++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จิตอยู่ที่ไหน ?




ปุจฉา - กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ มีข้อสงสัยในธรรมอีกข้อหนึ่ง อยากถามพระอาจารย์ว่า จิตมิได้อยู่ในปัจจุบัน มิได้อยู่ในอดีต มิได้อยู่ในอนาคต มิได้อยู่ในวัตถุ มิได้อยู่ในที่ใด กาย ทำตามเคยชิน พอจะเรียกมันมามันก็มา หากแต่รู้สึกทุกข์ จิตนั้นอยู่ที่ใดครับพระอาจจารย์ แล้วเป็นปกติมนุษย์หรือเปล่าครับพระอาจารย์ ด้วยความเคารพผู้เจริญธรรม

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - จิตอยู่ที่ไหนไม่สำคัญเท่ากับการหมั่นตามรู้และฝึกฝนจิตอยู่เสมอ คุณสามารถมีสุขภาพดีได้ โดยไม่ต้องรู้ว่าหัวใจ ตับหรือไตอยู่ไหน ขอให้กินอาหารและบริหาร กายอย่างถูกต้องเหมาะสมกับอวัยวะเหล่านั้นก็พอแล้ว ถึงคุณจะรู้ว่าอวัยวะ เหล่านั้นอยู่ตรงไหน แต่ไม่ใช้ชีวิตให้เกื้อกูลต่ออวัยวะเหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์ ฉันใดก็ฉันนั้น คุณควรให้ความสำคัญแก่ฝึกฝนพัฒนาจิตใจ ทั้งด้วย ทาน ศีล และภาวนา อย่างสม่ำเสมอ แทนที่จะมัวหาคำตอบว่าจิตอยู่ที่ใด

เขาว่าล้างพิษตับเป็นเรื่อง "หลอกลวง" (ตอนที่ 1)


หมายุเหตจากแอดมินชีวอโรคยา: เรานำบทความนี้มาเผยแพร่ให้อ่าน เพื่อให้ผู้ติดตามเรื่องการล้างพิษตับได้ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจเข้าร่วมคอร์ส ผู้ที่ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ผู้ใดเชื่ออยากไปทำก็ควรอ่านก่อนไปเข้าคอร์ส
เขาว่าล้างพิษตับเป็นเรื่อง "หลอกลวง" (ตอนที่ 1)
หมายุเหตจากแอดมินชีวอโรคยา: เรานำบทความนี้มาเผยแพร่ให้อ่าน เพื่อให้ผู้ติดตามเรื่องการล้างพิษตับได้ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจเข้าร่วมคอร์ส ผู้ที่ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ผู้ใดเชื่ออยากไปทำก็ควรอ่านก่อนไปเข้าคอร์ส
************** ************ **************
สำหรับผมแล้วการถกเถียงกันเรื่องล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกนั้น ไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันทั่วโลก และก่อนที่ผมจะเริ่มเขียนบทความการล้างพิษตับนั้น ก็ได้ค้นหาข้อมูลในต่างประเทศที่โต้แย้งมาแล้วทั้งสิ้น

แต่ดูเหมือนช่วงเวลานี้จากเดิมที่มีกระแสค่อนข้างแรงตามลำดับแล้ว เมื่อรายการ "คน ค้น คน" ได้ออกอากาศเผยแพร่การล้างพิษตับของศีรษะอโศกเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา ที่มีการสัมภาษณ์ทั้ง อ.แก่นฟ้า แสนเมือง และ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ ผู้บุกเบิกหลักสูตรนี้จนได้รับการตอบสนองเป็นจำนวนมาก ก็ยิ่งทำให้กระแสนี้แรงขึ้นไปอีก

และเป็นไปตามคาด เรื่องที่กระแสแรงก็มักจะมีคนเข้ามาตรวจสอบเพื่อหาความจริงหรือจับผิดเป็นธรรมดา บ้างก็ตรวจสอบเพราะหวังดีกับประชาชน บ้างก็ไม่ได้รู้จริง บ้างก็ลองวิชา บ้างก็ต้องการโหนกระแสสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองบ้าง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เราน่าจะศึกษาหาคำตอบนี้ด้วย "ความจริง" ที่ไม่ใช่ "ความเชื่อ"

น่าเสียดายบางคนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์เน้นการจับผิดโดยใช้ความเชื่อในเรื่องที่เล็กที่สุดซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญเพื่อหวังสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองมากที่สุด และบางคน "หลงในอัตตาตนเอง" ถึงขนาดต้องอ้างเหตุผลหรือความสำเร็จในการตรวจสอบในอดีตเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังคัดค้านต้องเป็นจริงด้วย ซึ่งผมเห็นว่าการพูดสิ่งที่เคยพิสูจน์ว่าถูกต้องในเวลาหนึ่งแล้วอ้างว่าเรื่องที่ “พูดอีกเรื่องหนึ่งในปัจจุบัน” จะต้องถูกต้องด้วยนั้น...ไม่จริงเสมอไป และเป็นคำพูดที่ใช้ไม่ได้ในตรรกะทางวิทยาศาสตร์

ในทำนองเดียวกันคนที่สนับสนุนการล้างพิษตับเองก็ไม่ใช่ว่าจะหาคำตอบได้ทุกอย่าง ชาวอโศกเขาเป็นชาวบ้านที่ต้องการช่วยเหลือคนแบบบุญนิยมและไม่ได้ทำการค้า ถือศีลมีคุณธรรมยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ที่กล่าวหาว่าพวกเขาหลอกลวงเสียอีก เมื่อเห็นผลดีเป็นที่ประจักษ์กับคนที่ป่วยจำนวนมากก็เดินหน้าช่วยเหลือคนอื่นก่อนที่จะมาสนใจเรื่องวิจัยหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับจนแทบไม่มีเวลา จนงานล้นมือ และอาจเป็นเพราะชาวอโศกไม่ได้ดำเนินการไปเพื่อความร่ำรวยหรือสร้างชื่อเสียง จึงไม่ได้มีเวลามาใส่ใจกับงานวิจัยเพื่อหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้คนอื่นเชื่อหรือไม่เชื่อ และไม่ได้ใส่ใจว่าจะมีคนโจมตีอย่างไรเสียด้วยซ้ำ (เพราะที่ผ่านมาก็มีเรื่องที่ถูกโจมตีมากยิ่งกว่านี้หลายเท่า)

ความจริงแล้วในเรื่องสุขภาพในแพทย์ทางเลือกหลายอย่างดูจะเหมือนเป็นความเชื่อ (เช่นเดียวกับฝ่ายที่ต่อต้าน) แต่ผู้ที่เข้าหลักสูตรล้างพิษตับจำนวนมากมีรายงานที่มีผลตรวจทางการแพทย์ว่าได้รับผลดีเป็นที่ประจักษ์หลายด้าน ย่อมแสดงว่าการล้างพิษตับย่อมมีผลดีที่คนสามารถเลือกดูแลตัวเองได้ไม่น้อย และเมื่อมีคนได้ผลมากจึงทำให้มีการบอกต่อถึงความสัมฤทธิ์ผล หลายคนจึงเสนอให้ผู้ที่จัดหลักสูตรล้างพิษหรือในทางธรรมชาติบำบัดในเวลานี้รวบรวมสถิติข้อมูลที่เกิดขึ้นไปแล้ว เพื่อต่อยอดหาคำตอบให้ได้ในทางวิทยาศาสตร์ จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น เพื่อช่วยให้คนได้สร้างบุญให้คนป่วยไม่เสียโอกาสล้างพิษตับเพียงเพราะหลงเชื่อข้อมูลหรือการจั่วหัวของผู้ต่อต้านที่ใช้ความเชื่อของตัวเองมาคัดค้านในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง และพิสูจน์ไม่ได้

บางคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังตอบโต้โจมตีเรื่องการล้างพิษตับ แต่เมื่อถูกโจมตีและไล่ต้อนมากๆจากคนที่ได้รับผลดีจากการล้างพิษตับที่เห็นผลดีเป็นที่ประจักษ์ ก็พยายามหดและบิดขอบเขตของการถกเถียงจากคำว่า "ล้างพิษตับเป็นเรื่องหลอกลวง" มากลายเป็น "ที่เรียกว่านิ่วเป็นเรื่องที่หลอกลวง" ซึ่งผมเห็นว่ามันเป็นคนละ "หัวข้อ"จะมาแก้ตัวภายหลังในเรื่อง "ขอบเขต" ที่กำลังกล่าวหากันขณะนี้ แต่ก็ไม่ว่ากันที่จะมาแก้เขินกันบ้าง เพราะอย่างไรเสียต้องถือว่าการตรวจสอบเป็นเรื่องที่ดี

ผมเห็นว่าเรื่องนี้หลายคนน่าจะสนใจและติดตามในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น จึงขออนุญาตรวบรวมผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ และตรวจสอบจากศูนย์ล้างพิษหลายแห่งเพื่อมาประกอบการพิจารณาเพื่อมาช่วยหาความจริงในการล้างพิษตับว่าอะไรคือผลดี อะไรคือผลร้าย อะไรคือความจริง และอะไรคือสิ่งที่ไม่ใช่ความจริงที่ต้องระมัดระวังในการนำเสนอ ซึ่งคงใช้เวลามากกว่า 1 ตอนในการนำเสนอชุดนี้

เพื่อเป็นการยืนยันว่าผมเองตระหนักในเรื่องเหล่านี้ดี ผมขอเริ่มจากบทความที่ผมได้เขียนเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2555 แล้ว ในบทความที่ชื่อว่า "ตามหาความจริง...อะไรกันแน่ที่ออกมาจากการล้างพิษตับ !?" ซึ่งปรากฏหลักฐานอยู่ในหนังสือที่ผมเขียนชื่อ "ปฏิวัติสุขภาพด้วยธรรมชาติบำบัด กิน-ดื่มด่าง ล้างพิษตับ" ดังนี้

"ตามปกติแล้วเมื่อดูวิธีการในต่างประเทศ พบว่า การล้างลำไส้จะใช้เวลาอดอาหารนานกว่าการล้างพิษออกจากตับ แต่เมื่อมาผนวกกันจึงทำให้การล้างพิษตับต้องอดอาหารนานเพิ่มขึ้นไปด้วย แต่ข้อดีสำหรับผู้ที่เข้าหลักสูตรครั้งนี้จะมีความเข้าใจเป็นที่ประจักษ์มากขึ้นว่าเมื่อล้างลำไส้จนสะอาดแล้วไม่เหลืออะไรแล้ว จึงทำให้มั่นใจว่าคืนสุดท้ายที่ล้างพิษตับจะมีผลิตภัณฑ์อีกชุดหนึ่งที่ออกมาจากส่วนอื่นที่ไม่ใช่ออกมาจากลำไส้ ซึ่งก็ย่อมออกมาจาก ตับ หรือ ถุงน้ำดี และบางส่วนก็ต้องออกมาจากสิ่งที่เราดื่มเข้าไปในคืนสุดท้ายของหลักสูตรนี้

โดยเฉพาะในช่วงเวลาคืนสุดท้ายที่มีการดื่มน้ำมันมะกอก 150 ซีซี ที่ผสมเขย่าจนเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำมะนาวอีก 150 ซีซี ในเวลา 22.00 น. - 22.30 น. ซึ่งความจริงแล้วตามตำราแพทย์อายุรเวทระบุแค่ว่าให้ดื่มน้ำมันพืชผสมกับน้ำผลไม้รสเปรี้ยวเท่านั้น

แต่ก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ในเวลานี้ว่าน้ำมันมะกอกที่ผสมเขย่าจนเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำมะนาวนั้น เข้าไปทำอะไรกับร่างกายเรากันแน่?

ความเชื่อแรก เชื่อว่าน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว ได้เข้าไปในท่อน้ำดี(ในช่วงเวลาที่ท่อน้ำดีเปิดกว้างที่สุดตามนาฬิกาชีวิต) แล้วเข้าไปดึงสิ่งตกค้างในถุงน้ำดีและตับออกมา เสมือนคราบน้ำมันในตับและถุงน้ำดีต้องล้างด้วยน้ำมันจึงจะสามารถเอาออกได้

ความเชื่อที่สอง เชื่อว่าน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว ไม่ได้เข้าไปในตับและถุงน้ำดี แต่เชื่อว่าน้ำมันมะกอกเป็นลิพิดซึ่งกระตุ้นทำให้ตับและถุงน้ำดีซึ่งหยุดพักจากการย่อยอาหารในช่วงเวลาหนึ่ง ได้ผลิตน้ำดีออกมาเพื่อย่อยน้ำมันมะกอกพร้อมๆกันจำนวนมาก จึงเป็นผลทำให้สิ่งตกค้างในตับและถุงน้ำดีจึงหลุดออกมาด้วย

ความเชื่อที่สาม เชื่อว่าน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมะนาว เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วน้ำดีจะออกมาทำปฏิกิริยาเคมีที่มีลักษณะเป็นสบู่ที่เรียกว่า “Saponification” ที่เกิดจากไขมันหรือน้ำมันทำปฏิกิริยากับน้ำดีซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง

พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ 2 ความเชื่อแรกเชื่อว่า สูตร น้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมะนาวช่วยล้างพิษออกจากตับได้จริง แต่ความเชื่อที่สามกลับไม่เชื่อแต่เชื่อว่าเป็นสิ่งหลอกลวงและไม่น่าเชื่อถือ

ความจริงแล้วการทำ"สบู่ก้อน"ที่ทำจากน้ำมันมะกอกนั้นต้องใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ซึ่งมีค่าเป็นด่าง (Alkaline) เข้มข้นสูงสุดถึง pH 14 ในอัตราส่วนน้ำมันมะกอก 100 กรัม และใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 12.46 กรัม จึงจะมีโอกาสทำเป็นสบู่ก้อนได้

แต่ความเป็นจริงน้ำดีของมนุษย์มีค่าความเป็นด่าง (Alkaline) ที่มีค่า pH เพียงแค่ 7.5 ถึง 8.8 ซึ่งห่างไกลจากค่าความเป็นด่างที่จะทำสบู่ก้อนที่ต้องมีค่า pH สูงถึง 14 จึงไม่น่าจะมีความสามารถพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาการทำเสมือนสบู่ก้อนได้ หากสมมุติทำได้อย่างมากก็เป็นแค่สบู่เหลวเท่านั้น

ผลิตภัณฑ์ก้อนสีเขียว ที่มีการถ่ายออกมจากาการล้างพิษตับ จริงอยู่ที่ว่าที่มีการเรียกกันว่า "นิ่ว" นั้นอาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะ"นิ่ว"ที่เป็นเหมือนก้อนหินนั้นต้องจมน้ำและไม่สามารถลอยน้ำได้ แต่ก้อนสีเขียวที่ลอยน้ำได้นั้นแท้ที่จริงแล้วน่าจะเป็น"ก้อนไขมัน"มากกว่าที่อาจมีการผสมทั้งน้ำดี (จึงทำให้เป็นสีเขียว) และบางส่วนอาจมาจากสิ่งที่ดื่มเข้าไป (น้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว) และบางส่วนอาจผสมกับเป็นก้อนไขมันและผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ออกมาจากตับหรือถุงน้ำดีได้ด้วย ซึ่งก้อนเหล่านี้หากทิ้งไว้ในอากาศก็จะพบว่าจะค่อยๆละลายจนเป็นของเหลวได้จนหมด เพราะอย่างไรเสียเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เราดื่มเข้าไปนั้นคงต้องออกมาจากร่างกายในการขับถ่ายอย่างแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่มันมีสิ่งอื่นที่ออกมาด้วยหรือไม่น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า

แม้ว่าจะยังความน่าสงสัยสำหรับคนที่ช่างสงสัยว่าสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ออกมานั้น เป็นเพียงการทำปฏิกิริยาระหว่างน้ำดีกับน้ำมันมะกอกที่ผสมกับน้ำมะนาวหรือไม่ แต่ก็มีเรื่องให้น่าคิดอีกด้านหนึ่งเช่นกัน ดังนี้

1. ถ้าเป็นเพียงการทำปฏิกิริยาจากสิ่งที่ดื่มเข้าไปในคืนที่ดื่มน้ำมันมะกอกกับน้ำมะนาวแล้ว เหตุใดการล้างพิษตับในแต่ละครั้งจึงมีผลิตภัณฑ์ออกมาของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน และเหตุใดคนๆเดียวกันในการล้างพิษตับในแต่ละครั้งก็ได้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนกัน เช่น ก้อนสีเขียว วุ้นสีขาว แผ่นไขมันสีน้ำตาล หรือแม้แต่ไม่มีอะไรออกมาเลย ฯลฯ ?

