จหรือล้มเหลวของตัวเองในอดีตให้ได้ เพราะบทเรียนในอดีตนั้นไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงความสำเร็จของเราในอนาคต
ประการที่ 7 ทำผิดซ้ำซาก และเป็นเรื่องที่เคยทำผิดมาก่อนแล้ว เพราะไม่มีความสามารถเรียนรู้จากสิ่งที่เคยทำ ซึ่งความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดูจากภาษิตจีนโบราณก็สอนไว้ว่า ความล้มเหลวในอดีตเป็นแม่ (หรือพื้นฐาน) ของความสำเร็จในอนาคต
ถ้าไม่กล้าเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต และทำผิดซ้ำซาก สุดท้ายก็เสียเวลาและห่างจากความสำเร็จไปเรื่อยๆ จนโอกาสประสบความสำเร็จก็จะเป็นไปไม่ได้เลย เราสามารถทำผิดได้ครั้งเดียวได้จากไม่รู้เป็นรู้ และจากรู้เป็นความเชี่ยวชาญเท่านั้น
ประการที่ 8 อิจฉาริษยาความสำเร็จคนอื่น เพราะเราไม่จำเป็นต้องอิจฉาคนอื่น แต่ควรมีเป้าหมายของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายเล็กหรือใหญ่ก็ตามเพราะขึ้นอยู่กับความพร้อมของตัวเองด้วย ความอิจฉาจึงเป็นตัวถ่วงความเจริญก้าวหน้าของตัวเอง เพราะยิ่งอิจฉายิ่งทำให้เราหลงลืมเป้าหมายตัวเองไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ประการที่ 9 ท้อแท้ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มตั้งต้นและอาจต้องเจอกับอุปสรรคหรือความล้มเหลว ตั้งแต่ครั้งแรกๆ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วความล้มเหลวเป็นเหมือนกระจกสะท้อน ที่เป็นอีกด้านหนึ่งของความสำเร็จ ถ้าคิดให้ดี จากลบก็จะกลายเป็นบวก เช่น ถ้าครั้งนี้ทำไม่สำเร็จ ก็ถือเป็นการเรียนรู้ได้มากมายหลายเรื่อง จากไม่รู้กลายเป็นรู้ เพื่อแก้ไขครั้งต่อไปทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ตลอด
ประการสุดท้าย คือปัญหาเกิดจากทุกคนรอบข้าง ซึ่งคนที่มีทัศนคติแบบนี้จะไม่เห็นข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดใดๆ ที่เกิดจากตัวเอง แต่มักโทษคนอื่นรอบข้าง ทั้งพ่อแม่ ญาติพี่น้อง อาจารย์ เพื่อนฝูง ฯลฯ เพราะเขามักจะรู้สึกว่าไม่มีใครปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียม
หากคิดกลับได้ว่าทุกคนรอบตัวนั้นให้โอกาสเรามากพอแล้ว เราจะกลับมาวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่ามีสาเหตุจากอะไร และท้ายสุดเราจะเห็นข้อบกพร่องตัวเองที่สามารถปรับปรุงได้ ทำให้ใกล้ความสำเร็จเข้าไปได้อีกนิด เพราะความสามารถแต่ละคนมีความแตกต่างกันน้อยลงมาก การสร้างทัศนคติเชิงบวกเป็นเรื่องสำคัญและเป็นรากฐานที่มั่นคงให้เราค่อยๆ ไขว่คว้าหาความสำเร็จในอนาคต

5มุมมองทำไมพลเมืองดิจิทัล Gen-Y ไม่มีความสุข


Gen-Y และความไม่มีความสุขในชีวิต ด้วยอิทธิพลจากวัฒนธรรมดิจิทัล เป็นประเด็นที่พูดถึงกันในวงกว้างในหลายเดือนที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นกระแสจากบทความ The ME ME ME Generation ใน Time Magazine
หรือล่าสุด Why Generation Y Yuppies Are Unhappy ในเว็บข่าวออนไลน์ชื่อดังอย่าง Huffington Post
Gen-Y ต่างออกมาออกความคิดเห็นโต้แย้งกันอย่างท่วมท้นในโซเชียล เน็ตเวิร์คต่อทัศนะที่ระบุว่า เป็น Generation ที่ขี้เกียจ ชินกับความสบาย มีความมุ่งหวังสูงเกินความเป็นจริงและความเป็นไปได้ และที่สำคัญไม่มีความสุขด้วยเพราะเปรียบเทียบความเป็นไปที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบของคนอื่นผ่านสื่อโซเชียล เพื่อเข้าใจมุมมองที่แตกต่างของ Generation มาดู 5ประเด็นที่คนที่ไม่ใช่ Gen-Y ควรคำนึงถึงก่อนตัดสิน
1.ชีวิตเปรียบเทียบได้ (Life Is For Comparing) โตมาพร้อมกับการเชื่อมต่อโลกอินเทอร์เน็ต การเข้าถึงความหลากหลายในชีวิต จากต่างวัฒนธรรม จากทุกมุมโลก ทั้งวิถีคนธรรมดาหรือเซเลบ ถือเป็นเรื่องสามัญ ยิ่งไปกว่านั้นการเปิดเผยตัวตนและการใช้ชีวิตผ่านช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้
2.การระบาดของความสมบูรณ์แบบและลุ่มหลงในตัวเอง (Narcissism Epidemic) ต่อเนื่องจากกระแสโซเชียลมีเดียที่ผลักดันการแชร์ โพสต์ และเรียลลิตี้โชว์ที่ออกแนวสร้างภาพ ก่อให้เกิดนิสัย ออกสื่อ ในความหมายที่ว่าต้องดูดีตลอดเวลา ไม่ป่าวประกาศเรื่องธรรมดาแต่ถ่ายทอดเฉพาะภาพลักษณ์การประสบความสำเร็จ เผื่อถูกตอบรับทางบวกด้วยการได้ Like ทำให้หลายๆมิติในชีวิตกลายเป็นเรื่องของปัจจัยภายนอกมากกว่าความจริงภายในโดยอัตโนมัติ ถือเป็นอันตรายใหม่ในยุคโซเชียลที่ผลักดันความปลอม ทำให้ผู้คนขาดความภูมิใจและพอใจในตัวเอง มุ่งหวังจะเทียบ สวย รวย เก๋ กับคนอื่น เข้าลักษณะ โชว์สำคัญกว่าเป็น
3.ใช้ชีวิตอิงการขายฝัน (Impossible Is Impossible) เกิดมาในยุคที่กระแส New Age มาแรง หลายๆสื่อรวมไปถึงการถูกเลี้ยงดู เน้นการพัฒนาตัวเอง ผลักดันตามใจฝัน ทำสิ่งที่ใจรักสำคัญมากกว่าการก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อได้มาซึ่งเงินประทังชีวิต ประกอบไปกับกระแสวัฒนธรรมออนไลน์และการเติบโตของเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมใหม่ไม่เว้นในแต่ละวัน นิยามความเป็นไปไม่ได้จึงแทบจะไม่อยู่ในสารระบบของพลเมืองดิจิทัล กลุ่มGen-Y ความคาดหวังสูงขึ้น ความคิดบวกเป็นค่านิยมสมัยใหม่ ในขณะที่ความจริงยังเป็นความจริงเหมือนเดิม
4.ความจริงตัดตอนความฝัน (Living A Dangerous Lie) อาจเป็นเพราะเราเคยชิน คนรุ่นใหม่ต้องทำได้ดีกว่าคนรุ่นโบราณ หากแต่ไม่มีใครทันคิดว่า กระแสบริโภคนิยมจากคนรุ่นก่อนๆ จะทำให้เกิดกระแสความไม่มั่นคงถดถอยทางการเงินอย่างทุกวันนี้ คนรุ่นใหม่ขาดโอกาส ความเบื่อหน่ายทำให้ถูกเข้าใจว่าเกียจคร้านไม่เอาการเอางาน การพบกับความจริงของชีวิตที่ไม่มีใครอยู่เฉยๆแล้วใช้ไลฟ์สไตล์ร่ำรวยเหมือนเซเลบในทีวีโชว์ และเงินไม่ใช่หากันง่ายๆ ยิ่งทำให้ Gen-Y หดหู่กันเข้าไปอีก
5.เชื่อในพลังมวลชนเปลี่ยนแปลงโลก (Fight To Change) ด้วยความเชื่อมั่นในพลังมวลชนในโลกออนไลน์ สปิริตที่ดีของ Gen-Y คือความเชื่อว่าคนธรรมดาสามารถรวมตัวสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีได้และใส่ใจในอิทธิพลของตนต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมสูงกว่าคนยุคก่อน บางคนอาจว่ามองหวังสูง ในขณะที่บางคนมองความไม่มีความสุขจะผลักดันให้ Gen-Y ฮึดสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงความจริงของยุค
จริงๆ แล้วคงจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะไปมอง Gen-Y ในมุมมองแบบลบๆ เข้าใจว่า ความยากของการใช้ชีวิตของ Generation ในยุคนี้ ผสมทั้งทัศนคติใหม่ๆที่เกิดในโลกดิจิทัล กระแสเศรษฐกิจขาลงที่ทำให้โอกาสเป็นสิ่งที่ขาดแคลน ความจริงของค่าใช้จ่ายที่สูงทำให้จินตนาการกับความเป็นจริงกลายเป็นเรื่องสวนทางอย่างเลี่ยงไม่ได้ในมุมมองแบบเอาใจเขา มาใส่ใจเรา
นิยามความสุขของ Gen-Y นี้อาจเป็นเพียงแค่แตกต่างจากคนยุคก่อน ยังมีให้พิสูจน์กันอีกมากว่า Gen-Y จะนำข้อครหาต่างๆนี้มาสร้างสรรนวัตกรรมอะไรใหม่ๆให้กับโลกนี้

ชอบมาก... เรื่องเล่าของแมลงวัน



ระวัง! เจ้าแมลงวันตัวนี้อาจเปลี่ยนชีวิตคุณ

มีแมลงวันตัวหนึ่ง ต้องการออกจากร้านกาแฟ มันเห็นแสงสว่างจากหน้าต่างบานหนึ่ง มันก็บินออกไปทางด้านนั้น

ปุ๊ป!!! อ่าว ออกไม่ได้เป็นกระจก

ปุ๊ป!!! เจ้าแมลงวันลองอีกครั้ง ก็ยังชนกระจกอีก

ปุ๊ป ปุ๊ป ปุ๊ป!!! เจ้าแมลงวันไม่ยอมแพ้ มันอยากที่จะออกไปให้ได้ ยังชนเป็นครั้งที่ 3, 4, 5, 6,...... ด้วยความที่มันอยากออกไปมากๆ มันยิ่งพยายามหนักขึ้น ชนถี่ขึ้นและแรงขึ้นอีก

หารู้ไม่ว่า... ถัดจากหน้าต่างบานนั้นไปอีกแค่ไม่ถึงเมตร มีหน้าต่างอีกบานนึงที่เปิดอยู่ รอต้อนรับมันออกสู่โลกภายนอกตามที่มันฝันไว้ เพียงแค่มันถอยออกมามองสักหน่อย...

