++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ข้อความถึงพ่อที่ติดเหล้า



ปุจฉา - พระอาจารย์คะ ช่วยหาทางออกปัญหาในครอบครัวด้วยเถอะค่ะ มันเหมือนเป็นปัญหาเล็กๆ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด พ่อชอบดื่มสุรา สังสรรค์ แต่เขาไม่ค่อยรู้ตัวเองว่าดื่มแล้วพูดจาไม่ดี ก้าวร้าวง่าย แล้วดื่มไม่เลิกสักที ต้องให้ที่บ้านโทรไปเร่งมาก หรือเขาเมาหลับไปเองจนบางทีก็เป็นภาระของลูกน้องต้องมาส่งที่บ้าน รู้สึกเกรงใจเขามาก

บอกพ่อก็ไม่เคยปรับปรุง ตอนนี้ย้ายไปอยู่จังหวัดอื่นแม่ก็ต้องตามไปดูแล พวกท่านมีปากเสียงกันบ่อยๆ เพราะแม่จะเป็นห่วงมาก็จะโทรตามมากและ พูดมาก บ่นมาก ตอนที่พ่อเมากลับมา ทำให้เกือบมีลงไม้ลงมือกันรุนแรงหลายครั้ง หนูหมดหนทางพูดได้แค่ให้แม่อดทนและอย่าพูดมาก แล้วบอกพ่อดีก็แล้วร้ายก็แล้ว อยากให้พระอาจารย์ช่วยเขียนข้อความถึงพ่อหนูด้วยเถอะค่ะ แล้วหนูจะส่งข้อความนี้ไปให้เขาอ่าน เผื่อจะช่วยชี้ทางสว่างให้กับเขา แล้วครอบครัวของหนูจะได้อยู่ด้วยกันได้ต่อไปในอนาคต ขอบพระคุณค่ะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - อาตมาเขียนข้อความที่คุณต้องการมาให้แล้ว

พ่อคือบุคคลสำคัญของลูก พระพุทธเจ้าถึงกับยกย่องว่าพ่อแม่เป็นอรหันต์ของลูก คือนอกจากเป็นที่เคารพของลูกแล้ว ยังเป็นผู้ที่ชักนำลูกให้มีจิตใจใฝ่ธรรมและมีชีวิตที่เจริญงอกงาม พ่อสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกทำคุณงามความดีหลีกหนีความชั่ว อันที่จริงแม้พ่อไม่ต้องสั่งสอนอะไรเลย เพียงแค่เป็นคนดี มีคุณธรรม ก็สามารถเป็นแบบอย่างให้แก่ลูก อีกทั้งทำให้ครอบครัวมีความสุขไม่ยาก

พ่อทุกคนย่อมรักลูกและรักครอบครัว แต่บางครั้งความรักและคุณธรรมของพ่อก็ตีบตัน ไม่สามารถออกมาจากใจได้ ก็เพราะความหลงความมึนเมา โดยเฉพาะจากสุรา สุราทำให้ผู้คนลืมตัว ทำให้พ่อไม่สามารถทำตนให้เป็นแบบอย่างแก่ลูก ๆ ได้ อีกทั้งยังกลายสร้างความทุกข์มหาศาลให้แก่ครอบครัว แทนที่จะกลายเป็นผู้นำ ก็กลายเป็นภาระของครอบครัว อาตมาเชื่อว่าพ่อทุกคนรู้ว่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีพ่อคนไหนอยากสร้างปัญหาแก่ครอบครัว ทุกคนอยากเป็นพ่อที่ดี เป็นที่รักของลูกและภรรยา แต่ที่ทำเช่นนั้นไม่ได้ก็เพราะยังติดเหล้าอยู่

หลายคนอยากเลิกเหล้า แต่ก็คิดว่าเลิกไม่ได้แล้ว ที่จริงเรื่องนี้อยู่ที่กำลังใจ หากเห็นชัดว่าเหล้านั้นทำลายครอบครัว ทำลายความเป็นพ่อ รวมทั้งทำลายสุขภาพและบั่นทอนชีวิตของตนเอง ก็จะเกิดความพากเพียรที่จะเลิกเหล้าให้ได้ หรืออย่างน้อยก็กินให้น้อยลง ยิ่งนึกถึงความรักและความเคารพที่ลูกมีให้แก่พ่อ ก็จะยิ่งเกิดกำลังใจที่จะเอาชนะเหล้าให้ได้ ขอให้นึกถึงคุณธรรมของพ่อ นึกถึงเกียรติของพ่อที่พระพุทธเจ้าทรงยกให้เป็นอรหันต์ของลูก นึกถึงความผาสุกของครอบครัว สิ่งเหล่านี้จะเสริมสร้างความมุ่งมั่นให้แก่พ่อจนเป็นอิสระจากเหล้าได้ในที่สุด เพื่อกลับมาเป็นพ่อที่เคารพนับถือของลูก และสามีที่รักของภรรยา

โกรธ เกลียดพ่อ ที่เมาเหล้า พาลอาละวาด



ปุจฉา - กราบเรียนพระอาจารย์ค่ะ ตั้งแต่หนูจำความได้ตอนนี้ก็อายุ 21 แล้ว ครอบครัวหนูทะเลาะกันทุกๆ วัน และพ่อของหนูก็คือต้นเหตุของทุกๆ วัน เขากินเหล้ามาแล้วก็ชอบมาพาลคนในบ้าน ด่า แม่ ด่าหนู ทุบข้าวของในบ้าน ด่าเสียๆหายๆ คิดแต่สิ่งไม่ดี หาว่าแม่ไปมีอะไรกับลูกตัวเองบ้าง ญาติบ้าง ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง

ทวงบุญคุณว่าไม่น่าให้เรียน ว่าหนูไม่น่าเกิดมาเป็นลูกเขา หนูก็น้อยใจนะหนูไม่เคยทำอะไรเขา เรียนก็ไม่เคยติดอะไรเลย เรื่องไม่ดีก็ไม่เคยทำ กลับจากวิทยาลัย ก็มาทำงานบ้านทุกอย่าง เสาร์ -อาทิตย์ ก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหน ไม่เคยทำอะไรให้เขาต้องเสียใจหรือทำสิ่งไม่ดีเลย แต่เขาทำให้หนูเสียใจร้องไห้เกือบทุกวัน เสียความรู้สึกดีๆที่เขาเป็นพ่อ

ความที่เจอแต่เรื่องแบบนี้ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ความรู้สึกมันฝั่งใจมันทำให้หนูเปลี่ยนไป มันทำให้หนูไม่อยากเจอเขาไม่อยากคุยกับเขา จนไม่อยากเป็นลูกของเขามาคิดน้อยใจว่าน่าจะเลือกเกิดได้ ไอ้ความที่หนูทนไม่ได้บ้างหนูก็จะพูดไปทำนองว่า หนูไม่อยากเกิดมาเป็นลูกของเขา แล้วบางทีก็ว่าเขาว่าบ้าง คือมันสุดๆ แล้ว อยากถามว่า พูดแบบนั้นมันบาปไหมค่ะแล้วจะทำอย่างไรให้เขาเลิกพาลคนในครอบครัวได้บ้างค่ะ ขอบคุณค่ะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - การต่อว่าด่าทอ หรือการพูดเพื่อทำร้ายจิตใจใครนั้น ไม่ว่ากับใครก็ไม่ดีทั้งนั้น ยิ่งกับบุพการีหรือผู้มีพระคุณด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่ถูกต้อง แม้กรณีของคุณจะเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจก็ตาม คุณควรพยายามควบคุมอารมณ์ของตน อย่าลุแก่โทสะ หาไม่จะลืมตัว เผลอทำสิ่งที่ต้องเสียใจในภายหลัง

สาเหตุที่พ่อคุณมีพฤติกรรมอย่างนี้ก็เพราะเหล้า หากจะให้เขาเลิกระรานก่อกวนคนในครอบครัว ก็ควรช่วยให้ท่านเลิกเหล้า หรือกินเหล้าให้น้อยลง แต่จะทำเช่นนั้นได้ ลูก ๆ ก็ต้องมีสัมพันธภาพที่ดีกับท่าน หาไม่แล้วลูก ๆ พูดอะไรไปท่านก็ไม่ฟัง กลับรู้สึกต่อต้านด้วยซ้ำ

จะว่าไปการที่ท่านมีพฤติกรรมระรานคุณและแม่ก็คงเพราะเห็นว่าอยู่คนละฝ่ายกับท่าน อย่างน้อยก็ควรทำให้ท่านรู้ว่าคุณและคนอื่น ๆ ในบ้าน เป็นห่วงท่าน และยังเคารพนับถือท่าน ถ้าท่านรู้ว่าทุกคนในบ้านรักและเคารพท่าน ก็จะมีความเกรงใจมากขึ้น นอกจากจะรับฟังมากขึ้นแล้ว ยังอยากปรับปรุงตนเองให้ควรค่าแก่ความรักและความเคารพของลูก ๆ และภรรยาด้วย

ความยึดติด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง

ความยึดติด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง คือสาเหตุหลักที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ใจ ยึดติดเรื่องอะไรบ้าง ก็ยึดติดเรื่องราวในอดีต เช่น ความสูญเสียในอดีต โดยเฉพาะสูญเสียของรัก สูญเสียคนรัก รวมไปถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่ถูกกระทำโดยใครบางคน ที่จริงมันผ่านไปนานแล้ว แต่พอยึดเอาไว้ที่ใจ ไม่ยอมปล่อยวาง ก็เลยทุกข์ เจ็บปวด โกรธแค้น เสียดาย อาลัย

ถ้าไม่ทุกข์เพราะยึดในอดีต ก็กังวลกับอนาคต เหตุร้ายยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็กังวลหรือตีตนไปก่อนไข้เสียแล้ว บางทีก็นึกถึงอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้า บางคนเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย แต่ก็นึกปรุงแต่งไปไกลว่าฉันจะตายแล้วหรือนี่ ความกังวลกับอนาคตก็เป็นความยึดติดอีกแบบที่ทำให้เราทุกข์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่นึกถึงอนาคต ความกังวลก็ไม่เกิด ความกลัวก็เช่นกัน ส่วนใหญ่เรากลัวสิ่งที่ยังไม่เกิด ตอนนี้ยังสบายดีอยู่ แต่นึกถึงเหตุร้ายล่วงหน้า อันนี้เรียกว่าคิดข้ามช็อต ก็เลยทำให้เป็นทุกข์

พระไพศาล วิสาโล

ทุกวันนี้คนเราทุกข์เพราะไม่รู้จักวางใจให้ถูกต้อง

ถ้าเราไม่เห็นความจริงของกายและใจ หรือเห็นความจริงของสิ่งต่างๆ ที่เรียกว่าสังขาร ทั้งรูปธรรม และนามธรรมในลักษณะนี้ เราก็จะเป็นทุกข์เมื่อต้องเจอความจริงที่แปรเปลี่ยนเป็นนิจ

ไม่ต่างจากการเอาตัวไปขวางกระแสน้ำที่เชี่ยว ถ้าเราเอาตัวไปขวางมันเราก็จะถูกน้ำพัดไป

คนเราทุกข์เพราะความยึดมั่นในตัวตนก็เพราะเหตุนี้ เรามักจะสร้างตัวตนขึ้นมาด้วยความไม่รู้ ด้วยความหลง เต็มไปด้วยความอยาก เต็มไปด้วยความยึด เมื่อสร้างแล้วก็อยากและยึดให้มันคงที่ เราจึงปฏิเสธความจริง ขัดขวางความจริง ทวนกระแสความจริงตลอดเวลา เพราะพอยึดอะไรว่าเป็นตัวตน ก็จะนึกว่ามันเที่ยง พอเกิดความแปรเปลี่ยน เราก็เลยเป็นทุกข์

ทุกวันนี้คนเราทุกข์เพราะไม่รู้จักวางใจให้ถูกต้อง เราเอาใจของเราขวางความจริง ขวางความจริงก็ไม่ต่างจากขวางกระแสน้ำ

พระไพศาล วิสาโล

มือระเบิดพลีชีพ ไปสู่สุคติได้หรือ



ปุจฉา - กระผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกรรมที่จะเรียนถามพระอาจารย์ครับ ที่ศาสนาพุทธสอนว่ากรรมขึ้นอยู่กับเจตนา และแม้จะทำชั่วมาทั้งชีวิตแต่ก่อนตายสามารถน้อมจิตในกุศลก็สามารถไปสุคติได้ เช่นนี้แล้วผู้ที่มีมิจฉาทิฏฐิอย่างรุนแรงเห็นผิดเป็นชอบ เช่น ผู้ที่ฆ่าคนในสงครามศาสนา มือระเบิดพลีชีพก็ถือว่าไปสุคติได้หรือไม่ครับ เพราะกระทำด้วยความภาคภูมิใจ มีปีติอิ่มเอิบใจในการกระทำของตน ขอบพระคุณครับ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - กรรมทุกอย่างล้วนส่งผล บางอย่างส่งผลเร็ว บางอย่างส่งผลช้า เช่น กรรมก่อนตาย หรือ อาสันนกรรม จะส่งผลทันที กล่าวคือ ก่อนตาย ถ้านึกถึงสิ่งดีงาม ใจเป็นกุศล ก็ไปสุคติทันที (หากไม่ได้ทำอนันตริยกรรมหรืออาจินนกรรมฝ่ายลบ) อย่างไรก็ตาม กรรมชั่วที่ทำไว้ย่อมตามไปส่งผลในที่สุด

ส่วนกรณีมือระเบิดพลีชีพนั้น ต้องดูว่าตอนจะตายนั้นใจเขาเป็นอย่างไร ถ้ามีโทสะโกรธเกลียด อาสันนกรรมก็เป็นอกุศล ย่อมไปสู่ทุคติ หรือแม้ว่าจิตใจะมีความปีติอิ่มเอิบ จนได้ไปสุคติ แต่ไม่ช้าก็เร็ว บาปที่ทำไว้ย่อมส่งผลให้ได้รับความเดีอดร้อน หรือหลุดจากสุคติไปทุคติในที่สุด

คนที่ฆ่าผู้คนในสงครามก็เช่นกัน อันที่จริงก่อนตาย หลายคนอาจรู้สึกผิดที่ได้ทำเช่นนั้น หรีอเกิดกรรมนิมิตฝ่ายอกุศล คือเห็นภาพคนที่ตนเคยฆ่ามาวนเวียนหลอกหลอน จิตเกิดหวาดกลัว ถ้าตายตอนนั้นก็ไปทุคติทันที

Smile Smile .. ยิ้มๆๆ สร้างโลกให้สวยนะคะ

Smile Smile .. ยิ้มๆๆ สร้างโลกให้สวยนะคะ คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองคะ มาดูวิธีสร้างรอยยิ้มให้เด็กๆยิ้มและหัวเราะได้บ่อย ๆ ด้วยการทำตามวิธีเหล่านี้ ดูนะคะ
1. พาลูกออกไปเล่นนอกบ้านบ้าง
ใช้เวลาพาลูกไปเล่นตามสนามเด็กเล่นหรือสระว่ายน้ำแถวบ้านบ้าง เขาจะได้เล่นของเล่นใหม่ ๆ ที่ไม่มีในบ้าน โดยที่มีคุณคอยดูแลความปลอดภัยอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา แถมยังช่วยให้ทั้งคุณและลูกมีสังคมมากขึ้น
2. ตั้งฉายาน่ารัก ๆ ให้กับลูก
เวลาที่เขาชอบตัวการ์ตูนตัวไหนเป็นพิเศษ แค่เรียกเขาด้วยชื่อของตัวการ์ตูนนั้นหรือสิ่งอื่น ๆ ที่เขาสนใจ เท่านี้ก็จะช่วยให้เขาอารมณ์ดียิ้มไปได้ทั้งวันแล้วล่ะ นอกจากนี้อาจลองนั่งดูการ์ตูนเรื่องที่เขาชอบเป็นเพื่อน เพื่อให้เขาไม่รู้สึกเหงาน้อยลงและสนุกมากขึ้นก็ได้เหมือนกัน
3. แสดงความรักกับเขาบ่อย ๆ
ไม่มีลูกคนไหนไม่ชอบอ้อมกอดของพ่อแม่ เพราะฉะนั้นควรให้ความรักความเอาใจใส่เขาด้วยการกอดหรือหอมเป็นประจำก่อนจะพาเขาเข้านอน และชมพร้อมกับหอมแก้มเบา ๆ เวลาที่เขาทำตัวดี
4. หาขนมติดไว้ให้เขาด้วย
เด็กวัยกำลังโตก็ชอบทานขนมหวาน ๆ ทุกคนนั่นแหละ ดังนั้นควรซื้อขนมอร่อย ๆ ที่ดีกับสุขภาพติดไว้ให้เขาทานเล่นเพลิน ๆ
5. อย่าทำให้เขารู้สึกน้อยใจเด็ดขาด
ลูกของคุณยังเด็ก จึงอาจฝังใจไปจนโตได้ ถ้าเขารู้สึกว่าตัวเองได้รับความรักไม่มากพอ ดังนั้นไม่ควรพูดเปรียบเทียบเขากับคนอื่นจนเขารูสึกน้อยใจ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มีลูกคนเดียว ควรดูแลเอาใจใส่ลูกให้เท่ากัน เพื่อไม่ให้เขารู้สึกอิจฉากันและกัน จนกลายเป็นพี่น้องที่ไม่รักกัน และเป็นปมด้อยว่าเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่รักเมื่อโตขึ้น
6. เล่นของเล่นเป็นเพื่อนลูก
โดยเฉพาะถ้าลูกของคุณเป็นลูกคนเดียวที่ต้องเล่นตามลำพังเป็นประจำ เขาจะได้ไม่รู้สึกเหงาเวลาที่คุณมาคอยเล่นเป็นเพื่อนอยู่ใกล้ ๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณได้ย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ผ่านการเล่นของเล่นที่เป็นความทรงจำดี ๆ ในวัยเด็กของคุณอีกด้วย
7. หากิจกรรมทำเป็นครอบครัว
ไม่มีอะไรทำให้ลูก ๆ มีความสุขมากไปกว่าการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวอีกแล้ว เพราะจะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นจากการเห็นพ่อแม่ที่รักกัน แถมยังได้ใช้เวลาดี ๆ ร่วมกันอีกด้วย

สร้างรอยยิ้มได้ไม่ยากนะคะ เล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นพื้นฐานสร้างความสุขให้เด็กๆ ค่ะ

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 88 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - ด้วยความภักดี

มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการรักพ่อ88 ด้วยความภักดี

พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน อิสานแดนกันดาร, สัญญาผ้าซิ่น ช่วงในหลวงในดวงใจตอนที่ 5, กลเม็ดเคล็ดลับกับการพึ่งตนเอง, เสภาพระภูมินทร์ , บทกวี ยามเรา จากณุ บูรพา, คำกลอนสอนธรรมะจากท่านพุทธทาส-ความเป็นพระ­,



รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

นิทานในเดือนแห่งความรัก.."เจ้าหญิงเหนื่อยรัก กับ ชายนิรนาม" Cr.ดินสอสีฟ้า


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมั้ง มีเจ้าหญิงรูปงามองค์หนึ่งซึ่งรู้สึกแย่และผิดหวังกับความรักที่เจ้าชายจากเมืองต่างๆที่มาคอยมอบคำหวานและของกำนันต่างๆให้แก่เจ้าหญิง ไม่ว่าจะกี่รายต่อกี่รายก็หวังเพียงแต่จะครอบครองความงดงามทางกายของเจ้าหญิงเท่านั้น หาได้จริงใจรักเจ้าหญิงไม่ ด้วยความเบื่อหน่ายและเซ็งเป็ดของเจ้าหญิงจึงได้มีคำสั่งออกไปว่า ห้ามมิให้ชายผู้ใดเข้ามาในปราสาทของเจ้าหญิงโดยเด็ดขาด พร้อมทั้งได้เชิญเหล่าเจ้าชายพวกนั้นกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง
แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ก็มีชายแปลกหน้ามาที่ปราสาทของเจ้าหญิงเพื่อขอพบกับเจ้าหญิงผู้นั้น และชายผู้นั้นได้อ้างว่าตนรู้จักกับเจ้าหญิงมาก่อน จนในที่สุดเรื่องนี้ก็ไปถึงหูของเจ้าหญิงเข้าและพระนางก็ได้ออกมาดูชายผู้นั้นด้วยพระองค์เอง ใช่แล้ว เจ้าหญิงจำชายผู้นั้นได้ เพราะทั้งสองเคยพบเจอกันอยู่หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเจ้าหญิงเศร้าพระทัย
ไม่นาน ชายผู้นั้นก็ได้เข้าไปในปราสาท และเจ้าหญิงก็ได้เล่าเรื่องราวต่างๆที่กี่ยวกับความรักของนางให้ชายผู้นั้นฟังอย่างท้อแท้และหมดกำลังใจที่จะตามหารักแท้ของนาง ส่วนชายผู้นั้นหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดนั้นแล้วก็ได้ให้กำลังใจ คำปลอบโยน เและให้คำแนะนำต่างๆแก่เจ้าหญิง ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าหญิงก็ดีมีชีวิตชีวาขึ้น ดูสดใสร่าเริงอีกครั้ง นั่นทำให้ชายผู้นั้นมีความสุขเช่นกันที่ได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเจ้าหญิงอีก
ในที่สุด เมื่อมีพบเจอ ก็ย่อมมีจากลากันไป แม้ว่าเจ้าหญิงอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับชายผู้นั้นก็ตาม แต่เหมือนชายผู้นั้นก็ได้ตกหลุมรักเจ้าหญิงเข้าให้แล้ว ไม่ใช่เพราะเจ้าหญิงเป็นคนสวยงามภายนอก แต่เพราะเขาได้เห็นถึงความสวยงามภายในของเจ้าหญิง ความเป็นกันเองไม่ถือตัว รอยยิ้มที่มีให้กับทุกคน ความอ่อนโยนที่มีให้แก่ผู้อื่น ความสุภาพ อ่อนหวาน ความเป็นตัวของตัวเอง และอื่นๆอีกมากมายที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้หมดนอกจากคำว่า “รัก” แต่ เขากลับคิดว่าเขาไม่ดีพอและเจ้าหญิงควรพบเจอกับคนที่ดีและเหมาะสมกว่าเขาที่เป็นเพียงแค่ชายนิรนาม
ก่อนที่ชายผู้นั้นจะกลับ เขาได้เดินเข้าไปหาเจ้าหญิงและบอกกับเจ้าหญิงว่า
“เรารักเธอนะ เธอไม่ต้องใส่ใจเก็บไปคิดมากก็ได้ แต่เราขอให้เธอรู้ว่า ยังมีคนๆนี้อีกคนหนึ่ง ที่จะยืนเคียงข้างเธอ คอยให้กำลังใจ คอยปลอบโยน คอยช่วยเหลือ และรักเธอสุดหัวใจนะ”
หลังจากชายผู้นั้นพูดจบ เจ้าหญิงก็ยิ้มตอบรับชายผู้นั้นอย่างอิ่มสุข จากนั้นชายผู้นั้นก็เริ่มเดินออกห่างจากเจ้าหญิง เมื่อร่างกายของเขากระทบกับแสงจันทร์ยามค่ำคืนก็มีประกายประหลาดระยิบระยับจับตาออกมาจากตัวของชายผู้นั้น เขาหันกลับไปยิ้มให้กับเจ้าหญิงอีกครั้งก่อนที่ตัวของเขาจะค่อยๆล่องลองขึ้นสู่ท้องฟ้าและกลายเป็นดวงดาวส่องสว่างในยามราตรีบนฟากฟ้าไกล

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
หากคุณรักใครสักคน ไม่จำเป็นและไม่สำคัญว่าคุณจะต้องครอบครองรักนั้น แต่สำคัญที่ คุณจะต้องทำให้คนที่คุณรักนั้น มีความสุขมากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้

ฟังรายการTeenplusรักพ่อ15 จากชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว จ.ชลบุรี - Djเอ๋ กนกพรรณ รัตนวิเวก

ทีนพลัสรักพ่อ15 : ชมรมวิทยุเด็ก เยาวชนฯ - ดีเจ กนกพรรณ รัตนวิเวก

http://youtu.be/fhrqLohzmnM

8 เดือนแล้วที่ทำกิจกรรมสวดมนต์-ปฏิญาณตนที่ลานพระบิดา/เพลงรักพ่อ / บทกวี พระมหากษัตริย์ยอดกตัญญู "ทีนพลัสรักพ่อ โดย ชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว จ.ชลบุรี" ดำเนินรายการโดย ดีเจเอ๋ กนกพรรณ รัตนวิเวก, Kanokpan Rattanawiwek ส่วนหนึ่งใน โครงการผลิตรายการวิทยุรักพ่อ - กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ เมื่อ พ.ศ.2554-2556



วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

มาเป็นศิลปิน..ระบายสีชีวิตกันเถิด


ไหนๆคนก็อยู่คู่กับศิลปะมาตลอด ไม่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่ ความสัมพันธ์นี้ทำให้นึกถึงคนในแง่ของ actual art มันเป็นทางเลือกของคนธรรมดาที่จะใช้คุณลักษณะของศิลปินที่ทำให้ชีวิตมันมีความหมาย ตื่นเต้นและน่าจะเป็นคนดี หรือ ไม่ต้องดีมากแต่ไม่เดือดร้อนชาวบ้านที่หฤหรรษ์มากกว่าเดิม ลองมาดูคุณลักษณะที่อาจต้องทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองกันบ้าง..เหมือนศิลปิน
1. ความตั้งใจ: ศิลปินมีการแสดงออกที่ชัดเจนถึงความตั้งใจที่จะได้รับความสมหวังในงานที่เด็ดดวงกว่าคนอื่น...แล้วเราล่ะ ???
2. มีจุดเน้น: ศิลปินมีการ highlight ลักษณะงาน สิ่งแวดล้อม จุดสำคัญที่ต้องการสื่อสาร อย่างชัดเจน.. เรามี focus อะไรในชีวิต ???
3. ทักษะ: ศิลปินมีทักษะในการเข้าใจชีวิตคน สถาบัน องค์กร ประเด็นต่างๆที่ลึกซึ้งถึงแก่น.. แล้วเราพอจะเข้าใจอะไรบ้างไหม ???
4. รูปแบบ: ศิลปิน combine การสื่อสาร โครงสร้าง เรื่องราวในเชิงองค์รวม มีรูปแบบความคิดจะแจ้ง..เรามี form มั่งไหม ???
5. สื่อสาร: ศิลปินสื่อความหมายในเชิงนามธรรม แต่ตรง แต่จริง.. เราสื่ออะไรออกไปบ้างในเชิงสร้างการรับรู้ ในเชิงความจริงแท้ ???
6. จินตนาการ: ศิลปินสร้างความแตกตื่น ไม่มีเงื่อนไข ต่างจากสิ่งธรรมดา สร้างสำนึกใหม่ สร้างความเข้าใจใหม่ๆ... เรายังวนอยู่ที่เดิมหรือเปล่า ???
7. ของแท้: ศิลปินนำเสนอตัวตนอย่างซื่อแต่มีสไตล์ ให้คนมองออกถึงความเชื่ออย่างตรงๆแท้ๆ .. เรากำลังบิดเบือนอะไรอยู่ ???
8. ความหฤหรรษ์: ศิลปินให้อารมณ์ ให้ประสบการณ์ แบ่งปัน ส่งเสริมสิ่งเชื่อมโยงคนในสังคม ฟูมฟัก personal fulfillment ของคน.. เราหฤหรรษ์อะไรบ้างในชีวิต ???
9. เน้นคนเป็นสำคัญ: ศิลปินอำนวยความสะดวกให้เห็นถึง personal reflection จุดสำคัญของความเป็นคนและความเป็นไปได้ของคน.. เรามองอะไรแบบนี้บ้างไหม ???
10. บริบท: ศิลปินส่งความเข้าใจที่เกี่ยวกับบริบทไม่ว่าจะเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี อุปสงค์ บรรทัดฐาน.. เรามีความเข้าใจ ชื่นชม ขมขื่นในสิ่งเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน ???
11. วิพากษ์: ศิลปินเมื่องานออกมายอมให้เกิดการแสดงความคิด วิพากษ์ วิจารณ์ ประเมินจากคนอื่นไม่ว่าจะดีหรือร้าย.. เราใจกว้างแบบนี้ไหม ???
การตอบคำถามเหล่านี้ได้...ไม่ง่าย คนทุกคนมี unique way แต่มันก็ท้าทายเราอย่างยิ่ง.. อย่างน้อยถ้าเรามุ่งเน้นคน เห็นความสำคัญ เราก็จะไม่ลืมวันเกิดใครและทำให้เขาเป็นสุขได้ด้วยการสื่อง่ายๆ แค่ happy birthday มันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น การที่เราจะเป็นอย่างศิลปินระบายสีชีวิตงามๆได้มันคงต้องอาศัยใจมุ่งดี อยากสร้างความสุข ความชัดให้กับคนรอบข้าง สร้างความสัมพันธ์ในเชิงสร้างสรรค์ที่นับถือความเป็นคนซึ่งกันและกัน ไม่ fake ไม่หลอก ไม่เลือนลาง ทำได้มันคงไม่ใช่ short-term results แต่เราจะดีในระยะยาว ดีไปชั่วชีวิต คนอื่นอาจไม่แคร์ว่าเราจะเป็นยังไง แต่เราต้องมี bottom-line results ที่จะเดินไปหามัน หาแต่เงินไม่ใช่คำตอบ การเป็นคนที่มีศิลปะในการใช้ชีวิตต่างหากที่เป็นคำตอบ

คิดไม่ดี..คิดดี..คิดได้ไง..เครียด


ความคิดนี้สำคัญ.. จากพระราชดำรัสของในหลวง “ความคิดนั้นเป็นแม่บทใหญ่ของการพูดและการกระทำ เพราะกิจที่จะทำคำที่จะพูดทุกอย่างล้วนสำเร็จมาจากความคิด การคิดก่อนพูดและก่อนทำจึงช่วยให้บุคคลสามารถยับยั้งคำพูดที่ไม่สมควร หยุดยั้งการกระทำที่ไม่ถูกต้อง” อยากเป็นคนดี ทำอะไรให้มันถูกต้อง ถูกใจ ไม่เครียด ให้ดูความคิดตัวเองไว้...มันต้อง ช้า เปิดและสวยงาม

ช้า
ที่คิดไม่ดีนั้น มันก็ไม่ได้ผิดโดยตัวมันเองนะ เพราะเรายังอยู่ในโลกที่มันผันผวน ยังเป็นคนธรรมดา แต่อย่าให้มันมากล้นจนเกินกว่าความเป็นจริง มันสะสมความเครียดเข้าไปโดยไม่รู้ตัว การรับมือกับความคิดไม่ดี ไม่ใช่การบังคับตัวเองให้พยายามมองทุกอย่างในแง่บวกไปทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ต้องมีการปล่อยให้มันมีเวลาย่อยสลาย มีเวลาใคร่ครวญทั้งด้านดีและไม่ดี ให้มันตกผลึกเป็นความจริงของโลก ไม่ใช่ความจริงแบบที่เชื่อตามกันมา หรือความจริงแบบที่เราอยากให้เป็น หรือแม้กระทั่งความจริงแบบที่เราไม่อยากให้เป็น คิดให้ช้าลง น้อยลง ลุ่มลึกมากขึ้น พูดให้น้อยลง ไตร่ตรองนานขึ้น มันจะช่วยเก็บรายละเอียดของชีวิตได้ลึกล้ำกว่าเดิม เห็นสิ่งละอันพันละน้อยที่เราเคยละเลยไป มันเป็นเครื่องมือคัดกรองไอ้ที่ไม่สลักสำคัญออกไป ทำให้เรามี focus ที่ความดีความงามความเป็นธรรมมากขึ้น ให้เวลากับมันอย่างเต็มที่กันหน่อย ประณีตกันหน่อยกับชีวิต คิดดีจะตามมา..ต้องช้าลง

เปิด
การพยายามหลีกหนี หรือ การพยายามบังคับตัวเอง ไม่มีอะไรดีขึ้น มันฝืนธรรมชาติของคนอย่างที่สุด มันจึงไม่ใช่แนวที่จะขจัดความเครียดที่เป็นผลมาจากการคิดไม่ดีของเรา เวลามองอะไรบวก มองอะไรว่าดี อย่าลืมหาแง่มุมลบมา verify มันด้วย และที่สำคัญมันไม่ได้มีเฉพาะดีไม่ดี บวกหรือลบ การอยู่ในโลกมันซับซ้อนกว่ามาก มันมีมิติต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลา ค่านิยม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง สภาพอากาศ สิ่งแวดล้อม ดังนั้นการ “เปิด” สัมผัสให้มันหลากหลาย ตอบรับประสบการณ์ในขณะนั้น ความรู้ที่มีหลากหลาย โอบมันเข้ามา เปิดรับมัน ขยายมุมมอง ชีวิตไม่ได้มีแค่บวกลบ มันมีคูณหารด้วย ไม่ติดจำกัดกับกรอบคิด กรอบอาชีพ เราไม่ได้มีเวลาทั้งชาติ มีความสามารถทุกอย่างที่จะทำอะไรก็ได้ มันต้องเปิดเพื่อเลือกที่จะตอบสนองเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ถึงที่สุดก็ไม่มีใครบอกได้ว่าอะไรจะดีที่สุด แม้กระทั่งตัวเราเองที่เสมือนเป็นเจ้าของชีวิตก็ตาม ลองทำตามหัวใจ ลองดูตัวตนที่แท้ อย่าปฏิเสธ อย่าเพิ่งเบื่อ บางทีอาจจะมีสิ่งที่ดีซุกซ่อนอยู่ เป็นลายแทงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าก็ได้ ชีวิตไม่มีเส้นตรง การเดินทางเข้าหาสิ่งที่เราต้องการไม่มีได้แบบทันที อาจไม่มีวันไปถึงก็ได้ แต่มันต้องผ่านสิ่งที่เกลียด เซ็ง สิ่งที่เลวร้าย สิ่งที่มัวลุ่มหลง สิ่งที่ออกนอกเส้นทางไปไกล เพื่อจะได้กลับมาใหม่อย่างสมดุลย์ ถ้าหาเหตุผลที่จำต้องทนไม่ได้ ก็ทิ้งมันไปอย่างเร็ว อย่าเสียเวลากับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป ปล่อยวางเพื่อเปิดปุ่มรับความเป็นธรรมชาติของคน ธรรมชาติของตน

สวยงาม
คนมันซับซ้อนกว่าอะไรทั้งปวง มันไม่ใช่ 1+1 = 2 หรือใช้สูตรอะไรใส่เข้าไปแล้วมันจะออกมาตามนั้น ชีวิตนี้ไม่มีใครไม่มีปัญหา ไม่มีใครไม่เคยเครียด อย่าตีบตัน ออกจากที่เดิมบ้าง หาสิ่งสวยงาม สถานที่ใหม่ๆ จะได้คำตอบที่ต่างไปจากเดิม เลือกเฟ้นคนที่จะอยู่ด้วย ทำงานด้วย หรือทำอะไรก็ตามด้วยสักหน่อย ความคิดดีๆ ความสบายใจจะเกิด จะมีพลังพัฒนาตัวเองได้ดี หากรู้สึกว่าชีวิตมันมืดก็ย้ายที่ ไปที่มันสวยๆ งามๆ เดินเล่น นั่งเพลินๆ ไม่ต้องเทคโนโลยีล้ำยุคมากก็ช่วยให้คิดดี ไม่เครียดได้เหมือนกัน