2. ถ้าสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกมามีเฉพาะการทำปฏิกิริยากระหว่างน้ำมันมะกอกกับน้ำมะนาว แล้วเหตุใดในหลายกรณีจึงเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ที่ต้องผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีแต่เมื่อเข้าหลักสูตรล้างพิษแล้วกลับมีนิ่วจริงๆออกมาได้โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด โดยบางกรณีพบก้อนไขมันที่ลอยน้ำแต่เคลือบไว้ด้วยนิ่วที่เป็นก้อนหิน และเหตุใดในบางกรณีจึงมีกลิ่นเหม็นเน่า ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ได้มีการล้างลำไส้หมดแล้ว ในขณะที่หลายคนไม่มีกลิ่นใด และเหตุใดจึงมีบางคนได้มีผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นไขมันสีน้ำตาลหรือดำจำนวนมากเป็นนับเป็นกิโลกรัมซึ่งมากกว่าน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวที่ดื่มเข้าไป?

3. เหตุใดในกรณีจึงเกิดเหตุผู้ที่ป่วยในโรคตับ โดยเฉพาะโรคไวรัสตับอักเสบชนิด บี จึงหายจากโรคนี้ได้เป็นจำนวนหลายคนโดยอาศัยการเข้าหลักสูตรล้างพิษอย่างเดียว โดยเฉพาะกรณีล่าสุด นายชัชชัย คาวีสุทธิกร ได้เข้าตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีสูงถึง 18,100,000 IU/mL ต่อมาเข้าหลักสูตร 8 อ. (ล้างพิษตับ)ของชาวสันติอโศกไป 4 ครั้งเป็นเวลา 4 เดือน ในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554 พบไวรัสตับอักเสบ บีลดลงเหลือ 20,400 IU/mL หลังจากนั้นจึงเข้าหลักสูตรล้างพิษตับอีก 5 ครั้ง ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555 พบไวรัสตับบีลดลงเหลือเพียงแค่ 111 IU/mL ต่อมาจึงเข้าหลักสูตรล้างพิษเป็นครั้งที่ 12 พบว่าไวรัสตับอักเสบชนิด บี ลดลงเหลือเพียง 22 IU/mL เท่านั้น

แต่ที่น่าสนใจมีหลายคนที่เข้าหลักสูตรล้างพิษแล้ว มีผลตรวจทางการแพทย์ที่แสดงถึงดัชนีชี้วัดว่ามีสุขภาพที่ดีขึ้น !?"

ผมแปลกใจมากคนที่เรียกตัวเองว่านักวิทยาศาสตร์กลับตัดตอนบทความผมข้างต้นที่พูดถึงเรื่องที่ว่าก้อนสีเขียวที่ลอยน้ำไม่ควรเรียกว่านิ่วเท่านั้น แต่กลับมาใช้อ้างอิงเรื่องเล็กๆนี้เพื่อโจมตีในเรื่องใหญ่ว่าล้างพิษตับเป็นเรื่องหลอกลวง ทั้งๆที่เป็นสาระสำคัญในเรื่องนี้คือคนที่เคยเข้าหลักสูตรได้รับผลดีขึ้นอย่างไร และดีขึ้นจริงหรือไม่? และคนที่อ้างตนว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์กลับไม่ยอมอ้างอิงในส่วนที่ผมกล่าวถึงและตั้งข้อสังเกตว่าการเกิด "สบู่ก้อน"ทำไม่ได้เพราะน้ำดีมีค่าความเข้มข้นของด่างเพียงแค่ pH 7.5 - 8.8 และหลีกเลี่ยงข้อสังเกตุของผมที่ได้ตั้งคำถามเอาไว้ทั้ง 3 ประการข้างต้น ผมจึงเห็นว่าการโต้แย้งลักษณะนี้ไม่ใช่การโต้แย้งแบบวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการเลือกใช้บางข้อมูลที่ไม่ครบในการนำเสนอเพื่อสนองอัตตาและอคติส่วนตัวเท่านั้น ไม่สมควรเป็นวิสัยของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดี

นี่ขนาดยังไม่นับเลยว่าการล้างพิษตับน้ำมันมะกอกนั้นไม่ได้มีน้ำมันมะกอกอย่างเดียว ยังมีน้ำมะนาวอีกครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นกรดซิตริกที่มีความเป็นกรดรุนแรงด้วย คำถามจึงตามมาด้วยว่าคำว่า “สบู่ก้อน”จะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า หากทำได้นั้นมีค่า pH เท่าไหร่ และหากเป็นสบู่จริงเมื่อถูแล้วเป็นฟองจริงหรือไม่?

ผมได้สอบถาม อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ที่ริเริ่มหลักสูตรนี้และเป็นคนที่เชี่ยวชาญในการทำสบู่ก้อนว่า ทำไมจึงไม่เคยเห็นนักวิทยาศาสตร์ที่ต่อต้านในเรื่องนี้ได้แต่เขียนและพูด แต่ไม่ยอมพิสูจน์ให้สาธารณชนได้เห็นด้วยการทดสอบเอา NaOH ที่เจือจางจนใกล้น้ำดีคือ pH 7.5 -8.8 มาผสมกับน้ำมันมะกอก และมะนาว และ ดีเกลือ เพื่อมาทำ "สบู่ก้อน" ให้เราทดลองถูสบู่ก้อนนี้ให้ฟองกันให้สนุกไปเลย ดีเสียอีกร่างกายผลิตสบู่ก้อนเองได้ ไม่ต้องซื้อหาจากไหน?

อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ไม่ตอบอะไรมากได้แต่ ขำๆ เพราะที่จริงเราต่างรู้อยู่แก่ใจว่า ที่นักวิทยาศาสตร์ที่โจมตีในเรื่องนี้หากไม่มีความรู้และไม่เคยทำเรื่องการทำสบู่ก้อนมาก่อนเมื่อทดสอบแล้วคงรู้ผลแล้วว่าเป็นอย่างไรจึงมักจะเงียบไป และหากมีความรู้เรื่องทำสบู่ก้อนจริงก็คงไม่อยากทดสอบเพราะรู้อยู่แก่ใจเช่นกันว่ามันเกิดสบู่ก้อนไม่ได้เช่นกัน !!!!

อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ฝากข้อความให้ได้คิดทั่วกันเกี่ยวกับการล้างพิษที่มีคนได้รับผลดีเป็นที่ประจักษ์เป็นจำนวนมากว่า:

พระพุทธองค์ตรัสว่า "เมื่อบุรุษต้องศรปักอก ผู้เป็นบัณฑิตจะรีบถอนศรออกจากอกโดยพลัน ผู้โง่เขลาจักกุมศรนั้นเที่ยวตามหาว่าศรนี้มาจากไหน ใครยิงเรา"

เครดิต: เรื่องโดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จาก www.manager.co.th
ภาพ: จากอินเตอร์เน็ต
******* ******* *******
แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772


วีธีการทำหน้ากากป้องกันสารพิษจากขวดพลาสติกขนาด 6 ลิตร แบบ DIY


อุปกรณ์ที่ต้องมี
1. ขวดน้ำขนาด 6 ลิตร 1 ใบ
2. ปรกกาเมจิ 1 ต้าม
3. มีดคัตเตอร์ 1 อัน
4. เข็มแหลมยาวสำหรับเจาะรูที่ฝาปิด 1 อัน
5. สายรัดแบบยาง 1 เส้น
6. ไฟเช็ค + อัน
7. หน้ากากป้องกันสารพิษชนิดกรองสารพิษปิดปาและจมูก 1 ชุด
8. แว่นตาดำน้ำ 1 อัน
วิธีการทำ
1. มารก์ใบบหน้าลงบนขวดน้ำขนาด 6 ลิตร ใช้ปากกาเมจิวาดโครงหน้า ให้ได้ขนาดของใบหน้าผู้ที่จะใส่แต่ละคน ทั้งสองด้านของขวด
2. ใช้คัตเตอร์ตัดที่ตามตำแหน่งที่มารก์ไว้ทั้งสองด้าน ให้พอดีที่สมหน้าได้พอดีแบบไม่อึดอัด
3. เจาะรูที่ฝาปิดขวดพลาสติก หลายๆรูเพื่อให้อากาศภายนอก-ภายในถ่ายเทได้แบบสบาบๆ
4. ติดสายรัดที่ข้างขวด เพื่อให้รัดไม่ให้ขวดหลุดจากใบหน้าได้ และไม่ต้องใช้มือจับ
วีธีใช้งาน
1. สวมแว่นตาดำน้ำที่ตาก่อน
2. สวมหน้ากากป้องกันสารพิษชนิดกรองสารพิษแล้วปิกที่ปากและจมูก
3, สวมหน้ากากป้องกันสารพิษที่ทำจากขวดพลาสติดทับที่หน้าอีกที
จากนั้นก็ลุยได้เลยเพื่อๆปลอดภัยแน่นอน
ขอบคุณนะครับสำหรับเพื่อนในกลุ่มหน้ากากขาวท่านหนึ่ง ที่คิดและประดิษฐแล้วมาสอนผม เพื่อเผยแพร่ให้พวกเรากลุ่หน้ากากขาวได้ทราบ และนำไปใช้งานเครดิตนี้ต้องยกให้เลยเจ๋งโครต
เพื่อนๆท่านใดสนใจก็นำไปลองทำดูได้นะครับ ความรู้ดีๆสำหรับเพื่อนๆแชร์ไปเลย

เต้นแน่นอก วอลเลย์บอลหญิง ทีมชาติไทย น่ารักเชียว




นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี เต้นเพลง แน่นอก หลังจากเอาชนะทีมชาติตูนิเซีย 3-0 เซต

Let's dance!
http://youtu.be/HRJthoJ659g


ไม่มีเหตุอะไรที่จะมานั่งด่าแกนนำพันธมิตร

ปู จิตกร บุษบา
ไม่มีเหตุอะไรที่จะมานั่งด่าแกนนำพันธมิตร
ควรชมที่เขามีคำประกาศที่ชัดเจนออกมาว่าเขาเอายังไง
ซึ่งเราจะถูกใจหรือไม่ถูกใจก็เรื่องของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา
ใครจะออกมาชุมนุมก็มา ใครไม่มาก็ไม่มา
ทุกคนเป็นเจ้าของชีวิตจิตใจของตัวเอง
ทุกคนรู้ได้ ว่าคำไหนมีเหตุผล คำไหนไม่มี
เขาไม่ใช่เจ้าชีวิตเรา เราก็ไม่ใช่เจ้าชีวิตเขา
มองประเทศชาติ แล้วถามตัวเองดีกว่า ว่าจะทำยังไง ^^

หมอดูอีทีทำนายรบ.ยิ่งลักษณ์ตกต่ำ ปชช.แตกแยกสู้กันเอง!!!



อาจารย์หม่า เผย คำทำนายหมอดูอีที ว่ารัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาถึงจุดต่ำสุด จะมีการต่อสู้กันของคนในประเทศจนเกิดความสูญเสีย โดยเฉพาะในเดือนส.ค. และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในปี2559

นายวรธนัท อัศกุลโกวิท หรือ อาจารย์หม่า ปรมาจารย์ฮวงจุ้ย เปิดเผยกับสำนักข่าวทีนิวส์ ว่าจากการไปพบกับหมอดูอีที หมอดูชื่อดังชาวพม่าเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยหมอดูอีที ได้ทำนายดวงประเทศไทยไว้บางช่วง ว่าขณะนี้เป็นจุดต่ำสุดของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะมีการต่อสู้กันเองของคนในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดความสูญเสีย แต่หลังจากนี้ประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น


โดยเฉพาะในเดือนสิงหาคมนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นต่อสู้ของคนในประเทศไทย เรื่อยไปถึงเดือนกันยายน ตุลาคม โดยจะใช้เวลาประมาณ 6-9 เดือน และจะเริ่มเข้าที่เข้าทางในปี2557 ตลอดทั้งปีจะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านปรับปรุง และในปี 2558 จะเป็นปีแห่งความหวังใหม่ของไทย โดยที่มีผู้มีอำนาจรัฐบาลปัจจุบันจะสูญหายไม่เหลือซาก โดยหมอดูอีทีไม่ได้ระบุว่าเสียชีวิต หรือต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ และในปี2559 ประเทศไทยจะเป็นดั่งฟ้าสีทอง ผ่องอำไพ ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนั้น จะเกิดขึ้นโดยประชาชน ไม่ใช่กองทัพ หรือทหาร


นอกจากนี้อาจารย์หม่า กล่าวด้วยว่า การทำนายของหมอดูอีทีนั้น กระทำโดยการอ่านคำถามจากใจของตนที่คิดจะถาม ไม่ได้เขียนคำถามหรือเขียนดวงประเทศไทยให้ อย่างไรก็ตามสำหรับหมอดูอีทีนั้น เป็นหมอดูชาวพม่าที่มีความพิการทั้งเป็นใบ้ หูหนวก มือเท้าหงิก อีกทั้งเคยทำนายดวงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไว้ด้วย

http://www.tnews.co.th/html/news/64876/หมอดูอีทีทำนายรบยิ่งลักษณ์ตกต่ำ-ปชชแตกแยกสู้กันเอง!!!.html