ไม่รู้ด้วยเหตุใด มันถึงเชื่อว่าแสงสว่างจากหน้าต่างบานนั้นคือทางเดียวที่มันจะออกไปได้


เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ความพยายามที่หนักขึ้น ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป

คนชนะ ยืนหยัดในเป้าหมาย แต่ยืดหยุ่นในวิธีการ

คนแพ้มักยืนหยัดในวิธีการ แล้วยืดหยุ่นเป้าหมาย

ถ้าเรากำลังเจออะไรแบบนี้ แบบที่พยายามยังไงก็ไม่บรรลุเป้าหมายสักที
ลองถามตัวเองดูว่า.. เรากำลังเป็นแบบเจ้าแมลงวันตัวนั้นอยู่รึเปล่า
" ก่อนจะเข็นครกขึ้นภูเขา ดูให้ดีก่อน มันอาจจะมีลิฟท์ อยู่ข้างๆ ก็ได้นะจ้า "

บทกลอนเพื่อชีวิตที่หลายคนเคยอ่าน....

บทกลอนเพื่อชีวิตที่หลายคนเคยอ่าน....

ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย ก็รีบซาบบ่รอซึม

แดดเปรี้ยงปานหัวแตก แผ่นดินแยกอยู่ทึบทึม
แผ่นอกที่ครางครึม ขยับแยกอยู่ตาปี

มหาห้วยคือหนองหาน ลำมูลผ่านเหมือนลำผี
ย้อมชีพ คือ ลำชี อันชำแรกอยู่รีรอ

แลไปสดุ้งปราณ โอ้อีศาน, ฉนี้หนอ--
คิดไปในใจคอ บ่ค่อยดีนี้ดังฤา?

พี่น้องผู้น่ารัก น้ำใจจักไฉนหือ?
ยืนนิ่งบ่ติงคือ จะใคร่ได้อันใดมา?

เขาหาว่าโง่เง่า แต่เพื่อนเฮานี่แหละหนา
รักเจ้าบ่จางฮา แลเหตุใดมาดูแคลน--

เขาซื่อสิว่าเซ่อ ผู้ใดเน้อนะดีแสน
ฉลาดทานเทียมผู้แทน ก็เห็นท่าที่กล้าโกง

กดขี่บีฑาเฮา ใครนะเจ้า จงเปิดโปง
เที่ยววิ่งอยู่โทงโทง เทียวมาแทะให้ทรมาน

รื้อคิดยิ่งรื้อแค้น ละม้ายแม้นห่าสังหาร
เสียตนสิทนทาน ก็บ่ได้สดวกดาย

ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย คือเลือดหลั่ง! ลงโลมดิน

สองมือเอามีแฮง เสียงเฮาแย้งมีคนยิน
สงสารอีศานสิ้น อย่าซุด, สู้ด้วยสองแขน!

พายุยิ่งพัดอื้อ ราวป่าหรือราบทั้งแดน
อีศานนับแสนแสน สิจะพ่ายผู้ใดเหนอ?

****************************
ผู้แต่ง : อัศนี พลจันทร

@โลกของคนเก่งคือฟุ้งซ่าน



โลกและชีวิต มีคนเก่ง ๆ มาปรึกษาด้วยอาการฟุ้งซ่านมากขึ้น ส่วนมากจะเรียนเก่งหรือทำงานเก่ง

ส่วนตัวไม่ค่อยมีความสุขนัก เริ่มตั้งแต่นอนไม่หลับติดต่อกัน กังวล คิดมาก คิดซ้ำซาก
กลัวว่าจะอ่อนเพลีย ก็เลยรู้สึกอ่อนเพลียจริง ๆ ทุกครั้งอารมณ์เสีย หงุดหงิดง่าย
พวกนี้มีความคิดที่มากเกินปกติ คิดตลอดเวลา ขยันหาข้อมูลความคิดมาใส่สมองทั้งจากอินเตอร์เน็ต สิ่งพิมพ์ การสัมมนา ทีวี การสนทนา ฯลฯ สมองจึงเต็มไปด้วยข้อมูลที่มากจนล้นสมองออกมาก

บางคนรู้ว่าควรจะลบ (delete) ข้อมูลออกจากสมองบ้าง แต่ก็ไม่รู้จะลบอย่างไร

แถม...กลับไปได้ข้อมูลที่ไม่เหมาะสมมาเพิ่มเติมใส่สมองเข้าไปอีก

นี่คือวงจรชีวิตของคนที่เรียนเก่งหรือทำงานเก่ง ที่มักคิดฟุ้งซ่านที่พบได้มากขึ้นในทุกวันนี้
พวกนี้มักมีสมองซีกซ้ายทำงานดี ชอบคิดในแนวหาเหตุผล วิเคราะห์ วิจารณ์ได้เก่ง
และพวกนี้มักใช้สมองซีกขวาเพื่อความสุนทรีย์ การจินตนาการที่ดี ความรัก มิตรภาพ ศิลปะ ความงามได้น้อย

ข้อแนะนำง่าย ๆ สำหรับพวกฟุ้งซ่าน ก็คือ

1. หาเวลาฝึกสติ ทำสมาธิทุกวัน จะเป็นการกรองความคิดที่ไม่เหมาะสมออกไปและลดการปรุงแต่งอารมณ์ อยู่กับปัจจุบัน ทำให้คิดฟุ้งซ่านน้อยลง

2. ออกกำลังกายแบบไม่คาดหวังผลให้มากขึ้นทุกวัน ๆ ละ 45 นาที เช่น การวิ่ง
แต่เลี่ยงการออกกำลังกายก่อนนอน

3. ฝึกการนอนอย่างมีสติและมีความสุข หลีกเลี่ยงการทำให้สมองและร่างกายตื่นตัวก่อนนอน
เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือสนุก ดูหนังเร้าใจก่อนนอน ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่คิดเรื่องงาน

รู้จักการนอนอย่างปล่อยวาง คือทำจิตให้ว่างก่อนนอนโดยการหายใจลึก ๆ ช้า ๆ
จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออกรูจมูก และตั้งจิตบอกกับตัวเองว่าจะนอน – หลับ – พัก – ผ่อนเสียที

เมื่อนอนหลับได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่ากังวล ถ้าหลับลึก ๆ 4 – 5 ชั่วโมงพอแล้ว
ตื่นขึ้นมาให้ทำท่ากระฉับกระเฉง บอกกับตัวเองว่าโชคดีที่ตื่นขึ้นมาได้

4. ลดกิจกรรม “วิเคราะห์” ลงบ้าง ปล่อยกาย – ใจ – และความรู้สึก ให้สบายมากขึ้น
บอกตัวเองว่าต้องการความสุข รู้จักการพอ ยอม และไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น

ถ้าวิเคราะห์มากมักจะจับผิดเก่ง ทั้งตัวเองและสิ่งรอบตัว

คนเก่ง ๆ ที่ฟุ้งซ่านมีมากขึ้น ที่มาปรึกษาก็มาก หลาย ๆ คนดีขึ้น บางคนต้องใช้ยาช่วยหรือใช้จิตบำบัด

จงเก็บพลังความคิดที่ดี ๆ ไว้ใช้อย่างสร้างสรรค์เถิด

ถ้ามีความคิดมากไปตลอดเวลาเข้าข่ายฟุ้งซ่าน จะเป็นอุปสรรคในการทำงาน และจะเป็นโรคจิต โรคประสาทได้

ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ (จิตแพทย์)