ทำมาแล้ว..โปรดลองดู

ชีวิตเราได้เกิดมาเป็นคน เกิดมาทำไม


ยิ่งแก่เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วและรู้ว่ามันหาความแน่นอนไม่ได้ มีหนังสือเรื่อง “ชำแหละกฎแห่งกรรม” เขียนโดย ร.ต.เจ้าประเวศ ณ เชียงใหม่ มีตอนหนึ่งชื่อ "เกิดมาทำไม" ลองมาวิเคราะห์กันดูว่าเราเข้าเกณฑ์ไหนมั่ง เนื้อหาว่าด้วยสาเหตุของการเกิดของคน มี 20 อย่าง แตกต่างกันประมาณนี้
1. เกิดมาเพื่อใช้กรรม ชาติก่อนทำบุญเยอะ ทำบาปไม่เกิน 30 % ของกรรมทั้งหมด พอตายไปขึ้นสวรรค์ เสวยสุขได้ระยะหนึ่ง เกิดความไม่สบายใจ จึงตัดสินใจลงมาใช้กรรมเก่าชั่วคราว เมื่อเกิดใหม่จะมีความทุกข์ทรมาน แต่ความเดือดร้อนนั้นจะไม่ทำให้หันกลับไปทำชั่วอีก
2. เกิดมาเพื่อสร้างบารมี เมื่อโลกมนุษย์วุ่นวาย ความระส่ำระสาย เทพสวรรค์จะคัดเลือกเทพลงมาช่วยแก้สถานการณ์ เทพเหล่านี้เมื่อลงมาเกิดในโลก ตลอดชีวิตจะต่อสู้เพื่อสังคม เพื่อความดีงาม เพื่อเสรีภาพไม่หยุดหย่อน
3. เกิดมาเพื่อเป็นประมุข เป็นผู้นำ เทพบางองค์ยอมเสียสละความสุขบนสวรรค์ลงมาเกิดเพื่อเป็นผู้นำหรือเป็นประมุขปกครองคนหมู่มากให้มีความสุข เป็นการสร้างบารมี
4. หนีนรกมาเกิด สัตว์นรกบางตนใช้กรรมในนรกยังไม่ทันหมดก็หนีมาเกิดในโลก ครั้นนายนิรยบาลทราบเรื่องก็จะให้ยมทูตมาเอาตัวกลับไปทรมานอีก สัตว์นรกในร่างมนุษย์นั้นจะอายุสั้นตายตั้งแต่อายุยังน้อย
5. หนีแดนโจรมาเกิด สัตว์ในแดนโจรบางตน ทนทุกข์ทรมานในแดนโจรแต่ยังไม่หมดกรรม ก็หนีมาเกิดในโลก ทำให้มาเกิดเป็นคนพิการแต่กำเนิดหรือมีอุบัติเหตุทำให้กลายเป็นคนพิการในที่สุด
6. หนีแดนเปรตมาเกิด เปรตที่ยังไม่หมดกรรม หนีมาเกิดในโลก จะเป็นคนที่อดอยากยากไร้หิวโหย หาได้ไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อดมื้อกินมื้อ หรือ กินแต่ของบูดเน่า ของเหลือเดน
7. หนีแดนปีศาจมาเกิด คนที่ชอบรีดนาทาเร้น คดโกงผู้อื่น ตายไปแล้วต้องไปต่อสู้ฟาดฟันกันเองในแดนปีศาจ บางตนใช้กรรมยังไม่หมดก็หนีมาเกิดในโลก จะเป็นคนอาภัพ ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคมและผู้เกี่ยวข้อง
8. เกิดมาเพื่อเสวยสุข บางคนทำบุญน้อย ทำบาปมาก ต้องไปอบายภูมิเพื่อใช้กรรม เมื่อหมดกรรม ก็ได้กลับมาเกิดในโลกเพื่อรับผลของบุญที่ทำไว้ คนพวกนี้จะมีนิสัยเลวร้ายชอบเอาเปรียบคดโกง แล้วร่ำรวยเพราะการกระทำดังกล่าว เขาจะเสวยสุขเพื่อรอวาระสุดท้ายในชีวิต ซึ่งยมทูตจะมารับกลับไปทรมานในอบายภูมิเช่นเดิม
9. เกิดมาเพื่อเพิ่มเติมบารมีให้เต็ม เทพบางองค์ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า เป็นพระอรหันตสาวก ฯลฯ แม้จะมีบุญบารมีมากมาย แต่ยังบกพร่องในบารมีธรรมบางข้อ จึงได้อำลาพรหมโลก ละทิ้งป่าหิมพานต์ หนีจากแดนบาดาลมาเกิดเป็นคนและจะตั้งหน้าตั้งตากอบโกยเอาแต่บุญบารมี ไม่ยอมสะสมหลักฐานหรือทรัพย์สมบัติใดเพื่อตนเอง จะยอมลำบากลำบน ทำแต่ความดี สร้างบารมี บางครั้งคนทั่วไปเลยหาว่าโง่
10. เกิดมาเพื่อเสวยสุขและทุกข์ตามกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติ บางคนไม่สนใจเรื่องบุญบาป นรกสวรรค์ ทำบุญไว้มากกว่าบาป แต่บุญไม่มากพอที่จะส่งขึ้นสวรรค์ บาปก็ไม่มากพอที่จะส่งลงนรก เมื่อตายไปแล้วจึงต้องกลับมาเกิดอีก เสวยผลกรรมตามที่ทำไว้ในอดีตชาติ จะใช้ชีวิตเช่นสามัญชนทั่วไป แสวงหารักแท้ ดิ้นรนเพื่อหน้าที่การงาน ต่อสู้เพื่อให้มีหลักฐานความมั่นคง ทำดีเพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่ที่ควรกระทำ
11. เกิดมาเพื่อทำลายล้าง เป็นคนที่มากไปด้วยความแค้น ไม่ยอมใคร หากในอดีตชาติเคยถูกกลั่นแกล้งทรมาน จะต้องหาทางแก้แค้น หากไม่ทันได้แก้แค้นและศัตรูตายไปก่อน ก็จะยังไม่ยอมเลิกรา ด้วยอำนาจความแค้นจะทำให้เขาเกิดร่วมชาติกับศัตรู เพื่อตามทำลายล้างกันตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น ลูกชายเจ้าสำราญล้างผลาญทรัพย์สินของพ่อแม่ที่อดออมมาเป็นเวลานาน ภรรยาโขกสับสามี จิกหัวใช้สามีเยี่ยงทาส อาจารย์กลั่นแกล้งนักศึกษาจนต้องลาออกไม่ได้รับประกาศนียบัตร ประกอบการค้าเล็กๆ แต่ก็ถูกนายทุนใหญ่กลั่นแกล้งจนตัวเองล่มจม ประมาณนี้
12. เกิดมาเพื่อปลดเปลื้องคำสาป บางคนทำบุญไว้มาก แต่ไม่ได้ประพฤติศีลครบถ้วน เมื่อตายไปได้ขึ้นสวรรค์ แต่ไม่รู้จักประพฤติตนให้เหมาะสม เทพสวรรค์จึงใช้อำนาจบันดาลให้ลงไปรับบทเรียนในโลก พวกนี้ลงมาเกิดด้วยฤทธิ์คำสาปของสวรรค์และด้วยบุญที่ทำมามาก จึงเสวยสุขในโลกแต่เป็นแบบมีขอบเขต เช่น มีเงินทองมากมายแต่คิดทำการใหญ่เมื่อใดจะขาดทุนป่นปี้ มีอาการแพ้วัตถุบางอย่าง เช่น ขึ้นเครื่องบินไม่ได้เพราะมีอาการแพ้รุนแรง
13. เกิดมาเพื่อทดสอบอุดมคติ บางคนทำความดีไว้มาก ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ ได้รับความเมตตาจากเทพฝ่ายบริการ แต่เกิดสงสัยว่าเทพฝ่ายบริการซึ่งบุญบารมีใกล้เคียงกับตนเองจึงมีฤทธิ์เหนือกว่า สามารถไปมาระหว่างโลกสวรรค์ โลกมนุษย์และโลกทิพย์ได้ จึงตั้งความปรารถนาที่จะมีฤทธิ์แบบเทพฝ่ายบริการบ้าง จึงขออนุญาติเทพสวรรค์ลงมาสร้างฤทธิ์อำนาจในโลก พวกนี้จะมาเกิดในหมู่โจร เกิดท่ามกลางคนชั่วคนเลว อันธพาล ผู้มีอิทธิพล นักการเมืองที่มีอำนาจ ซึ่งเป็นบททดสอบ ถ้ายอมร่วมมือทำความชั่ว จะมีความสุข มีอำนาจในโลกมนุษย์ แต่จะไม่มีฤทธิ์อำนาจตามที่ปรารถนา แต่ถ้าเข้มแข็ง เป็นคนดีในหมู่โจร ไม่ยอมทำความชั่วแม้จะถูกบีบคั้น เมื่อตายในขณะที่คุณความดียังอยู่ สวรรค์จะต้อนรับ จะมีฤทธิ์อำนาจไปมาข้ามห้วงเวลาได้ สามารถปรากฎตัวในโลกมนุษย์เพื่อรับวัตถุทานที่บุตรหลานบำเพ็ญกุศลไปให้ หรือปรากฎตัวในแดนสวรรค์เพื่อเสวยสุข หรือปรากฎตัวในอบายภูมิเพื่อศึกษาเรื่องผลของกรรม
14. เกิดมาเพื่อเปลี่ยนวงจรชีวิต บางคนเกิดมาทำบุญน้อย ทำบาปมาก หลังจากตายแล้วต้องรับโทษ เมื่อโทษหมดไปประมาณ 90 % ก็กลับมาเกิดเป็นคน และดำเนินชีวิตแบบเดิม คือ ทำบุญน้อย ทำบาปมาก วงจรชีวิตจะหมุนเวียนระหว่างโลกมนุษย์กับอบายภูมิ จนก่อนละโลก ถ้าเริ่มหันหน้าเข้าวัดแต่ผลบุญยังน้อยต้านทานกระแสบาปไม่ได้ ตายไปต้องไปรับทุกข์ในอบายภูมิตามเดิม ก่อนตายได้ตั้งสัตยอธิษฐานว่าจะทำความดีเพื่อไม่ให้ตกต่ำไปกว่าเดิม ดังนั้นเมื่อเกิดมาก็ยังต้องทนทุกข์ทรมาน เป็นคนอาภัพ ทำคุณคนไม่ขึ้น ปิดทองหลังพระ แต่จะฝืนทำความดี ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นคนดีที่โลกไม่แยแส เมื่อจบชีวิต วงจรชีวิตจะเปลี่ยนไปได้เสวยสุขในสวรรค์
15. เกิดมาเพื่อก่อตั้งศาสนา เมื่อใดที่ศาสนาเสื่อมทรามจนเหลือแต่หลักวิชาและพระโพธิสัตว์จะมาจุติในโลก เหล่าเทพจะติดตามลงมาเพื่อช่วยกันประกาศหลักธรรม เพื่อให้ศาสนาดำรงอยู่เป็นที่พึ่งของคนทั่วไป
16. เกิดมาเพื่อรับพุทธพยากรณ์ ในโลกธาตุหนึ่ง จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้พร้อมกันสองพระองค์พร้อมกันมิได้ ในขณะที่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ายังอยู่ครบครันมั่นคง หากจะมีใครคนหนึ่งอ้างตัวเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เขาผู้นั้นเป็นคนโกหกหลอกลวง ขณะที่พระโพธิสัตว์องค์ หนึ่งจุติลงมาตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประดิษฐานพระศาสนา พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็จะติดตามลงมาเกิด เป็นมนุษย์เพื่อรับพุทธพยากรณ์ เป้าหมายของพระโพธิสัตว์ คือ พุทธภูมิ ดังนั้นจะพร่ำสอนชี้แจงอย่างไร พระโพธิสัตว์ก็มิอาจบรรลุคุณวิเศษอันใดได้ พระโพธิสัตว์เกิดมาเพื่อรับพุทธพยากรณ์เท่านั้น
17. เกิดมาเพื่ออุปถัมภ์ บางคนเคยทำบุญร่วมกัน แต่ไม่ได้ทำบาปร่วมกัน คนหนึ่งตายแล้วไปสวรรค์ อีกคนหนึ่งเกิดบนโลกมนุษย์ คนที่เกิดบนโลกมนุษย์จะยิ่งได้รับผลบุญมากเต็มที่เมื่ออยู่ร่วมกับคนที่อยู่บนสวรรค์ หากคนที่อยู่บนสวรรค์ลงมาเกิดและอยู่ร่วมด้วย คนที่อยู่บนโลกมนุษย์ก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ลูกบางคนเกิดมาทำให้พ่อแม่ร่ำรวย ค้าขายคล่อง การงานก้าวหน้า แต่ตัวลูกเองประพฤติตัวเกเร ถ้าพ่อแม่ไล่ออกจากบ้านก็จะทำให้ความเป็นอยู่ของพ่อแม่เดือดร้อนอีก
18. เกิดมาเพื่อรับใช้อุปัฎฐาก เมื่อเทพจุติลงมาเกิดเป็นคนเพื่อเพิ่มเติมบารมีธรรมให้เต็ม เทพฝ่ายบริการ เทพผู้รับใช้ประจำตัวจะติดตามลงมาเกิด โดยทิ้งช่วงห่างประมาณ 10 ปีถึง 25 ปี เมื่อเทพองค์นั้นในร่างคน สร้างบารมีตนเอง เทพรับใช้ก็จะมามอบตัวเป็นลูกศิษย์คอยช่วยเหลือปฏิบัติดูแล เมื่อเทพองค์นั้นอำลาจากโลก เทพรับใช้ก็จะอยู่ปฏิบัติงานจนเรียบร้อยแล้วก็จะติดตามกลับไปรับใช้ในโลกทิพย์ต่อไป
19. เกิดมาเพื่อทดสอบพรหมวิหารธรรม เทพผู้สละพรหมโลกมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อสร้างบารมีเลื่อนอันดับเป็นเทพผู้ปกครอง ปกติจะเป็นนักบวช อุทิศชีวิตเพื่อความรุ่งเรืองของศาสนาเป็นนักปฏิบัติธรรมผู้ไม่หวังลาภยศ วางเฉยได้ทั้งต่อคำยกย่องและคำด่า เพราะในหัวใจของอัดแน่นไปด้วยธรรมไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับกามตัณหา
20. เกิดมาเพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ ยามใดที่โลกมีวิญญาณชั้นสูงมาเกิดน้อย วิญญาณชั้นต่ำมาเกิดมาก พวกเทพจะอาสามาเกิดเป็นคนเพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ เทพเหล่านี้จะได้รับความเจริญในชีวิต ได้รับความคุ้มครองจากสวรรค์เป็นการตอบแทน ประเพณีโบราณได้แก่ ศิลปวิทยาการอันเก่าแก่ เช่น ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ ดนตรี การขับร้องฟ้อนรำ วรรณคดี จิตรกรรม ประติมากรรม วัฒนธรรม
อ่านจนเหนื่อย.. แต่พอเข้าใจว่ามูลเหตุการเกิดมาของคนมันหลากหลายจริงๆ ที่รู้อย่างหนึ่ง คือ เกิดมาต้องตายแน่ๆ แม้จะมีอายุยืนยาวถึงร้อยปี ก็มีแค่สามหมื่นหกพันวันเท่านั้น มันมีความหมายว่าเพียงได้กินข้าวมากกว่าอีกหลายมื้อ สวมเสื้อผ้าต่อไป ใส่ fitflop ต่อไปได้อีกหลายปีเท่านั้น แล้วจะยังไงดี เวลาผ่านไปรวดเร็ว ยังไม่รู้สำนึก ปีแล้วปีเล่าจนแก่ สังขารทรุดโทรม จะกลับใจจะมุ่งหมายงานธรรมก็มีทีท่าว่าอาจจะสายเกินไป มีแต่กรรมชั่ว คิดว่ามีเวลาหนึ่งวันภาวนาหนึ่งวันก็น่าจะดี แต่ถ้ายังไม่สำนึกรู้ หลงจมวนเวียนอยู่ในทะเลทุกข์ ท่าจะยากนานและพญายมไม่ไว้หน้าด้วย ความตายมาถึงเร็ว ลมหายใจไม่มีก็ไม่รู้ว่าชาติหน้าจะเกิดมาเป็นอะไร
ชีวิตเราในสังคม ดูๆ ไปสับสนวุ่นวาย มีแต่ความเดือดร้อนรุนแรงมากขึ้นทุกวัน เราเรียนรู้ ค้นคว้าหาความรู้มากขึ้นๆ ความรู้ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามกาลตามเหตุปัจจัย เปลี่ยนมันทุกปี วิ่งตามแต่ก็ไม่ทัน หมดแรง สับสน วุ่นวาย ความรู้ไม่เคยช่วยให้มีความสุขที่แท้จริง
"นิพพานัง ปรมัง สุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง"
ไม่รู้ต้องวนเวียนอีกกี่ภพกี่ชาติ แต่ชาตินี้แค่ได้เกิดมาเป็นคนก็บุญหนักหนาแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การจะเกิดมาเป็นคนนั้นยากเหลือคณา เหมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่งดำน้ำอยู่ในทะเล ทุกๆ 100 ปี เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่หัวขึ้นมาจากทะเลครั้งหนึ่ง ในทะเลมีห่วงเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่าหัวเต่าหน่อยหนึ่งลอยอยู่ 1 ห่วง โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมา แล้วหัวสวมเข้ากับห่วงพอดียากแค่ไหน โอกาสนั้นก็ยังมีมากกว่าการที่เหล่าสรรพสัตว์จะได้มาเกิดเป็นคน... โห... คงต้องใจใส่รักษาความเป็นคนกันไว้ให้เหนียวแน่นเลย เลือกทางดีในชีวิตกันบ้างจักเป็นพระคุณยิ่ง

8 ข้อเสียดาย ของมนุษย์เงินเดือน



คนที่กำลังทะเลาะกันมองไม่เห็นหรอกว่าตัวเองถูกหรือผิด คนที่ไม่เคยลำบากไม่รู้ หรอกว่าความลำบากนั้นเป็นอย่างไร คนที่ไม่เคยเป็นหนี้ไม่รู้หรอกว่าการรอคอยให้หมดหนี้ นั้นทรมานเพียงใด คนที่ไม่เคยตกงานไม่รู้หรอกว่าการได้งานทำนั้นสำคัญแค่ไหน ฯลฯ เรื่องบางเรื่องในชีวิตเราอาจจะมีโอกาสทดลองหรือสัมผัสได้มากกว่าหนึ่งครั้ง เรื่องบางเรื่องมีโอกาสแก้ตัวได้ เช่น เคยลำบากมาก่อนเมื่อผ่านชีวิตมาได้แล้วก็พอจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ไห้ลำบากอีกครั้ง

แต่…..เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้จะผ่านมาและเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยเวลาเกือบทั้งชีวิตจึงจะรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมานั้นถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี และเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับคนที่เป็นลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือนคือประสบการณ์ชีวิตหรือข้อคิดจากการเป็นลูกจ้าง ข้อคิดหรือบทเรียนส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ผิดซ้ำเรื่องเดิมกับคนรุ่นก่อนๆ จึงขอเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ๆ อดีตมนุษย์เงินเดือนมาบอกเล่าให้ฟังว่าคนที่เคยทำงานกินเงินเดือนในรุ่นพี่ที่ผ่านๆ มาเขาหันกลับมามองอดีตแล้วเกิดความรู้สึก “ เสียดาย “ อะไรบ้างหรือพูดง่ายๆ คือ เรื่องไหนบ้างที่อดีตมนุษย์เงินเดือนคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับมาได้จะทำให้ดีกว่าที่ผ่านมา

1. เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน
ไม่ว่าจะเป็นอดีตมนุษย์เงินเดือนหรือมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ ในปัจจุบัน มักจะรู้สึกเสียดายกับชีวิตการทำงานที่ผ่านมาเนื่องจากช่วงแรกๆ ของการทำงานไม่ค่อยตั้งใจและทุ่มเทมากนัก เนื่องจากตอนนั้นคิดว่าทำงานแลกกับเงิน ได้เงินน้อยก็ทำน้อย ที่ไหนให้มากก็ขยันขึ้นมาหน่อย คิดอย่างเดียวว่าถ้าขยันทำงาน เจ้านายจะติดใจและใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เหนื่อยอยู่คนเดียว มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อทำงานไปตั้งนานไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเสียที เด็กรุ่นใหม่ๆ ที่พึ่งเข้ามาแซงหน้าไปเสียแล้ว ที่สำคัญชีวิตช่วงแรกที่ทำงานมักจะเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าทำงานเหนื่อยกว่าตอนเรียน ดังนั้น วัยนี้คนทำงานบางคนก็เริ่มเที่ยว ดื่ม กิน ใช้ชีวิตเปลืองมาก เลิกงานเสร็จเที่ยวต่อจนดึกจนดื่น เผลอๆ บางวันใส่ชุดเดิมมาทำงาน (เพราะยังไม่ได้กลับบ้าน) แล้วจะทำงานดีได้อย่างไร กายและใจมาทำงานเพียงครึ่งเดียว เพื่อนบางคนก็มัวแต่ทำงานเพื่อค้นหาตัวเองว่างานที่กำลังทำอยู่นั้นใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่ บางคนก็ทำงานเพื่อรอโอกาสหางานใหม่ สุดท้ายชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆ แทนที่จะมีเส้นการเรียนรู้ที่สูงชันกลับกลายเป็นเส้นการเรียนรู้ที่แบนราบ อายุงานผ่านไป แต่อายุใจที่มีต่องานยังอยู่เท่าเดิม

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะตั้งใจและขยันทำงานตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาทำงาน และจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่รับผิดชอบ และจะลดหรืองดการเที่ยวและดื่มให้น้อยลง เพราะตอนนี้ผลกรรมเริ่มสนองให้เห็นแล้วว่าการใช้ชีวิตแบบประมาทนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกายระยะยาว

2. เสียดายที่แต่งงานเร็วไปหน่อย
มนุษย์เงินเดือนเงินหลายคนเสียโอกาสในความก้าวหน้าในอาชีพไปเพราะรีบเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วเกินไป คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว หาเงินได้เองแล้ว ปกครองและดูแลตัวเองได้แล้ว ก็ริคิดที่จะไปเอาคนอื่นมาดูแลเพิ่มเติม (ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้ดูแลพ่อแม่ที่ส่งเสียให้เรียนมาจนจบ) เมื่อชีวิตแต่งงานเข้ามาเร็วชีวิตครอบครัวเข้ามาเร็ว ปัญหาประจำตำแหน่งชีวิตคู่ก็เข้ามาเร็ว ทั้งๆ ที่อายุงานและประสบการณ์ชีวิตในหน้าที่การงานยังน้อยอยู่ ทำให้ปัญหาครอบครัวเริ่มมาเป็นตัวถ่วงในเรื่องความก้าวหน้าในอาชีพ เพราะไหนจะต้องให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น เวลาที่ทุ่มเทกับงานก็น้อยลง ถ้าใครยังทุ่มเทกับงานมากอยู่อีกก็จะทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เงินเก็บที่ยังไม่เต็มที่ก็ต้องควักออกมาใช้ เพราะมีลูกทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน คิดง่ายๆ ว่าในช่วงเวลาเดียวกันเพื่อนเราที่ยังไม่แต่งงานเขามีเวลาทุ่มเทกับการทำงานเพื่อปีนป่ายขึ้นไปสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จ ในขณะที่เราต้องปีนป่ายเหมือนกับเขา แต่เราต้องกระเตงคู่สามีหรือภรรยาและลูกไปด้วย นึกดูเอาเองก็แล้วกันนะครับว่าใครจะปีนไปได้สูงและไกลกว่ากัน

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานก่อนสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งมาบ้างแล้วจึงคิดจะแต่งงาน อย่างน้อยก็ต้องมีเงินเก็บมาบ้างแล้ว หรืออาจจะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานที่เพียงพอต่อการหางานใหม่ที่มีตำแหน่งที่สูงกว่าก่อนจึงจะแต่งงาน และการที่เรามีเวลาทำงานผ่านไปสักระยะหนึ่งก็น่าจะมีเวลาในการคบหาหรือดูใจกับที่เราจะเลือกมาเป็นคู่ได้ดีขึ้น

3. เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ
ความเสียดายข้อนี้เชื่อว่าเกินครึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่มีความรู้สึกแบบนี้ เพราะตอนเข้ามาทำงานแรกๆ เกือบทุกคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาศึกษาต่อ รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อนและรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป เช่น งานยุ่งไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน (เหตุผลเดิม คือ รอให้งานเข้าที่แล้วค่อยเรียน) ไม่มีเงินค่าเทอม ขี้เกียจอ่านหนังสือ สอบไม่ได้ (เพราะไม่ตั้งใจ) ใจอยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย เลือกที่เรียนมากเกินไป บางคนลองไปเรียนแล้วแต่ไปไม่รอดเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่าถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้นระดับนี้ ป่านนี้คงจะประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง เลยเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป มาถึงตอนนี้ก็แก่เกินเรียนแล้ว ยิ่งออกมาทำธุรกิจส่วนตัวถึงแม้เวลาจะมีมากขึ้น แต่กำลังใจมีน้อยลง แรงใจมีน้อยลง และไม่รู้จะเรียนไปทำไม เพราะงานธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูงๆ ก็ได้

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ สักปีสองปี จะยอมอดทนไปสักระยะหนึ่ง และจะเรียนให้จบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว

4. เสียดายที่มัวแต่ทะเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน
มนุษย์เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า ปัญหาเพื่อนร่วมงาน บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก วันๆ เสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดกับมันบ่อยแทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองเลย ตอนนั้นลืมไปว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้ คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนผิด ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหา คนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว ปัญหาคนเก่าหายไป แต่….ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนนที่เราไม่ต้องไปสนใจกับมันให้มากนัก แต่เราควรจะสนใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นอยู่ไกลหรือไม่ เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่ ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิตและเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้ เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้ เพราะยิ่งสูงปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น

5. เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย
ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกปีๆ ละครั้งสองครั้ง ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย เช่น เงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ฯลฯ แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนัก เพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้งการเรียนรู้ (Learn) การทำงาน (Perform) และการพัฒนาปรับปรุงงาน (Improve) แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิต เพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต ชีวิตกำลังรุ่ง แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นาน เพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์ ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น

6. เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ
“ เสียดายภาษาอังกฤษไม่ดี “ เป็นคำพูดที่ได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆ แต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย เพราะไม่ได้จบ (เมือง) นอก และทำงานแต่บริษัทคนไทยจึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย บางคนจะหันมาเอาดีในการเรียนภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้วเพราะมีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงานและจะเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ

7. เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย
มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆ จนเกษียณหรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละ พูดง่ายๆ คืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วันๆ ก็ตื่นขึ้นมาไปทำงานเสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปีบางคนเป็นสิบปี มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร จะทำอะไร จะต้องได้อะไร และแต่ละวันแต่ละเดือน แต่ละปีควรจะทำอะไรบ้าง อย่างไร

8. เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป
คนบางคนไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย แต่ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย ตอนที่ทำงานอยู่รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขององค์กรที่ไม่ยอมเปลี่ยนงานไปไหนเลย แต่พอชีวิตการทำงานผ่านเลยไปก็รู้สึกเสียใจและเสียดายเหมือนกันที่ชีวิตการทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียว สังคมเดียว คนบางคนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไปช่วงเวลาที่กำลังรุ่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน พอจังหวะชีวิตผ่านไปก็คิดจะเปลี่ยนงาน ก็ทำได้ยากแล้ว เพราะเงินเดือนสูง อายุงานเยอะ แต่ตำแหน่งต่ำ ไปสมัครตำแหน่งที่สูงเกินไปเขาก็ไม่รับ สมัครในตำแหน่งที่เท่าเดิมก็แก่กว่าคนอื่นๆ (แถมเงินเดือนสูงอีกต่างหาก)

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะเปลี่ยนงานในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อปรับเพดานบินให้เหมาะสมกับอายุตัวและอายุงาน โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะต้องอยู่กับองค์กรใด องค์กรหนึ่งนานจนเกินไป

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรจะเชื่อและเอาแบบอย่าง แต่ก็ไม่อยากให้มนุษย์เงินเดือนมองข้ามคำว่า “ เสียดาย “ ของมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ หรืออดีตมนุษย์เงินเดือนไป อย่างน้อยก็น่าจะนำไปเป็นคำถามตัวเองว่าเราอยากรู้สึกเสียดายในเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมือนรุ่นพี่ๆ หรือไม่ ถ้าไม่เราควรจะทำอย่างไรตั้งแต่วันนี้

ที่มา: http://www.fwdder.com/topic/24247

วิกฤตผู้นำ... กับความสำเร็จขององค์กร


คำถามที่มักอยู่ในใจของหลายๆ ท่านก็คือ อะไรคือความเป็นผู้นำที่เหมาะสมและคุณลักษณะที่ผู้นำควรมี ในการนำองค์กรหนึ่งๆ ไปสู่ความสำเร็จได้ เพื่อจะได้นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของกิจการ ไม่ให้เกิดเป็นปัญหาลุกลามจนกระทั่งบั่นทอนศักยภาพโดยรวมขององค์กรของเรา
โดยสิ่งหนึ่งซึ่งนักกลยุทธ์เห็นพ้องต้องกันคือ การนำกลยุทธ์ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ผู้นำเป็นปัจจัยหลักแห่งความสำเร็จ ของประเด็นนี้เลยทีเดียว เนื่องจากจะต้องเป็นผู้ที่สื่อสาร โน้มน้าวใจให้ลูกน้องเห็นความสำคัญของกลยุทธ์ดังกล่าว และร่วมแรงร่วมใจกันในการนำกลยุทธ์ที่คิดร่วมกันนั้น ไปสู่การนำไปปฏิบัติอย่างเต็มที่ ดังนั้นผู้นำจึงต้องมีคุณลักษณะหลายประการ ที่จะสามารถสร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้นกับลูกน้องทั่วทั้งองค์กร และเป็นศูนย์กลางของการดำเนินงานทั้งหมดด้วย
ลักษณะของผู้นำดังกล่าวจึงมักมีการกล่าวเปรียบเปรยว่า ต้องเป็นผู้นำที่มี "Charisma" หรือผมขอใช้คำว่าเป็นผู้นำที่มี "เสน่ห์" แล้วกันครับ แต่เสน่ห์ที่กล่าวในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงเสน่ห์ในเชิงหนุ่มสาวนะครับ แต่เป็นลักษณะที่สามารถทำให้ลูกน้องเกิดความรักชอบ ความเชื่อมั่นและความศรัทธาจากใจจริงได้ และจะนำมาสู่การทุ่มเทในการทำงานให้กับผู้นำคนดังกล่าวได้นั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่างานที่มีการทุ่มเททำจากใจนั้น ย่อมจะมีประสิทธิภาพสูงมากกว่าการถูกบังคับแน่นอน
โดยคุณลักษณะประการแรกที่ถือเป็นเสน่ห์ คือ การเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ซึ่งหมายถึงว่า ผู้นำที่ดีนั้นควรจะต้องมีความคิดกว้างไกล สามารถมองออกไปในอนาคต และคาดการณ์ได้ว่าเหตุการณ์ใดน่าจะมีโอกาสเกิดขึ้น เพื่อที่จะนำพาองค์กรให้อยู่รอดได้ดีที่สุดในสถานการณ์ที่จะเกิดนั้น ดังเช่นผู้บริหารของแอปเปิลที่นับว่า มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและแม่นยำอย่างมาก ในการมองพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว จนกระทั่งทำให้แอปเปิลพลิกฟื้นกลับขึ้นมาเป็นผู้นำในธุรกิจเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์เพื่อความบันเทิงอย่าง "ไอพอด" จนกระทั่งแซงยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่โด่งดังมากับวอล์กแมนอย่างโซนี่ไปได้
ซึ่งผู้นำที่มีวิสัยทัศน์นั้นบางท่านถามว่า จะต่างจากหมอดูที่ตรงไหน คำตอบก็คือ ผู้นำนั้นจะมีการวิเคราะห์และคาดการณ์อย่างเป็นระบบ จากฐานข้อมูลที่เก็บมาอย่างทันท่วงทีและเชื่อถือได้ มีหลักฐานประกอบการคาดการณ์อย่างชัดเจน แม้ในหลายครั้งอาจจะมีการใช้ความคิดเห็นส่วนตัวเข้ามาสอดแทรกด้วย แต่ก็จะสามารถอธิบายเหตุผลและที่มาที่ไปได้ จนกระทั่งสามารถโน้มน้าวใจให้ลูกน้องเกิดความเชื่อมั่นใ นสิ่งที่วิเคราะห์คาดการณ์กันไว้ นอกจากนี้สิ่งที่คาดการณ์จะต้องอยู่ในพื้นฐานของความเป็นจริงที่เป็นไปได้เสมอ ซึ่งมักจะมีคำเปรียบเปรยว่า ผู้นำที่ดีจะต้องมี "ความใฝ่ฝัน มิใช่ความเพ้อฝัน" ครับ
ประการที่สองก็คือ ผู้นำจะต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง สามารถเป็นหลักและที่พึ่งให้กับลูกน้อง ยามที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ได้ โดยความเชื่อมั่นนี้ จะเห็นว่ามีเพียงเส้นกั้นบางๆ ระหว่าง "ความเชื่อมั่น" กับ "ความดื้อรั้นหรือหลงในอัตตาของตนเอง" นะครับ โดยผู้นำที่มีความเชื่อมั่นนั้น จะสามารถนำเสนอแนวคิดของตนเองออกมาอย่างชัดเจน มีเหตุมีผลที่เหมาะสม และสร้างความเลื่อมใสในแนวความคิดนั้นๆ ที่จะกระทำต่อไปได้ รวมถึงมีความเชื่อว่าตนเองจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปได้เป็นอย่างดี แต่ผู้นำที่มีความเชื่อมั่น ก็จะยังรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใต้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดความหลากหลายและสมบูรณ์ในแนวคิดที่ได้รับการเติมเต็มและขัดเกลาจากทุกฝ่ายด้วย
ดังนั้นในที่นี้ผู้นำจึงควรมี "ความเชื่อมั่น" มิใช่ "ความยึดมั่น" ซึ่งประเด็นหลังหากเกิดขึ้นมาแล้ว จะทำให้เกิดความลุ่มหลงในความคิดของตนเอง จนอาจจะนำมาสู่ความล้มเหลวขององค์กรโดยรวมได้ และในหลายกรณีความยึดมั่นนี้ก็ได้รับการพัฒนามาจากความเชื่อมั่นในตอนต้นนั่นเอง โดยหากมีความสำเร็จที่ต่อเนื่องมามากมาย และลูกน้องแวดล้อมเองก็เป็นประเภท "ขุนพลอยพยัก" ที่คอยชื่นชมเจ้านายในทุกประเด็น จึงมีความเป็นไปได้ที่ผู้นำอาจจะเกิดความลุ่มหลงในตนเอง แทนที่จะฟังความคิดเห็นของผู้คนรอบข้าง ซึ่งในระยะยาวถือเป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากย่อมไม่มีผู้ใดจะสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องทุกครั้งไป ประเด็นนี้จึงถือว่าเป็น "กับดักแห่งความล้มเหลวของผู้นำ" ที่มีการย้ำเตือนกันอยู่เสมอครับ
ประการถัดมา ผู้นำควรต้องมีความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งก็รวมถึงความขยันหมั่นเพียรและอุทิศตนให้กับการทำงานอย่างมากนั่นเอง โดยผู้นำที่ประสบความสำเร็จนั้น โดยทั่วไปต้องเป็นผู้ที่ทำงานหนักกว่าลูกน้องครับ หากองค์กรใดหัวหน้านั่งๆ นอนๆ แล้ว คงไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชาและยากที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความรุ่งเรืองได้ ซึ่งจากสถิติโดยทั่วไป ซีอีโอของบริษัทที่ประสบความสำเร็จระดับโลกนั้น ใช้เวลากับการทำงานวันละไม่ต่ำกว่า 10-12 ชั่วโมง ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างศรัทธากับลูกน้องเช่นกัน
นอกจากนี้ สิ่งที่มีความสำคัญมากก็คือ ผู้นำต้องมีพฤติกรรมที่เหนือกว่าหรือโดดเด่นกว่าคนปกติโดยเฉลี่ยทั่วไป นั่นคือ ต้องมีความเสียสละมากกว่า มีความซื่อสัตย์และโปร่งใสมากกว่า รวมถึงต้องเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวด้วย เนื่องจากผู้นำนั้นถือเป็น "แบบอย่าง" สำหรับลูกน้องทั่วทั้งองค์กร จึงต้องมีความไม่ธรรมดาในแง่ต่างๆ ด้วย เพื่อสร้างตนเองให้แตกต่างจากบุคคลอื่นๆ ทั่วไป ดังนั้นบ่อยครั้งกฎระเบียบขององค์กรที่บังคับใช้กับคนโดยทั่วไปนั้น อาจจะไม่เพียงพอต่อการกำกับดูแลพฤติกรรมของผู้นำ เช่น ในเรื่องของเวลาทำงาน ผู้นำคงต้องเสียสละกับองค์กรมากกว่าเวลางานขั้นต่ำที่กำหนดไว้ต่อพนักงานทั่วไป หรือทางด้านความโปร่งใสตรวจสอบได้ ผู้นำยิ่งจะต้องสามารถเปิดเผยข้อมูลทุกอย่างอย่างชัดเจนมากกว่าที่กำหนดไว้ปกติด้วย เพื่อแสดงความซื่อสัตย์จริงใจต่อการนำพากิจการ และเป็นแบบอย่างต่อผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมด ซึ่งหากองค์กรใดที่ผู้นำมีพฤติกรรมที่ "ด้อยกว่า" กฎระเบียบที่กำหนดไว้ จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อวิกฤตศรัทธาในผู้นำ ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความล้มเหลวได้
อย่างไรก็ตาม การที่องค์กรจะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระยะยาว คงมิใช่อาศัยแต่ผู้นำขององค์กรแต่เพียงอย่างเดียว ผู้นำที่ดีและเหมาะสมดังกล่าวอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคำถามที่มี บุคลากรทุกคนในองค์กรนั้นๆ ด้วย เป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่สำคัญที่จะต้องมีการพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพ ร่วมแรงร่วมใจ และยึดมั่นในทิศทางร่วมกัน อันจะนำไปสู่สิ่งที่ทุกคนในองค์กรคาดหวังในอนาคตได้

10 กลยุทธ์ซื้อใจมนุษย์เงินเดือน


หากเป็นผู้อ่าน “บิสิเนสไทย” มาตั้งแต่ยุคบุกเบิก ผมเชื่อว่าผู้อ่านน่าจะคุ้นเคยกับการเขียนเรื่องของ “คน” ที่ผมหยิบยกมาเล่าอยู่เสมอๆ เพราะในยุคที่เศรษฐกิจ เดินหน้าด้วยนวัตกรรมอย่างทุกวันนี้ อะไรจะสำคัญกว่า “คน” คงไม่มีแน่ๆ
แต่ปัญหาเรื่องคน ก็ยังเป็นปัญหาน่าปวดหัวอันดับหนึ่งในทุกบริษัท โดยเฉพาะ “คนรุ่นใหม่” ที่บริษัทสรรหามาเพื่อหวังเป็นกำลังสำคัญในอนาคต แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว พนักงานใหม่เหล่านี้กลับไม่ค่อยทุ่มเท หรือไม่ก็ทำงานอยู่ไม่นานแล้วก็กระโดดไปสู่งานใหม่กันง่ายๆ

เป็นโจทย์ให้เราต้องมาคิดว่าอะไรเป็นตัวกำหนดมุมมองและทัศนคติของพนักงานใหม่เหล่านี้ ซึ่งจากการวิจัยพนักงานใหม่ ได้คำตอบว่าจะชอบบริษัทของเราไหม หรือจะทุ่มเททำงานใหม่ ขึ้นอยู่กับความรู้สึกครั้งแรกเป็นหลักครับ

พนักงาน 1 คนที่เข้าสู่องค์กรภายใน 1 ปีจะจงรักภักดีต่อบริษัท จะกระตือรือร้น หรือจะลาออกเร็วๆ หรือไม่นั้น จากการวิจัยพบว่าพนักงานที่เข้ามาในบริษัทจะถูกสัมภาษณ์สั้น ๆ 10-20 นาที ซึ่งเป็น First Impression เป็นความรู้สึกฝังอยู่ในใจในครั้งแรกที่รู้สึกต่อบริษัท

เขา จะทำที่บริษัทนี้ได้ดีแค่ไหน ทุ่มเทแค่ไหน หรือจะอยู่นานหรือไม่ ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้อยู่ที่เรื่องผลตอบแทนหรือสวัสดิการเป็นหลัก แต่เป็นสภาพแวดล้อมที่ได้ซึมซับจากการสัมภาษณ์ รวมถึงการให้ความสำคัญกับตัวเขาว่ามีคุณค่าแค่ไหน

หาก งานที่มี ตำแหน่งที่ได้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกผูกพัน หรือรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของ ก็จะทำให้เขามองเห็นอนาคต เห็นเป้าหมายของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น เรื่องอื่น ทั้งเงินเดือน สวัสดิการ ก็กลายเป็นเรื่องรอง

ผมรวบรวมมุมมองของพนักงานต่อบริษัทเอาไว้คร่าวๆ สำหรับผู้อ่านทุกท่านในวันนี้ 10 ข้อครับ
1. บริษัทนี้ คือบริษัทที่เราต้องทำงานด้วยจริงหรือไม่ ซึ่งความรู้สึกนี้เกิดจากข้อมูลหลายๆ ด้าน ทั้งจากในใจตัวเอง จากความรู้สึกที่ถูกสัมภาษณ์ จากข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ จากเว็บไซต์ จากความรู้สึกของพ่อแม่ และเพื่อน ถ้ามีการพูดว่าบริษัทนี้ดี ความรู้สึกของเราจะรู้สึกว่าคิดถูกต้องแล้ว
2. คนที่จะสมัครงานต้องคิดว่าเมื่อเข้าไปแล้วมีเวทีให้เขาหรือไม่ บ่อยครั้งที่พนักงานลาออกไม่ใช่เพราะไม่มีความสามารถหรือบริษัทไม่ดี แต่คือรู้สึกว่าไม่มีเวทีให้เขาได้โอกาสแสดงความสามารถ
3. เมื่อเข้าไปทำงานแล้ว สิ่งที่เรียนมา หรือความสามารถของเราใช้ได้ถูกทางหรือไม่ เพราะยิ่งตรงสายที่เรียนมา หรือตรงกับสิ่งที่รักและชอบก็ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
4. บริษัทนี้มีโอกาสที่จะเติบโตหรือไม่ และการเติบโตนั้นทำให้เรามีโอกาสเรียนรู้มากขึ้นหรือไม่ รวมทั้งมีโอกาสเจริญก้าวหน้าหรือไม่ หากเราต้องการเติบโตไปพร้อมๆ กับบริษัท
5. เมื่อทำงานแล้ว บริษัทมีความมั่นคงหรือไม่ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพราะทุกคนต่างก็ต้องการความมั่นใจด้วยกันทั้งนั้น
6. เงินเดือนเพียงพอหรือไม่ สวัสดิการเพียงพอหรือไม่ ซึ่งอย่างน้อยต้องเพียงพอกับความจำเป็นขั้นพื้นฐาน
7. ถ้าเราทำงานไปแล้วจะวัดผลเราด้วยวิธีไหน ยุติธรรมต่อเราหรือไม่ หรือมี KPI หรือไม่ ซึ่งจะทำให้วัดผลได้ชัดเจนกว่า
8. การเดินทางมาทำงานที่บริษัทมีความสะดวกหรือไม่
9. เมื่อมาทำงานแล้ว ใครอยู่แผนกไหน เจ้านายเราเป็นใคร และเริ่มคิดว่าเจ้านายจะมีโอกาสเข้าใจเราหรือไม่
10. เพื่อนร่วมงานในแผนกต่างๆ แต่ละแผนกใหญ่แค่ไหน เรามีโอกาสอยู่ร่วมกับเขาได้หรือไม่
ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานของมนุษย์เงิน เดือน ซึ่งบริษัทต้องไม่ปฏิเสธที่จะให้ความคิดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ พัฒนาคนให้กับบริษัท เพื่อให้คนรุ่นใหม่เกิดความกระตือรือร้น เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วม เกิดความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันได้
ในความเป็นจริงแล้ว บริษัทเลือกพนักงาน และพนักงานก็เลือกบริษัทด้วย ในเมื่อบริษัทมีความคาดหวังต่อพนักงาน เขาก็ย่อมมีความคาดหวังต่อบริษัทเหมือนกัน ซึ่งถ้าทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันได้ โอกาสแห่งความสำเร็จร่วมกันก็คงอยู่ไม่ไกลนัก
ที่มา : เว็บไซต์ pattanakit

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 87 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - ความหมายในเก้าเพลง

มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการรักพ่อ87ความหมายในเก้าเพลง

พบกับการมอบบทเพลงส่งท้ายปี ๒๕๕๕ จากการประพันธ์ของสุเวศน์ ภู่ระหงษ์ ทุกบทเพลง พร้อมกับข้อคิด ความหมายที่สอดแทรกไว้ในบทเพลง นับตั้งแต่เพลงพระภูมิพล จนถึงเพลงแหล่อนัตตา



รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

แล้วเราต้องทำงานเพื่ออะไร??