เรื่องจิ๊บๆ โดย...สันทัด กรณี

เรื่องจิ๊บๆ

โดย...สันทัด กรณี

วิกฤตน้ำมันดิบจากการรั่วไหลของท่อน้ำมันดิบบริษัท พีทีทีจีซี ในอ่าวไทย ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือความสะเพร่ากำลังสร้างความเสียหายอย่างหนัก

ตอนนี้ทั้งรัฐมนตรี ทั้งผู้บริหาร ปตท. พยายามปลอบใจชาวบ้านว่า พรุ่งนี้ 31 ก.ค. จะทำการฟื้นฟูพื้นที่เสียหาย โดยเจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าผสมโรงว่า อ่าวพร้าวสามารถกลับมาให้บริการตามปกติใน 7 วัน

ป้าดโธ่ พระเดชพระคุณท่าน เห็นชาวบ้านกินหญ้ากินฟาง กินแกลบกินรำกันหมดหรือไรขอรับ

ครับ ทำกันอย่างนี้ถึงได้เดือดร้อนลำบากถึงคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของผม อุตส่าห์เผ่นไปตั้งแต่ 28 ก.ค. เอ๊ย! ไปเยือนแอฟริกา หาลู่ทางการค้ากับโมซัมบิก แทนซาเนีย และยูกันดา กับอาสาส่งคนไปช่วยอบรมเรื่องเกษตร การศึกษา และสาธารณสุข...(ใครงงแบบผมไหม...โอย ช่างกล้า)

คุณยิ่งลักษณ์ สั่งการมาว่า “ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลและเร่งรัดแก้ไขปัญหาน้ำมันดิบรั่วในทะเลโดยเร่งด่วน ให้ดูแลเรื่องการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยให้ไปบูรณาการว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง”

บูรณาการอีกแล้วครับทั่น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูแลแก้ไขอีกแล้วครับทั่น...เอ้า ฮาาาาาา

สุดยอดมั้ย ฟังการสั่งการแล้วเงิบกันไปเลยสิท่า เรื่องง่ายๆ แบบนี้ทำไมไม่ทำกัน ต้องให้นายกฯ เปลืองสมอง...อิอิ อ่านต่อ >> http://bit.ly/14AwaRl

#ภาวะผู้นำ #บูรณาการ #Posttoday #โพสต์ทูเดย์

วิธีต้มไข่ไม่ให้แตก

วิธีต้มไข่ไม่ให้แตก ก่อนต้มน้ำให้ใส่น้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย แล้วต้มตามปกติ จะทำให้เปลือกไข่ไม่แตก ไข่ต้มสวย น่ารับประทาน
จาก SMS Farmer Info -  21 ก.ค.2556 - 10.29 น.

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อ่านหนังสือ ฟังธรรม อย่างมีสมาธิ จนจิตว่างจากกิเลส ได้บุญมาก




Mongy Saruta ปุจฉา - ขอรบกวนกราบเรียนถามพระอาจารย์ค่ะ หากเรามีสมาธิในการอ่านหนังสือธรรมะ หรือฟังซีดีธรรมะ ซึ่งในขณะนั้นจิตใจจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือหรือคำสอน อีกทั้งยังว่างจากกิเลส โลภ โกรธ หลง การอ่านและฟัง นั้นถือว่าเป็นกุศลกรรมหรือไม่คะ ได้บุญหรือไม่อย่างไรคะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - การอ่านหนังสือธรรมะหรือฟังซีดีธรรมะ จัดว่าเป็นบุญอย่างหนึ่งเรียกว่า ธรรมสวนมัย คือบุญที่เกิดจากฟังธรรม ยิ่งคุณวางใจถูกต้อง คือจิตใจจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือหรือคำสอน จนจิตว่างจากกิเลส บุญก็ยิ่งเพิ่มท

ประโยชน์ของการนอน



ในชีวิตของมนุษย์กล่าวว่า 1 ใน 3 ใช้ไปกับการนอน การนอนเป็นกิจกรรมที่จำเป็นของการดำรงชีวิต การมีชีวิตอยู่อย่างมีสุขภาพสมบูรณ์ มีสติปัญญาที่แจ่มใส มีสุขภาพกายและจิตที่ดี จะต้องมีการนอนหลับพักผ่อน

การนอนนับเป็นสภาวะหนึ่งของร่างกาย ที่การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในร่างกายลดลง การรับรู้ต่อโลกภายนอก และสิ่งแวดล้อมลดน้อยลง เพื่อพักผ่อนทั้งกายและใจ การพักผ่อนใด ๆ ของมนุษย์นั้น ไม่มีการพักผ่อนใดที่จะเทียบเท่ากับการนอน

ประโยชน์ของการนอนนั้นมีมากมายหลายประการ เช่น

• ทำให้สมองได้จัดรวบรวมข้อมูลที่เราได้รับในแต่ละวันอย่างเป็นระบบ ในระหว่างการนอนนั้น สมองจะเลือกเก็บข้อมูลที่จำเป็นไว้ในลิ้นชักความจำ และจัดระบบระเบียบข้อมูลที่ได้รับในแต่ละวัน ถ้าไม่มีการนอนแล้ว สมองจะเหนื่อยล้า และทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

• การนอนทำให้คนเราฝัน ความฝันนั้นนับเป็นกระบวนการที่สำคัญ ที่ช่วยให้มนุษย์เราได้ระบายความคับข้องทางจิตใจ เป็นการระบายความกดดันที่มนุษย์เราเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกในยามตื่น เมื่อหลับจึงออกมาในรูปของความฝัน

• ทำให้ผิวพรรณผุดผ่องสดใส ดวงตาเป็นประกายแจ่มใส จะเห็นได้ชัดในช่วงตื่นนอนตอนเช้า ผิวพรรณของคนที่นอนเต็มที่ จะมีน้ำมีนวลน่าดูและชวนมอง

• ทำให้ร่างกายมีความกระปรี้กระเปร่า มีความกระตือรือร้นและมีพลังงานในการทำงาน และดำเนินชีวิต

• ทำให้สมองฉับไว คิดอ่านแจ่มใส สดชื่น ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นกับสมองเมื่อวันวาน ก็ถูกลบเลือนไป เป็นความสดชื่นมาแทนที่

• ทำให้อารมณ์ดี แจ่มใส ไม่หงุดหงิด ในคนที่นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับจะพบว่า เมื่อตื่นขึ้นมามักมีอารมณ์ขุ่นมัว หงุดหงิดง่าย เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องก็เก็บเอามาคิด และบางคนพาลทะเลาะวิวาทกับเพื่อนฝูงได้อีกเหมือนกัน

• ทำให้มีสมาธิในการทำกิจกรรมในชีวิต ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

เป็นอย่างไรคะ คุณคงยอมรับแล้วนะคะว่า "การนอนคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด"

นันท์นภัส ประสานทอง-กรมสุขภาพจิต
สดจากจิตวิทยา, หนังสือพิมพ์ข่าวสด

'แชมป์ส้มตำ' บุก 'เชฟกระทะเหล็ก' ขอโชว์ลีลาแซบ ท้าตำครกแตก!

รายการ "เชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย" ส่งท้ายเดือนกรกฎาคม เอาใจคออีสานด้วยเชฟหญิงผู้มากด้วยลีลาความแซบ "เชฟประเศียร" ประเศียร นาคประเวศน์ แห่งร้านประเศียรตำแหลก จากร้านส้มตำรถเข็นเล็กๆ ปัจจุบันเป็นร้านส้มตำที่ลื่อชื่อที่สุดในจังหวัดขอนแก่น

และพูดได้เลยว่าไม่มีใครในจังหวัดขอนแก่นที่ไม่รู้จักร้านนี้ อีกทั้งเธอผู้นี้ยังเป็นนักล่ารางวัลตามงานประกวดต่างๆ มากมาย และแทบจะทุกเวทีที่เธอไปล้วนแต่ได้รางวัลชนะเลิศทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น การประกวดส้มตำ (ตำลาว) งานประเพณีลอยกระทง ปี 2545, งานมหกรรมวัฒนธรรมภาคอีสาน ปี 2545 และล่าสุดงาน Esarn Culinary Cup 2013 การแข่งขันส้มตำลีลาระดับภูมิภาค

มาถึงเวที "เชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย" พิธีกรประจำรายการ "ชาคริต แย้มนาม" จึงขอมอบโจทย์เพื่อทดสอบความแซบของเชฟผู้ท้าชิง "เชฟประเศียร" ในโจทย์ "นักชิมปริศนา (Mystery Judges)" โดยเชฟผู้ ท้าชิงจะต้องรังสรรค์อาหารจานพิเศษตามความต้องการของนักชิมปริศนา ให้เสร็จภายในเวลา 30 นาที

และนักชิมปริศนาที่จะมาชิมสุดยอดเมนูในครั้งนี้ ได้แก่ นักร้องลูกทุ่งสาวเจ้าของฉายาเจ้าแม่งานโชว์ "ฮาย อาภาพร และแดนเซอร์อีก 10 ท่าน" ที่เปิดตัวด้วยบทเพลงประจำตัว "อารมณ์เสีย" ด้านเชฟผู้ท้าชิงถึงกับงานเข้า เมื่อต้องรังสรรค์เมนูสำหรับ ฮาย-อาภาพร นครสวรรค์ และแดนเซอร์ 10 ท่าน "เชฟประเศียร" ขวัญใจชาวขอนแก่นจะเอาชนะ "เชฟกระทะเหล็กอาหารไทย เชฟชุมพล แจ้งไพร" อย่างที่ตั้งใจไว้ได้หรือไม่ ติดตามชมได้ วันพุธที่ 31 ก.ค.นี้ 5 ทุ่มตรง ทางช่อง 7 สี

เมื่อ "สรยุทธ" ในฐานะสื่อ ซักถาม ปตท. กรณีคราบน้ำมันบริเวณเกาะเสม็ด

เมื่อ "สรยุทธ" ในฐานะสื่อ ซักถาม ปตท. กรณีคราบน้ำมันบริเวณเกาะเสม็ด
กรุณาอ่านเอง ตามสะดวกเลยค่ะ ..
Recon Diver Club ผมต้องใช้ความอดทนอย่างมาก ในการดำรงความเป็นกลาง และนำเสนอข่าวสารอย่างสร้างสรรค์ ติเพื่อก่อ และเร่งให้เกิดการแก้ไขปัญหา จนกระทั่งความอดทนเหล่านั้นของผมหมดไปจริงๆ จากภาพๆหนึ่ง และคำสัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ ปตท. ในการราย เรื่องเด่นเย็นนี้ ผมขอสักดอกเถอะครับ ผมอดทนนั่งเป็น Admin นิสัยดีมาทั้งวันล่ะ 1.คุณสรยุทธ ถามว่า เท่าที่บินวนดู ทำไมทุนลอยมันสั้นจัง (มันสั้นมากๆ) เจ้าหน้าที่จาก ปตท. ตอบว่า "เราใช้เรือโปรยสารเคมีอย่างเต็มที่แล้ว" 2.คุณสรยุทธ ถามว่า สามารถดูดน้ำมันดิบได้วันละเท่าไหร่ เจ้าหน้าที่จาก ปตท. ตอบว่า " ธรรมชาติจะค่อยๆฟื้นตัวกลับมา ได้ด้วยตัวเองนะครับ " 3.คุณสรยุทธ ถามว่า ทำไมไม่ระดมจัดเก็บน้ำมันที่รั่วไหลตั้งแต่กลางทะเล เจ้าหน้าที่จาก ปตท. ตอบว่า "สารเคมีที่โปรยลงไป ทำให้ตกตะกอน น้ำมันดิบเลยรอดทุ่นลอย เพราะทะเลเราไม่ลึกพอ" 4.คุณสรยุทธ ถามว่า จะต้องใช้เวลากี่วันในการจัดเก็บคราบ เจ้าหน้าที่จาก ปตท. ตอบว่า "อีกด้านนึงของเกาะยังคงความสวยงาม มาเที่ยวได้ตามปกติ " คุณบ้าหรือเปล่าเนี่ย คุณตอบคำถามได้เลือดเย็นมากๆ ผมสงสัยว่าคุณเจ้าหน้าที่จาก ปตท. ท่านนี้ เติบโตมาอย่างไร มีวัยเด็กแบบไหน ทำไมถึงได้เป็นผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. สรุปที่ผมอดทนนั่งดูอยู่เนี่ย จนข่าวจบไปแล้ว ไม่เห็นมันได้อะไรเลย จับประเด็นอะไรไม่ได้เลย สรุปผมโง่ ใช่มั้ยที่ไม่เข้าใจคุณ ปล. ในภาพ กระดาษซับมัน เนี่ยนะ ที่คุณเร่งใช้เก็บคราบน้ำมัน ผมอยากร้องไห้ให้กับประเทศไทย สิ้นคนดีกันแล้วเหรอครับ
Recon Diver Club

ผมต้องใช้ความอดทนอย่างมาก ในการดำรงความเป็นกลาง และนำเสนอข่าวสารอย่างสร้างสรรค์ ติเพื่อก่อ และเร่งให้เกิดการแก้ไขปัญหา จนกระทั่งความอดทนเหล่านั้นของผมหมดไปจริงๆ จากภาพๆหนึ่ง และคำสัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ ปตท. ในการราย เรื่องเด่นเย็นนี้ ผมขอสักดอกเถอะครับ ผมอดทนนั่งเป็น Admin นิสัยดีมาทั้งวันล่ะ

1.คุณสรยุทธ ถามว่า เท่าที่บินวนดู ทำไมทุนลอยมันสั้นจัง (มันสั้นมากๆ) เจ้าหน้าที่จาก ปตท. ตอบว่า "เราใช้เรือโปรยสารเคมีอย่างเต็มที่แล้ว"

2.คุณสรยุทธ ถามว่า สามารถดูดน้ำมันดิบได้วันละเท่าไหร่ เจ้าหน้าที่จาก ปตท. ตอบว่า " ธรรมชาติจะค่อยๆฟื้นตัวกลับมา ได้ด้วยตัวเองนะครับ "

3.คุณสรยุทธ ถามว่า ทำไมไม่ระดมจัดเก็บน้ำมันที่รั่วไหลตั้งแต่กลางทะเล เจ้าหน้าที่จาก ปตท. ตอบว่า "สารเคมีที่โปรยลงไป ทำให้ตกตะกอน น้ำมันดิบเลยรอดทุ่นลอย เพราะทะเลเราไม่ลึกพอ"

4.คุณสรยุทธ ถามว่า จะต้องใช้เวลากี่วันในการจัดเก็บคราบ เจ้าหน้าที่จาก ปตท. ตอบว่า "อีกด้านนึงของเกาะยังคงความสวยงาม มาเที่ยวได้ตามปกติ "

คุณบ้าหรือเปล่าเนี่ย คุณตอบคำถามได้เลือดเย็นมากๆ ผมสงสัยว่าคุณเจ้าหน้าที่จาก ปตท. ท่านนี้ เติบโตมาอย่างไร มีวัยเด็กแบบไหน ทำไมถึงได้เป็นผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. สรุปที่ผมอดทนนั่งดูอยู่เนี่ย จนข่าวจบไปแล้ว ไม่เห็นมันได้อะไรเลย จับประเด็นอะไรไม่ได้เลย สรุปผมโง่ ใช่มั้ยที่ไม่เข้าใจคุณ

ปล. ในภาพ กระดาษซับมัน เนี่ยนะ ที่คุณเร่งใช้เก็บคราบน้ำมัน ผมอยากร้องไห้ให้กับประเทศไทย สิ้นคนดีกันแล้วเหรอครับ

ผบก.ปอท.ออกโรงเอง!! แจงกรณีคลิป"อัลกออิดะห์" ขู่ฆ่า “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นของจริง

ผบก.ปอท.ออกโรงเอง!! แจงกรณีคลิป"อัลกออิดะห์" ขู่ฆ่า “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นของจริง ไม่ได้ตัดต่อ ?? เตรียมประสานงานความมั่นคงสหรัฐฯ ช่วยตรวจสอบ???