@ 6 ภาวะที่ทำให้... แม้รักมาก แต่ไม่อยากอยู่ด้วย....ดร นพ. วิทยา นาควัชระ



กว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ก็ยากอยู่แล้ว ถ้าจะหาคนที่คุณรักเขาและเขาก็รักคุณ จนเป็นคู่รักได้ยิ่งยากเข้าไปอีก
เอาเป็นว่าเมื่อคุณสมัครใจเปิดตัวเปิดใจเป็น‘คู่รัก’กับใครบางคนได้แล้ว บางคู่ก็แต่งงานเป็น ‘คู่สมรส’ไป แต่ครั้นคบกันไปนานๆ เข้าทำไมจึงเปลี่ยนใจไม่อยากอยู่ด้วยเล่า
ถ้าหมดรักแล้วจากกันไป ก็เป็นเรื่องปกติ
แต่นี่ยังไม่หมดรัก แถมยังรักมากด้วย แต่ไม่อยากอยู่ด้วย มาจากอะไรเล่า
ในอาชีพจิตแพทย์ที่ต้องทำหน้าที่สมานรอยร้าวให้คู่รักและคู่สมรสทั้งที่เป็นคู่รักต่างเพศหรือเพศเดียวกัน ที่เรียกว่า Couple Therapy หรือ Marriage Therapy หรือ Family Therapy แล้วแต่จะเรียก ได้สังเกตว่ามีภาวะบางอย่างที่ทำให้คู่รักเหล่านี้ไม่อยากอยู่ด้วยกันต่อไปแม้ใจจะยังรักกันอยู่
ผมจะเน้นถึงกรณีฝ่ายหญิงที่ยังรักฝ่ายชายอยู่แต่ไม่อยากอยู่กับฝ่ายชายอีกต่อไป แม้จะทำใจได้ยากแต่ก็ตกลงใจได้ในที่สุด
ภาวะเหล่านั้นได้แก่
1. เจ้าชู้... ซ้ำซาก ส่วนมากถ้าฝ่ายหญิงพบว่าคู่รักเจ้าชู้หรือนอกใจและจับได้ ครั้งแรกก็มักให้อภัย (ผู้ชายจะอภัยผู้หญิงได้ยากกว่า แต่ผู้หญิงจะอภัยผู้ชายได้ง่ายกว่า) แต่ถ้าจับได้ซ้ำๆ มักจะไม่อภัยแล้ว ผู้หญิงที่ถูกคู่รักนอกใจมักจะเสียความภาคภูมิใจตัวเอง เสียศักดิ์ศรี รู้สึกเป็นปมด้อยว่าไม่ได้ถูกรัก มักจะโกรธคู่รักและผู้หญิงอีกฝ่ายหนึ่งมาก (ที่จริงน่าจะโกรธคนกลางมากกว่า) กว่าจะทำใจตัดใจจากได้ก็ทุกข์อยู่นาน ในกรณีผู้หญิงที่มีการศึกษา มีการงานดี มักตัดใจแยกทางได้ง่ายกว่า
2. ขี้เหนียว ความทุกข์ใจของผู้หญิงที่มีแฟนขี้เหนียวยากจะบอกได้ เธออยากได้คู่รักที่ใจกว้าง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นที่พึ่งได้ทั้งตัวเองและครอบครัว แต่นี่... ฝ่ายชาย (ซึ่งมักจะรวยกว่า) กลับขี้เหนียว ทำให้เธออึดอัดใจ
บางรายฝ่ายหญิงมีเงินมากพอ เธอจะใช้เงินของเธอซื้อของใช้ส่วนตัวราคาแพงบ้างฝ่ายชายก็ต่อว่า ประชดประชัน หรือสั่งห้าม ทำให้เธออึดอัดใจ ไม่พอใจ
ผู้ชายบางคนหาเงินเก่งแต่ไม่ชอบใช้เงิน เสื้อผ้าของใช้ก็ไม่ซื้อ ฝ่ายหญิงทนไม่ได้เอาเงินของเธอไปซื้อให้ ฝ่ายชายยังว่าให้เจ็บใจอีก แบบนี้ก็มี
3. รักญาติมากกว่ารักแฟน โดยเฉพาะ รักแม่มากกว่ารักเมีย ทำตัวเป็นลูกแหง่ของแม่ สนิทกันมาก ทำอะไรก็ปรึกษาแม่ทุกเรื่อง กินข้าวด้วยทุกวัน เสาร์ - อาทิตย์อยู่กับแม่ ภรรยาน้อยใจจนหนีกลับบ้านตัวเองก็มี ภาวะแม่ติดลูกชายหรือลูกชายติดแม่นี้ภรรยาทั้งหลายไม่พอใจแน่ๆ เพราะเธอก็อยากได้สามีมาเป็นคู่คิด ไม่ใช่ให้เธอเป็นได้แค่พี่เลี้ยงเด็ก (ดูแลสามี)
4. ไม่มีอนาคต ผู้หญิงสมัยใหม่จะรักผู้ชายที่มีอนาคต ตอนแรกอาจไม่ได้มอง แต่พออยู่ไปแล้วเห็นว่าผู้ชายไม่มีอนาคต แม้จะรักอยู่แต่จะเปลี่ยนเป็นสงสารตัวเองมากขึ้น
ลักษณะของผู้ชายที่ไม่มีอนาคต ได้แก่ ขี้เกียจ โง่ ไม่ขวนขวายหาความรู้ใส่ตัวหรือช่วยตัวเอง ไม่ทำงาน (บางคนคอยเกาะฝ่ายหญิงอยู่) ติดอบายมุข (เช่น ติดเหล้า การพนัน ยาเสพติด เที่ยวกลางคืน) เป็นหนี้สิน โกหกเก่ง พูดจาเชื่อถือไม่ได้
ต่อให้รูปหล่อมีลีลาและคารมดี ผู้หญิงฉลาดก็จะตัดใจจากได้ ขืนใช้ชีวิตร่วมกันต่อไปก็จะยากจน มีชีวิตลำบาก
5. ทำให้เจ็บใจบ่อยๆ (รวมทั้งเจ็บกายด้วย) เป็นนิสัยที่ไม่ดีของฝ่ายชาย เช่น ชอบแสดงความก้าวร้าว โหดร้ายเวลาโกรธ ทั้งทางพฤติกรรมและคำพูด ทำร้ายร่างกายฝ่ายหญิง ไม่มีมารยาท ทำให้ฝ่ายหญิงเสียหน้าบ่อยๆ ชอบจับผิด ชอบเอาชนะ และดูถูกความคิดความเชื่อที่แตกต่างกัน (เช่น นับถือศาสนาต่างกัน มีแนวคิดอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน คนละพรรคคนละสี มักจะกล่าวหาสิ่งที่เธอชอบหรือศรัทธาในแนวท้าทาย ดูถูก)
เมื่ออีกฝ่ายหมดความอดทนก็จะเกิดสงครามปากเถียงกันลั่นบ้าน หมดความเกรงใจ หมดความนับถือซึ่งกันและกัน แล้วจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร
6. รักผิดขั้ว เช่นเมื่อฝ่ายหญิงรู้ว่าฝ่ายชายเป็นเกย์ เขารักคนเพศเดียวกันมากกว่ารักเธอ แม้เธอจะรักเขามากแต่ก็ต้องทำใจ - จำใจจากกัน
ทั้ง 6 ข้อนี้เป็นภาวะที่ทำให้หญิงที่รักชายมากจำใจจาก ไม่สามารถอยู่ร่วมเป็นคู่รักหรือคู่สมรสได้
ในกรณีกลับกันถ้าฝ่ายชายพบคู่รักที่มีภาวะดังกล่าว 6 ข้อนี้ เขาก็คงจะอำลาเช่นกัน
ถ้าถามว่าแล้วความรักจะไม่ดึงให้คู่รักอยู่ร่วมกันต่อไปแม้จะพบภาวะดังกล่าวแล้วหรือ ?
คงต้องตอบว่าความรักของคนยุคนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว ที่อดทนและยอมรับสิ่งบกพร่องได้ง่าย เช่น ผู้หญิงยอมรับให้ฝ่ายชายมีเมียหลายคนได้ แต่คนรุ่นหลังนี้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางสูงขึ้น (Self Center) การจะรักใครสักคนนอกจากคิดว่าสารเคมีในตัวทำให้เกิดความรู้สึกซู่ซ่าเมื่อเห็นหน้าเขาแล้ว ก็มีปัจจัยอื่นอีกด้วยเช่น ภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม (หรือพ่วงการเมืองเข้าไปด้วย)
ถ้าใครไม่ทำตัวให้เป็นคนดี มีค่า และสร้างความผูกพันทางใจไปด้วย ก็จะจากจางได้เร็ว
เพราะพวก Self Center ทั้งหลายจะนึกถึงภาวะเศรษฐกิจและสังคมของตัวเองเป็นใหญ่ว่า อยู่ด้วยกันแล้วชีวิตมีกำไรหรือขาดทุน
ความรู้สึกซู่ซ่าของความรักก็หายไปหมดแล้ว
ความรู้สึก ‘รัก’ ชนิดอมตะแบบคนยุคเก่าหรือในวรรณคดีก็หาไม่ค่อยได้แล้ว
และคงไม่มีใครยอมขาดทุนชนิดนานๆ ด้วย
จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คู่รักจากจางกันได้เร็วขึ้น – ง่ายขึ้น

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 164 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - สุขใต้พระบารมี



http://youtu.be/RV2AakUkOP4
รายการรักพ่อ 164 สุขใต้พระบารมี -  18เมย2556



พบกับ สารคดีเฉลิมพระเกียรติฯ ในหลวง ตามรอย...สายน้ำพระราชหฤทัย" ตอน แนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง , สารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน "ข้าวสังข์หยด"

ฟังเพลง สดุดีมหาราชา , อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี, สปอตข้าวผิดอิ่มใจ, เมื่อคนไทยรักคนไทยด้วยกัน, สปอตสันติสุขใต้พระบารมี, สปอต รณรงค์เมาไม่ขับ, ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว, ในหลวง In your heart,
เพลงแบบนอนสต๊อปจากศิลปิน กำปั่น  บ้านแท่น 1.สังขารไม่เที่ยง 2.อัศจรรรย์ 3.เมียไม่ให้ถอน 4.เมียเสื่อ 5.ลูกคนมีบุญ

มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

@^^@..... คบเพื่อนอย่างไร ไม่ให้เหงา......^^



มีสตรีผู้หนึ่ง ฐานะดี เธออยู่คนเดียว มีอายุมากแล้วบ่นให้ฟังว่าหาคนคุยด้วยยากทุกที เพื่อนจากหายไปหมด ลูกหลานหรือคนที่เคยอุปถัมภ์ค้ำจุนกันมาก็ไม่ค่อยมาหา แต่เวลาทุกข์ร้อนก็จะมาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ

เธอเหงา...และเริ่มหน่ายชีวิต

ผมเตือนเธอว่าอย่าไปคาดหวังมากนักกับตนเองหรือคนอื่น ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น เก่งมาก-ดีมากแล้ว

ใครจะรักเราช่วยเราหรือไม่นั้นเราคาดหวังไม่ได้ ไม่แน่นอนทั้งนั้น ถ้าไม่คาดหวังมากก็ไม่ผิดหวังมาก และได้คุยให้ฟังถึงเรื่องเพื่อน 3 ประเภท ที่เคยได้รับรู้มาตามแนวคิดของพุทธศาสนา

เขาแบ่งเพื่อนออกเป็น 3 แบบ คือ

เพื่อนแบบที่ 1 เป็นเพื่อนที่เราสร้างขึ้นมาในชาติปัจจุบัน คือเมื่อเรามีเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ เพื่อนพวกนี้ก็จะล้อมหน้าล้อมหลังเพราะเขาชอบสิ่งที่เรามี ทำให้เราพลอยหลงตัวเองและมัวเมาไปกับมิตรภาพชั่วคราวแบบนั้น ถ้าเราไม่เกิดประโยชน์อีกแล้วเขาก็จาก...จางและหายไป จะกลับมาก็ในยามต้องการความช่วยเหลือ จึงต้องระวังตัวให้ดี อย่าหลงระเริงไปกับเพื่อนพวกนี้