มนุษย์เงินเดือน
ต่อให้หนาวเพียงไหน จะร้อนเพียงใดก็ตาม
แม้ฝนจะกระหน่ำ เกิดพายุหนักมากมาย
แม้จะไม่สบาย หรือต้องตายคางาน
ก็ยังคงต้องทำงาน แล้วเราต้องทำงานเพื่ออะไร??
คงเพื่อตำแหน่ง...ความก้าวหน้า เงิน...ซื้อของกินดีๆ
แต่ต้องเจอกับเรื่องที่เลวร้าย และเรื่องราวที่ดีๆ
จนจิตตก...และในที่สุด หางานใหม่ที่ได้เงินเยอะๆ
นี่คือบทความหนึ่งที่ผู้เขียนบังเอิญเจอบนโลกอินเตอร์เนต (ต้องขออภัยที่จำชื่อผู้แต่งและชื่อเว็บไซต์ไม่ได้) บ้างก็เป็นข้อความหรือทำเป็นรูปภาพประกอบข้อความ เพื่อสื่อถึงชีวิตมนุษย์เงินเดือน หากใครกำลังมีชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ในขณะนี้ คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าบทความนี้คือเรื่องราวในชีวิตจริงของใครหลายๆคน
ห้ามป่วย ห้ามลา ห้ามขาด ห้ามสาย ตายได้อย่างเดียว !!
มนุษย์เงินเดือนหลายๆคนคงจะเคยเจอคำพูดเหล่านี้จากผู้เป็นหัวหน้า ลูกน้องอย่างเราหากได้ยินสโลแกนนี้จากหัวหน้าเมื่อไหร่ คงแทบอยากจะลาออกจากการเป็นพนักงานบริษัทนี้กันเลยทีเดียว ก็ทำไมล่ะ...ลูกน้องอย่างฉันก็คนนะ ร่างกายก็มีวันสึกหรอ โดนแดดโดนฝนก็ป่วยเป็น ถึงต่อให้เป็นหุ่นยนต์ก็ยังมีวันเสื่อมสภาพเลย แล้วมนุษย์อย่างเราล่ะจะป่วยบ้างไม่ได้เลยหรือ ทั้งที่พนักงานทุกคนได้รับสิทธิ์ลากิจ ลาป่วย ลาพักร้อน ตามแต่ที่แต่ละบริษัทจะกำหนด แต่พนักงานบางหน่วยงานกลับไม่ได้รับสิทธิ์นั้นตามที่มีสิทธิ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าตำแหน่งงานที่ไม่ค่อยได้รับสิทธิ์นี้คือ “พนักงานขาย” โดยเฉพาะ “Tele Sales” ที่จะต้องนั่งโทรขายของให้ลูกค้าทั้งวัน พูดจนปากเปียกปากแฉะ ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง โดนตำหนิ โดนชมบ้างตามแต่กรณีและบุคคล มิหนำซ้ำยังจะต้องนั่งโทรให้ได้จำนวน call หรือจำนวนการใช้สายตามที่บริษัทกำหนดไว้อีก หากเกิดกรณีแบบนี้แล้วมนุษย์เงินเดือนอย่างเราจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ
ใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างไรดีให้มีความสุข ?
คงต้องเริ่มจากการเปลี่ยนทัศนคติมุมมองในแง่ลบของเรา ต้องรู้จักหัดเป็นคนคิดบวก มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ไม่ว่าทุกอย่างจะเลวร้ายเพียงใดเราก็ควรมองทุกอย่างเป็นสองด้าน ขนาดเสื้อผ้ายังมีด้านนอกกับด้านใน เหรียญยังมีด้านหัวกับด้านก้อย ในทุกเรื่องก็ย่อมมีทั้งด้านดีและด้านร้ายเสมอ หากถูกหัวหน้ากดดัน ตำหนิต่อว่า ก็คิดซะว่าเขาอยากให้เราได้ดีแล้วกัน ถ้าทุกคนคิดในแง่บวกได้เช่นนี้คงจะมีความสุขกับการทำงานขึ้นเยอะเลย อย่าปล่อยให้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนเป็นเพียงการใช้หยาดเหงื่อแรงงานของเราแลกเงินไปวันๆ
"อย่าทำตัวเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ไร้ความคิด จงใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า
มองหาความก้าวหน้า และความมั่นคงในชีวิต"
ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออนาคตของตัวเราและครอบครัว อย่าสักแต่ว่าได้เงินเดือนมาก็ใช้จ่ายเรื่อยเปื่อยฟุ่มเฟือย โดยไม่คำนึงถึงความจำเป็นของสิ่งที่เราเสียเงินแลกและความเป็นอยู่ในอนาคต ลองคิดดูว่าหากไม่มีเงินออม แล้วความเป็นอยู่ในอนาคตของเราจะเป็นเช่นไร
ฉะนั้นแล้วหากเราอยากเป็นมนุษย์เงินที่มีคุณค่าและมีความสุข ต้องรู้จักใช้ชีวิตให้สนุกกับการทำงาน ปรับทัศนคติที่มีต่อทุกสิ่งให้เป็นบวก มองโลกในแง่ดี และหัดคิดอะไรสองด้านเสมอ วางแผนชีวิตการทำงานว่าจะไปถึงจุดสูงสุดที่ตำแหน่งใด ไม่ใช่ทำไปเรื่อยๆย่ำอยู่กับที่ หากเป็นเช่นนั้นคงไม่คุ้มค่ากับชีวิตเท่าไหร่ที่จะต้องเป็นลูกน้องคนอื่นเขาไปตลอดชีวิต ทางที่ดีควรวางแผนชีวิตความเป็นอยู่ไว้ด้วย หลังจากเกษียณอายุการทำงานเราจะใช้ชีวิตอย่างไร บางคนอาจจะเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวในขณะที่ยังทำงาน เพื่อเป็นรายได้อีกทางหลังจากเกษียณอายุ และสุดท้ายต้องรู้จักออมเงินเพื่อเป็นทุนในการใช้ชีวิตในภายภาคหน้า เท่านี้เราคงจะมีความสุขกับการเป็นมนุษย์เงินเดือนน่าดู
ห่วงใย
สราญจิต สมสกุล

ฟังรายการTeenplusรักพ่อ14 จากชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว จ.ชลบุรี - Djเอ๋ กนกพรรณ รัตนวิเวก

ทีนพลัสรักพ่อ14 : ชมรมวิทยุเด็ก เยาวชนฯ - Kanokpan Rattanawiwek

http://youtu.be/bKf_VlvMkQg

งานจะง่ายเป้าหมายก็สำเร็จ จากหลักปรัชญาในหลวง / คิดว่าตัวเราทำงานหนัก ได้เท่า 1 ในล้านของใคนคนหนึ่งมั้ย/ บทกวี 5 พฤษภา วันฉัตรมงคล "ทีนพลัสรักพ่อ โดย ชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว จ.ชลบุรี" ดำเนินรายการโดย ดีเจเอ๋ กนกพรรณ รัตนวิเวก, Kanokpan Rattanawiwek ส่วนหนึ่งใน โครงการผลิตรายการวิทยุรักพ่อ - กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ เมื่อ พ.ศ.2554-2556



รายการสโมสรหนอนหนังสือ 23กพ57 ดีเจ พี่มุก KKU RADIO




ฟังย้อนหลังรายการสโมสรหนอนหนังสือ พูดคุยถึงหนังสือ บทกวีนิพนธ์ รางวัลซีไรต์ประจำปี 2547
"แม่น้ำรำลึก" เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ และ หนังสือ  สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา  และติดตามกิจกรม "การอบรมเชิงปฏิบัติการศิลปะเชิงสร้างสรรค์"
โดยกลุ่มศิลป์บำบัดอาร์ทฟิลด์ ระหว่างวันที่ 1-3 มีนาคม 2557 ที่โรงพยบาลศรีนครรินทร์จังหวัดขอนแก่น
http://www.youtube.com/watch?v=14RcL2dsuq8



สโมสรหนอนหนังสือ 23กพ57 ดีเจ พี่มุก KKU RADIO









สวัสดีค่ะ .. ^^

รายการสโมสรหนอนหนังสือ
พร้อมเสริฟหนังสือดีๆ น่าอ่าน
กิจกรรมน่าสนใจ พร้อมข้อมูลข่าวสาร
มาบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ มาแล้วนะคะ

วันอาทิตย์ วันหยุดสบายๆแบบนี้
มาพูดคุยบทกวีนิพนธ์ รางวัลซีไรต์ประจำปี 2547
"แม่น้ำรำลึก" เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์

และติดตามกิจกรม "การอบรมเชิงปฏิบัติการศิลปะเชิงสร้างสรรค์"
โดยกลุ่มศิลป์บำบัดอาร์ทฟิลด์ ระหว่างวันที่ 1-3 มีนาคม 2557
ที่โรงพยบาลศรีนครรินทร์จังหวัดขอนแก่น

แฟนรายการสโมสรหนอนหนังสือ สามารถติดต่อสอบถาม
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณเศกสันต์ วิชัยพล ผู้จัดการบ้านชีวาศิลป์
ทิศทางใหม่แห่งการเยียวยาเด็กป่วยเรื้อรัง มหาวิทยาลัยขอนแก่น
หมายุเลขโทรศัพท์ 081-7941405 เศกสันต์ วิชัยพล

เวลา 13.00 - 14.00 น.แล้วพบกันนะคะ
FM 103 MHz มหาวิทยาลัยขอนแก่นค่ะ



วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

รถโดนกรีดยาง (ให้แง่คิดการให้อภัย)


ถามหนึ่งที่คนทั่วไปชอบถามเวลาเจอหน้า คือ ผมโกรธบ้างหรือไม่ ผมก็จะยิ้มๆ และตอบว่า เรายังเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ย่อมต้องมีความโกรธ แต่โชคดีไม่บ่อยนัก และเวลาโกรธส่วนใหญ่จะไม่แสดงออกทางกาย ทางวาจา คือ ความโกรธยังไม่ล้นออกมาทางคำพูดและการกระทำ ยังพอควบคุมหรือมีสติเห็นทัน ส่วนใหญ่มักจะเห็นใจที่เดือดอยู่ปุดๆ จะปุดมากปุดน้อย ก็ขึ้นอยู่กับระดับของเหตุการณ์นั้นๆ
โชคดีที่ระยะหลังๆ มานี้ ไม่ค่อยมีอาการปุดๆ ในใจเลย นานๆ จะเกิดสักที คนที่จะสามารถทำให้ผมโกรธได้ต้องเป็นคนที่เก่งมากๆ เรียกว่าต้องเป็นครูสอนธรรมะระดับเทพเชียวล่ะ
หลายปีก่อน มีเหตุการณ์หนึ่งที่เราได้ ‘เห็น’ ความโกรธชัดเจนที่วิ่งเข้ามาเยือนจิตใจ บ่ายวันหนึ่งผมต้องไปงานศพกะทันหัน ไม่ได้ทราบก่อนล่วงหน้าจึงไม่ได้เตรียมใส่ชุดดำ คนขับรถก็ลาพอดี จึงต้องขับรถกลับมาที่ทำงานเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป ปกติที่ออฟฟิศมีที่จอดรถประจำ
ปรากฏว่าวันนั้นมีคนอื่นมาจอดรถในที่ของผมเองและของบริษัทหมด วนรถอยู่นานพอสมควรเลยตัดสินใจจอดในที่ของคนอื่น เพราะเห็นว่าว่างๆ อยู่ คิดในใจว่าขออนุญาตจอดสัก 10 นาที วิ่งไปเปลี่ยนเสื้อกลับมาคงไม่เป็นไร เจ้าของที่คงยังไม่มา
พอเปลี่ยนเสื้อกลับมาที่รถ ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของที่จอดนั้น มาจอดขวางรถเราเอาไว้ แถมยังเข้าเกียร์ล็อคไว้อีกต่างหาก เลื่อนไม่ได้ ตอนแรกกะว่าจะวิ่งไปหายามให้ช่วยไปเชิญเจ้าของรถมาเลื่อนให้ แต่เกรงว่าจะไปงานศพไม่ทัน เลยตัดสินใจขึ้นรถแท็กซี่ไป
คืนนั้น กว่าจะสวดศพเสร็จ กว่าจะรํ่าลาเจ้าภาพก็ดึกพอสมควร ผมก็นั่งรถแท็กซี่กลับไปที่บ้าน ลืมเรื่องรถไปเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเดินมาที่รถซึ่งจอดเอาไว้เมื่อคืน ตาก็ต้องเบิกกว้างขึ้น เพราะยางรถแบนแต๋ดแต๋ติดพื้น 2 ล้อเลย พอเห็นยางรถแบนเท่านั้น ความโกรธก็วิ่งเข้ามาในใจอย่างรวดเร็วและรุนแรง เป็นอาการบางอย่างที่ไม่เคยเห็นอยู่ในใจ แต่พอเรามีสติเข้าไป ‘เห็น’ ความโกรธที่วิ่งเข้ามา ก็หายไปโดยฉับพลัน ความโกรธไม่มีเลย ใจกลับเป็นปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมากกับตัวเอง ส่วนใหญ่จะโกรธกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งวัน แม้จะพยายามปลอบใจตัวเองว่า อย่าโกรธ อย่าโกรธ แต่พอเผลอแว็บ ความโกรธก็จะวิ่งเข้ามาสู่ใจ
แต่พอมีสติเข้าไปเห็นทันความโกรธเท่านั้น ความโกรธเงียบหายไป จำได้ว่าโกรธอยู่เพียง 3-5 วินาทีเท่านั้น เร็วมากๆ แล้วความโกรธก็หายไป ไม่รู้หายไปไหน ไม่กลับมาอีก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ระหว่างที่ขึ้นลิฟท์จากชั้นที่จอดรถมาบนออฟฟิศ เราเกิดปัญญาบางอย่างที่จะจัดการกับเหตุการณ์นี้ด้วยสติ เป็นปัญญาที่ปกติตัวเองจะไม่สามารถคิดได้ขนาดนั้น มันเหมือนเป็นอาการสว่างวาบแล้วเกิดปัญญา ประมาณนั้น!
พอถึงออฟฟิศ ผมก็สั่งเลขาฯ ให้ไปตรวจสอบว่า เจ้าของรถทะเบียนคันที่จอดรถขวางผมคือใคร แล้วช่วยจัดดอกไม้ให้หน่อย เดี๋ยวจะเอาดอกไม้ไปให้เขา เลขาฯ ผมก็สงสัยทำไมต้องเอาไปให้ เขามากรีดยางรถผมแท้ๆ
ไม่ใช่แค่เลขาฯ เท่านั้นที่โกรธแทน พนักงานทั้งออฟฟิศโกรธกันหมด พนักงานวิ่งส่งเอกสารวิ่งมาเลย บอกว่านายๆ เดี๋ยวผมจะเอาไม้ไปทุบกระจกรถมันดีไหม ยามของอาคารก็วิ่งขึ้นมาบอกว่า คนที่กรีดยางรถผมเป็นฝรั่งเจ้าของบริษัททัวร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย เขาทำอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว โดนกันหมด ทั้งกรีดรถ กรีดยางรถ โดนกันประจำ เขาเป็นคนนิสัยแบบนี้
ผมบอกทุกคนว่า ใจเย็นๆ รถผมเอง ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไร อย่าโกรธนะ..
แล้วผมก็เอากระเช้าดอกไม้ขึ้นไปที่ออฟฟิศเขา ซึ่งตลกมากเพราะอยู่ตรงกันข้ามกับสำนักพิมพ์ดีเอ็มจีซึ่งผมเช่าไว้คนละชั้นกับออฟฟิศบริษัทประชาสัมพันธ์ คิดอยู่ในใจว่า อืม..ออฟฟิศอยู่ตรงข้ามกัน อยู่ชั้นเดียวกันแท้ๆ ยังมาทำกันขนาดนี้! ผมพยายามจะขอพบเขา แต่เขาไม่ออกมาพบ ส่งจีเอ็มคนไทยและพนักงาน 2-3 คนยืนทำหน้าถมึงขึงขังกันอยู่หน้าออฟฟิศ แล้วถามผมว่าคุณใช่ไหมจอดรถทับที่เจ้านายเขา โวยวายกันใหญ่ แต่เขาคงไม่รู้ว่านายเขากรีดยางรถผม
ผมไม่ได้รับเชิญให้นั่ง และได้รับการยืนยันว่านายเขาไม่ออกมาพบแน่นอน ปล่อยให้ยืนถือดอกไม้อยู่อย่างนั้น ผมยืนอยู่สักพักหนึ่งเห็นว่าคุณฝรั่งคนนั้นไม่ออกมาแน่ เลยอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้ลูกน้องเขาฟัง พอทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มเปลี่ยนท่าที เชิญให้ผมนั่ง ดูเหมือนว่าตกใจที่นายเขามากรีดยางรถเรา
ผมบอกว่าตั้งใจเอาดอกไม้มาขอโทษเจ้านายคุณ สำหรับสิ่งที่ผมผิดพลาดในการจอดรถทับที่ของเขาเมื่อบ่ายวานนี้ แต่ผมมีเหตุจำเป็น คือ ต้องรีบไปงานศพ และที่จอดรถของผมและของบริษัทฯ มีรถจอดเต็มทั้งหมด และสิ่งที่อยากขอร้องคือ เราอยู่ในตึกเดียวกัน น่าจะพูดกันดีๆ ไม่น่าจะต้องมาทำ
อะไรแบบนี้ หากเขาไปทำกับคนอื่นคงเดือดร้อน แต่สำหรับผม ผมไม่เดือดร้อน มีคนคอยดูแลเอารถไปเปลี่ยนยางได้ อย่างไรก็ตาม ผมฝากคำขอโทษไปถึงนายคุณด้วย
พูดจบแค่นั้น ผมก็ขอตัวลงมาทำงาน ปรากฏว่าก่อนเที่ยงวันเดียวกัน เลขาฯ และทีมงานเฮกันลั่นออฟฟิศ เพราะได้รับตะกร้าผลไม้ใหญ่มากพร้อมแชมเปญยี่ห้อแพงจากฝรั่งคนนี้ (เสียดายไม่ดื่ม!) เลขาฯ หัวเราะมากกว่าคนอื่น เพราะสารภาพว่าไม่ได้สั่งดอกไม้ แต่ไปเอากระถางต้นไม้ในครัวมาผูกโบว์ โชคดีที่มีฝีมือเลยออกมาสวยงามพอให้ผมถือไปมอบให้เขาได้ ลงทุนไม่ถึงร้อยบาท แต่ได้รับกลับคืนมามากกว่าหลายเท่า
แต่สิ่งที่ผมถือว่าเป็นรางวัลแท้จริง คือ ข้อความในจดหมายที่แนบมา (อุตส่าห์ส่งสาส์นรัก Love Note มาด้วย) เขาบอกว่าทุกครั้งที่เขาได้ ‘สั่งสอน’ คนไทยที่ไม่มีระเบียบวินัย ชอบมาจอดรถในที่ของเขา และไปทำแบบนี้ จะรู้สึก ‘สะใจ’ เหมือนว่าได้ Give them a lesson! คือให้บทเรียนกับคนที่ไม่มีวินัยแบบนี้ ยิ่งมีการมาโวยวายกันมากเท่าไร เขายิ่งรู้สึกสะใจมากขึ้นว่าบทเรียนที่ให้ไปนั้นได้ผล ทำให้คนไทยสำนึก
แต่เขาบอกว่า ผมมาแปลกที่เอาดอกไม้มาขอโทษ แถมยังอธิบายเหตุผลด้วย และได้เห็นตัวอย่างว่า ผมก็ไม่โกรธที่มีคนอื่นมาจอดรถทับที่ผม ทั้งที่สองบริษัทฯ ผมดูแล้วน่าจะมีที่จอดมากกว่าบริษัทเขาบริษัทเดียว สรุปแล้ว เขารู้สึกสำนึกว่าไม่ควรทำเรื่องแบบนี้ เขารู้สึกไม่ดีและอยากขอโทษ เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่รู้สึกแบบนี้
ในย่อหน้าสุดท้าย เขาบอกว่าในฐานะที่ผมทำบริษัทประชาสัมพันธ์ เขาก็เป็นบริษัททัวร์ชั้นนำ ขอมาเป็นลูกค้าได้หรือไม่ สรุปว่า จากการที่เราเจอเหตุการณ์แย่ๆ เราสามารถพลิกให้คนสำนึกได้ด้วยตนเอง และยังแถมมาเป็นลูกค้าอีก เป็นอานิสงส์ของสติจริงๆ
ผมไม่ได้รับเขามาเป็นลูกค้า ไม่ใช่ว่ากลัวจะโดนอะไรอีก แต่เผอิญตอนนั้นเรามีลูกค้าเต็มมืออยู่แล้ว และหลังจากนั้น เหตุการณ์การกรีดยางรถ กรีดรถรอบคันในที่จอดรถของอาคารก็ไม่มีอีกต่อไป…
ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด ใครเชิด ใครชู ช่างเขา
ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ
ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

จะหยุดไหม...