วันนี้ (28 ก.ค.) พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคลิปวิดีโอจากอัลเคดา (อัลกออิดะห์) เพื่อขู่ฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการเหตุการณ์สังหารที่มัสยิดกรือเซะ อ.เมือง จ.ปัตตานี เมื่อปี 2547 ว่า คลิปดังกล่าวน่าจะไม่มีการตัดต่อ โดยพบว่าเป็นคลิปที่สร้างมาจากทางตะวันออกกลาง อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นกลุ่มไหน ใครจะเป็นคนสร้างหรือทำ

ขณะนี้ได้ประสานไปยังหน่วยงานความมั่นคงของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีข้อมูลอยู่ ซึ่งสิ่งที่นำคลิปวิดีโอมาลงนั้นทำขึ้นเพื่อให้ผู้ถูกข่มขู่เสียประโยชน์ ทำให้จำกัดความเคลื่อนไหว ผลสรุปความชัดเจนน่าจะทราบในวันพรุ่งนี้ (29 ก.ค.) ที่จะมีการประชุมและรายงานในที่ประชุมทราบ ร่วมกับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.เวลา 16.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

http://www.tnews.co.th/html/news/64606/คลิปของขู่ฆ่าจริง!!-ผบกปอท-ยันเองส่งอเมริกาช่วยตรวจสอบ.html

คลิปขู่ฆ่าทักษิณ จริงหรือปลอมไม่รู้ แต่ภายในหนึ่งสัปดาห์มีกดไลค์ถึง 17 ล้านกว่าไลค์ !!!
---------------------------------------------
น่าสงสารแม้วเน๊อะ เห็บหมาแต่ละตัว ช่วยได้แค่ .....คลิปปลอม ของปลอม ของเด็กเล่น สลิ่มทำ ?? เลี้ยงไปก็เปลืองข้าวเน่าแท้ๆ !!!!

ขอความช่วยเหลือด่วนในพื้นที่รอบนอก ของอ.แม่สอด 30/07/56

ขอความช่วยเหลือด่วนในพื้นที่รอบนอก ของอ.แม่สอด 30/07/56 บริเวณ
- บ้านแม่กุหลวง, บ้านท่าอาจ, บ้านห้วยม่วง บ้านแม่ตาว บ้านวังตะเคียน ต้องการอาหารและน้ำ บางส่วนต้องการเรือออกนอกพื้นที่ค่ะ..

- ศูนย์ขอความช่วยเหลือ เทศบาลแม่สอด 055-547449,055-531113
- ศูนย์ขอความช่วยเหลือ เทศบาลท่าสายลวด 055-563043,055-563169
- ศูนย์ขอความช่วยเหลือ เทศบาลแม่ตาว 055-543-220 , 055-542-720
- ศูนย์ขอความช่วยเหลือ เทศบาลแม่กุ 055-583030

- งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แม่สอด 055-531222
- งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ต.ท่าสายลวด 055-531670

เบอร์กลาง 199..

สถานการณ์ที่ สะพานมอญ

นายขวัญชัย ถิระศิลป์
วันนี้ 29 กรกฎาคม 2556 ขึ้นไปสำรวจเส้นทาง และสะพานมอญ ที่สังขละบุรี มาแล้วครับ สาเหตุเกิดจากปริมาณน้ำฝนมีจำนวนมาก ฝนตกต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่าสัปดาห์ ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากตามห้วยต่างๆ. สะพานมอญถูกท่อนไม่้ และเศษไม้ที่พัดมากับน้ำป่าติดค้างอยู่ที่ตอม่อสะพาน ปิดกั้นทางน้ำ เมื่อน้ำไม่มีทางไป จึงดันสะพานไม้ล้มขาดลง มีระยะทางประมาณ 50 เมตร ชาวบ้าน ได้ระดมกำลังกันช่วยกันรื้อท่อนไม้ที่ตอม่อออก เพื่อเปิดทางน้ำ สถานการณ์ดีขึ้น แต่ฝนยังคงเดิม ที่เกิดเหตุตอนนี้ต้องการเสื้อชูชีพ จำนวนมาก เพื่อใส่ลงไปรื้อซากไม้

ขอเชิญทุกท่านมาร่วมกันสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ในวันพระแรม ๘ ค่ำ เดือน ๘ นี้ด้วยกัน

ขอเชิญทุกท่านมาร่วมกันสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ก่อนทำกิจการงานน้อยใหญ่ในวันพระแรม ๘ ค่ำ เดือน ๘ นี้ด้วยกัน

บทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ
พระพุทธคุณ : อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชา
จะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ

พระธรรมคุณ : สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ

พระสังฆคุณ : สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทังจัตตาริ
ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

คำแปลพระพุทธคุณ : แม้เพราะอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ควรได้รับความเคารพบูชา เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชา และความประพฤติ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งไปกว่าเป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว และเป็นผู้จำแนกแจกแจงธรรม

คำแปลพระธรรมคุณ : พระธรรมอันเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ดีแล้ว อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ขึ้นอยู่กับกาล
ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

คำแปลพระสังฆคุณ : พระสังฆคุณ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติถูกทาง เป็นผู้ปฏิบัติสมควร เป็นผู้ควรแก่การของคำนับ เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ของทำบุญ เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลีกราบไหว้ เป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก

ขออนุโมทนาบุญในจิตอันเป็นกุศลด้วยการสวดสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยนี้ด้วยกัน
............................................................................
เติมความสุข กำลังใจ สู่ความสำเร็จในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม
www.facebook.com/ThanavuddhoStory

คนที่มีความสุขที่สุดในโลก


คนที่มีความสุขที่สุดในโลก
ไม่ใช่คนที่ฝันอะไรก็ได้อย่างนั้น
หรือคนที่ประสบความสำเร็จที่สุด
เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง
ไม่มีใครที่จะได้ตามที่ฝันทุกครั้ง
และไม่มีใครที่จะประสบความสำเร็จในทุกเรื่อง
คนเราต้องผิดหวัง หรือล้มเหลวบ้างเป็นธรรมดา
คนที่มีความสุขจึงเป็นคนที่ไม่ว่าจะยืนอยู่ ณ จุดไหน
ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว
ไม่ว่าจะสมหวังหรือไม่สมหวัง
เขาก็สามารถค้นเจอความสุข ณ จุดที่ยืนอยู่ได้
People Magazine

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

..ถ้าประชาชนไม่มีที่พึ่ง ไม่มีผู้ใดเอาใจใส่

คำสอนของพ่อ

"...ถ้าประชาชนไม่มีที่พึ่ง ไม่มีผู้ใดเอาใจใส่ พอ พึ่งทางราชการ ไม่ได้ ก็ต้องหันไปพึ่งผู้กว้างขวาง ผู้มีอิทธิพลจึงเป็นหน้าที่ของทาง ราชการที่จะปฏิบัติงาน เพื่อให้การบริการของ ราชการได้เข้าถึงประชาชน โดยทั่วถึงและทำด้วยความสุจริต...

พระบรมราโชวาท เนื่องในโอกาสพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน 31 กรกฎาคม 2513

คนไม่มีศาสนา เป็นคนดีหรือไม่



มน. รักมวลหมู่แมวแล้วก็รักคนอ่าน ปุจฉา - นมัสการค่ะพระอาจารย์ มีเรื่องอยากจะเรียนถามท่านค่ะ ว่าท่านคิดอย่างไรกับคนที่ไม่นับถือศาสนาคะ (หรือนับถือตามในบัตรประชาชนเท่านั้น) แล้วการที่คนทั่วไปเขามองว่าคนไม่นับถือศาสนาดูเป็นคนหยาบช้า ป่าเถื่อน (ไม่มีศาสนาเป็นหลักศีลธรรมประจำใจเช่นใครเขา) ท่านคิดว่าอย่างไรคะ ดูเหมือนจะกลายเป็น 2 คำถามนะคะ ขอบพระคุณค่ะ

พระไพศาล วิสาโล - คนที่ไม่นับถือศาสนา ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนไม่ดี เป็นแต่เขายังไม่ปลงใจศรัทธานับถือในศาสนาใด จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ อาตมาพบว่าคนที่ไม่นับถือศาสนานั้น หลายคนเป็นคนดี มีน้ำใจ รับผิดชอบส่วนรวม และมักจะมีศีลไม่ต่างจากชาวพุทธ ในทางตรงข้ามมีคนจำนวนไม่น้อยที่ประกาศตนว่านับถือศาสนา แต่เห็นแก่ตัว ไร้น้ำใจหรือไม่มีศีลด้วยซ้ำ

ศาสนามิได้เป็นแหล่งที่มาของความดีอย่างเดียว ความเชื่อบางอย่างเช่น มนุษยนิยม ก็ส่งเสริมให้คนทำดี บางคนที่มีความเชื่อแบบนี้ถึงกับปฏิเสธการกินเนื้อสัตว์หรือการเอาสัตว์มาใช้ในการทดลองด้วยซ้ำ เพราะเห็นว่าเป็นการเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก (ในขณะที่บางศาสนาไม่ถือว่าการทำเช่นนั้นเป็นบาป)

สรุปก็คือ อย่าตัดสินคนที่รูปแบบหรือความเชื่ออย่างเดียว ต้องดูที่การกระทำด้วย คนที่มีความเชื่อสูงส่งหรือสวยหรู แต่ประพฤติตนย่ำแย่หรือถึงขั้นโหดร้ายป่าเถื่อนก็มีไม่น้อย อย่าลืมว่าการสังหารผู้คนที่บริสุทธิ์ในนามของศาสนา ก็มีให้เห็นอยู่เป็นประจำตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา

“เอาพานใบนี้ไปชั่งดูนะว่าน้ำหนักเท่าไร”

ตามรอยพ่อ
ทุกๆครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานออกไปต่างจังหวัด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานความเป็นกันเองแก่ราษฎรทั่วหน้า ด้วยทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า พสกนิกรต่างต้องการได้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทและได้กราบทูลเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง

ครั้งหนึ่ง ทรงเสด็จแปรพระราชฐานที่จังหวัดแห่งหนึ่ง และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร พ่อค้า ประชาชน สมาคมและบุคคลต่างๆได้เข้าเฝ้าฯ อย่างทั่วถึงเช่นเคย
กระทั่งเมื่อถึงวาระของสุภาพสตรีประจำจังหวัดนั้น ซึ่งประกอบไปด้วย ครู อาสากาชาด สมาคมแม่บ้านกลุ่มใหญ่ ประมาณ ๗๐-๘๐ คน สุภาพสตรีหัวหน้าคณะดังกล่าวได้ถวายพานดอกไม้ พร้อมกราบทูลพระองค์ท่าน โดยในคำต่อท้ายของการถวายพระพรนั้น ได้กราบทูลว่า

“...ข้าพระพุทธเจ้าทุกคนมีความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มีน้ำหนักมากกว่าพานดอกไม้ ที่น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพุทธเจ้าข้า”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปรับพานดอกไม้ แล้วส่งให้มหาดเล็กรับช่วงต่อตามประเพณี หากแต่มหาดเล็กผู้มารับพานดอกไม้ยังไม่ทันจะหมุนตัวกลับ ก็ได้ยินพระราชดำรัสรับสั่งว่า
“เอาพานใบนี้ไปชั่งดูนะว่าน้ำหนักเท่าไร”
***
ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา พระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม ทรงอ่อนโยน น้อมพระองค์ลงสู่ราษฎร ขอจงทรงพระสิริสวัสดิ์ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

บันทึกจากคุณไก่ แมลงสาบ "ผมมีเรื่องเล่าอีกมากมาย

Admin - บันทึกจากคุณไก่ แมลงสาบ "ผมมีเรื่องเล่าอีกมากมาย
พบกันวันที่ 31 ก.ค. นี้ ณ.ลานฟังธรรม สันติอโศก ซอยนวมินทร์ 48
บ่ายโมงตรงครับ........เวทีเสวนาและดนตรี เล็กๆ จากไก่ แมลงสาบ.เดช อัสดง.ซูซู ...มาชวนคุยหาทางออกให้ครอบครัวและประเทศไทย กันนะครับ"