เพื่อนแบบที่ 2 เป็นเพื่อนที่เราได้มาจากกรรมในอดีตและปัจจุบัน คือเป็นพวกที่มีความผูกพันกันลึกซึ้งกว่าพวกแรก แต่อาจจะนำความสุขหรือความทุกข์มาให้ก็ได้ ขึ้นกับชนิดของกรรมดีหรือไม่ดีของเราที่ทำร่วมไว้กับเขา

เพื่อนพวกนี้ได้แก่ พ่อ-แม่ พี่น้อง ญาติ คนรัก สามี-ภรรยา มิตรสนิท คนคุ้นเคยที่คบหากันอยู่ ซึ่งมีทั้งที่นำความสุขความเจริญหรือ
นำความทุกข์มาให้

เมื่อถึงคราวจากกัน ก็อย่างที่เรียกว่าหมดเวร...หมดกรรมนั่นแหละ...มีทั้งจากกันแบบดีๆ หรือแบบร้ายๆ แล้วแต่กรรมของเรากับเขา

เพื่อนแบบที่ 3 เป็นเพื่อนที่เกิดในชาตินี้และจะอยู่ติดตัวไปชาติหน้า ได้แก่การทำกรรมดีและกรรมชั่วของเรา

ถ้าทำกรรมดี ก็ได้ผลดี ที่เรียกว่า ได้บุญ

ถ้าทำกรรมไม่ดี ก็ได้ผลไม่ดี ที่เรียกว่า ได้บาป

ฉะนั้นบุญและบาปที่เราสร้างในชาตินี้จะเกิดผลตั้งแต่ชาตินี้และติดตัวไปถึงชาติหน้า

การทำความดีง่ายๆ ได้แก่ ทาน ศีล ภาวนานั่นเอง ถ้าทำมากๆ แล้วความเหงาหงอยก็จะหายไปด้วย

คิดดูแล้วกันว่าเราควรจะสร้างมิตรประเภทใดให้มากขึ้น เพื่อทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น

อย่าหลงระเริงและอย่าคาดหวังมากกับเพื่อนแบบที่ 1 และ 2

ให้หมั่นสร้างเพื่อนใหม่แบบที่ 3 ให้มากขึ้นเรื่อยๆ เถิด

ชีวิตจะมีความสุขและไม่เหงาด้วย

โดย ดร. นพ. วิทยา นาควัชระ

ชุมชนพอเพียง...ตามรอยเท้าพ่อ : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 29

 ชุมชนพอเพียง...ตามรอยเท้าพ่อ : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 29
ตอนที่ 29 : ชุมชนพอเพียง...ตามรอยเท้าพ่อ
สมปรารถนา แจ่มพล ผู้ใหญ่บ้านชุมชนหนองสมบูรณ์ หนึ่งใน 5 แกนนำคนสำคัญของหมู่บ้านแห่งนี้ ผู้ซึ่งบอกกับตัวเองเสมอว่า เพราะเธอจนยากแค้น เธอจึงเข้าใจความต้องการของคนจนด้วยกัน และเมื่อเธอก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน สิ่งที่เธอทำวันนี้จึงมุ่งมั่นเพื่อการสร้­างตนเองให้เป็นแบบอย่างคนจนด้วยกัน ให้เดินตามรอยเท้าพ่อ
ออกจากสารพันปัญหา ก้าวเข้าสู่วิถีทางแห่งความพอเพียง
http://www.youtube.com/watch?v=SStPIjDlIcA

ปลดหนี้ ด้วยบัญชีครัวเรือน (ตอนที่ 2) : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 28

ปลดหนี้ ด้วยบัญชีครัวเรือน (ตอนที่ 2) : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 28
ตอนที่ 28 : ปลดหนี้ ด้วยบัญชีครัวเรือน (ตอนที่ 2)
เลี่ยม บุตรจันทา หนึ่งชีวิต ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน จากความสำเร็จที่เป็นบทเรียน ของผู้ใหญ่วิบูลย์ เป็นจุดเปลี่ยน และพลิกชีวิตของเขาสู่การทำวนเกษตร และการเรียนรู้แนวทางแห่งการพึ่งตนเอง จากหนี้สินนับแสน จากคนที่ติดการพนันและอบายมุข วันนี้ความมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นกับชีวิตขอ­งเขาผู้นี้...เลี่ยม บุตรจันทา
http://www.youtube.com/watch?v=QNO-lWi5vBs

ปลดหนี้ ด้วยบัญชีครัวเรือน (ตอนที่ 1) : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 27

 ปลดหนี้ ด้วยบัญชีครัวเรือน (ตอนที่ 1) : 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 27
ตอนที่ 27 : ปลดหนี้ ด้วยบัญชีครัวเรือน (ตอนที่ 1)
การทำบัญชีครัวเรือน เปลี่ยนชีวิตของชายคนหนึ่งที่สำมะเลเทเมา มีหนี้สินล้นพ้นตัว ให้กลายเป็น เลี่ยม บุตรจันทา ในวันนี้ บัญชีครัวเรือน อาจเป็นเหมือนกระดาษแผ่นเดียวในความหมายขอ­งคนทั่วไป แต่แท้ที่จริงแล้ว บัญชีครัวเรือน สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แต่ละบาท แต่ละสตางค์ ที่สูญไปกับค่าใช้จ่ายที่ไม่เคยนำมาใคร่คร­วญ บัญชีครัวเรือนจะแสดงให้เห็นความจริงของแบ­บแผนการใช้จ่ายเงิน สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ผ่านเลยไป มหัศจรรย์ของตัวเลขบนแผ่นกระดาษ ที่พลิกชีวิตชายผู้นี้จากหน้ามือเป็นหลังม­ือ
http://www.youtube.com/watch?v=SFM6PKib83s

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

@ สงบใต้ต้นไม้



ต้นไม้เป็นสิ่งที่มีพลังความเย็น
การฝึกสมาธิใต้ร่มไม้จึงช่วยให้เรารู้สึกมีความเย็นไปด้วย
ต้นไม้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับมนุษย์
เพราะต้นไม้มีความเป็นกลาง ไม่เปรียบเทียบตนเองกับต้นไม้ต้นอื่น
เพราะต้นไม้มีความสมดุลกับธรรมชาติ
พวกเขาเพียงแค่เติบโตให้ออกซิเจน ลบมลพิษจากอากาศ
เป็นบ้านของสัตว์และแมลง ป้องกันการพังทลายจากดินถล่ม
เป็นแนวป้องกันการเกิดน้ำท่วม ให้ร่มเงาและมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย

ดังนั้นการฝึกสมาธิของเราก็เพื่อให้จิตเราเป็นกลางเช่นกัน
เพื่อให้เรามีความสมดุลกับชีวิตและนำแรงบันดาลใจที่เกิดจากความสงบไปสร้างสรรค์
สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นและตนเอง
ในช่วงที่เราฝึกสมาธิใต้ร่มไม้ ดึงลมหายใจเข้ามาที่ท้อง
ทำให้ใจเรารู้สึกเย็นสบาย
และเวลาหายใจออกก็เอาสิ่งที่เครียด หดหู่ คับแคบ ออกไปจากกายและใจ
ทำให้จิตเราโล่งเบาและมีความเป็นกลางมากขึ้น
นึกถึงคุณค่าของต้นไม้และทรัพยากรธรรมชาติ
ทำให้จิตเรามีความสมดุลกับทุกอย่างและมีความรักเมตตาต่อทุกสิ่งอย่างเป็นกลาง....

ที่มา meditation guide.com


" วิธีลด Ego แบบ “ผู้ดี”



ผมได้ไปร่วมงานภาวนา 5 วัน ที่จัดโดยมูลนิธิหมู่บ้านพลัม (ประเทศไทย)

ที่รีสอร์ทสวยงามแห่งหนึ่งแถวนครนายก มีผู้คนไปร่วมงานหลายร้อยคน

วิธีการภาวนาเป็นวิธีของหลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ ซึ่งเป็นพระนักบวชชาวญวณไปตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านพลัมในฝรั่งเศส ท่านนับถือพุทธนิกายเซ็นแบบมหายาน ท่านเป็นพระนักปฏิบัติ เป็นกวี นักคิด ฉะนั้นภาษาพูด ภาษาเขียน วิธีการและจินตนาการเพื่อการภาวนาของท่านจึงงดงาม ร่วมสมัย เป็นที่นิยมกว้างขวางโดยเฉพาะคนหนุ่มสาว

ในแนวคิดแบบมหายาน เน้นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นแก่นแท้หลัก คือการสอนให้มนุษย์มีความรัก เมตตา กรุณาต่อกัน เพื่อนำไปสู่ความสุขในปัจจุบัน

และจุดหมายหลักของนักปฏิบัติธรรมก็คือ การเอาชนะสิ่งที่ยึดติดให้ได้

วิธีหนึ่งที่คุณจะสามารถเอาชนะสิ่งที่ยึดติดตลอดมาได้ (เช่น ความเห็นแก่ตัว โลภ โกรธ หลง เกลียด ความถือตัว อีโก้ นึกถึงแต่ตัวเอง หยิ่ง ฯลฯ) ก็คือ....