1. หยุดเสียเวลากับคนที่ “ไม่ใช่” – Life is too short
2. หยุดหนีปัญหา – ไม่มีใครแก้ปัญหาได้ทันที แต่เราต้องไม่หนี
3. หยุดโกหกตัวเอง – You can’t lie to yourself
4. หยุดแบกกิเลส – มันเหนื่อยเปล่า
5. หยุดความพยายามอยากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง – Be the real you
6. หยุดโหยหาอดีต – มันทำให้เราเริ่มใหม่ไม่ได้
7. หยุดกลัวผิด – ชีวิตมีไว้ให้เรียนรู้
8. หยุดรันทดอดีตที่พลาดไป – ผิดเป็นครู รู้ไว้เพื่อก้าวต่อเท่านั้นพอ
9. หยุดซื้อความสุข – ความสุขนั้นเป็นของฟรี ไม่ต้องซื้อหา แค่ยิ้ม แค่ขำก็เหลือๆ
10. หยุดหาความสุขจากคนอื่น – มันอยู่ที่ในตัวเอง หาไปทำไม
11. หยุดซึมกระทือ – ไม่ต้องคิดมาก โง่ๆไปบ้างก็ได้ สบายดี
12. หยุดคิดว่าตัวไม่พร้อม – ในโลกนี้ไม่มีใครพร้อม 100%
13. หยุดความสัมพันธ์ผิดๆ – It’s better to be alone than to be in bad company
14. หยุดแข่งกับชาวบ้าน – การแข่งขันที่เจ๋งสุด คือ แข่งกับตัวเอง
15. หยุดอิจฉาชาวบ้าน – นั่งนับความสำเร็จของคนอื่นมันเมื่อย
16. หยุดโกรธ – ไม่ควรมีชีวิตภายใต้ความเกลียดชังในหัวใจ มันเพลีย
17. หยุดให้คนอื่นลากไปในที่อับแสง – อย่าลดมาตรฐานตัวเองตามคนไม่มีคุณภาพ
18. หยุดอธิบายตัวเอง – เพื่อนยังไม่อยากจะฟัง คนอื่นไม่อยากจะเชื่อ ทำตามใจอยากไป
19. หยุดไถนาวันละสองร้อยไร่ – หายใจหายคอกันบ้าง ถอยสักก้าว ท้องฟ้าแจ่ม ทางชัด
20. หยุดมองข้ามความละเมียด – สิ่งเล็กๆน้อยๆสวยงามมีเยอะ มันดีนักแล ชุ่มชื่นใจดี
21. หยุดสมบรูณ์แบบ – พวก perfectionist นั้นเป็นโรคประสาทมานักต่อนัก
22. หยุดมักง่าย – ชีวิตไม่ได้ง่ายแบบนั้น เลือกทางพิเศษดีๆให้ตัวเอง
23. หยุดหลอกตัวเอง – ไม่ต้องทำเข้มแข็ง ทั้งที่อ่อนแอ ไม่ฝืนถ้าจะร้องให้ ซวยให้้ว่าซวย
24. หยุดกล่าวโทษ – ไม่ต้องเลี่ยงความรับผิดชอบ คนอื่นจะกินตับเอา
25. หยุดเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคน – It’s impossible ท่องไว้ focus! focus! focus!
26. หยุดกังวล – มันไม่ได้ล้างภาระในอนาคตให้หมดไป แต่มันทำลายปัจจุบันที่ดีๆ
27. หยุดเนรคุณ – คนเราตื่นมายังต้องขอบคุณวันดีๆที่ทำให้เรายังมีชีวิตอยู่
พอละกระมัง..

เรื่องของพิษที่มีอยู่ใน "มะเฟือง"

หลายเสียงเล่าลือกันถึงเรื่องของพิษที่มีอยู่ใน "มะเฟือง" ส่งผลทำให้มีอันตรายถึงชีวิตจากภาวะไตวายเฉียบพลัน

เพื่อให้คลายสงสัย รศ.นายแพทย์ ม.ล.ชาครีย์ กิติยากร อายุรแพทย์ หน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความกระจ่างว่า

มะเฟืองเป็นผลไม้เขตร้อนที่คนไทยรู้จักมา เนิ่นนาน แต่ในจำนวนคนไทย 67 ล้านคน มีน้อยคนนักที่จะทราบว่าพิษของมะเฟืองมีผลต่อสุขภาพของไตและอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้

"ไต" เป็นอวัยวะหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อระบบในร่างกายของเรา มีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วเหลือง มี 2 ข้างอยู่บริเวณบั้นเอว ไตเป็น ส่วนหนึ่งของระบบทางเดินปัสสาวะ ส่วนที่ต่อจากท่อไต (URETER) ซึ่งจะนำปัสสาวะเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ และเข้าสู่ท่อปัสสาวะ (URETHRA) ในเพศชายจะมีต่อมลูกหมากอยู่โดยรอบท่อปัสสาวะ

หน้าที่สำคัญของไต
1. ขับถ่ายของเสียที่เกิดจากการแตกตัวของโปรตีนในอาหารออกจากร่างกาย
2. รักษาสมดุลของน้ำ เกลือแร่ กรดและด่างของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
3. ควบคุมความดันโลหิต
4. สร้างฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก

ความหมายของภาวะไตวาย คือ ภาวะที่มีการสูญเสียการทำงานของไต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

1. ไตวายเรื้อรัง คือการสูญเสียการทำงานของไต ที่เป็นไปอย่างช้าๆ และถาวรช่วงเวลาอาจตั้งแต่ 1–2 ปี จนถึง 10 ปีขึ้นไป จนในที่สุดเข้าสู่ภาวะสุดท้ายของไตวาย (END STAGE RENAL FAILURE)

ซึ่งหมายถึง ภาวะที่ต้องการการรักษาแบบทดแทน เช่น ฟอกเลือด, เปลี่ยนไตเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้

2. ไตวายเฉียบพลัน ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นชั่วโมง หรือ เป็นวัน ทำให้เกิดการคั่งของของเสียทำให้เกลือแร่ กรด ด่าง และการควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายผิดปกติ

"ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีปริมาณปัสสาวะต่อวันน้อยกว่า 400 ซีซี"

รศ.นายแพทย์ ม.ล.ชาครีย์ กล่าอีกว่า สาเหตุของไตวายเฉียบพลัน มีหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่ เกิดจากความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย...การอุดตัน ผู้ป่วยที่ช็อกจากการติดเชื้อ, เสียเลือดจำนวนมาก หรือขาดน้ำอย่างรุนแรงจากท้องเสีย

การใช้คำว่า "เฉียบพลัน" นอกจากบ่งถึงช่วงเวลาระยะสั้นที่เกิดขึ้นแล้ว ยังบ่งถึงความเป็นไปได้ ที่ไตจะกลับสู่ภาวะปกติได้

คนไทยรู้จักมะเฟืองมานาน นิยมรับประทานเป็นผลไม้สด หรือคั้นเป็นน้ำผลไม้ หรือรับประทานผลดิบเป็นผัก เช่น ในอาหารเวียดนาม

"ใน บ้านเรามีรายงานเกี่ยวกับคนไข้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันหลังการรับประทานผลสด หรือน้ำมะเฟืองจำนวนมากเนื่องจากมะเฟืองเป็นพืชที่มีสารออกซาเลตสะสมอยู่ เป็นจำนวนมากปกติแล้วออกซาเลตสามารถละลายและถูกดูดซึมได้อย่าง อิสระ แล้วถูกขับออกทางไต โดยสาเหตุของไตวายเฉียบพลันนั้น เพราะไตเป็นแหล่งที่มีสารต่างๆหลายชนิด เมื่อสารออกซาเลตในมะเฟืองจับตัวกับแคลเซียมที่อยู่ในไต จะกลายเป็นผลึกนิ่วออกซาเลตผลึกนิ่วจำนวนมากตกตะกอน หรืออุดตันในเนื้อไตและท่อไต ทำให้ไตวายหรือสูญเสียการทำงานไป"

แต่กระนั้นการเกิดภาวะไตวายไม่ได้เกิดกับผู้ป่วยทุกราย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณที่รับประทาน และภาวะพร่องหรือขาดน้ำในผู้ป่วย

หน่วยโรคไต โรงพยาบาลรามาธิบดี เคยพบกรณีคนไข้ในประเทศไทยมีอาการไตวายเฉียบพลัน จากการได้รับภาวะพิษจากการรับประทานผลมะเฟือง และได้ส่งรายงานไปต่างประเทศ

ผู้ป่วยที่มีภาวะพิษต่อไต เกิดขึ้นในหลายชั่วโมงถัดมา หลังรับประทานผลมะเฟือง ผู้ป่วยจะมาด้วยภาวะไตวายเฉียบพลัน กล่าวคืออาจจะมีปัสสาวะออกน้อยลง, บวมน้ำ, ความดันโลหิตสูงขึ้น, น้ำท่วมปอด, อ่อนเพลีย หรือบางรายอาจมาด้วยอาการสะอึก เนื่องจากของเสียในร่างกายคั่ง จากการที่ไตไม่สามารถขับของเสีย และน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายได้ และอาจจะต้องได้รับการฟอกเลือดล้างไตในที่สุด

ถ้ามีภาวะไตวายเฉียบพลันเกิดขึ้น หลังหยุดรับประทานมะเฟืองผู้ป่วยเดิมที่มีไตปกติ กว่าไตจะกลับมาทำงานได้ตามปกติอาจใช้เวลานาน ประมาณ 3-4 สัปดาห์ แต่หากเป็นผู้ป่วยที่มีโรคไตเดิมอยู่ก่อนแล้ว การทำงานของไต อาจจะดีขึ้นบ้าง แต่ไม่กลับมาเท่าเดิม และอาจจะต้องฟอกไตถาวร

ผลการศึกษาปัจจัยการเกิดโรค พบว่าขึ้นอยู่กับชนิดมะเฟือง มะเฟืองเปรี้ยวมีโอกาสเกิดโรคมากกว่ามะเฟือง ชนิดหวาน เนื่องจากมีปริมาณกรดออกซาลิคมากกว่า

"ถ้ารับประทานผลสด หรือผลไม้คั้น จะมีโอกาสเกิดโรคมากกว่า แต่ถ้าผ่านการดอง หรือแปรรูปหรือเจือจางในน้ำเชื่อม เช่น ในน้ำมะเฟืองสำเร็จรูป จะทำให้ปริมาณออกซาเลตลดน้อยลง"

ปริมาณที่รับประทาน พบว่าระดับออกซาเลต ที่เป็นพิษต่อร่างกายมีค่าตั้งแต่ 2-30 กรัมของปริมาณออกซาเลต ผลมะเฟืองเปรี้ยวมีออกซาเลต ประมาณ 0.8 กรัม ในขณะที่มะเฟืองหวานมีออกซาเลต 0.2 กรัม

สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคไตอยู่เดิมอาจมีไตวายเฉียบพลัน จากการรับประทานมะเฟืองเพียงเล็กน้อย

นอกจาก นี้ ระดับความรุนแรงยังขึ้นอยู่กับภาวะพร่องหรือขาดน้ำ จากการรายงานผู้ป่วยที่มีภาวะไตวายหลังรับประทานมะเฟือง พบว่าผู้ป่วยดื่มน้ำมะเฟืองหลังจากการทำงานหนักหรือสูญเสียเหงื่อมาก จะยิ่งมีโอกาสเกิดโรคมากขึ้น เนื่องจากผลึกแคลเซียมออกซาเลตจะอิ่มตัว และตกผลึกง่ายขึ้นในเนื้อไต

ในผู้ที่มีไตเรื้อรังอยู่ก่อนโดยเฉพาะ ผู้ที่ไตวายต้องล้างไตแล้ว มะเฟืองมีผลต่อระบบประสาทด้วย มีรายงานในผู้ป่วยกว่า 50 รายทั่วโลก...มะเฟืองอาจมีสารที่เป็นพิษกับระบบประสาท ซึ่งผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไปจากการที่สมองบวม จากการที่มีผลึกนิ่วออกซาเลตไปเกาะสมอง

หรือการที่มะเฟืองมีสารพิษ อื่นที่กระตุ้นสมอง สารพิษต่อสมองนี้จะสะสมในภาวะไตวาย ดังนั้นการเกิดพิษลักษณะนี้พบได้น้อยมากในคนปกติ และผู้ป่วยมักต้องรับประทานผลมะเฟืองเป็นจำนวนมาก

"ผู้ป่วยไตวายอาจ มีอาการทางสมองหลังรับประทานมะเฟืองทั้งชนิดหวานและชนิดเปรี้ยว เพียงหนึ่งผล อาการมักเริ่มไม่กี่ชั่วโมงหลังรับประทานมะเฟือง โดยผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน สะอึก ตามด้วยภาวะซึมหรือชักผู้ป่วยส่วนใหญ่จะดีขึ้นหลังหยุดรับประทานมะเฟือง หลังการล้างไตเพื่อเอาพิษมะเฟืองออกอย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตหลังรับประทานมะเฟือง"

น่าสนใจที่ว่า ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ยินข่าวผู้ป่วยจากพิษมะเฟือง เป็นไปได้ ว่าที่ผ่านมามะเฟืองไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก ผลผลิตมะเฟืองในแต่ละปีก็มีจำนวนไม่มากอย่างผลไม้อื่นๆ คนส่วนใหญ่จะรับประทานในปริมาณน้อย และไม่รับประทานมะเฟืองเปรี้ยว

แต่ ในช่วงหลังๆมานี้ได้มีบทความแพร่ทางสื่อออนไลน์ชวนให้รับประทานมะเฟืองสด โดยชี้แนะประโยชน์ทางสุขภาพ เช่น ลดน้ำตาลในเลือด หรือช่วยรักษาโรคอื่นๆ จึงอาจทำให้มีคนเชื่อ หันมาบริโภคมะเฟืองกันมากขึ้น

ปัจจุบันยัง ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ระบุชัดเจนถึงประโยชน์ของมะเฟือง ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง มะเฟืองสดเป็นผลไม้ที่น่าจะเกิดโทษกับผู้ที่รับประทานมากเกินกว่าที่ร่างกายจะทำลายพิษได้

และขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้บริโภคที่มีความเสี่ยง ต่อภาวะไตวาย ผู้บริโภคสุขภาพปกติทานได้แต่ในปริมาณไม่มากผู้ป่วยที่มีนิ่วในไตควรหลีก เลี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีไตเสื่อม หรือมีความเสี่ยงต่อโรคไต ห้ามทานมะเฟืองทั้งเปรี้ยวและหวานเด็ดขาด

คุณหมอชาครีย์ย้ำทิ้งท้าย ว่าโรคไตมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ผู้รักสุขภาพควรเอาใจใส่ต่อโภชนาการที่เหมาะสม และตรวจสุขภาพไตเป็นประจำทุกปี

ขอบคุณข้อมูลจาก รศ.นายแพทย์ ม.ล.ชาครีย์ กิติยากร อายุรแพทย์ หน่วยโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
#RamaChannel

คน 5 ประเภท ในโลกของการเปลี่ยนแปลง


เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นทั้งเล็กใหญ่ ก็มักจะมีคนอยู่ 5 ประเภท ดังต่อไปนี้ ที่มีพฤติกรรมแตกต่างกันไป

1. คนที่ลงมือทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
2. คนที่เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลง
3. คนสงสัยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง
4. คนที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และ
5. คนไม่เคยรับรู้การเปลี่ยนแปลงใดๆ

ซึ่งก็พอจะอธิบายความหมายของคนแต่ละประเภทได้พอสังเขป ดังต่อไปนี้

คนที่ลงมือทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เทียบเคียงกับคำในภาษาอังกฤษแล้ว อาจจะตรงกับคำว่า เป็นคนประเภท Proactive คนประเภทนี้มักเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ รู้จักมองการณ์ไกล เป็นคนที่ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท มีการเตรียมพร้อมอยู่เสมอ และมักเป็นคนที่กระตือรือร้น มักเป็นผู้ชิงลงมือทำก่อน มีภาวะผู้นำสูง (ไม่เกี่ยวกับสถานะของตำแหน่ง) มักกล้าตัดสินใจและลงมือทำสิ่งที่ควรทำ โดยไม่ต้องมีใครมาบอกให้ทำ

คนประเภทนี้มักรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี เพราะหลายสิ่งหลายอย่างเขาได้ลงมือทำ ลงมือเตรียมการไปก่อนหน้านั้นแล้ว เช่น ถ้าเป็นเจ้าของกิจการ SMEs เขาก็จะปรับปรุงระบบการบริหารจัดการให้เป็นสมัยใหม่ มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จำเป็นและเหมาะสมมาใช้ หรือปรับปรุงหน้าร้านให้เป็นแบบสมัยใหม่ (Modern Trade) นำระบบลอจิสติคส์ (Logistics) มาใช้ มีการเก็บข้อมูลทั้งข้อมูลลูกค้า ข้อมูลสินค้าคงคลังด้วยระบบคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ ฯลฯ และทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ พวกเขาได้ตระเตรียมลงมือทำไว้ตั้งแต่พวกบรรษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติยังไม่ได้เข้ามาอาละวาด

ถ้าเป็นนักขาย นักขายที่เป็นคนประเภท Proactive นี้ เขาก็อาจจะปรับปรุงและพัฒนาตนเองในเรื่องของภาษาต่างประเทศ เพื่อขยายฐานลูกค้าเป้าหมายที่เป็นชาวต่างชาติให้กว้างขวางขึ้น การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อจัดเก็บข้อมูลลูกค้า การวางแผนการทำงานที่เป็นมืออาชีพมากขึ้น นักขายประกันชีวิตเขาก็จะพัฒนาตนเองไปเป็นที่ปรึกษาการลงทุน ที่ปรึกษาทางการเงิน เรียนรู้เรื่องของตลาดทุน ตลาดเงิน ให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ฯลฯ

คนที่เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลง ถ้าเทียบเคียงกับภาษาอังกฤษแล้ว ก็อาจตรงกับคำว่าเป็นพวก Reactive คือเป็นพวกที่รู้อะไรเป็นอะไรทุกอย่างหมด บางครั้งก็คาดการณ์การณ์ล่วงหน้าได้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ยังขาดความมั่นใจ ขาดความเด็ดขาด ขาดความกล้าที่จะตัดสินใจ และขาดความกล้าที่จะลงมือทำอะไร จึงได้แต่เฝ้าดูไปก่อน หากจะลงมือทำอะไรไปบ้างก็จะทำเท่าที่จำเป็น หรือรอดูให้คนอื่นเขาลงมือทำนำร่องไปก่อน ครั้นเห็นว่าดี เห็นว่าได้ผล จึงค่อยทำตามอย่างเขา บางคนจะลงมือทำอะไรสักอย่างก็ต่อเมื่อเห็นว่าจำเป็นที่จะต้องทำแล้วจริงๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นแหละ เขาจึงจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าโชคดี ทันเวลาพอดีก็ดีไป แต่ถ้าโชคไม่ดี กว้าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ ก็อาจไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว อย่างพวกบรรดาร้านโชห่วย ที่เสียชีวิตกันไปเกือบหมดแล้วนั่นเป็นตัวอย่าง

คนที่สงสัยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง อาจเรียกเป็นภาษาอังกฤษได้ว่าเป็นพวก Preactive คือเป็นพวกที่รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ไอ้ที่รู้บ้างนั้น บางครั้งก็รู้มาไม่จริง ไอ้ที่พอจะรู้จริงก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ ไอ้ที่พอจะเข้าใจก็รับไม่ได้ ไอ้ที่พอจะรับได้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แล้วก็ไม่ยอมดิ้นรนที่จะหาข้อมูลข่าวสารอะไรเพิ่ม พอใจที่จะทำแบบเดิมๆ คิดและทำแบบนักอนุรักษ์นิยม ระแวงสงสัยไปหมด ระมัดระวังตั้งการ์ดสูงจนไม่เป็นอันทำอะไร พวกนี้มีชีวิตอยู่ด้วยความสับสน งุนงง ไม่รู้ว่าจะทำชีวิตอย่างไร ไม่รู้ว่าควรไปทางไหนดี จึงในที่สุดก็เลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย ทำมันไปในแบบเดิมๆ เพราะคิดว่าการไม่ทำอะไรเลยเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