เข้าหาพี่วีระ สมความคิด
-เจ้าหน้าที่ผู้คุมขัง..ตรวจเข้ม...แม้แต่พระที่แขวนคอไป...ยังหยิบดูแล้ว หยิบดูอีก
-ของที่นำมาฝาก...ยาและอาหารมังสวิรัติ....ถูกรื้อตรวจสอบอย่าง ละเอียด...ยิบ!!!!
-เจ้าหน้าที่ประตูที่สองมารับเรา...พาไปนั้ง ที่โต๊ะม้าหินขัด ซึ้งมีลูกกรงรั้วล้อมรอบอีกที.....ผมนั้งซ้าย คุณขวัญนั้งเก้าอี้ด้านซ้ายมือผม ส่วนเจ้าหน้าที่สถานทูตไทย นั้งตรงข้ามกับผม
-นั้งรอ ประมาณ๔-๕ นาที่ เหลียวมองด้านขวาแต่ไกลๆ......ผมเห็นแล้ว .. นั้นพี่วีระ....เดินมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง พี่วีระ เดินผ่านเข้ารั้วลูกกรงมา ด้วยท่าทางอันสงบเยือกเย็น..........พอเข้ามาสักระยะใก้ลๆ.........ผมยก๒มือขึ้น แล้วกล่าวว่า สวัสดีครับพี่......พอพี่วีระเห็นพวกเราอย่างถนัด.....คำแรกที่ได้ยินจากปากพี่วีระ.....เฮ้ย!!!! มาได้ยังไงเนี้ย..........พี่วีระเดินตรงเข้ามา แล้วยืนมือมาจับ...มือผม.......
-พี่วีระนั้งลงข้างๆผม ...แล้วบอกว่าพี่เป็นหวัด...ผมบอกว่าไม่เป็นไร....ผมอยากติดหวัดพี่///// มือข้างซ้ายของพี่วีระ โอบไหล่ผม แล้วจับมือกันไว้
-คุยกันอยู่พักหนึ่ง ถามสาระทุกข์ สุขดิบ ต่างๆนานา.....ซึ่งมีใจความว่า
-ที่นี้มันไม่ค่อยสะอาด มีเชื้อโรคเยอะ...ใครป่วยคนนึ่งก็ติดกันแทบทั้งหมด
-เจ้าหน้าที่ผู้คุมที่นี้...มีการคอรัปชั่น ยารักษาคนป่วย...จำพวกยาพาราแก้ปวด ที่เขาบริจากกันมาหรือว่ามาจากสวัสดิการส่วนกลาง (จะนำยานั้นมาจำหน่ายให้กับผู้ต้องขัง ในราคาสูงหลายเท่าตัว....ซึ่งพีวีระกล่าวว่า... พี่ ทน ไม่ ได้) จึงกำชับว่า...ถ้าจะเอายามาบริจาค ให้ผ่านมาทางบาตรหลวง.....(ซึ่งบาตรหลวงท่านนี้ จะเข้ามา รักษาและดูแลคนป่วย ในคุก ด้วยตัวท่านเอง .....ในขณะนั้นท่านบาตรหลวงเดินผ่านมา พร้อมคณะ๔-๕ท่าน พอดี....ท่านโบกมือทักทายพี่วีระ...อย่างสนิท-และเป็นกันเอง แบบคนคุ้นเคย)
-ช่วงหลังๆมานี้ เจ้าหน้าที่คุมขัง อนุญาติให้เอาอาหารมาทำกินเองได้ ภายในที่คุมขัง (เนื่องจากพี่วีระ กินมังสวิรัติ.....พี่วีระเสิรมต่อว่า ส่วนคนอื่นก็ทำกินได้....แต่ต้องซื้ออาหารสดจากผู้คุม...เช่นหมู/เนื้อ ด้วยเหตุเพราะว่า พวกเขาจะได้กำไลจากการขายของนั้น หลายๆเท่าตัว)
-พี่วีระบอกว่า....ถ้าจะเคลื่อนไหวกดดัน...ให้กดดันท่างรัฐบาลไทย
อย่าไปกดดัน ด่าหยาบคาย กับทางฝังเขมร......เพราะว่าเขาพร้อมจะส่งตัวกลับเสมอ แต่รัฐบาลไทยยังไม่ได้ดำเนินการให้คืบหน้าแต่ ประการใด (ถ้าเรากร้าวร้าวกับเขมรโดยฉะเพราะ ฮุนเซน...เมื่อใด ผมอาจจะถูกแกล้ง ให้อดข้าว อดอาหารและ ขยายเวลาติดคุกต่อ)
-ยังมีอีกหลายเรื่องครับ........ช่วงสุดท้ายของการสนทนากัน......ผมบอกว่ามีคนฝากความคิดถึงพี่มามากมาย....ไล่ไปตั้งแต่ ๑ ๒ ๓ ๔ .ฯลฯ.....

พี่วีระบอกว่า...ขอบคุณครับ...ทุกๆคน และฝากบอกพี่น้องคนไทยด้วยว่า
" ผมยังปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ เหมือนเดิม "
" ผมยังยืนยันว่า....ผมถูกจับ บนผืนแผ่นดินไทย ไม่ใช่ แผ่นดินเขมร "
" มันขังผมได้แต่ตัว...มันขังความคิดและหัวใจผม ไม่ได้ "
" ผมคิดถึงประเทศไทยและคิดถึงพี่น้องคนไทย ทุกๆคนครับ "

ขอให้ทุกท่าน กินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบายทุกวันวาร เทอญ.


คนเรา ถ้าสามารถเรียกร้องอะไรได้จากชีวิต เพียงแค่ขอให้กินง่าย ถ่ายคล่อง นอนสบาย เท่านี้ชีวิตก็เป็นสุขแล้ว

พูดอย่างนี้ หลายคนคงต่อว่าในใจว่า..."อะไรกัน ขอเพียงเท่านี้เองเหรอ..." ถ้าขออะไรได้ ใครต่อใครคงขอให้ร่ำรวย เจริญด้วยยศศักดิ์ อำนาจและชื่อเสียง ได้เป็นดาราที่เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากแฟนๆไม่หยุดหย่อน หรือไม่ก็เป็นรัฐมนตรีมีระดับที่สูงทั้งไอคิวและไอเดีย อย่างน้อยๆก็ขอให้มีแฟนสวย เจ้าบ่าวหล่อ อะไรทำนองนั้น(และที่ลืมไม่ได้อย่างเด็ดขาดก็คือขอให้ค่าเงินบาทและราคาหุ้นพุ่งกระฉูด)

การกินง่าย ถ่ายคล่อง นอนสบายดูเหมือนจะเป็นสิ่งพื้น ๆ ประเภทหญ้าปากคอก ไม่มีค่าไม่มีราคา จะใช้หากินหรือเอาไปอวดใครก็ไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโตก็กินง่ายถ่ายคล่องอยู่แล้ว จะไปน่าสนใจอะไร

แต่ของที่เป็นหญ้าปากคอกนี่แหละ สำคัญนักแล ลองกลั้นลมหายใจสักนาทีดู ก็จะรู้ว่าอากาศนั้นมีความหมายเพียงใดต่อชีวิต ถึงจะเป็นเซียนหุ้นฝีมือล้ำเลิศเพียงใด ในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างทุกวันนี้ ย่อมประจักษ์แก่ใจว่า ถ้าคืนไหนสามารถหลับได้เต็มตา ก็นับว่าโชคดีทีเดียว

แม้ในยามเงินตราไหลสะพัด ก็ใช่ว่าการนอนหลับสนิทจะเป็นเรื่องที่ทำกันได้ง่าย ๆ คนเป็นอันมาก ทำงานตักตวงเงินจนเป็นเศรษฐีเงินล้าน แต่พบว่าสิ่งหนึ่งที่สูญเสียไปคือ ความสามารถที่จะนอนหลับสนิท ตอนเป็นเด็ก การหลับนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่พอโตขึ้น ของง่ายก็กลับเป็นเรื่องยากไป

การนอน การกิน การถ่าย ไม่มีราคาค่างวดอะไรก็จริง แต่ก็เพราะไม่มีราคาค่างวดนี่แหละ ถึงได้เป็นปัญหาสำหรับคนยุคนี้นักธุรกิจถึงจะมีเงินร้อยล้านพันล้าน ก็ไม่สามารถเอาเงินซื้อสภาวะกินง่ายถ่ายคล่อง นอนสบายได้ ทุกวันนี้ปัญหาพื้นๆแบบนี้ ไม่ได้เป็นเฉพาะกับเจ้าของเบนซ์คันหรูเท่านั้น แม้กระทั่งเจ้าอีแตีกอีต๋อยก็เจอ"โรคสมัยใหม่"แบบนี้มากขึ้นทุกที

น่าแปลกไหมที่มนุษย์แม้จะส่งคนไปโลกพระจันทร์ แปลงเพศ เปลี่ยนยีนได้ แต่กลับไม่สามารถเอาชนะโรคนอนไม่หลับได้เลย...ยานอนหลับที่วางขายกันเกลื่อนนั้น แก้ปัญหาได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว และที่จริงก็เพียงแต่ทำให้หลับ (ที่จริงต้องเรียกว่า "หมดสติ") แต่หาทำให้สบายไม่ ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกงัวเงีย สมองตื้อ ยังไม่ต้องพูดถึงผลข้างเคียงที่ติดตามมา แม้กระนั้น ยานอนหลับก็ยังติดอันดับขายดีทั่วประเทศ(และทั่วโลก)

ที่จริงไม่ใช่แต่ยานอนหลับเท่านั้น ยาถ่ายก็ขายดีเช่นเดียวกัน คนสมัยนี้มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายทั้งนั้น แต่ครั้นจะพึ่งยาถ่ายทุกวี่ทุกวัน สุขภาพก็มีแต่จะแย่ลง สมัยนี้ใครที่ไม่มีปัญหาการถ่าย นับได้ว่ามีโชคอันประเสริฐ เพราะไม่เพียงแต่จะปลอดจากโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร แผลลำไส้ใหญ่เท่านั้น หากยังมีหวังแคล้วคลาดจากโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งลำไส้อีกด้วย

เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าการหลับง่ายถ่ายคล่องนั้นซื้อหาไม่ได้และไม่มีเทคโนโลยีใด ๆ จะเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้อย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หมั่นออกกำลังกาย และกินอาหารที่มีเส้นใยมาก ๆ เช่นข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ก็ช่วยได้มาก

แต่การกินง่ายนี่สิ ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก ใช่ว่ามีลิ้นแล้วจะกินอะไรเป็นอร่อยไปหมดก็หาไม่ การกินของง่าย ๆ พื้น ๆ แล้วยังรู้สึกอร่อยนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับจิตใจค่อนข้างมาก ลำพังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางกายอย่างที่ยกตัวอย่างข้างต้นนั้นเห็นจะไม่พอ แม้จะเปลี่ยนมากินผักมาก ๆ ก็ยังอยากปรุงแต่งให้อร่อย มีสีสันรูปลักษณ์น่ากิน แล้วก็ต้องเปลี่ยนเมนูบ่อย ๆ ด้วย เพราะขืนกินสูตรเดียวกันทุกวี่ทุกวันก็แย่เหมือนกัน

ทั้ง ๆ ที่การกินง่ายไม่ใช่เรื่องง่าย แต่น่าสังเกตว่า เวลาไปถามรัฐมนตรีหรือนักธุรกิจพันล้านมักจะได้คำตอบตรงกันว่า ชอบกินราดหน้าบ้าง ก๋วยเตี๋ยวเป็ดบ้าง ดูใคร ๆ ก็ชอบแสดงตัวว่าชอบกินอะไรง่าย ๆ แต่เวลาประชุมพรรค หรือเลี้ยงฉลองกัน เป็นไฉนจึงชอบจัดตามโรงแรมดัง และสั่งอาหารหรูเริ่ดทุกครั้งไปก็ไม่รู้

การกินง่าย ๆ ให้อร่อยนั้นไม่ได้อยู่ที่ลิ้นมากเท่ากับที่ใจ ถ้าใจไปให้คุณค่ากับอาหารราคาแพงคิดว่าอาหารอร่อยต้องกินตามโรงแรม หรือกินเพราะต้องการแสดงความโก้เก๋อวดบารมีเสียแล้ว กินผีดผัก แกงจืดจะไปมีรสชาติอะไร แม้แต่กล้วยแขกก็ไม่คู่ควรกับลิ้นของตัวเท่ากับเค้กช็อกโกแลต

จะรู้จักรสชาติอาหารพื้น ๆ ได้ ก็ต่อเมื่อถอดหัวโขน เปลื้องเหรียญตรา และปีนลงมาจากหอคอยงาช้าง แต่จะดีกว่านี้ ถ้าหากปรับใจให้ตระหนักว่า ความอร่อยของอาหารนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามันกระตุ้นลิ้นได้มากเพียงใด อาหารที่มีรสจัดจ้าน ไม่ว่าหวาน เปรี้ยว เผ็ด ชนิดออกนอกหน้าโจ่งแจ้ง ไม่ใช่อาหารอร่อยเสมอไปรสชาติเรียบ ๆ ก็เป็นเสน่ห์ของอาหารอย่างหนึ่งเหมือนกัน แถมยังเป็นเสน่ห์ที่มีคุณค่ากว่ารสจัดจ้าน เพราะไม่เพียงแต่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น หากยังมีผลกล่อมเกลาจิตใจให้สงบด้วย ความสงบนี่แหละช่วยให้บังเกิดความสุขความรื่นรมย์ในขณะกินอาหาร โดยไม่ต้องมีเสียงเพลงจากนักร้องมาช่วยกล่อมเลยอย่าลืมว่า ความสุขไม่ได้เกิดจากการเร้าจิตกระตุ้นใจเท่านั้น ความสงบก็เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขด้วยเช่นกัน ทั้งยังเป็นสุขที่ประณีตและประเสริฐกว่าเสียด้วย

คงเห็นแล้วว่า การรู้จักกินง่าย ๆ จะว่าเป็นเรื่องหญ้าปากคอกก็ได้ (เด็กที่ไหน ๆ กินกล้วยแขกก็รู้สึกอร่อย ตราบใดที่ยังไม่ถูกอิทธิพลโฆษณาแฮมเบอร์เกอร์ครอบงำ) จะว่าไม่ใช่หญ้าปากคอกก็ได้ เพราะต้องอาศัยคุณภาพจิตระดับหนึ่งด้วย ว่าไปแล้ว แม้แต่การนอนง่ายถ่ายคล่องก็เกี่ยวข้องกับจิตใจเช่นกัน ถ้าหงุดหงิดคิดมาก ท้องก็ผูกเป็นเรื่องธรรมดา หากเจ็บช้ำน้ำใจ อึดอัดขัดเคืองใคร ก็พลอยทำให้นอนไม่หลับกระสับกระส่ายทั้งคืน ถึงหลับได้ก็ฝันฟุ้งจนเหนื่อย ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกว่านอนไม่พอ ง่วงเหงาหาวนอนทั้งวัน

ถ้าอยากนอนง่ายถ่ายคล่องจริง ๆ ก็ต้องรู้จักปล่อยวางให้เป็นด้วย นั่นหมายความว่าต้องฝึกใจให้คิดเป็นเรื่อง ๆ คิดเป็นที่เป็นทาง ไม่ใช่คิดแบบ "เรี่ยราด" คนที่ปล่อยใจคิดไปเรื่อย ๆ สุดแท้แต่อารมณ์ความรู้สึกจะพาไป ง่ายที่จะเป็นคนครุ่นคิดติดยึดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เก็บเอาเรื่องเล็กน้อยในสำนักงานมาเป็นอารมณ์ติดค้าง แม้กระทั่งเวลากลับมาบ้าน บางเรื่องแม้จะดูเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าหมกมุ่นครุ่นคิดกับมัน ไม่รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง มันก็จะเข้ามาครอบงำเรา กลายเป็นใหญ่เหนือเรา คราวนี้ถึงอยากจะวาง มันก็ไม่ยอมให้เราวาง มีแต่จะบังคับให้จิตของเรา ครุ่นคิดปรุงแต่งไปตามที่มันกำหนดทั้งวี่ทั้งวัน กระทั่งเวลานอนก็นอนไม่ได้ เพราะสลัดมันไปไม่สำเร็จ ปลิงที่ว่าเหนียวหนึบ ยังสู้ความครุ่นคิดกังวลใจไม่ได้

ลองฝึกใจให้คิดเป็นเรื่อง ๆ ถึงเวลากินใจก็อยู่กับการกิน ถึงเวลาล้างจานใจก็อยู่กับการล้างจาน ถึงเวลาคุยใจก็อยู่กับการคุย ไม่พึงปล่อยใจไปกับเรื่องอื่นคนสมัยนี้มักเข้าใจไปว่าการคิดไปด้วยกินไปด้วยเป็นการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งเวลาหายากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนเก่ง ล้ำหน้าคนอื่น หารู้ไม่ว่านั่นคือการบั่นทอนคุณภาพชีวิตอย่างร้ายแรง นอกจากจะทำให้จิตไม่มีสมาธิกับงานใด ๆ แม้แต่งานเดียวแล้วยังทำให้ขาดสติคิดเรี่ยราดหรือฟุ้งซ่านได้ง่าย กลายเป็นคนเจ้ากังวล จมกับความเครียด ใครที่กินอาหารด้วยจิตแบบนี้ ก็เตรียมยารักษาโรคกระเพาะ ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือยาแก้ท้องผูกไว้ได้เลย มิหนำซ้ำ ถึงจะกินอาหารฮ่องเต้วิเศษปานใด ก็ไม่มีวันรู้สึกอร่อยไปได้ ตรงกันข้ามกับคนที่มีจิตใจผ่องใส โปร่งโล่ง กินอะไรก็อร่อยทั้งนั้น แม้จะเป็นข้าวแกงธรรมดา

การกินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบายจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ พื้น ๆ อย่างที่เข้าใจถ้าอยากจะมั่งมีศรีสุขก็อย่าลืมตั้งจิตคิดถึงเรื่องนี้ด้วย อย่าสนใจเพียงแค่ทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น ส่วนคนที่มุ่งดับทุกข์ดับกิเลส ก็อย่าเพิ่งดูแคลนการกินง่ายถ่ายคล่องว่าเป็นเรื่องโลกย์ ๆ เพราะแท้ที่จริงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่แยกไม่ออกจากการฝึกฝนจิตใจหรือการปฏิบัติธรรมเลยทีเดียว ถึงที่สุดแล้ว การกินง่ายถ่ายคล่อง หลับสบายนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้สภาวธรรมที่สำคัญประการหนึ่งทีเดียว จางจื๊อ ปราชญ์จีนโบราณได้พูดถึงผู้บรรลุธรรมขั้นสูงว่า ...