คุณต้องหมั่นฝึกการเจริญสติให้เกิดความเมตตา กรุณา ให้มากขึ้นในตัวคุณ เพราะเท่ากับเป็นการเน้นให้ความสำคัญกับผู้อื่นมากกว่าตัวคุณ (หรือสิ่งที่คุณยึดติดอยู่)

เมื่อตัวคุณเต็มไปด้วยความรัก เมตตา กรุณาแล้ว ตัวคุณก็จะอิ่มเอม และสามารถหลั่งไหลความรัก เมตตา กรุณาไปสู่คนอื่นได้ตลอดเวลา โดยไม่คาดหวังว่าเขาจะให้อะไรคุณหรือไม่

ทำให้คุณสามารถลดสิ่งที่ยึดติดลงได้ รวมทั้งลดอีโก้ลงได้ด้วย

ภาวะนี้คุณจะเกิดความสงบและมีความสุขจากความปิติที่ได้เมตตากรุณาผู้อื่น

และผู้อื่นก็เป็นสุขจากผลของการเมตตากรุณาและอภัยจากคุณ

พระพุทธเจ้านับได้ว่าเป็น “ผู้ดีโดยแท้” เพราะท่านเป็นผู้ดีทั้งชาติตระกูล วิธีการดำเนินชีวิตและเป้าหมายชีวิต

ภาพของ “ผู้ดี” ไม่จำเป็นต้องห่มเพชรหรือรวยจัดแบบไฮโซ ไฮซ้อ ในยุคนี้หรอก

แต่ “ผู้ดี” จะห่มด้วย “ความดี” และ “ความพอดี”

คำสอนของท่านที่ให้มนุษย์มีความรัก เมตตา กรุณาต่อกันให้มากที่สุด เพื่อการหลุดพ้นจากการยึดติดตัวเรา หรือสิ่งที่ยึดติดตัวเราตลอดมา รวมทั้งอีโก้ (ความมีตัวตน) ด้วยนั้น จึงถือว่าเป็นแนวคิดที่ประเสริฐแท้

เป็นคำสอนให้ลด ego แบบผู้ดี

ซึ่งควรจะนำไปใช้ปฏิบัติต่อไป

ความรัก มิตรภาพ เมตตา กรุณา ทำให้โลกสดใส มีอนาคต ลดอีโก้ของคนทุกคน เกิดความเป็นมิตรและสมานฉันท์ได้

สังคมไทยควรจะฝึกภาวนาให้เกิดสติ เกิดความรัก เมตตา กรุณา อภัยให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดสันติสุข ผ่านพ้นวิกฤติของสังคมที่ยั่วยุให้เกิดแต่ความเกลียดชังอย่างขณะนี้ไปได้ดี ด้วยเถิด "

ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ (จิตแพทย์)

น้ำดื่ม...เพื่อชุมชน: 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 23


ตอนที่ 23 : น้ำดื่ม...เพื่อชุมชน
น้ำดื่ม...สำหรับคนในเมืองช่างเป็นเรื่องท­ี่หาได้ง่าย เพียงแวะเข้าร้านสะดวกซื้อ น้ำดื่มติดตรา หลากยี่ห้อวางเรียงรายให้เลือกซื้อ แต่ที่นี่...บ้านทุ่งยายชี น้ำดื่มกลับก่อให้เกิดปัญหา หลายคนดื่มน้ำบาดาลมานานปี วันนี้นิ่วที่เกิดจากหินปูนก่อตัวขึ้นในร่­างกาย หลายคนเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตด้วยการซื้อน­้ำถังจากร้านค้า แต่ตัวเงินที่ต้องจ่ายไปก็ทำให้รายได้ที่ม­ีอยู่น้อยนิด ต้องหดหาย โครงการโรงกรองน้ำชุมชนจึงเกิดขึ้น
http://www.youtube.com/watch?v=HyRPHf4kxEs

___ประเพณีHansei ของคนญี่ปุ่น ( self reflection)

^^___ประเพณีHansei ของคนญี่ปุ่น ( self reflection)__^^

" Hansei : a japanese culture : It’s more than reflection
Hansei อ่านว่า Han say ee ภาษาญี่ปุ่น

เป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่น ที่ ผู้บริหารญี่ปุ่น พยายาม สร้างให้ ผู้บริหารต่างชาติ เช่น ในประเทศไทย สามารถ “สำนึกผิด” ได้

เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น จะไม่ว่าที่ตัวบุคคล แต่ จะเจาะลึก คุยกัน ว่า มันเกิดจาก ต้นตอสาเหตุ อะไร (root cause analysis) เพื่อจะได้ แก้ไข และ ป้องกัน (Poka-yoke) ต่อไป

เจ้าตัวที่ทำผิด จะต้อง แสดงความสำนึกผิด อาจจะ ไปยืนหันหน้าเข้าหากำแพง ก็ได้ ไปแช่ตัวในน้ำเย็น ก็ได้ ไปทำงานเป็น คนกวาดพื้นโรงงาน ก็ได้

ผู้บริหารญี่ปุ่น ยอมรับว่า การสอนให้ คนไทย รู้จัก “ฮันเซอี” นี้ ยากที่สุด จนถึง ไม่สามารถสอนได้เลย

ถ้าเด็กญี่ปุ่นทำผิดพลาด พ่อแม่ จะสอนให้พวกเขา มี “ทัศนคติ” ที่ดี ในการ มอง เรื่อง ความผิดพลาดนั้นๆ เช่น

สำนึกว่าผิด จะได้ไม่ทำอีก
ทำผิด เป็นเรื่องปกติ แต่ ต้อง สืบค้น ว่า ต้นตออยู่ที่ไหน ความสับเพรา เผลอเรอ ขาดสมาธิ ใจร้อน หลงๆลืม ใจลอย โลภ มักง่าย ฯลฯ หรือไม่ จะแก้ไข (Corrective) อย่างไร

และ ที่สำคัญ คือ เรียนรู้อะไรจาก ความผิดพลาดตรงนี้ จะเอาไปเปลี่ยนเป็นโอกาสได้อย่างไร จะป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ (Preventive) ได้อย่างไร

ผมเคยถาม คนญี่ปุ่นว่า มีวิชา Hansei อบรมที่ไหนบ้างไหม ? พวกเขางงๆ และ บอกว่า พ่อแม่พวกเขาสอนมาตั้งแต่เล็กๆ ไม่มีการสอนเป็นเรื่อง เป็นราว แต่ มัน “ปลูกฝัง” กันมา

ความสำคัญของ Hansei มีมากๆ เพราะ เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิด Kaizen หรือ Improvement after improvement การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

คนไทย เรามัก มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อข้อผิดพลาด เช่น โดนทำโทษ ประนาม ฯลฯ เรายิ่ง เพ่งโทษคนทำผิดมากเท่าไร เท่ากับเรากำลังพยายาม ทำให้ หลายๆคนเกิด “ความกลัว” และ จะมีพฤติกรรม (๑) เกร็ง กังวล กลัวพลาด ดังนั้น หาคนอื่นมาทำ ถามนายในทุกเรื่อง ย้ำคิด ย้ำทำ โดนเฉพาะ ในระบบราชการ (๒) หากผิดพลาด ก็จะ ไม่บอก โกหก บิดเบือน โยนความผิด หมกเม็ด ซ่อนเร้น (๓) โทษตนเอง จนเสียความมั่นใจ แรงไปจนถึงฆ่าตัวตายได้

กระบวนกรที่ดี จึงต้อง เตรียมพร้อม ให้ผู้เรียนได้ฝึก ผจญกับ “ความผิดพลาด”
เจอ ความผิดพลาดเมื่อไร อย่าลืม เรียกใช้ Hansei นะครับ

( ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2009)

สริมกำลังใจ อาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก

**** ####@@@_____ของฝากกกกกddddd____####@@@****

1 ชีวิตที่ใช้ได้คือ ชีวิตที่ได้ใช้

2 อย่าให้ตัวเลขอายุหยุดความเป็นเด็กในตัวคุณ

3 อย่าให้คนอื่นใช้ชีวิตให้คุณ

4 จุดหมายไม่สำคัญเท่าสองข้างทาง

5 หนึ่งปัญหาที่ไม่แก้ไขในวันนี้ มักกลายเป็นหลายปัญหาในวันพรุ่งนี้

6 เสียเวลาไปกับการวิตก เท่ากับว่าเวลาที่จะใช้ชีวิตลดลง

7 ใช้ชีวิตทีละนาที และใช้นาทีนี้ให้ดีที่สุด

8 คนฉลาดเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น แล้วสร้างทางของตัวเอง

9 อย่าเพิ่งคิดเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นก่อน

10 ปุ๋ยที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตคือการใช้ชีวิต

11 เราทุกคนได้รับของขวัญจากธรรมชาติเหมือนกัน คือร่างกายและลมหายใจ
เราเลือกแบบร่างกายไม่ได้ แต่เราเลือกวิธีการใช้ชีวิตได้

12 ความพ่ายแพ้ส่วนใหญ่ในโลกนี้เกิดขึ้นก่อนในหัวใจ

13 ไม่มีอุปสรรคใดในโลกที่ขวางปัญญาบวกความอดทน

14 ความพยายามมีราคาของมัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มเสมอ

15 พื้นที่สมองมีจำกัดเกินกว่าที่จะเสียไปจดจำเรื่องไม่ดีของคนอื่น

16 ชีวิตก็เช่นชิงช้าสวรรค์ เป็นการหมุนเวียนของขึ้นกับลง
ขึ้นได้ก็ลงได้ แล้วก็ขึ้นได้อีก

*** ขอบคุณ: หนังสือเสริมกำลังใจ ชุด 4 “อาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก” โดย วินทร์ เลียววาริณ

เอามาฝาก....จะสุขไม่เป็นถ้าไม่คิดบวก จริงไหม?



" เปลี่ยนนิสัยใหม่ด้วยแนวคิดเชิงบวกกับเหตุการณ์ต่างๆ
1 หลีกเลี่ยงการบ่น พูดในเรื่องที่สร้างสรรค์แทน
2 ลดเรื่องจินตนาการเชิงลบกับเหตุการณ์ต่างๆ
3 เลิกตัดสินผู้อื่น โดยใช้ความคิดของเราเพียงอย่างเดียว
4 เผชิญหน้ากับปัญหา เพื่อหาทางแก้ไข
5 เรียนรู้ที่จะปรับตัว เมื่อต้องอยู่ในที่อึดอัดใจ
6 เปลี่ยน “ข้อด้อย” ให้เป็นข้อเด่นของตัวเอง
7 มุ่งมั่น ไม่ท้อถอย แม้คิดว่าอาจทำไม่ได้ก็ตาม

การปรับเปลี่ยนแนวความคิดให้เป็นเชิงบวก และปฏิบัติตัวโดยการฝึกฝนอยู่ เรื่องๆ อุปนิสัยใหม่จะเกิดขึ้นเอง

@ หลีกเลี่ยงการบ่น

หลายคนเข้าใจว่าการบ่นเป็นการระบาย เมื่อพูดจบแล้วก็จะรู้สึกดีขึ้น แต่จริงๆ แล้วเราดีขึ้นชั่วคราว แต่จะจำเรื่องนั้นๆ ไปเลยว่าเราไม่ชอบ หากมีเหตุการณ์คล้ายๆกัน เกิดขึ้นอีกเราก็จะรู้สึกไม่ดีขึ้นมาโดยอัตโนมัติ จึงเรียนกว่าเป็น นิสัย ดังนั้นหากต้องการพูดเรื่องอะไรก็ควรให้มี่ความสร้างสรรค์ คือพูดแต่เรื่องดีๆ เราก็จะจำได้แต่เรื่องดๆ นิสัยเราก็จะปฏิบัติตามที่เราคิดนั่นเอง