คนที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง หรือที่เรียกว่าพวก Antiactive พวกนี้นอกจากจะไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงเหมือนพวกที่สงสัยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว ยังต่อต้านการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย วันๆหนึ่งคนพวกนี้จะนั่งด่านั่งว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเปลี่ยนแปลง บางครั้งก็ทำทุกวิถีทางที่จะขัดขวางคนอื่นที่เขากำลังจะเปลี่ยนแปลงอะไรด้วย เช่น คนบางคนที่มีจมูกคล้ายลูกชมพู่ กับคนบางคนที่มีฉายาว่าข้าวบูดหน้าจืด ที่ยังหน้าด้านออกทีวีทุกวันเพื่อด่าคนทุกคนที่กำลังทำสิ่งที่สร้างสรรค์ต่อสังคมประเทศชาติ โชคดีที่พวกขี้เรื้อนสองคนนี้โดนกระแสความเปลี่ยนแปลงถีบตกจอทีวีไปแล้ว

คนที่ไม่เคยรับรู้การเปลี่ยนแปลงใดๆ หรือพวก Inactive คือเป็นพวกที่เฉื่อยชา เฉื่อยแฉะไปวันๆ คนพวกนี้ไม่สนใจอะไรอื่นนอกจากเรื่องของตัวเอง แล้วไอ้เรื่องของตัวเองที่เขาสนใจก็ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น เช่น วันหนึ่งๆเขาก็จะยุ่งอยู่แต่เรื่องการกินการอยู่ประจำวัน วันนี้จะไปเที่ยวไหนดี จะไปกินที่ไหนดี วันนี้จะไปเที่ยวไล่ปล้ำคนไหนดี วันพรุ่งนี้จะไปเที่ยวไล่ปี้คนไหนกัน วันๆ หนึ่งคิดแต่เรื่องแทงหวย เปียร์แชร์ ยืมเงินชาวบ้าน มือถือรุ่นล่าสุด ฯลฯ มีชีวิตอยู่ด้วยการหายใจไปวันๆเท่านั้น คนพวกนี้นี่แหละครับที่ผมเคยเปรียบเปรยเอาไว้ว่าแม้เอาไปทำปุ๋ย บรรดาต้นไม้ยังไม่ยอมให้เอามารดเลย

สังคมไดก็ตาม องค์กรใดก็ตาม หรือแม้แต่คนใดคนหนึ่งก็ตาม จะสามารถยืนหยัดทรงกายอยู่ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงปัจจุบันได้ดีหรือไม่เพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับว่าสังคมนั้น องค์กรนั้น มีคนประเภทไหนมากน้อยเพียงใด จากประสบการณ์ของผม ถ้ามองเพียงระดับองค์กร มักจะพบว่ามีคนประเภท Proactive อยู่น้อยมาก มีอยู่ราวๆ 5-10% เท่านั้นเอง ส่วนคนประเภท Reactive มักจะมีอยู่ราว 40-50% (มากที่สุด) สำหรับคนประเภท Preactive ก็คงในราว 20-30% คนประเภท Antiactive ก็น่าจะมีอยู่ประมาณ 10-20% และพวก Inactive ก็อาจจะอยู่ในราว 10% ทุกองค์กร ทุกสังคม ต้องพยายามสร้างให้มีคนประเภท Proactive ให้มากที่สุด และต้องพยายามขจัดคนประเภท Antiactive และ Inactive ให้มีน้อยที่สุด เพราะคนสองสามกลุ่มที่ว่านี้ มักจะมีอิทธิพลกับอีกสองกลุ่มที่เหลือ (พวก Reactive และพวก Preactive) เพราะสองกลุ่มที่เหลือนี้ มักจะแปรผันขึ้นหรือลงได้ แล้วแต่ว่าจะโดนกลุ่มไหนดึงดูดไป

ทฤษฎี “Survival of the fittest” ของ Charles Darwin นั้น มีความหมายว่า “ไม่ใช่คนที่แข็งแรงที่สุดหรอก จึงจะอยู่รอด คนที่ยืดหยุ่นปรับตัวได้ดีต่างหากที่จะอยู่รอดได้!”

ท่านล่ะ ท่านคิดว่าตัวเองเป็นคนประเภทไหนในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้?

38 ภาพบรรยากาศ วันเปิดโครงการขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมืองต่อเนื่องปี 5

 โครงการขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมืองต่อเนื่องปี 5
 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ จาก กองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์
ระหว่าง 2 มกราคม 2557- 30 กันยายน 2557 รวม 117 วัน ณ สนามกีฬาโรงเรียนทุ่งศรีเมืองประชาวิทย์ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์


โครงการขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมืองต่อเนื่องปี 5 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ จาก กองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์
2 มกราคม 2557- 30 กันยายน 2557 รวม 117 วัน
ณ สนามกีฬาโรงเรียนทุ่งศรีเมืองประชาวิทย์
อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ วันเปิดโครงการ 21 ก.พ.2557





ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ขยับกายสบายชีวีกลุ่มทุ่งศรีเมือง กาฬสินธุ์

ปลูกอะไร…ก็จะได้อย่างนั้น


นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มแก่ตัวลง และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือ ลูกของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่แตกต่างออกไป
เขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆในบริษัทของเขามารวมกัน และพูดว่า “ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วล่ะ” “และฉันก็จะตัดสินใจเลือกคนหนึ่งในพวกคุณนี่แหละ” พวกหนุ่มต่างรู้สึกช็อค เขาพูดต่ออีกว่า “วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ด เป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ นับจากวันนี้ไปอีก 1 ปี และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบโตขึ้น ที่พวกคุณนำมาให้ผม คนที่ผมเลือก จะได้เป็น CEO คนต่อไป”
นักบริหารหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ จิม เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มๆที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น เขาได้รับเมล็ด มา 1 เมล็ด และนำกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น เขาบอกภรรยา และช่วยกันเตรียมกระถาง ดิน และปุ๋ย เพื่อเตรียมปลูกต้นไม้ พวกเขาดูแลรดน้ำอย่างดี
ผ่านไปสามสัปดาห์ พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่นได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพืชที่เขาได้รับและเริ่มเจริญเติบโต แต่จิมก็เฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา .. 3 สัปดาห์ผ่านไป .. 4 สัปดาห์ ผ่านไป.. 5 สัปดาห์ ผ่านไป ก็ยังไม่เห็นอะไรในกระถาง
ตอนนี้หนุ่มๆได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว แต่จิมไม่มีอะไรจะพูด เพราะเขาไม่เห็นต้นไม้ของเขา เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว ผ่านไป 6 เดือน ก็ยังไม่มีอะไรงอกขึ้นมา เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาได้ทำลายเมล็ดนั้นไปซะแล้ว
ทุกๆคนมีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นจิมที่ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ยังคงเฝ้าดูแลรดน้ำต่อไป
ผ่านไปครบ 1 ปี ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ไปให้ CEOได้ตัดสิน… จิมพูดกับภรรยาว่า “ผมจะไม่เอากระถางเปล่าๆใบนี้ไปแน่” ภรรยาบอกเขาว่าให้พูดความจริงออกไปว่ามันเป็นยังไง จิมรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไปหมด เป็นวินาทีที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆ เข้าไปในห้องที่ได้นัดหมายกันไว้
เมื่อจิมมาถึง เขาแปลกใจมากว่า ทำไมต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรงกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของจิม ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ
เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆคน จิมได้แต่แอบหลบอยู่ข้างหลังห้อง “โอ ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน เอาละ หนึ่งในพวกคนจะได้เลื่อนเป็นCEO กันวันนี้แหละ”
พอท่านประธานเห็นกระถางของจิม ที่อยู่ข้างหลังห้อง เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกจิมขึ้นมาข้างหน้า จิมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และเขาอาจจะถูกไล่ออก
เมื่อจิมเดินมาหน้าห้อง ท่านประธานก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ” จิมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลง ยกเว้นจิม
ท่านมองมาที่จิมและก็ประกาศว่า “CEO คนต่อไปก็คือ……. จิม”
จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO ได้อย่างไร และแล้วท่านประธานก็พูดว่า “เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกคน ให้พวกคุณดูแลรดน้ำมันทุกๆวัน แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้ว ดังนั้น มันจะงอกเป็นต้นไม้ได้อย่างไร พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม นำต้นไม้ที่สวยงามมาให้ผม นี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่าเมล็ดมันไม่งอก พวกคุณก็เอาเมล็ดอื่นปลูกแทนน่ะสิ จิมเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้มาให้ผม” “ ดังนั้น ผมจึงแต่งตั้ง จิม ให้เป็น CEO คนต่อไป”
คติธรรม ที่ได้ …
เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ
เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดลออ
เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี
ดังนั้น … ตรองดูสักนิดว่าคุณจะปลูกอะไร คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้.

สูญเสียเพื่อที่จะได้รับ


เศรษฐีคนหนึ่งต้องสูญเสียเงินทั้งหมดไปกับการค้า แถมยังเป็นหนี้สินอีกมาก เขาจึง้องขายบ้านและรถ แต่ก็ยังใช้หนี้ไม่หมด ในช่วงเวลาแห่งความยกจนข้นแค้นนั้น เขาต้องต่อสู้อย่างโดยเดี่ยว มีเพียงหมาแสนรักร่วมเผชิญชะตากรรมกับเขา

ในคืนที่หิมะตกหนัก เขาเดินทางไปหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาหลบหิมะเข้าไปในกระท่อมและใช้ไม้ขีดไฟจุดไฟขึ้นและเตรียมอ่านหนัสือ แต่บังเอิญมีลมพัดมาทำให้ไฟดับ รอบกายมีแต่ความืดมิด อดีตเศรษฐีตกอยู่ในความมืดอย่างเดียวดาย ทำให้มีความรู้สึกสิ้นหวังแว่บเข้ามาถึงกับจะฆ่าตัวตายแต่ยังดีที่มีหมาคู่ใจอยู่เคียงข้างคลอยเป็นเพื่อน จึงได้แต่ถอนหายใจและข่มตาหลับ
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาพบว่าหมาของเขาถูกฆ่าตายอยู่หน้ากระท่อม เขาก็มีความคิดอยากฆ่าตัวตายอีกครั้งเนื่องจากไม่มีอะไรต้องอาลัยอาวรณ์อีกแล้ว เขาจึงกวาดตามองสรรพสิ่งบนโลกนี้เป็นครั้งสุดท้าย
เขาพบว่าทั้งหมู่บ้านเงียบจนน่ากลัว เมื่อเดินออกไปเรื่อยๆพบว่าคนในหมู่บ้านถูกฆ่าตายหมด ทำให้เดาได้ว่ามีโจรมาบุกปล้นเมื่อคืนและถูกฆ่าตายทุกคน อดีตเศรษฐีจึงคิดได้ว่า ข้าเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของทีนี่ ถือว่าประเสริฐนักจึงควรมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้ข้าจะเสียสัตว์ที่แสนรักไป แต่ก็ได้ชีวิตกลับคืนมา นี่คือสิ่งที่ทดแทนอันล้ำค่าที่สุด

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ
ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ 'ขอบคุณสรรพสิ่ง'


'ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ

แต่ปาฏิหาริย์ คือ การเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว'


ชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง 'ธรรมดา'
เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน
กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ
ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ
ใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ...
เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น

แต่ถ้าความธรรมดานี้หมดไปล่ะ?

เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ...
เรื่องก็จะ 'ไม่ธรรมดา' ไปในทันที


และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมา คิดเสียดายความ 'ธรรมดา' จนใจแทบจะขาด...

ให้เรารีบชื่นชมกับความ 'ธรรมดา' ที่เรามี

และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล


เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว

ฟังรายการวิทยุรักพ่อ ตอนที่ 86 รักพ่อ รักในหลวง โดย กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ - ตายอนาถา

มาแล้วครับรายการรักพ่อ ช่วยสายต่อ ให้ระบือ ส่งสื่อสาร
เหมือนคนที่มีจิตร่วมกัน ร่วมปกป้องสถาบัน ให้มั่นคง
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ขอนำท่านผู้ฟังเข้าสู่รายการรักพ่อ

รายการรักพ่อ86 ตายอนาถา

พบกับสารคดีพระเมตตาดั่งสายธาร ตอน ต่อลมหายใจ รองเท้านารี ราชินีกล้วยไม้, ห้องเรียนธรรมชาติ ทีนพลัสรักพ่อ จากชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว จ.ชลบุรี, กลเม็ดเคล็ดลับกับการพึ่งตนเอง, บทกวีส่งต่อน้ำใจถึงใจ จากณุ บูรพา, คำกลอนสอนธรรมะจากท่านพุทธทาส, ช่วงพูดคุยพบกับประเด็น ตายอนาถา



รายการวิทยุดีๆที่ตั้งใจทำในแนวจิตอาสา
ผู้ดำเนินรายการ : สุเวศน์ ภู่ระหงษ์
ทีมงาน ห้องบันทึกเสียง สิงหา ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี
- กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ

เชื่อหรือไม่ว่า พฤติกรรมและอุปนิสัยของเรามีผลต่ออนาคตของตัวเราเอง



ปีใหม่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ และมีการตั้งปณิธาน และเป้าหมายของชีวิตในปีใหม่นี้ หลายคนวาดฝันไว้อย่างสวยงามว่าเราจะต้องประสบความสำเร็จแบบนั้นแบบนี้ จะต้องได้นั่นได้นี่ ฯลฯ ทุกคนล้วนต้องการในสิ่งที่ดีขึ้นเสมอ บางคนก็เขียนเป้าหมายที่ตนต้องการลงในกระดาษ และติดไว้ที่หัวเตียงเพื่อที่จะได้เห็น ได้อ่านทุกคืน ก่อนนอน เพราะเชื่อว่า ถ้าเราฝังความเชื่อว่าเราจะต้องมี จะต้องได้ เข้าไปทุกคืน เราก็จะได้ในสิ่งที่เราต้องการเข้าสักวัน
บางคนก็เฝ้ามองทุกวัน อ่านทุกวัน อ่านจนจำได้ขึ้นใจหมดแล้ว แต่วันแล้ววันเล่า สิ่งที่เราต้องการ เป้าหมายที่เราตั้งไว้ ก็ไม่เห็นจะเข้ามาในชีวิตเราสักที ทั้งๆ ที่เราก็ตั้งเป้าหมายไว้แล้วอย่างชัดเจน คนที่ประสบความสำเร็จต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จอย่างเขา สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และยึดมั่นเป้าหมายนั้นให้มั่น ทำให้เราเห็นทุกวัน จำให้ขึ้นใจ ฯลฯ เราก็ทำแล้ว แต่ทำไมเราถึงไปไม่ถึงไหนเลย
สาเหตุที่ทำให้หลายคนไปไม่ถึงเป้าหมายทั้งๆ ที่มีการตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจน คืออะไร ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ครับ
คำตอบก็คือ เราตั้งเป้าหมายชัดเจนแล้ว แต่สิ่งที่เราไม่ได้ตั้งเลยก็คือ วิธีการที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น ว่าจะต้องทำอย่างไร มีวิธีการอย่างไร มีขั้นตอน ต้องเริ่มต้นอย่างไร และต้องทำอะไรต่อบ้างในแต่ละขั้น ฯลฯ นี่คือสิ่งที่เราไม่ได้ทำ เราคิดแต่เพียงว่า เมื่อมีฝัน มีเป้าหมายแล้ว ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตของเรา ซึ่งผิดถนัด
มันมีตรรกะของชีวิตง่ายๆ อยู่ข้อหนึ่งก็คือ เหตุเป็นอย่างไร ผลก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย
ถ้าเราตั้งเป้าหมายในชีวิตเรียบร้อย แล้วเราใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ตื่นเช้ามาก็ทำเหมือนเดิม คิดเหมือนเดิม เชื่อเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิมหมด แล้วเราจะได้ชีวิตใหม่ ได้เป้าหมายใหม่ ได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะประสบความสำเร็จโดยการปฏิบัติตนแบบเดิม แล้วอยากให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพราะถ้าเรามีพฤติกรรม และอุปนิสัยแบบเดิม แล้วคิดว่าจะประสบความสำเร็จได้ มันก็คงประสบความสำเร็จไปตั้งนานแล้วล่ะครับ ไม่ต้องมานั่งตั้งเป้าหมายกันทุกปีให้เสียเวลา
ดังนั้นใครที่ตั้งเป้าหมายไว้สูง หรือตั้งเป้าหมายแบบก้าวกระโดด สิ่งที่เราจะต้องปรับและเปลี่ยนมากหน่อยก็คือ พฤติกรรมและอุปนิสัยของเราเองก่อนเลย โดยเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับวิธีการที่เราจะสามารถไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการได้ ลองมาดูตัวอย่างกันง่ายๆ
• ถ้าเราอยากเก่งภาษาต่างประเทศ เราตั้งเป้าไว้ว่า ปีนี้เราจะต้องได้ภาษานั้น ภาษานี้ และต้องสามารถที่จะสื่อความได้จริง จากนั้นเราก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมแบบที่เคยเป็น คือ ไม่คิดจะเริ่มต้นศึกษา ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของตนให้เริ่มอ่านหนังสือ หรือหาที่สมัครเรียน หรือสมัครไปแล้ว ก็ไม่จัดเวลา ไม่แบ่งเวลา ไม่มีวินัยที่จะต้องเข้าเรียนอย่างต่อเนื่อง แล้วแบบนี้เป้าหมายของเราได้ไปถึงได้อย่างไร
• บางคนอยากมีสุขภาพที่แข็งแรง มีหุ่นที่ดี สัดส่วนที่สวยงาม เราก็สามารถตั้งเป้าหมายไว้ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือ เราก็ยังคงกินอาหารแบบเดิม ตื่นสายเหมือนเดิม ขี้เกียจออกกำลังกายเหมือนเดิม บางคนลงทุนสมัครฟิตเนส แต่ก็ไปใช้บริการได้ไม่ถึง 1 สัปดาห์ แล้วก็เลิก แบบนี้เราจะมีหุ่น และมีสุขภาพตามที่เราต้องการได้อย่างไร
• นักเรียน นิสิต นักศึกษา บางคนตั้งใจไว้ว่า ปีหน้าเราจะต้องได้เกรดที่ดีขึ้น เราจะต้องทำเกรดเฉลี่ยให้สูงขึ้นให้ได้ วาดฝันไว้อย่างสวยงาม พอถึงเวลาปฏิบัติจริง ก็ยังคงมีพฤติกรรมและอุปนิสัยแบบเดิมๆ ก็คือ ไม่เข้าเรียน หรือเข้าเรียนก็ไม่ตั้งใจเรียน กดโทรศัพท์ไปเรื่อย คุยกับเพื่อนตลอดเวลา กลับถึงบ้าน ก็ไม่เคยแบ่งเวลาทบทวนบทเรียน ปล่อยไปเรื่อยๆ ใกล้ๆ สอบก็ค่อยมานั่งอ่านหนังสือ หรือยิ่งไปกว่านั้น บางคนไม่อ่านเลยก็มี ฯลฯ แล้วเราจะได้เกรดที่ดีขึ้นได้อย่างไร ถ้าเรายังคงทำนิสัยเดิมๆ ผลที่ได้ก็คือเกรดแบบเดิมๆ เช่นกัน
• พนักงานบางคนอย่างที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน อยากมีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานในบริษัท ฝันไว้ชัดเจนมากว่าจะต้องได้เงินเดือนขึ้น ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ฯลฯ แต่พฤติกรรมในการทำงาน ยังคงเหมือนเดิม คือ ตื่นสาย มาสาย ติดเน็ต ติดfacebook เล่น Line กับเพื่อตลอดเวลา ฯลฯ จนเวลาทำงาน และสร้างผลงานจริงๆแทบจะไม่เหลือ แล้วเราจะเอาผลงานอะไรไปอวดหัวหน้าเราได้ สุดท้ายเป้าหมายที่เราตั้งไว้ มันก็เป็นได้แค่เพียงฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
ยังมีตัวอย่างอีกมากมายครับ ที่ยกให้อ่านข้างต้นก็น่าจะพอทำให้เราเห็นภาพว่า การที่คนเราจะประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรได้นั้น มันไม่ใช่แค่การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วก็แปะไว้ที่หัวเตียงเพื่อดึงดูดมันเข้ามาในชีวิตของเราโดยที่เราไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ซึ่งมันเป็นอะไรที่ผิดธรรมชาติมาก
สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ การพิจารณาตัวเองก่อนเลยว่า ถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรสักอย่าง สิ่งที่แรกที่จะต้องคิดก็คือ เราจะต้องทำอะไรเพื่อให้เราไปถึงเป้าหมายนั้นได้ คล้ายเป็นแผนประจำวันของเราเอง เช่น ทบทวนหนังสือทุกวัน ออกกำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ฯลฯ
เมื่อได้แผนงานที่ชัดเจนแล้วสิ่งถัดไปที่ต้องทำก็คือ การพิจารณาถึงอุปนิสัยและพฤติกรรมของตนเองในแต่ละวันว่าเรามีพฤติกรรมอะไรที่ไม่สอดคล้องกับแผนงานที่เรากำหนดไว้บ้าง จดมันออกมาเป็นรายการ แล้วมาพิจารณาต่อว่า ถ้าเราอยากจะได้ตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้นั้น เราจะต้องเลิก หรือเปลี่ยนนิสัยอะไรบ้าง เขียนออกมาให้ชัดเจน
เมื่อรับทราบแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดต่อไปก็คือ “การลงมือทำ” “ลงมือเปลี่ยนนิสัยตัวเอง” ให้ได้ โดยยึดเอาเป้าหมายที่เราต้องการไว้ให้มั่น ถ้าเราต้องการมันจริงๆ หรือถ้าเรามีความอยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างสุดๆ เราจะเต็มใจเปลี่ยนพฤติกรรมของเราอย่างแน่นอน แต่ถ้าเราเปลี่ยนได้สักพักแล้วกลับมาเหมือนเดิม ก็แปลว่า เป้าหมายนั้นเราไม่ได้ต้องการมันจริงๆ เราแค่อยากได้ อยากมีเฉยๆ (แบบว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร) ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ พฤติกรรมของเราก็จะกลับมาแบบเดิมอีก แล้วเราก็ไม่ประสบความสำเร็จไปอีกปี
แต่ถ้าเรามุ่งมั่นจริงจัง เราจะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมของเรา แม้ว่าช่วงแรกๆ อาจจะยากหน่อย แต่ถ้าเรามีวินัยในตนเอง บังคนตนเองให้ทำให้ได้ทุกวัน เริ่มต้นจากวันละนิดหน่อย ค่อยๆ เพิ่มเวลามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เกิน 2 เดือน มันจะกลายเป็นนิสัยใหม่ของเรา และนิสัยใหม่นี้ก็จะเป็นนิสัยที่เอื้อต่อความสำเร็จที่เราตั้งใจไว้นั่นเอง
ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จจริงๆ ก็อย่าลืมสำรวจพฤติกรรมและนิสัยที่ไม่ดีของเรา และปรับเปลี่ยนมันซะตั้งแต่วันนี้
ไอน์สไตน์ยังเขียนไว้เลยว่า “Insanity: doing the same thing over and over again and expecting different results.(Albert Einstein) แปลเป็นไทยแบบง่ายๆ ว่า
“จะมีก็เพียงคนบ้าเท่านั้น ที่เชื่อว่าการทำสิ่งเดิมๆ ทุกวัน วันแล้ววันเล่า และคาดหวังว่าจะเกิดผลที่ดีขึ้นกว่าเดิมในชีวิตของเรา”