มนุษย์ที่แท้ในสมัยโบราณนั้น...
นอนโดยไม่ฝัน
ตื่นโดยไม่วิตก
กินอาหารง่าย ๆ
หายใจลึก ๆ

คนที่ถึงจุดสุดยอดในทางธรรมไม่ใช่คนที่เหาะเหินเดินอากาศหรือหายตัวได้ หากแต่(เป็นคนที่)มีชีวิตอยู่อย่างสามัญ เป็นความสามัญที่ไม่ธรรมดาเลย

ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้เงินทองจะร่อยหรอ ข้าวของจะแพง แต่ถ้าหากยังกินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบาย ก็ควรพึงพอใจได้แล้ว

เพราะฉะนั้นวันนี้ เห็นจะไม่มีอะไรเหมาะสมเท่ากับคำอวยพรว่า... ขอให้ทุกท่าน กินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบายทุกวันวาร เทอญ.

เลือกพ่อ หรือ แม่



ปุจฉา - กราบนมัสการพระอาจารย์ไพศาลที่ิเคารพ หนูมีเรื่องรบกวนพระอาจารย์ดังนี้ค่ะ หนูเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวพ่อกับแม่ได้แยกกันอยู่ตั้งแต่หนูยังเป็นเด็ก แต่พ่อก็ยังไปมาอยู่ไม่ขาด เพียงแต่ไม่ได้มานอนที่บ้านเท่านั้น เนื่องจากพ่อไปมีภรรยาใหม่ และพ่อก็มักจะมีปัญหาทะเลาะกับแม่บ่อยๆ เวลาเจอกัน แต่ตอนนี้ภรรยาใหม่ของพ่อเขาไม่อยากให้พ่อของหนูอยู่ด้วยแล้วแต่ก็ไม่อยากเลิก เนื่องจากทุกวันนี้พ่อยังให้เงินเขาใช้อยู่

พอดีมีเหตุการณ์เกิดขึ้นทางครอบครัวใหม่ของพ่อ ทำให้พ่อต้องมาอยู่กับหนูและแม่ที่บ้าน แต่อย่างบอกค่ะ พ่อกับแม่เขาไม่มีใครยอมใครเลย โดยนิสัยพ่อจะเป็นคนขี้บ่น แล้วก็โวยวาย โดยเฉพาะกับแม่ แล้วแม่ก็จะไม่ยอมฟัง ทำให้ทะเลาะกันอยู่เรื่อยๆ ซึ่งหนูไม่สามารถเข้าข้างใครได้เลย ถ้าบอกแม่ว่าพ่อพูดถูกแม่ก็จะโกรธ เช่นเดียวกันถ้าบอกพ่อว่าแม่พูดถูกพ่อก็จะงอน

พ่อมาอยู่กับหนูและแม่ได้ประมาณ 1 เดือน หนูรู้ว่าพ่อเขาไม่มีความสุขเลย แต่เขาก็กลับไปบ้านภรรยาใหม่เขายังไม่ได้ พ่อเขารักภรรยาใหม่มากค่ะเขาพูดอะไรก็เชื่อหมด บอกว่ายังไม่ให้กลับไปอยู่ด้วยเขาก็ไม่กลับ จนสุดท้าย แม่หนูเขาทนไม่ได้ไล่พ่อไปไม่ให้อยู่ด้วย ซึ่งหนูไม่สามารถช่วยพ่อได้เลย สุดท้ายตอนนี้เขาไปอยู่กับเพื่อนเขาค่ะ แต่หนูกลัวว่าเขาจะลำบาก หนูขอถามพระอาจารย์นะค่ะ

๑. หนูจะบาปมากไหมคะที่ไม่สามารถเลี้ยงดูพ่อให้สบายไม่ได้ ต้องให้ไปอยู่กับคนอื่น ซึ่งหนูรู้สึกอยู่ตอนนี้

๒.หนูจะทำยังไงคะ ถ้าให้พ่อมาอยู่ด้วยแล้ว แต่แม่จะเป็นฝ่ายไปอยู่ที่อื่นแทน (แม่เป็นคนบอกเอง ว่าถ้าให้พ่อมาอยู่แม่ก็จะไม่อยู่ด้วย) หนูควรจะเลือกแม่ใช่ไหมคะ

๓.หนูกลัวว่าพ่อเขาจะคิดสั้น เพราะว่าเขาบ่นบ่อยๆ ว่าอยากตาย ประมาณว่าเขาไม่ใช่คนผิดแต่ทำไมเขาถึงอยู่บ้านกับภรรยาใหม่ของเขาไม่ได้ ซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่ามันเป็นข้ออ้างที่ภรรยาใหม่ของพ่อเขาไม่อยากให้พ่ออยู่ด้วยแล้ว

รบกวนตอบให้ด้วยนะค่ะพระอาจารย์

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - คุณไม่ได้รังเกียจพ่อ แต่ยังไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงดูท่านให้สบายได้ จะเรียกว่าเป็นบาปได้อย่างไร หากคุณทำมาหาเงินได้ และสามารถเจียดบางส่วนมาให้แก่ท่านเพื่อแสดงถึงความกตัญญูรู้คุณ ก็ถือว่าคุณได้ทำหน้าที่ต่อลูกได้ระดับหนึ่งแล้ว แม้จะยังไม่สามารถช่วยท่านได้เต็มที่ก็ตาม

คุณควรหาทางเลือกที่มากไปกว่าการเลือกว่าจะเอาพ่อหรือแม่ อย่างแรกที่ควรทำก็คือการ พยายามประสานให้พ่อและแม่เข้าใจกันหรือยอมรับกัน แม้ทั้งสองท่านจะไม่ฟังกัน แต่อย่างน้อยก็ฟังคุณ คุณไม่จำเป็นต้องเข้าข้างใคร แค่ช่วยให้ต่างเข้าใจความรู้สึกหรือรับรู้ความทุกข์ของอีกฝ่ายก็พอ (ขณะเดียว กันก็อย่าลืมบอกให้ท่านทั้งสองรู้ว่าคุณเองก็รับรู้ความรู้สึก หรือความทุกข์ของท่านด้วย) การเห็นความทุกข์ของอีกฝ่าย จะช่วยให้เกิดความเห็นใจได้ง่าย จากนั้นก็ชวนให้ทำความดีต่อกัน เริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ ที่พอทำได้ นี้จะเป็น บันไดไปสู่การทำดีที่มากขึ้น จนนำไปสู่การให้อภัยกัน

คนที่บ่นว่าอยากตายให้คนอื่นได้ยินนั้น ไม่ได้อยากตายจริง ๆ หรอก แต่ที่ทำเช่นนั้นเพราะต้องการความใส่ใจหรือความเข้าใจมากกว่า เนื่องจากลึก ๆ เขารู้สึกว่าตัวเองไร้คุณค่า คุณควรทำให้คุณพ่อรับรู้ว่า ถึงแม้ภรรยาใหม่จะไม่ไยดีเขาแล้ว แต่เขาก็ยังมีคุณและคนอื่น ๆ อีก ชีวิตเขายังไม่สิ้นไร้ไม้ตอก แม้จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ตอนนี้ก็ยังไม่สาย

ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

หลักการเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียน คือ อะไร



Oh Jtp - กราบพระอาจารย์ค่ะ ลองปฏิบัติธรรมหลายรูปแบบ เพื่อหาแบบที่ถูกจริตกับตัวเอง สังเกตว่าหลังปฏิบัติครั้งใดหรือวันต่อมามักจะอารมณ์ฉุนเฉียวกว่าเดิม ปกติเป็นคนลังเลหวาดกลัว ก็จะกลายเป็นไม่กลัว เด็ดขาด ไม่กังวลในสิ่งที่ทำและพูดและหงุดหงิด รำคาญมากขึ้น ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเจ้าคะ อีกข้อคือปกติไปวัดมักจะผิดหวังต่อเจ้าหน้าที่แม้พระชี เรื่องความไม่สำรวม ความไม่สมถะ มักแสดงความหงุดหงิดเมื่อถามไถ่อะไร เพิ่งไปวัดสนามในมาเพราะพระอาจารย์เคยบวชที่นั่น ประทับใจความมีเมตตาของหลวงพ่อ หลวงพี่ที่ให้ความสงสัยบางประการหายไป และเจ้าหน้าที่ที่ใจเย็น ให้ความเมตตาดีค่ะ จึงเป็นที่ๆจะไปพักค้างเพื่อเรียนรู้ แม้รูปแบบการเคลื่อนไหวยังขัดเขินอยู่บ้าง หลวงพ่อท่านหนึ่งบอกว่าเป็นหนึ่งในห้ารูปแบบที่ได้ผล บางแห่งบอกว่าอานาปานสติเป็นรูปแบบของพระพุทธเจ้า การเคลื่อนไหวมือเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของหลวงพ่อเทียนที่เมื่อฝึกฝนก็จะพ้นทุกข์ได้ในที่สุดเช่นกัน รูปแบบต่างแต่จุดหมายเหมือน เข้าใจถูกต้องไหมเจ้าคะ พระอาจารย์ยังปฏิบัติแบบนี้อยู่ไหมเจ้าคะ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - ที่คุณหงุดหงิด อาจเป็นเพราะตั้งใจปฏิบัติมากไป อยากให้ใจสงบ ไม่แวบไปไหน ก็เลยพยายามเพ่งหรือกดข่มความคิด ซึ่งอาจทำให้สงบได้ดั่งใจ แต่เป็นเหมือนหินทับหญ้า คือสงบชั่วคราว แถมเป็นความสงบแบบเก็บกด พอเลิกปฏิบัติจึงหงุดง่ายเวลา มีสิ่งไม่ถูกใจมากระทบ

การปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียนนั้น วางอยู่บนหลักสติปัฏฐานสี่ คือการมีสติระลึกรู้กาย เวทนา จิต ธรรม แม้รูปแบบจะเป็นสิ่งที่ท่านคิดขึ้นเองก็ตาม ในสติปัฏฐานสี่นั้น หมวดแรกคือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าได้แยกออกมาเป็นหลายวิธี หนึ่งในนั้นคืออานาปานสติภาวนา นอกจากนั้นยังมีวิธีการที่เรียกว่า อิริยาบถ และ สัมปชัญญะ สองวิธีหลังนั้นคือสิ่งที่หลวงพ่อเทียนสอนให้ลูกศิษย์ปฏิบัติ โดยมีรูปแบบของท่านเป็นตัวช่วย สติปัฏฐานสี่นั้นเป็นหัวใจของกรรมฐานแบบพุทธ เพราะสามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้

" คนบ้า " กับ " คนใจบาป " ไม่แตกต่างกันตรงที่


Suradej Pudpraphakul
" คนบ้า " กับ " คนใจบาป " ไม่แตกต่างกันตรงที่
- ชอบขุดคุ้ยขยะเพื่อค้นหาของสกปรกมากินเพื่อปะทังชีวิต
- ชอบหยิบสิ่งของที่ผู้อื่นโยนทิ้งหรือหมดประโยชน์แล้ว มาพันหรือห่อหุ้มร่างกายโดยคิดว่าสิ่งนั้นสวยงาม
- ชอบด่าทอ โวกเวกโวยวายกับทุกสิ่งรอบๆ ตัว โดยไร้สาเหตุ
- มองทุกเรื่องเป็นเรื่องไร้สาระ และพร้อมจะหัวเราะเยาะใส่ทุกเวลา
- ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้คลุกคลีกับสิ่งโสมมจนเคยชิน และเป็นเรื่องปกติ

by : เหลนเสือฝ้าย
08/07/2556 - 22:33 น.