@ ลดเรื่องจินตนาการเชิงลบ

การจินตนาการเป็นความคิดของเรา คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น หากเราคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เป็นเชิงลบ ย่อมทำให้เราเครียดและกังวลไปล่วงหน้า ทั้งๆที่จริงๆ แล้วเหตุการณ์เหล่านั้นอาจไม่เกิดขึ้น ก็ได้เพราะเป็นการคาดเดาของเราไปเอง แต่ถ้าเราจินตนาการเป็นเชิงบวกย่อมจูงใจให้เราลงมือปฏิบัติมากขึ้น เพราะเราคิดว่าถ้าทำแล้วจะเกิดผลดี และเป็นประโยชน์ ดังนั้นควรให้ความสำคัญ กับปัจจุบันให้มากที่สุด และถ้าคิดถึงอนาคต ก็ควรคิดว่าจะเกิดแต่สิ่งดีๆ นะครับ

@ เลิกตัดสินผู้อื่น

เราชอบสรุปว่าคนนั้นเป็นอย่างนี้ ซึ่งเราไม่ชอบเลยจริงๆ แล้วที่เราไม่ชอบเป็นเพราะเราใช้มาตรฐานความคิดของเราเป็นหลักในการพิจารณาผู้อื่น ซึ่งอาจถูก หรืออาจผิดได้ ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับเขาไม่ค่อยดี ในทางที่ถูกแล้ว ควรพิจารณาทั้ง 2 ด้าน คือในแง่ที่เรคิดและในแง่ที่ถ้าเราเป็นเขาเราจะปฏิบัติหรือคิดอย่างไร ก็จะทำให้เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น การปฏิบัติตัวต่อคนอื่นก็จะดีขึ้น

@ เผชิญหน้ากับปัญหา

ปัญหามีไว้เพื่อให้แก้ไข มิใช่มีไว้ให้เกิดความเครียด ดังนั้นหากพบเจอกับปัญหา และอุปสรรคต่างๆ ก็ให้พิจารณาทางแก้ไขจะดีกว่า เพราะถ้าเครียดและกังวลกับปัญหาแล้ว เราย่อมหาทางออกได้ยากขึ้น แต่ถ้ายอมรับว่าเกิดปัญหาแล้ว จะแก้ไขอย่างไรดี เราก็จะจดจ่อกับ วิธีแก้ไข แทนที่จะจดจ่อที่ตัวปัญหา แนวโน้มก็จะมีวิธีแก้ไขได้แน่นอน

@ เรียนรู้ที่จะปรับตัว

ความอึดอัดใจเป็นความรู้สึกที่เราคิดว่า “เราไม่อยากอยู่กับสถานการณ์เช่นนี้” ซึ่งจริงๆ แล้ว ความคิดของเรานั้นเอง ที่คิดว่าเราไม่ชอบ ไม่มีประโยชน์ ไม่อยากเจอ อยากหนีไปให้ไกล ซึ่งถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ในสถานการณ์นั้นอีกสักระยะหนึ่งเราก็ควรปรับตัวโดยการคิดว่า สถานการณ์ให้เราได้เรียนรู้เรื่องอะไรได้บ้าง มีประโยชนต่อเราอย่างไร เราเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นแค่ไหนเมื่อเราสร้างความสนใจต่อเหตุการณ์เสียใหม่ ความอึดอัดใจก็จะลดไปเอง เพราะเริ่มมีเรื่องน่าสนใจสำหรับเราแล้ว

@ เปลี่ยน “จุดด้วย” ให้เป็นจุดเด่น

จุดด้อยหรือจุดเด่น อยู่ที่เราคิดว่าจะใช้ประโยชน์กับคุณสมบัตินั้นๆ ได้หรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วจุดด้อยเป็ฯสิ่งที่ผู้อื่น พูดถึงเราว่าเป็นคุณสมบัติที่ไม่ดีและเราก็เห็นด้วย แต่ถ้าเราพยายามแก้ไขข้อด้อยนั้นๆ เพื่อหวังว่า ผู้อื่นจะได้รับการยอมรับเรานั้น เราจะไม่สามารถพัฒนาข้อด้อยนั้นได้นาน เพราะตัวเราเองไม่ถนัดและไม่ชอบ แต่ถ้าเราลองมองคุณสมบัติที่เราเป็นอยู่นั้น เกิดประโยชน์ในด้านใด เราก็นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น คุณสมบัตินั้นก็จะถูกใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อเรา และเราก็ได้พัฒนาตัวเอง ทำให้เราสามารถเปลี่ยนข้อด้อยของเราเป็นข้อเด่นไปได้

@ มุ่งมั่น ไม่ท้อถอย

คนสำเร็จต่างกับคนทั่วๆไป ตรงที่ว่าเขาไม่เลิกก่อนเวลา ถึงแม้ว่าอาจดูว่าเป็นเรื่องยากก็ตาม คนส่วนใหญ่เกือบทำสำเร็จเพียงแค่อดทน หรือมุ่งมั่นไม่พอเท่านั้นเอง เป้าหมายต่างๆ นั้นไม่ยากเกินไปหากเรามุ่งมั่น และไม่ท้อถอย แม้ว่าความคิด ความรู้สึกจะบอกไปในทางว่าอาจเป็นไปไม่ได้ก็ตาม เนื่องจากความคิดเชิงลบย่อมเกิดขึ้นเมื่อเจออุปสรรค แต่ถ้าเราปฏิบัติต่อไป เราก็จะสำเร็จได้อย่างแน่นอน

การปรับเปลี่ยนแนวความคิดของตัวเองเสียใหม่ โดยการปรับใช้กับสถานการณ์ต่างๆ เมื่อฝึกฝนมากขึ้น อุปนิสัยใหม่ๆ ที่เป็นข้อดีและเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองก็จะเกิดขึ้น โดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ผู้อื่นจะมองเห็นได้เอง และจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น บุคคลทั่วไปก็จะยอมรับเรามองขึ้นครับ"

ที่มา entraining.net

คุณ คิดมาก เกินไปหรือเปล่า?

@ แบ่งปันมาจาก Lisa : คุณ คิดมาก เกินไปหรือเปล่า?

" คิดเสียบ้างก็ดีนะ...แต่คุณ คิดมาก เกินไปหรือเปล่า? (Lisa)" โดยเฉพาะถ้าคิดแต่เรื่องแง่ลบ ก็อาจทำให้ชีวิตของคุณจมดิ่งสู่ความมืดและไร้ความสุขได้

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาจากความคิดในเชิงลบมากกว่าผู้ชาย ซึ่งอาจเป็นธรรมชาติของผู้หญิงที่มีหน้าที่ดูแลคนอื่น ผู้หญิงจึงมีแนวโน้มที่จะวิตกกังวลและหงุดหงิดมากเกินไป ทั้งในเรื่องคนอื่นและเรื่องของตัวเอง และเมื่อความวิตกกังวลและความคิดในเชิงลบทั้งหลายเกิดขึ้นมากเกินไป ก็อาจทำให้คุณจมอยู่ในวังวนของความกลัวและไม่สามารถก้าวไปข้างหน้า เพื่อมีชีวิตของตัวเองต่อไปได้ มาจัดการมันซะก่อนจะสายเกินไป

สารพันความคิดเจ้าปัญหา

1. สร้างเรื่องให้ใหญ่เกินจริง

มักเกิดขึ้นเมื่อคุณรู้สึกว่าถูกให้ลำบากโดยคนอื่น โดยคุณจะไม่นึกถึงสถานการณ์ของอีกฝ่ายหนึ่งเลยแม้แต่นิดเดียว เช่น คุณอาจรู้สึกว่าเจ้านายคิดผิดที่ไม่เลื่อนตำแหน่งให้คุณแล้ว ก็เลยคิดว่า "นี่เขาคงคิดอย่างนี้กับฉัน ตั้งแต่วันแรกที่ฉันเริ่มมาทำงานที่นี่แน่" อันตรายของความคิดแบบนี้ก็คือ คุณอาจมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่เกินเลย และทำอะไรลงไปโดยขาดความยั้งคิด อย่างเช่น การลาออกอย่างปัจจุบันทันด่วน

2.ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

มักเริ่มต้นขึ้น เมื่อเรารู้สึกถึงความหงุดหงิดไม่สบายใจในเรื่องทั่ว ๆ ไป หรือกับสถานการณ์บางอย่าง และเมื่อเราเริ่มวิเคราะห์มัน ความคิดของเราก็อาจออกนอกลู่นอกทางจนควบคุมไม่ได้ เช่น "ทำไมฉันถึงได้ไม่สบายใจแบบนี้ คงเพราะฉันไม่มีใครเลย หรือไม่ก็คงเป็น เพราะเรื่องที่ฉันเคยทำมาในอดีต" และก่อนที่คุณจะรู้ตัว เนินเขาเล็ก ๆ ก็จะสะสมตัวกันจนกลายเป็นภูผาสูงชัน และคุณก็อาจรู้สึกซึมเศร้ายิ่งกว่าเดิม จนอาจตัดสินใจอะไรผิด ๆ ก็เป็นได้

3.สับสนอลหม่าน

เมื่อความคิดของคุณฟุ้งซ่าน ความหายนะก็กำลังจะมาเยือน เช่น "ฉันทนกับความเครียดในการทำงานไม่ไหวแล้ว ฉันจะต้องถูกไล่ออกแน่ ๆ เพื่อนสนิทฉันก็ไม่เคยว่างเลย เธอสนใจเพื่อนที่เล่นเทนนิสด้วยกันมากกว่า ฉันจะต้องตายคนเดียวเดี๋ยวโดด ฉันมันตัวปัญหา ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว" เมื่อความคิดของคุณวิ่งวนไปมาเป็นวงกลม คุณก็ไม่มีวันคิดอะไรออก และบ่อยครั้งที่ความคิดเช่นนี้มักชักพาเราไปหายาเสพติดและเหล้า