วิธีคิดแบบคนเก่ง



คนจะเก่งได้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีพรแสวงด้วย
คือหมั่นค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม หมั่นฝึกฝนและพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดนิ่ง
สิ่งเหล่านี้แหละที่จะทำให้คุณกลายเป็นคนเก่งด้านการ ปฎิบัติ

การฝึกฝนทุกคนคงจะพอทำกันได้
แต่ในด้านความคิดล่ะ คนเก่งเขาคิดกันอย่างไร
แล้วคิดอย่างไรถึงจะเป็นคนเก่ง
มาลองดู 7 วิธีนี้ดู เป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก
ถ้าจะลองทำดู อย่างน้อย ก็ทำให้เราจิตใจดี มีความสุขขึ้นมาก

..



1. คิดในทางมองโลกในแง่ดี
ทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน
ทำตัวให้สดชื่นมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ
พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์
จะช่วยให้คุณสามารถจัดการ
กับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา ได้อย่างอยู่มือ




2. มีศรัทธาในตัวเอง
ถ้า แม้แต่คุณเองยังไม่ศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเอง
แล้วจะมีมนุษย์หน้าไหนล่ะ จะเชื่อมั่นในความเก่งของคุณ
อยากให้ใครๆ เขาชื่นชอบ และทึ่งในตัวคุณ
คุณก็ต้องมั่นใจในตัวคุณก่อน




3. ขอท้าคว้าฝัน
ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัว
จะเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้




4. ค้นหาบุคคลต้นแบบ
ใคร ก็ได้ที่คุณชื่นชมเพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม
ศึกษาแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา
แล้วอาจนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตได้บ้าง




5. เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส
คนที่มีรอยยิ้มระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง
ให้ใคร ๆ อยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจา ติดต่องาน
ก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ




6. เรียนรู้จากความผิดพลาด
สี่ เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
จะเป็นอะไรเชียวถ้าเราจะทำอะไร แล้วจะยังไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้
เพียงแต่ขอให้ทำเต็มที่ และเปิดใจให้กว้าง ยอมรับความจริง
หันมาทบทวนดูว่ามีขั้นตอนไหนที่ผิดพลาดไป เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม




7. ทนุถนอมมิตรสัมพันธ์เก่าๆ
คง ไม่มีใครที่จะอยู่อย่างมีความสุข
โดยปราศจากเพื่อนหรือมิตรที่รู้ใจหรอกนะ
แม้ว่าชีวิตของคุณในแต่ละวันจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม
คุณควรจะมีเวลาให้กับเพื่อนซี้ที่รู้จักมักจี่กันมานานซะบ้าง
แวะไปหากัน เมื่อโอกาสอำนวย
ชวนกันออกมาทานข้าวในช่วงวันหยุด ส่งการ์ดปีใหม่
หรือร่อนการ์ดวันเกิดไปให้ เผื่อในยามที่คุณเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา
เศร้าทุกข์ใจ ก็ยังมีเพื่อนซี้ไว้ พึ่งพาและให้กำลังใจกันได้

ฟังรายการTeenplusรักพ่อ13 จากชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว จ.ชลบุรี - Djเอ๋ กนกพรรณ รัตนวิเวก

ทีนพลัสรักพ่อ13 : ชมรมวิทยุเด็ก เยาวชนฯ - ดีเจ กนกพรรณ รัตนวิเวก

http://youtu.be/llnW3RtTt6E

บุคคลต้นแบบสารวัตรจ๊าบ ผู้รักในหลวงเต็มหัวใจ/เพลงคำพ่อสอน-สารวัตรจ๊าบ/ บทกวี ภูมิพละราชะ วะระสะชะยะมังคละคาถา "ทีนพลัสรักพ่อ โดย ชมรมวิทยุเด็ก เยาวชน และครอบครัว จ.ชลบุรี" ดำเนินรายการโดย ดีเจเอ๋ กนกพรรณ รัตนวิเวก, Kanokpan Rattanawiwek ส่วนหนึ่งใน โครงการผลิตรายการวิทยุรักพ่อ - กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ เมื่อ พ.ศ.2554-2556



วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เวทีเราจะเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อเป้าหมายชัดเจน งดงาม สดใส และสบายๆ แต่ต้องมีกำไร

21 ก.พ. 57
ช่วงเช้าเวทีแจ้งวัฒนะ
หลวงปู่พุทธะอิสระ เสวนาธรรม

ทักทายลูกหลาน เมื่อคืนหนาวไม๊ลูก ผ้าห่มมีไม๊ ดูแลตัวเองกันด้วย อากาศมันเปลี่ยนช่วงนี้ หลวงปู่ฯ เองยังแย่ แหม.! พูดถึงเรื่องเมื่อวาน ยังจำกันไม่หาย ได้ข่าวว่านายจตุพร ณัฐวุฒิ ออกมาโวยวายว่า มีอย่างที่ไหนจองโรงแรม 4,200 เรียกค่าเสียหาย 120,000 มีที่ไหนเขาทำกัน อยากจะบอกทั้งตู่ - เต้น ว่า "ก็มีที่นี่แหละ.. เดี๋ยวจะทำให้ดูบ่อย ๆ (ฮา ๆ ๆ ๆ)
หลวงปู่ฯ มุขเยอะ ลูกหลานไม่ต้องห่วง เดี๋ยวหามุขใหม่ มุขเดิม ๆ เดี๋ยวจะฝืดไป คุณสุเทพฯ โทรมาเมื่อวานหลังทราบข่าว "หลวงปู่ฯ ครับเมียผมดูโทรทัศน์อยู่"ขำกลิ้ง" เลยครับ บอกผมว่า อาจารย์คุณนี่แสบมากเลยนะ " (ฮากันกลิ้ง..!!) เดี๋ยวหลวงปู่ฯ กำลังให้คนแปลเป็นภาษาอังกฤษ บอกเรื่องราวให้คนทั้งโลกได้รู้ ถึงการบริการของโรงแรมนี้...

เมื่อคืน หลวงปู่ฯ หลับฝันถึงคุณคนที่โบกธงที่ถูกยิง และผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายการชุมนุมที่กองทัพธรรม จึงมีความคิดว่า น่าจะทำอะไรอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขา รวมทั้งทุกๆ ชีวิตที่สูญเสียไป ตั้งแต่เราได้ต่อสู้ร่วมกันมา พรุ่งนี้เย็น (22 ก.พ. 2557) จะทำพิธี "สวดพระมาลัย มาติกา บังสุกุล ให้เขาหน่อย หลังเคารพธงชาติ พรุ่งนี้เจริญมนต์เย็นเราจะเปลี่ยนมาเป็นการ สวดอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ ก็ขอเชิญชวนมาร่วมพิธีกันได้...

*แต่อยากจะขอว่า ใครที่มีจิตศรัทธาอยากจะมาร่วมทำบุญกุศลกัน อยากจะทำ ก๋วยเตี๋ยว กระเพาะปลา ข้าว ปลา น้ำยา ขนมจีน ส้มสุกลูกไม้ต่างๆ ถ้าอยากจะมาร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมบุญกุศลกัน ยินดีต้อนรัยทุกท่าน ทุกคณะเลย ตรงนี้ที่หลวงปู่ฯ ต้องขอ เพราะตั้งแต่ตั้งเวทีมานี่ไม่เคย ร้องขออะไรเลยนะ แต่ว่าตอนนี้นี่หลวงปู่ฯ สงสารแม่ครัวแต่ละครัวของเวทีเรามาก แทบจะไม่ได้พักได้ผ่อนกันเลย เข้ามืดทุกวัน ยันตีสามหลายคืนติดๆกัน หลายๆวันเข้าก็เจ็บป่วยกันไปหลายคนแล้ว เพราะตอนนี้ต้องมีภาระดูแลลูกหลานชาวนาเพิ่มขึ้นด้วย แต่ลูกหลานชาวนาก็อย่าคิดมากนะ แต่หากว่ามีจิตใจอยากจะช่วยเหลือกันก็ไปช่วยกันได้ทุกครัว ช่วยแรงนะ เล็กๆ น้อยๆ หั่นผัก ตักน้ำ หรืออะไรที่จะพอช่วยเหลือกันได้ คิดซะว่าที่นี่ก็คือบ้านของพวกเรา

พูดถึงเรื่องลูกหลานชาวนา ก็มีข่าวแว่วๆมาถึงหูเหมือนกัน ว่ามีแกนนำอดีต สส.มาเฟีย ใช้ชาวนาเป็นเครื่องมือ จะมาแสวงหาอะไรก็ตามแต่ หลวงปู่ฯ อยากจะให้ลูกหลานอย่าเพิ่ง ตื่นตระหนกตกใจ จนกลายเป็นความรังเกียจเดียจฉันท์ชาวนาๆตัวจริงนั้นน่าสงสาร โดนหลอกซ้ำหลอกซาก ด้วยเหตุเพราะเค้าทุกข์อยู่แล้ว คนทุกข์ที่ไม่มีทางเลือกมากนัก ไม่ว่าอะไร ลอยมาโดยธรรมชาติเขาจะต้องไขว่คว้าเอาไว้ก่อน โดยไม่ได้ใช้การพินิจ พิเคราะห์ว่า จะเกิดอะไรในภายภาคหน้า หลวงปู่ฯ มองว่าเป็นความน่าสงสาร สำหรับลูกหลานชาวนา และน่ารังเกียจมากสำหรับพวกที่ฉกฉวย หาประโยชน์จาก
ความทุกข์ยากของคนอื่น

เราจะต้องหาทางช่วยพวกเขาแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะช่วยโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของพวกเรา จึงขอทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า ชาวนาที่เป็นชาวนาจริงๆ ที่ยอมรับกับแนวทางอุดมการณ์สีขาวของเราๆ ยินดีต้อนรับไม่มีข้อจำกัด แต่ประเภทชาวนา"ไม่เอาเจ้า" มากับพวกแกนนำ"ล้มเจ้า" เราก็ไม่ต้อนรับ หรือถ้าจะมีแทรกซึมแปลกปลอมเข้ามา เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกันใหม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ป้อนข้อมูลกันใหม่

เดี๋ยวเย็นนี้ ก่อนเคารพธงชาติ ก่อนสวดมนต์เย็น หลวงปู่ฯจะให้เวทีเขาฉาย วีดีทัศน์ เกี่ยวกับ พระราชวงศ์จักรี พระราชกรณียกิจต่าง ๆ ให้ได้ดูกัน ดูแล้วคิด ใช้สติปัญญาตรึกตรองว่า พระราชวงศ์ ที่ทำคุณประโยชน์ต่างๆ ให้บ้านนี้เมืองนี้ มีความเป็นมากว่า 200 ปี ถ้าเทียบคุณงามความดี กับตระกูลชิน นี่ ช่างต่างกัน ราวฟ้ากับเหว ข้อมูลเหล่านี้ลูก หลานควรจะได้ดู ได้เห็นด้วยตา และได้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ เทียบเคียงดูว่า ที่เรามีผืนแผ่นดินยืนกันอยู่ทุกวันนี้ มันมีที่มาที่ไปอย่างไร

ส่วนเรื่องชาวนาชุดใหม่ๆ นี่หลวงปู่ฯ มีมาตรการอยู่แล้วว่าจะต้อง สกรีน สแกน กันพอสมควร ถ้ามากับแกนนำที่หวังผล หรือมีส่วนได้ส่วนเสีย กับฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะแกนนำนี่หลวงปู่ฯ ขอเชิญคุณไปแสวงหาเอาในบ่อหน้าเถิด..ตรงนี้ต้องการแต่ชาวนาตัวจริง เดือดร้อนจริงๆ ไม่ได้มาเพื่อมุ่งหวังทำร้าย ทำลายใคร เราไม่ไว้ใจ บอกตรงๆ

เดี๋ยวช่วงบ่าย ก็ขอให้พวก เราเดินไปให้กำลังใจลูกหลานชาวนา ที่จะไปยื่นหนังสือร้องทุกข์กับคณะกรรมการสิทธิ และผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา ก็ขอให้ ลูกหลานไปช่วยกัน

ส่วนหลวงปู่ฯ ในช่วงเช้านี้มีนัดเจรจา กับ สภาเศรษฐกิจแห่งชาติ / สภาพัฒนาการเมือง แล้วเห็นว่า DSI ก็จะมาอีก ขอกลับเข้าทำงาน ชักบ่อย แต่ที่เรายื่นข้อเสนอไปว่าให้รับคดีทุจริตจำนำข้าวเป็นคดีพิเศษอีกซักคดี ไม่มีการตอบรับ หลวงปู่ฯยินดีที่จะคุยกับทุกหน่วยงาน ถ้ามีความจริงใจถ้าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาชาติ แต่ถ้าคนไหนที่หลวงปู่ฯไม่อยากจะคุยด้วยแล้วนี้ โปรดพิจารณาตัวเองด้วยนะว่า คุณไม่ได้อยู่ในขั้นเลวธรรมดาสามัญ แต่ติดขั้น ดับเบิ้ล หรือขั้นเทพ แล้วนี่พิจารณาตัวเองดีๆ ว่าจะไม่มีที่ยืนแล้วนะบนแผ่นดินนี้ นี่ฝากถึงนายธาริตนะ อย่าส่งแต่ตัวแทนมาแล้วหาข้อสรุปไม่ได้ เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า

หลวงปู่ฯอยากจะฝากถึงปฏิบัติการ "อุดท่อให้ตัน ดับฝันตระกูลชิน"
ขอลูกหลานแค่ ไม่มอง ไม่ดู ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่รับใช้ ไม่ก้มหัว ไม่อุปถัมภ์ ไม่อุดหนุน หลวงปู่ฯขอแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น ถ้าทุกคนในแผ่นดินช่วยกัน รับประกัน"เดี้ยง" ขนาดเมื่อวานวันเดียว เราไปช่วยกัน ทั้งทัพเรา ทัพใหญ่ หุ้นตกกราวรูด เสียหายไป กว่า 60,000 ล้าน ถ้าเราทำกันทุกวันหล่ะ จะอยู่ได้ก็ให้รู้กันไป ตัวอย่าง มีให้เห็นชัดๆ จากธนาคารออมสิน ชี้ให้เห็นว่าอย่าทำให้ประชาชนลุกฮือขึ้นมา อย่าประเมินค่าพลังมวลมหาประชาชนต่ำเกินจริง...

เดี๋ยววันจันทร์เราเคลื่อนทัพใหม่ เวทีเราจะเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อเป้าหมายชัดเจน งดงาม สดใส และสบายๆ แต่ต้องมีกำไร ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ตัวเงิน กำไรในที่นี้คือ แรงใจที่เราจะได้เพิ่มขึ้น ทุกครั้งจากการเคลื่อนไหว แล้วเราจะได้หัวใจ ได้แนวร่วมเพิ่มขึ้น ความสำเร็จตามมุ่งหมาย และใกล้ขึ้น !!!! สภาเศรษฐกิจแห่งชาติมาแล้วเหรอ เดี๋ยวหลวงปู่ฯ ขอไปเจรจาใช้สมองก่อน บ่ายคุณหมอมาขอร้อง จะให้น้ำเกลือ ฉีดยา เพิ่มภูมิต้านทานกันหน่อย..!!เอ้ามอบหน้าที่ให้ทางเวที ขอบคุณมาก ขอบคุณทุกๆคน

Thefukks Fathers

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นทรัพย์ของแผ่นดิน ไม่ใช่ทรัพย์ของในหลวง

Ohlanor Thailand
4 ชั่วโมงที่แล้ว บริเวณ Bangkok
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทั้งที่เป็นที่ดิน และที่มีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ดูแลโดย รมว.คลัง เป็นทรัพย์ของแผ่นดิน ไม่ใช่ทรัพย์ของในหลวง พระองค์ไม่เกี่ยว

..
..

...มีกระแสจากคนไทยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่นิยมชมชอบทักษิณ เข้าใจว่าสถาบันกษัตริย์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในปตท. เป็นผู้กำหนดราคาน้ำมัน ทำให้น้ำมันแพง

ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมาก ว่ากันตรงๆเลยคือ ถูกหลอกจากผู้ไม่หวังดีกับสถาบันฯ

หุ้นใหญ่ปตท. คือรัฐบาล ถืออยู่ 51% ส่วนอีก 49% ที่เอกชนถือนั้น ก็ฟันธงได้เลยว่า นอมินีนักการเมืองทั้งนั้น โดยเฉพาะทักษิณ

เพราะขนาดคนใช้ คนขับรถ ยาม ยังถือหุ้นชินได้ แล้วปตท.ที่มีผลประโยชน์มหาศาล แถมแปรรูปสำเร็จมาเองกับมือ คงไม่รอดมือทักษิณแน่

* ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทั้งที่เป็นที่ดิน และที่มีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ดูแลโดย รมว.คลัง เป็นทรัพย์ของแผ่นดิน ไม่ใช่ทรัพย์ของในหลวง พระองค์ไม่เกี่ยว

ใครที่ถูกหลอกให้เข้าใจผิดๆ กรุณาเปลี่ยนความคิดใหม่ด้วย