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หลักการเตรียมตัวเพื่อจากไปอย่างสงบ 2 แบบ


หลักการเตรียมตัวเพื่อจากไปอย่างสงบ 2 แบบ

ถาม: มีหลักการอะไรบ้างที่ใช้เพื่อเตรียมตัวเพื่อให้จากไปอย่างสงบ

ตอบ: แบ่งเป็น ๒ ส่วน

๑) เตรียมตัวในภาวะปกติ คือ ในยามที่ไม่มีเรื่องเดือดร้อนในชีวิต ให้ทำความดีสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราไม่ต้องเดือดร้อนใจเมื่อเกิดวิกฤติ หรือเวลาใกล้ตายก็ไม่มีอะไรที่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจว่าเราได้ทำความชั่วหรือเบียดเบียนใคร

หมั่นเจริญมรณสติเสมอว่าความตายเป็นของแน่นอน เพราะเราไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ จะตายอย่างไร ที่ไหน ด้วยสาเหตุอะไร จึงต้องพิจารณาและเตรียมใจว่าความตายมาเยือนเราได้เสมอ หรืออาจพิจารณาความตายในสื่อให้มองว่ามันอาจเกิดขึ้นกับเราไม่วันใดก็วันหนึ่ง

เวลาไปเยี่ยมผู้ป่วย ไปงานศพ ก็ให้น้อมเข้ามาใส่ตัวว่าวันหนึ่งเราอาจเป็นอย่างเขา และคิดว่าถ้าจะเป็นหรือไม่เป็นอย่างเขาเราจะทำอย่างไร ให้เป็นการบ้านที่สอนใจเราอยู่ตลอด

๒) เตรียมตัวภาวะไม่ปกติ คือ เวลาเจ็บป่วย พลัดพราก สูญเสีย ให้มองว่าความเจ็บปวด พลัดพราก สูญเสียนั้นเป็นการซักซ้อมของความตาย อย่าตีโพยตีพายหรือทุกข์กับมัน ควรรักษาใจให้เป็นปกติ ฝึกสติให้เห็นความเจ็บแต่ไม่ใช่ผู้เจ็บ จะทำให้เราแคล่วคล่องว่องไวเมื่อเผชิญความทุกข์ในวาระสุดท้ายได้

ที่มา จากคลังความรู้โครงการเผชิญความตายอย่างสงบ http://www.budnet.org/sunset/node/87

เนื่องในอภิลักขิตสมัย คล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามกุฎราชกุมาร ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖

"ชมรม"คนรักพระมหากษัตริย์ของชาติไทย
เนื่องในอภิลักขิตสมัย คล้ายวันพระราชสมภพ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามกุฎราชกุมาร
๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖

ดั่งหยาดทิพย์ ชโลมสุข ทุกแหล่งหล้า
ดั่งหยาดฟ้า ชโลมใจ ไทยสมาน

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามกุฎราชกุมาร

ฟ้าประทาน เทพสถิต นิมิตไทย
พระบารมี เพิ่มพิพัฒน์ ผดุงราษฎร์
ทรงเปรื่องปราด พระราชกรณีย์ ศรีสมัย

ทรงกูลเกื้อ เอื้อพสก- นิกรไทย
ทรงครองใจ ด้วยพระราชปรีชาชาญ

พระราชกรณียกิจ ส่องสว่าง กระจ่างทั่ว
ทรงล้อมรั้ว ครอบครัวไทย ใฝ่สมาน

ขอพระองค์ ทรงพระเกษม- สำราญ
พระชนม์ยิ่ง ยืนนาน ทรงพระเจริญเทอญ

ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า "ชมรม"คนรักพระมหากษัตริย์ของชาติไทย

ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมงาน "มนุษยธรรมไร้พรมแดน" 31 ก.ค.2556

Admin - ทางครอบครัวและกลุ่มเพื่อนถือโอกาสในช่วงเดือนแห่งบุญ ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมงาน "มนุษยธรรมไร้พรมแดน" ซึ่งเป็นกิจกรรมช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับพี่น้องคนไทย ตลอดจนถึงคนกัมพูชาที่อยู่ในเรือนจำ ทั้งหมด 7 เรือนจำ โดยเฉพาะปัญหาด้านสุขภาพที่ยังต้องการการสนับสนุนทางด้านอุปกรณ์การแพทย์เบื้องต้น และอื่นๆ ดังนี้
1. เครื่องวัดความดันแบบธรรมดา เพราะทันสมัยมากไปเกรงจะไม่สะดวกในการใช้
2. ปรอทวัดไข้
3. หูฟังหมอ
4. ชุดปฐมพยาบาล เช่น สำลี ยาเหลือง ผ้าก็อต เป็นต้น
5. ยาพารา ยาแก้ไข้ ยาแก้หวัด
6. ยาแก้เชื้อรา
7. ยาแก้ท้องร่วง น้ำเกลือ
8. อื่นๆ แล้วแต่ผู้สนับสนุน
งานจะจัดขึ้นในวันที่ 31 กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ ลานฟังธรรม สันติอโศก ถ่ายทอดสดเวลา 13.00-15.00 น.ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเพื่อมนุษยชาติ (FOR MANKIND TELEVISION : FMTV)
หากท่านใดประสงค์จะสนับสนุนสิ่งของดังกล่าวข้างต้น ส่งไปได้ที่ สำนักงาน คปต. เลขที่ 693 ถ.บำรุงเมือง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. 10100 (มุมซองว่าสนับสนุนกิจกรรมคุณวีระ สมความคิด) ติดต่อ 0-8196-69078

เรื่องของมิจฉาชีพ

เตือนภัย!!!
วันนี้ทางเพจของเราได้รับเรื่องจากแฟนเพจให้นำเสนอเรื่องของมิจฉาชีพ เรื่องมีอยู่ว่า
..................................
(วันที่ 27 กรกฎาคม 2556) พี่สาว และพี่เขย(ปกติจะขับรถเก๋งมาบ้านพ่อกับแม่ วันนี้บรรทุกปุ๋ยเลยต้องนำกระบะมา) แต่วันนี้ขับรถยนต์กระบะเก่าๆ ก็เลยเจอเข้าอย่างจัง คือ
บนถนน สุขุมวิท สาย จันทบุรี – ตราด ขณะที่ขับรถไปเรื่อยๆ จะมี่รถเก๋งโตโยต้า ทะเบียน ฆข 4943 กทม.สีขาว จะขับมาเร็วจะแซงแต่ไม่แซงและบีบแตรๆ เสียงดังๆ และเบนเข้าหา และ จะมีรถเก๋งอีกคัน ทะเบียน กง 8099 กาฬสินธุ์ จะตบไฟไล่ พร้อมกับแซงขึ้นมาเบียด เรียกให้หยุด แล้วบอกว่า รถเราไปเบียดทำให้กระจกมองข้างหัก และมีรอยสีรถเป็นลายนิดๆ ซึ่งจะเรียกเก็บเงินจากพี่สาวและพี่เขย(เผอิญพี่เขยเป็นตำรวจ) พอรู้ว่าเจอตำรวจ คนร้ายก็เลยบอกว่าทำประกับชั้น 1 ให้พี่เขยขอโทษ แต่พี่เขยบอกว่าเค้าไม่ผิด คนร้ายก็เลยต้องยอมขอโทษ และขับรถหนีไป (พี่เค้าไปแจ้งตำรวจที่ขลุงไว้แล้ว และที่จันทบุรีด้วย)
........................................................................
ประมาณ มีนาคม 56 นี่แหล่ะ แม่กับพ่อกลับจากตราด สายสุขุมวิทเหมือนเดิม เหตุการณ์เหมือน ที่เกิดกับพี่สาวเป๊ะ แต่คนแก่นะ จะเอาเงินพ่อกับแม่เราตั้ง 15,000 บาท แต่ท่านไม่มี แม่ก็ต่อรอง จนเสียไป 5,000 บาท ซึ่ง คนร้ายขับรถตามแม่ไปยืมเงินกับญาติด้วย คนร้ายชุดเดียวกัน เพราะแม่จดไว้ว่า 8099 (ไม่ได้จดหมวด) แต่ชุดเดียวกันล้าน% อ่อ คนร้ายจะทำเฉพาะกับรถเก่าๆ เท่านั้น ฝากช่วยแชร์ต่อๆ เตือนภัย กันด้วย

ทางเราได้รับภาพรถของกลุ่มมิจฉาชีพ ฝากบอกเตือนกันด้วยครับ

"ถ้าชาติไม่มีอนาคต เราจะมีอนาคตไหม"

สมจิตต์ นวเครือสุนทร
มีเพื่อนเป็นห่วงโทรศัพท์มาเตือนว่า ระยะหลังจัดเต็มเกินไปหรือเปล่าทั้งในเฟซบุ๊คและบทความวันอาทิตย์ไสตล์สมจิตต์ นวเครือสุนทร ในไทยโพสต์หน้า 5 บอกว่า ลดดีกรีลงหน่อยคิดถึงอนาคตบ้างเพราะอาจกระทบงานหลักที่ทำอยู่

เลยถามเพื่อนกลับไปว่า "ถ้าชาติไม่มีอนาคต เราจะมีอนาคตไหม"

ใครจะคิดอย่างไรดิฉันไม่ทราบ แต่สำหรับตัวเองในฐานะคนทำข่าวมากว่า 20 ปี ไม่อาจนิ่งเฉยให้ชาติล่มสลายลงตรงหน้าได้ การทำหน้าที่สื่อมวลชนสำหรับดิฉัน ไม่ใช่แค่ผู้สังเกตการณ์เพื่อรายงานความหายนะ แต่ต้องตะโกนร้องบอกว่าใครทำชาติหายนะ เพื่อยับยั้งความเสียหายของประเทศให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะมีกำลังทำได้

สื่อตัวเล็ก ๆ มีแรงไม่เยอะหรอกค่ะ แต่น้ำหนึ่งหยดก็ก่อให้เกิดมหาสมุทรได้ไม่ใช่หรือคะ

หนึ่งคนลุกทำหน้าที่
จะมีเพิ่มอีกมากหลาย
หนึ่งคนนิ่งเฉยน่าเสียดาย
จะไม่มีแม่น้ำแม้สายเดียว

กลุ่มอัล กออิดะฮ์ ออกแถลงการณ์ ประกาศฆ่าอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร

กลุ่มอัล กออิดะฮ์ ออกแถลงการณ์ ประกาศฆ่าอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร แล้วเพื่อแก้แค้นให้กับพี่น้องชาวมุสลิมในประเทศไทย หลังจากที่มีพี่น้องชาติมุสลิมร้องขอในเรื่องนี้ โดยเตือนว่าหากพบที่ไหน จะฆ่าทิ้งทันที

วันนี้(27ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบคลิปใน ยูทูป ได้มีชื่อว่า Al-Qaeda video against former Thailand Prime Minister Thaksin Shinawatra โดยมีเนื้อหาว่าเวลาของคุณได้หมดลงแล้วสำหรับเรื่องที่คุณได้ทำกับพี่น้องชาวมุสลิมของพวกเราในภาคใต้ของประเทศไทย โดยในตอนนี้ถึงเวลาล้างแค้นแล้ว โดยคุณได้ฆ่าพวกพี่น้องชาวมุสลิมของเราและสังหารโหดพี่น้องเราเมื่อปี 2547 ทั้งพยายามยึดครองเสรีภาพของพี่น้องชาวมุสลิมในภาคใต้ของไทย และตอนนี้คุณได้ปกครองรัฐบาลโดยใช้น้องสาวเป็นหุ่นเชิด โดยในตอนนี้เราขอประกาศว่าจะฆ่าคุณนับแต่บัดนี้ ซึ่งเราจะพยายามฆ่าคุณในทุกๆที่ ทุกเวลา บนโลกแห่งนี้ คุณไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว เราจะฆ่าคุณเพื่อแก้แค้นให้กับพี่น้องชาวมุสลิม โดยเราได้ตอบร้องตามคำขอของพี่น้องชาติมุสลิม และจำไว้ว่าหากพบคุณที่ไหน เราจะฆ่าคุณที่นั้น

งานนี้ มีเจ้าภาพ ลอบสังหาร ทักษิณ ซะแล้ว!


Chawalak Wiangwises ทำไมรอตั้งเกือบ10ปีถึงเพิ่งจะมาแก้แค้น
ถูกใจ · ตอบกลับ · 15 · 18 ชั่วโมงที่แล้ว

    คนละหมัด เดอะซีรี่ย์ 2 คาดว่า อาจจะเป็นเพระา ว่า ทักษิณไป เอี่ยวเรื่องการทูตกับสหรัฐน่ะคิดครับ โดยเฉพาะ การขายประเทศตัวเองเป็น ฐานทัพสหรัฐไว้ คอยยัน กลุ่มมุสลิม และ จีน
    ถูกใจ · 10 · 18 ชั่วโมงที่แล้ว
    คนละหมัด เดอะซีรี่ย์ 2 http://landdestroyer.blogspot.com/2012/08/hypocrisy-syria-burns-while-mass.html
    Land Destroyer: Hypocrisy: Syria Burns While Mass Murdering Dictator Roams Freely in USA

ปฏิทินจักรวาล วินทร์ เลียววาริณ



คาร์ล ซาแกน นักวิทยาศาสตร์ นักคิด นักเขียน เคยเปรียบเทียบเวลาของจักรวาลเป็นปฏิทินหนึ่งปีโลก นั่นคือ เมื่อย่อเวลาของจักรวาลที่มีอายุราวหนึ่งหมื่นห้าพันล้านปี เทียบเป็นเวลาหนึ่งปีโลก เราจะได้ปฏิทินจักรวาลคร่าวๆ ดังนี้*

1 มกราคม เกิดบิ๊กแบง
1 พฤษภาคม เกิดดาราจักรทางช้างเผือก
1 กันยายน เกิดระบบสุริยะ
25 กันยายน ชีวิตแรกบนโลกถือกำเนิด
1 พฤศจิกายน กำเนิดเพศ
19 ธันวาคม กำเนิดปลาในท้องสมุทร
20 ธันวาคม กำเนิดพืชบนโลก
21 ธันวาคม กำเนิดแมลง
24 ธันวาคม ไดโนเสาร์เริ่มปรากฏบนโลก
27 ธันวาคม กำเนิดนก
29 ธันวาคม มนุษย์วานรถือกำเนิด

จวบจนชั่วโมงแรกของวันที่ 31 ธันวาคม มนุษย์ก็ยังไม่ถือกำเนิด บรรพบุรุษของเราเพิ่งถือกำเนิดเวลาสี่ทุ่มครึ่งของวันที่ 31 ธันวาคม

เหตุการณ์สำคัญมากมายของโลกมนุษย์ เกิดขึ้นในแต่ละวินาทีของนาทีสุดท้ายของวันที่ 31 ธันวาคม

11:59:20 น. มนุษย์เริ่มการเกษตรกรรม

11:59:51 น. ภาษาแรกของโลกถึงเพิ่งถือกำเนิด และพวกเราเป็นเราอย่างที่เห็นอยู่นี้ เมื่อเข็มนาฬิกาข้ามผ่านเวลา 11:59:59 น. ของคืนวันที่ 31 ธันวาคมนี่เอง

เรามักรณรงค์เรื่องประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ น้ำ น้ำมัน ฯลฯ แต่ทรัพยากรธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง ที่เรามักไม่ค่อยใช้อย่างประหยัดก็คือ เวลา เรามักใช้คำว่า ‘ฆ่าเวลา’ เมื่อมีเวลาเหลือ

ความจริงคือ อายุโลกสั้นแสนสั้น เมื่อเทียบกับเวลาของจักรวาล อายุของมนุษยชาติยิ่งสั้นเข้าไปอีก และเวลาของเราแต่ละคนที่อยู่บนโลกยิ่งสั้นกว่าสั้น เวลาแต่ละวันของเราผ่านไปชั่วพริบตา แต่ละวินาทีผ่านแล้วผ่านเลย เวลาของเรามีน้อยมาก น้อยจริง ๆ

บางคนเลือกที่จะใช้เวลาไปกับการบันเทิงมากกว่าทำงาน บางคนก็ใช้เวลาในการทำงาน แต่ที่ใช้ได้ไม่คุ้มที่สุดก็คือ การใช้เวลาในการบ่น วิตกกังวล นินทา อิจฉาริษยาชาวบ้าน

เวลาก็เหมือนออกซิเจน แต่ละคนได้รับมาเท่า ๆ กัน แต่จะใช้ ‘หนึ่งวันเดียวกัน’ นี้ให้คุ้มหรือไม่เป็นสิทธิของแต่ละคน 24 ชั่วโมงยาวเท่ากับ 1,440 นาที เท่ากับ 86,400 วินาที มากพอทำอะไรได้หลายเรื่อง

ในเวลาอีกราวห้าพันล้านปี โลกนี้จะสลายไปในความว่างเปล่าของจักรวาล เทียบได้เพียง ‘ครึ่งปี’ ในปฏิทินจักวาลฉบับย่อส่วนนี้เท่านั้น

เวลาเป็นเชื้อเพลิงของชีวิต จะเผาผลาญทั้งทีก็ทำให้เกิดประโยชน์ ไม่ผลาญเวลาเล่น เมื่อเห็นค่าเวลา ก็จะไม่มีวันฆ่าเวลา

*จากหนังสือ The Dragons of Eden

วินทร์ เลียววาริณ, 28 กรกฎาคม 2550
www.winbookclub.com

สุญญากาศ วินทร์ เลียววาริณ



เคยมีผู้คำนวณน้ำหนักของโลกของเรา ได้คำตอบว่า มันหนักประมาณ 6,000,000,000,000,000,000,000,000 กิโลกรัม (หกล้านล้านล้านล้าน-กิโลกรัม) หนักเอาการเหมือนกัน!