4.คิดทั้งคืน

บ่อยครั้งที่คนเราชอบครุ่นคิดถึงปัญหาต่าง ๆ ในยามค่ำคืน แต่ส่วนใหญ่ความคิดเหล่านี้มักจะเต็มไปด้วยความกลัวและความวิตกจริต จนคุณไม่อาจมองเห็นปัญหาที่แท้จริง และถ้าคุณนอนไม่หลับทั้งคืน วันรุ่งขึ้นคุณก็จะไม่มีแรงพอที่จะรับมือกับปัญหาได้อยู่ดี ฉะนั้น ถ้าคุณคิดซ้ำซากมากกว่า 15-20 นาที ลุกออกจากห้องนอนไปซะ หาอะไรทำสักพัก ก่อนจะเข้านอนใหม่อีกครั้ง

ความคิดแสนฟุ้งซ่าน จัดการกับมัน...เดี๋ยวนี้

1 ให้มันได้พักบ้าง

ครั้งต่อไปที่คุณเริ่มคิดวกวนและรู้สึกไม่สบายใจ ลุกขึ้นและทำอะไรสักอย่างที่คุณชอบ เช่น ทำอาหาร อ่านหนังสือ ไปหาเพื่อน หรือทำอะไรก็ได้ที่คุณชอบ ในการศึกษาวิจัยของนักจิตวิทยาระบุว่า แค่การเบี่ยงเบนเพียง 8 นาทีก็มากพอแล้ว ที่จะหยุดวงจรความคิดซ้ำซากได้ และเมื่อรูปแบบของความคิดแบบนี้ยุติลง พร้อมกับการได้ทำกิจกรรมที่พึงพอใจ จะทำให้เราปลอดโปร่งพอที่จะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง

2 ไล่มันไป

วิธีง่าย ๆ แต่ได้ผลในการหยุดความคิดในเชิงลบที่หลั่งไหลเข้ามา ก็คือตะโกนคำว่า "หยุด" ในหัว

3 ให้โอกาสมัน

ถ้าคุณไม่อาจเพิกเฉยต่อความคิดบางเรื่อง และจำเป็นต้องครุ่นคิดถึงมันจริง ๆ ก็หาเวลาคิดซะ กำหนดเวลาว่าจะคิดถึงเรื่องนี้ในตอนเย็น หรือหลังกินอาหารเช้า มันจะทำให้คุณมีช่องว่างที่จะจัดการกับปัญหาโดยไม่ต้องรีบร้อน คุณจะผ่อนคลายมากขึ้น และอาจแก้ปัญหาได้ดีขึ้น

4 คุยให้กระจ่าง

ถกเถียงในเรื่องความคิดที่เป็นพิษกับเพื่อน ๆ เพื่อการตรวจสอบความจริง แต่ระวังเพื่อนที่เจตนาดีซึ่งเอาแต่เห็นด้วยกับคุณ เพราะอาจทำให้คุณเชื่อมากขึ้นไปอีกว่า คุณถูกแล้วที่คิดในแง่ลบแบบนั้น

5 เขียนมันออกมา

การเขียนความคิดด้านมืดของคุณลงบนกระดาษอาจช่วยให้คุณเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น และแยกแยะปัญหาได้ดีขึ้น แต่อย่าอ่านมันโดยไม่พยายามแก้ไข คุณต้องมองมันเป็นแบบฝึกหัดในการแก้ปัญหา ไม่ใช่การยืนยันความเชื่อของตัวเอง จากนั้นลงมือแก้ไขที่ต้นเหตุ

6 คิดบวก

เคยได้ยินไหมว่า การคิดบวก ทำให้ผู้หญิงสวยขึ้น นั่นแหละค่ะ หากเกิดปัญหาอะไรหนัก ๆ หรือทำให้เราฟุ้งซ่านไม่เลิก ลองมองกลับกันให้เป็นแง่บวกไปเลย พยายามมองโลกในแง่ดี คิดเสียว่า ปัญหาเหล่านั้นทำให้เรารู้ข้อบกพร่องของตัวเอง หรือเป็นบทเรียนให้เราจดจำไว้ คราวหน้าจะได้ไม่พลาด หรือจะได้ไม่ทำอีก หรือมองว่า ใคร ๆ ก็เคยเจอปัญหาแบบนี้ บางคนเจอปัญหาหนัก ๆ มามากกว่าเราอีก ชีวิตลำบากกว่าเราอีกมาก แต่เขาก็สู้อยู่มาได้ เราจะได้มีกำลังใจ แล้วมองโลกในแง่ดีมากขึ้น

7 ใช้ธรรมะเข้าช่วย

ยึดหลักการให้อภัย ปล่อยวาง อโหสิกรรมให้กับเรื่อง หรือสิ่งใดก็ตามที่เข้ามารบกวนจิตใจของเรา ด้วยการใช้ "สติ" พยายามทำจิตใจให้สงบ ไม่โกรธ ไม่โมโห เพราะยิ่งจะเติมเชื้อไฟให้กับตัวเองเสียเปล่า ๆ

นอกจากนี้ลองใช้วิธีการสวดมนต์ นั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าออกให้จดจ่ออยู่กับตัวเองสักครู่ หรือหากใครมีเวลาก็ลองไปนั่งปฏิบัติธรรมดู รับรองว่าได้ผลดีอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

" ลองใช้วิธีเหล่าเพื่อหยุดความฟุ้งซ่านในจิตใจ คุณจะได้ไม่ต้องปวดหัวกับการคิดมากอีกครับ แต่อย่ากดดันตัวเองจนมากเกินไป เพราะบางเรื่องก็ต้องใช้ "เวลา" มาช่วยจัดการทุกอย่างให้ดีขึ้นครับ"

เราจะรักอย่างไร



มีคุณโยมท่านหนึ่งมากราบอาตมาที่วัด
และได้ร่วมสนทนาธรรมกันถึงปัญหาความรักว่า เราจะรักอย่างไร
เพื่อให้รู้จักรักให้เป็น และจะรักอย่างไร เพื่อให้ทั้งใจเรา
และใจเขามีความสุขไปพร้อมๆ กัน
ไม่ว่าความรักนั้นจะสมหวังหรือไม่ก็ตาม

คุณโยมท่านนั้นเปรียบเทียบให้อาตมา ฟังว่า
รักได้ ก็เหมือนการขับรถได้
แค่เสียบกุญแจ เข้าเกียร์ เหยียบคันเร่ง
ไม่ต้องสนกฎจราจร อาจเกิดอุบัติเหตุ
ตั้งแต่ บาดเจ็บไปจนถึง เสียชีวิต

แต่ รักเป็น ก็เหมือนเรารู้กฎจราจร
ว่ามีบังคับอย่างไรบ้าง จะแซงขวาต้องเปิดไฟเลี้ยวขอทาง
จะลงสะพานต้องชะลอความเร็ว เพื่อให้ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ

เช่นเดียวกับความรัก ถ้าเรารู้ว่าความรัก คืออะไร
รักอย่างไรให้มีความสุข รักอย่างไรไม่ให้เป็นพิษ ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

รักให้เป็น คือ เราต้องพิจารณาว่า
รักแบบไหน รักทำไม แล้วเราจะรักไปในทิศทางไหน

สมัยนี้ที่มีปัญหาเพราะรักได้ แต่ไม่มีสมอง ไม่ใช้ปัญญา ใช้แต่ความหลง
หลงว่ารัก หลงว่าดี จนรักทำให้ ตาบอด หลับไปกับความฝันลมๆ แล้งๆ
แต่กว่าจะมีใครเอาไม้มาเขี่ยปลุก ก็ตื่นสาย น้ำลายยือเปียกไปครึ่งหมอน

เรามักพูดว่า ความรักไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผล
ใช้เพียงอารมณ์ ความรู้สึก และสัญชาตญาณ เท่านั้น
แต่เพราะอารมณ์ไม่ใช่หรือ ที่ทำให้เราเลือกผิด
ที่ทำให้ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่า ที่ทำให้คิด ฆ่าตัวตาย

แต่หากเราใช้ปัญญาประกอบ คือ สามารถพิจารณา ได้ว่า อะไรดี อะไรควร
เพื่อไม่ให้หลงไปกับรักลวงอย่างเต็มตัวจนกู่ไม่กลับ

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่ารักจะเป็นอย่างไร หรือ รักเป็น เป็นอย่างไร
ทุกความรักจะต้องมี เมตตา มีความปรารถนาดีที่จะมอบสิ่งดี
ความรู้สึกดี ความหวังดี ให้แก่ผู้ที่เรารัก

ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร หรือมีความรัก ในฐานะใดก็ตาม
หากสมหวัง ความเมตตาในความรักนั้น จะทำให้เรารักษาและดำเนิน รักที่เป็นสุข
แต่หากผิดหวัง ความเมตตาที่ได้รัก ก็จะทำให้เรายินดีกับรักอย่างเป็นสุขเช่นกัน

จากหนังสือธรรมะ Delivery โดย พระมหาสมปอง ตาลปุตโต

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 163 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - รักในหลวงดั่งดวงใจ



http://youtu.be/fVibc2DB3D8
รายการรักพ่อ 163 รักในหลวงดั่งดวงใจ -  17เมย2556



พบกับ สารคดีเฉลิมพระเกียรติฯ ในหลวง
"ตามรอย...สายน้ำพระราชหฤทัย" ตอน น้ำพระราชหฤทัยแผ่ไพศาล ตอนที่ ๓ ,  สารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน "พาข้าวกลับบ้าน"

ฟังเพลง มหาราชจอมสยาม , อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี, สปอตข้าวผิดอิ่มใจ, เมื่อคนไทยรักคนไทยด้วยกัน, สปอตสันติสุขใต้พระบารมี, สปอต รณรงค์เมาไม่ขับ, ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว, ในหลวง In your heart,
เพลงแบบนอนสต๊อปจากศิลปิน 1.ภูมิปัญญา- ยงยุทธ ด้ามขวาน 2.กรรณิกา  3.แก้วตาดวงใจ 4.จักรยาน 5.อีไซกูนิ

มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

"ปาฏิหาริย์แห่งการให้" - โดย..ท่าน ว. วชิรเมธี



๑ ให้ "เวลา" แก่คนที่คุณรัก
๒ ให้ "ความรัก" แก่คนในครอบครัว
๓ ให้ "ความกตัญญู" แก่บุพการี
๔ ให้ "ความรับผิดชอบ" แก่การทำงาน
๕ ให้ "อภัย" แก่คนที่หลงผิด
๖ ให้ "ความรู้" แก่ผู้ที่ยังเขลา
๗ ให้ "ทาน" แก่คนที่ยังขัดสน
๘ ให้ "อนาคตที่ดี" แก่คนรุ่นหลัง
๙ ให้ "มิตรภาพ" แก่คนทั้งโลก
๑๐ ให้ "ความทุ่มเท" แก่งานที่ทำ
๑๑ ให้ "ความจริงใจ" แก่สัมพันธภาพ
๑๒ ให้ "ความซื่อสัตย์" แก่การทำงาน
๑๓ ให้ "ความเสียสละ" แก่ประเทศชาติ
๑๔ ให้ "ความยินดี" แก่ผู้ประสบความสำเร็จ
๑๕ ให้ "ความปล่อยวาง" แก่สิ่งสุดวิสัย
๑๖ ให้ "ความเป็นธรรม" แก่ผู้ถูกรังแก
๑๗ ให้ "มรรคา" แก่ผู้ที่ยังหลงทาง
๑๘ ให้ "ที่พึ่งทางใจ" แก่ผู้สับสน
๑๙ ให้ "อิสรภาพ" แก่ผู้ถูกกิเลสครอบงำ
๒๐ ให้ "โอกาส"แก่ตนเองได้ลิ้มรสพระธรรม

วิบูลย์ เข็มเฉลิม ชีวิตที่กลับสู่ความพอเพียง (ตอนที่ 2): 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 26

 วิบูลย์ เข็มเฉลิม ชีวิตที่กลับสู่ความพอเพียง (ตอนที่ 2): 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 26
ตอนที่ 26 : วิบูลย์ เข็มเฉลิม ชีวิตที่กลับสู่ความพอเพียง (ตอนที่ 2)
จากชีวิตที่ไหลตามกระแสบริโภคนิยม หยั่งรากลึกลงบนวิถีเกษตรพึ่งตนเอง ปัญญาที่ตกผลึกด้วยประสบการณ์และการหาคำตอ­บจากธรรมชาติ ความมหัศจรรย์ของวิถีชีวิตหนึ่งเกษตรกร ผู้พลิกตัวเองจากผู้วิ่งไล่ตาม กลายเป็นผู้ชี้นำเส้นทางใหม่ ทางแห่งการพึ่งตนเอง พอเพียงและเต็มอิ่มกับสิ่งที่ตัวเองเรียนร­ู้โดยยึดถือป่าไม้เป็นครู ป่าที่ให้ทั้งข้าว ให้ทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย และชีวิต
http://www.youtube.com/watch?v=ifRCTOBxnLY

วิบูลย์ เข็มเฉลิม ชีวิตที่กลับสู่ความพอเพียง (ตอนที่ 1): 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 25


ตอนที่ 25 : วิบูลย์ เข็มเฉลิม ชีวิตที่กลับสู่ความพอเพียง (ตอนที่ 1)
ผู้ใหญ่วิบูลย์ ขายที่ดินที่มีมากถึงเกือบ 200 ไร่ เพื่อใช้หนี้สิน และเริ่มต้นชีวิตใหม่กับที่ดินเพียง 10 ไร่ จากวันที่ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม
เปลี่ยนมุมมองการเกษตร และรูปแบบการใช้ชีวิต วันนี้พ่อผู้ใหญ่กลายเป็นเกษตรกรผู้นำความ­คิด ปราชญ์ชาวบ้าน เกษตรพอเพียง หลากคำเรียกที่มีความหมายเดียวคือ ผู้รู้ และเป็นผู้นำทางด้านวนเกษตร
http://www.youtube.com/watch?v=OgGIPWQ76uA

เกาะลัด...เกาะมหัศจรรย์: 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 24

 เกาะลัด...เกาะมหัศจรรย์: 108 วันมหัศจรรย์พอเพียง ตอนที่ 24
ตอนที่ 24 : เกาะลัด...เกาะมหัศจรรย์
เกาะลัดกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจั­งหวัดฉะเชิงเทรา เส้นทางการท่องเที่ยววิถีชุมชนของบางคล้า เริ่มขึ้นจากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าตื่น­ตา ค้างคาวแม่ไก่จำนวนนับหมื่นพากันห้อยหัวพั­กหลับนอน หน้าวัดโพธิ์บางคล้า ตลาดน้ำบางคล้าที่ผู้คนพากันเลือกซื้อหาอา­หารพื้นเมือง และการนั่งเรือชมรอบเกาะลัดที่หลายคนอยากส­ัมผัส ชาวบ้านเกาะลัดวันนี้ เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมช­าติ และวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนเกาะลัด และสิ่งมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังป่าจา­กชายเลน คือ ทุ่งนาผืนใหญ่ และวิถีชีวิตทีพอเพียง คนเกาะลัด แทบไม่ต้องพึ่งพาภายนอกเลย พวกเขาปลูกข้าว ผัก ผลไม้ และใช้ชีวิตที่มีความสุขตามวิถีดั้งเดิม ณ ผืนดินกว่า 2,000 ไร่ บนเกาะแห่งนี้
http://www.youtube.com/watch?v=fy8whO97c50

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ความรู้สึกไม่ดีต่อคนอื่นบ่อยๆ เป็นสิ่งทำลายสุขภาพจิตตนเอง....

@ ความรู้สึกไม่ดีต่อคนอื่นบ่อยๆ เป็นสิ่งทำลายสุขภาพจิตตนเอง....

ความ รู้สึกอึดอัดคับข้องใจ จนนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง ตั้งแง่รังเกียจเดียดฉันท์ของผู้คนในสังคม โดยมากมักจะมาจากอารมณ์ความรู้สึก 7 ประการที่มีต่อผู้อื่น ดังนี้ คือ

1 อยากได้หรือต้องการอะไรจากผู้อื่น
เช่น ต้องการสิ่งของ เงินทอง ความรัก ความเอาใจใส่ ความช่วยเหลือ คำชื่นชม เป็นต้น เมื่อมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้ได้มาแล้ว เวลาไม่ได้อย่างใจก็ผิดหวัง

2 รู้สึกโกรธ
เป็นลักษณะของความขัดเคืองใจ จนถึงคับแค้นใจ เมื่อผู้อื่นทำอะไรให้ไม่ถูกใจ ไม่ตรงกับความต้องการของตนเอง

3 อยากให้เขารู้สึกเจ็บใจหรือได้รับความเสียหาย
ต้องการ ทำให้เกิดความเสียหาย ไม่ว่าทั้งกับตัวคนที่รู้สึกไม่ชอบ ทรัพย์สินเงินทองที่เขามี บุคคลที่ใกล้ชิด ทั้งครอบครัว เพื่อนฝูง หรือบุคคลที่ให้การสนับสนุนเขา

4 ลบหลู่ดูหมิ่น
รู้สึกว่าผู้อื่นนั้นด้อยค่า คิดหักล้างคุณความดีที่เขาเคยทำมา มองเฉพาะด้านที่ไม่ดีของผู้อื่นอย่างชัดเจน

5 ยกตนข่มท่าน ตีตนเสมอ
คิด ยกย่องตัวเอง ยกตนขึ้นเทียบกับผู้อื่น เพื่ออยากให้ใครๆ รู้สึกว่าตนมีดีกว่า เหนือกว่าในด้านต่างๆ เช่น ความรู้ ชาติตระกูล ฐานะ คุณธรรม ผลงาน ความสามารถ เป็นต้น

6 อิจฉาริษยา
เกิดความอิจฉาริษยา ขัดเคืองใจ เมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี ได้รับความรัก ความเอาใจใส่ ได้ทรัพย์สินเงินทอง มีคนชื่นชม เป็นต้น

7 ทำดีเพื่อเปรียบเทียบกับผู้อื่น
ต้องการ ที่จะทำดีหรือสร้างผลงานเพื่อมุ่งให้คนอื่นรู้สึกว่าตนมีดีหรือมีความสำคัญ กว่าคนอื่น แทนที่จะทำเพื่อเป็นความช่วยเหลือด้วยจิตที่มีเมตตากรุณาอย่างแท้จริง

การ แสดงออกทางอารมณ์เหล่านี้ปรากฏให้เห็นชัดในหนังละคร เพราะ เป็นวิธีการที่สร้างความรู้สึกให้ผู้ชมต้องการติดตาม จนในที่สุดรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเหตุการณ์ต่างๆ คลี่คลายลง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายกว่าในหนังละครมาก หากมาเกิดขึ้นกับชีวิตจริง

@ วิธีการแก้ไขมิให้อารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้เข้ามาทำร้ายจิตใจของเรา คือ

1 การ มีสติรู้เท่าทัน คิดถึงโทษภัยที่มาจากสาเหตุเหล่านี้ เช่น ทำให้มิตรสหายแตกแยก ก่อศัตรู อยู่ไม่เป็นสุข ก่อให้เกิดปัญหารุมเร้าเข้ามาอย่างมากมาย

2 หมั่นตั้งจิตปรารถนาให้ ผู้อื่นมีความสุข คิดช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ รู้สึกยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี วางใจเฉยๆ เป็นกลางๆ เมื่อผู้อื่นทำความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง เหมือนกับพ่อแม่ที่รักลูกของตนอย่างแท้จริง

3 คิดถึงความเสื่อมไปของ สภาพร่างกายของเราว่าเป็นของแน่นอน วันหนึ่งเราจะต้องแก่ตัวลง เรี่ยวแรงอ่อนแอลง หรือจะต้องมีทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ไม่ควรซ้ำเติมจิตใจเราให้บอบช้ำ ก่อปัญหาต่างๆ ในชีวิตให้เพิ่มขึ้นอีก เป็นต้น

4 คบหาสมาคมกับคนที่มีจิตใจดี มีใจสงบ ไม่ชอบต่อล้อต่อเถียง ไม่ทำให้เรื่องเล็กให้ขยายกลายเป็นเรื่องใหญ่

5 สุขภาพ ร่างกาย มีผลต่อสภาวะจิตใจ ควรรักษาสุขภาพ รับประทานผักปลอดสารพิษ แบ่งเวลาอย่างเหมาะสม ไม่ทำงานหักโหมจนเกินไป พักผ่อนให้เพียงพอ เป็นต้น

เท่านี้ก็จะช่วยให้เราเป็นคนที่มีอารมณ์ดี จิตใจสดชื่นแจ่มใส มีมิตรภาพที่ดีอยู่ใกล้ตัว รู้สึกว่าโลกนี้เป็นสถานที่น่าอยู่เพื่อการทำความดี



ที่มา www.lifeanlist.net