ผมไม่ได้สงสัยวิธีการคำนวณ (ซึ่งคิดจากแรงโน้มถ่วงกับเส้นผ่าศูนย์กลางของโลก) แต่สงสัยว่า ทำไมโลกของเราซึ่งดูใหญ่โตและมีน้ำหนักมหาศาลนี้ สามารถลอยเท้งเต้งในอวกาศได้ไม่จมลงไป

คำตอบคือ มันอยู่ได้ด้วยแรงเหวี่ยงหมุนของระบบดาว (ซึ่งเป็นที่มาของแรงโน้มถ่วง) แต่คำถามก็ยังคงอยู่อีกเช่นเดิมว่า แล้วทำไมระบบดาวทั้งหลายจึงลอยตัวในอวกาศได้ วิทยาศาสตร์อธิบายว่า อวกาศนั้นเป็นสุญญากาศ อะไรก็ตามที่อยู่ในสุญญากาศย่อมลอยตัวอยู่ได้

ทฤษฎีกำเนิดจักรวาลที่เรียกว่า บิ๊กแบง บอกว่า เมื่อแรกนั้นไม่มีอะไร ไม่มีแม้แต่ที่ว่างเปล่า เมื่อเกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ความไม่มีจึงขยายตัวออกเป็นจักรวาลดังที่เห็นผ่านกล้องโทรทรรศน์ เป็นพื้นที่สุญญากาศขนาดมหึมา ซึ่งเป็นที่อยู่ของสรรพสิ่งทั้งมวล ตั้งแต่ดวงดาว โลกของเรา ไปจนถึงมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่เดินบนโลกใบนี้ เช่นนั้นสุญญากาศนี้เกิดมาอย่างไร?

คำถามนี้ก้าวข้ามพรมแดนผ่านไปในพื้นที่ของอภิปรัชญาแล้ว มันเป็นประเด็นเรื่องกำเนิดจักรวาล จนปัญญาที่มนุษย์ใน พ.ศ. นี้จะหยั่งรู้ เรารู้จากทฤษฏีว่าเวลาที่เกิด บิ๊กแบง จักรวาลไม่ได้ขยายตัวเติมเต็มช่องว่างที่มีอยู่แล้ว เพราะช่องว่างนั้นไม่เคยดำรงอยู่มาก่อนหน้านั้น มันถือกำเนิดมากับ บิ๊กแบง

แล้วเช่นนั้นทำไมสุญญากาศจึงรับ ‘น้ำหนัก’ ของมวลดาวได้? คำตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ เพราะมันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นธรรมชาติของสุญญากาศอย่างนี้เอง

ในชีวิตของเราแต่ละคน ล้วนต้องเคยพบปะปัญหาที่หนักหน่วง เกินกำลังแบกรับ สะท้อนออกมาทางสีหน้าที่เคร่งเครียด ปราศจากรอยยิ้ม จะยิ้มได้อย่างไร ในเมื่อปัญหาหนักหน่วงขนาดนั้น มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ยิ้มได้เมื่อเจอปัญหาใหญ่ๆ

สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้, พ่อแม่ไม่อยากให้เรียนต่อในสายวิชาที่อยากเรียน, บ้านถูกธนาคารยึด, อกหัก, คนรักตั้งท้องก่อนแต่งงาน ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้ดูใหญ่โตและหนักเกินสองบ่าของเราแบกรับ แต่การแบกปัญหาแล้วบ่น มีแต่ทำให้ปัญหานั้นหนักกว่าเดิม

การแก้ปัญหาอาจเริ่มต้นที่มองขนาดและน้ำหนักที่เป็นจริงของปัญหา ไม่ใช่ติดนิสัยเห็นมดเท่าช้าง เห็นช้างเท่าไดโนเสาร์ ไม่มีปัญหาใดในโลกที่แก้ไม่ได้ เพราะหากมันแก้ไม่ได้ด้วยสติปัญญาของมนุษยชาติ เราไม่เรียกมันว่าปัญหา เราเรียกมันว่า ‘ความจริงที่ยังค้นไม่พบ’ และหากแก้มันได้ เราก็ไม่เรียกมันว่าปัญหา เราเรียกมันว่า ‘สัจธรรม’

ดังนี้ อกหักจึงไม่ใช่ปัญหา มันเป็นเพียงสัจธรรมอย่างหนึ่งของโลก เช่นเดียวกับโรคหวัด เป็นได้ก็หายได้ สอบตกก็ไม่ใช่ปัญหา มันเป็นเพียงสัจธรรมอย่างหนึ่งของคนที่ขยันไม่พอ ดังนั้น ถ้าขยันอีกหน่อย ก็สอบผ่านได้ ฯลฯ มองแบบนี้จะพบว่า ‘ปัญหา’ ในโลกนี้ลดหายไปกว่าครึ่ง

เมื่อเทเกลือหนึ่งถุงลงในน้ำหนึ่งแก้ว น้ำในแก้วนั้นย่อมเค็มเหลือทน แต่เมื่อเทมันลงไปในแม่น้ำ ความเค็มของน้ำก็ไม่สาหัสสากรรจ์เหมือนเดิม ปัญหาไม่ว่าหนักเพียงใด อาจบรรเทาลงไปเมื่อใช้ ‘สุญญากาศ’ รองรับปัญหา

พุทธทาสภิกขุจึงกล่าวว่า “จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง” ปัญหาใหญ่เพียงใด ปัญญาที่ว่างเปล่าจากอคติและความกังวลเกินจำเป็นก็เอามันอยู่ มันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นธรรมชาติของสุญญากาศอย่างนี้เอง

วินทร์ เลียววาริณ, 1 กันยายน 2550
www.winbookclub.com

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พระอุปัชฌาย์ต้องอาบัติปาราชิกบวชให้ จะเป็นพระบริบูรณ์ไหม




วีระ ศิริพิทักษ์ ปุจฉา - กระผมยังสงสัยในข้อนี้ ครับ คือว่า แล้วในพระวินัยข้อที่ว่าห้ามบวชให้ผู้ที่ไม่มีอุปัชฌาย์แหละครับ เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ เพราะในกรณีนี้ถ้าอุปัชฌาย์ปาราชิกจริง ก็แสดงว่าในสังฆกรรมที่ทำการบวชให้พระใหม่อยู่นั้นก็ไม่มีอุปัชฌาย์ และในพระวินัยยังได้กล่าวไว้อีกด้วยว่า ห้ามให้ถือเอาสงฆ์เป็นอุปัชฌาย์ อย่างนี้ก็แสดงว่าถ้าจะให้การบวชนั้นสำเร็จลงได้ก็ต้องอาศัย องค์ประกอบที่เป็นบุคคลจาก 3 ฝ่ายคือ พ่อนาค, คณะสงฆ์, และ อุปัชฌาย์ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งการบวชนั้นย่อมถือว่ายังไม่สำเร็จ ที่ผมพูดอย่างนี้ถูกต้องใหมครับ ผิดถูกประการใดกราบขออภัยไว้ด้วยครับ กระผมก็แค่ตั้งข้อสงสัย

อ้างถึง http://www.visalo.org/QA/Q560610_2.htm

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - การอุปสมบทนั้น จำเป็นต้องมีอุปัชฌาย์ เพราะหน้าที่หนึ่งของอุปัชฌาย์คือการเป็นผู้นำเสนอพ่อนาคให้คณะสงฆ์อนุมัติและยอมรับเป็นส่วนหนึ่งเป็นสงฆ์ (คือบวชให้) พูดอีกอย่างก็คือ ทำหน้าที่เป็นผู้รับรองผู้บวช(ว่ามีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วน) หากไม่มีผู้รับรองก็บวชไม่ได้ ครั้นมารู้ภายหลังว่าอุปัชฌาย์ผู้นั้นขาดคุณสมบัติของการเป็นพระภิกษุคือปาราชิก แต่เมื่อสงฆ์ยอมรับและบวชให้แล้ว ก็ถือว่าผู้บวชเป็นภิกษุอย่างถูกต้องตามวินัย
ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
http://www.facebook.com/visalo?fref=ts

อยากก่ออิฐเพิ่มความสูงกำแพงรั้ว ทำแล้วกำแพงจะเอียงหรือไม่?



ด้วยความช่างสงสัยของภรรยาเวลานั่งรถไปด้วยกันเห็นกำแพงรั้วบ้านบางหลังเอียง พอถามมาเลยเอาข้อสงสัยมาแบ่งปันเผื่อหลายคนอาจมีความสงสัยอยู่เช่นกันครับ

การสร้างกำแพงรั้ว โดยหลักทั่วไปมีการใช้เสาเข็มเหมือนกันครับ แต่ใช้เข็มไม้สนหรือเสาเข็มคอนกรีต 6 เหลี่ยมกลวงหรือเสาเข็มขนาดเล็กขึ้นอยู่กับวัสดุที่หาได้ง่ายในพื้นที่ เพราะไม่ได้รับน้ำหนักมากเหมือนตัวอาคาร วิธีการทำกำแพงรั้วคือตอกเสาเข็มลงไปในดิน จากนั้นก็หล่อทำคานคอดินเพื่อกระจายน้ำหนักลงบนเข็มอีกทีหนึ่ง โดยมากมีระยะ 3-4 เมตร อิฐที่ใช้ก่อกำแพงนิยมใช้อิฐบล็อกเพราะเร็วและประหยัด เมื่อก่อเสร็จก็จะทำทับหลังคือด้านบนสุดที่เราเห็นเป็นสันเพื่อความสวยงาม ส่วนการต่อเติมเรามักเห็นการก่อจากจุดนี้ขึ้นไปครับ

ประเด็นคือแล้วเราสามารถเพิ่มความสูงกำแพงรั้วบ้านได้หรือไม่?

บางท่านอาจมีประสบการณ์กำแพงที่บ้านเริ่มออกอาการเอียงๆ อันที่จริงความสูงของกำแพงบ้านไม่ได้มีผลต่อการทำให้กำแพงรั้วเอียงเสมอไปครับ แต่สาเหตุมักมาจากโครงสร้างของฐานรากที่ไม่แข็งแรงพอ และบางสาเหตุอาจมาจากเสาเข็มเคลื่อนจากการทรุดตัวของดิน ทำให้น้ำหนักจุดศูนย์ถ่วงของกำแพงไม่ได้กระจายน้ำหนักลงมาที่คานคอดินลงไปที่เสาเข็มเหมือนเดิม บางสาเหตุก็มาจากแรงสั่นสะเทือนของรถวิ่งทำให้ดินเคลื่อนดันเสาเข็ม โดยมากกำแพงรั้วเอียงที่ติดถนนใหญ่ที่มีรถวิ่งผ่านหนักๆ อาจเกิดจากสาเหตุนี้ได้ด้วยเช่นกันครับ การที่ดินเคลื่อนดันเสาเข็ม ส่งผลต่อจุดศูนย์ถ่วงที่รับน้ำหนักของกำแพงเปลี่ยนไปทำให้รับน้ำหนักได้ไม่เหมือนเดิม เกิดการค่อยๆเอียงลงคล้ายๆ หอเอนเมืองปิซ่าครับ และถ้าปล่อยให้เอียงไปเรื่อยๆโอกาสกำแพงล้มพังลงเป็นไปได้สูง นอกจากกำแพงรั้วบ้านที่ติดถนนสาธารณะที่มีรถวิ่งผ่านตลอดเวลาแล้ว การสร้างกำแพงรั้วบ้านที่ติดคลอง แม่น้ำยิ่งต้องให้ความใส่ใจยิ่งกว่า เพราะน้ำมีแรงดันสูงสามารถทำให้กำแพงเกิดความเสียหายล้มเอียงได้มากกว่ารถวิ่งอีกครับ การออกแบบเพื่อเสริมความแข็งแรงให้ฐานรากเพื่อป้องกันแรงดันจากสภาพดินอ่อนหรือที่ดินติดริมน้ำ การทำฐานรากเป็นตีนเป็ดเพื่ิอค้ำยันช่วยได้ครับ

การทำรั้วบ้านหลายคนอาจคิดว่าไม่เป็นไรด้วยความที่ไม่ได้เป็นตัวอาคารที่เราอยู่อาศัย ดังนั้นเจ้าของบ้านบางครั้งจึงไม่ได้ลงไปดูกำกับ ปล่อยให้ผู้รับเหมาคนงานทำกันไปเองตามประสบการณ์ที่มีมา ทั้งนี้รายละเอียดต่างๆ ในแต่ละแห่งอาจแตกต่างกันออกไป ดังนั้นหากท่านอยากเพิ่มความสูงของกำแพงรั้วบ้าน สามารถทำได้ถ้าฐานรากของรั้วแข็งแรง มีการเฉลี่ยน้ำหนักปกติดี หรือลองปรึกษาวิศวกรที่เคยออกแบบสามารถให้คำแนะนำตรงจุดนี้ได้ครับ

ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์

ความเป็นไปของบ้านเมือง "สร้างภาพลักษณ์ ส่งเสริมความรุนแรง และแนวโน้มการสูญเสียอธิปไตย"

พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ความเป็นไปของบ้านเมือง "สร้างภาพลักษณ์ ส่งเสริมความรุนแรง และแนวโน้มการสูญเสียอธิปไตย"

1. ระยะนี้มาตรการประดิษฐสร้างภาพลักษณ์ของรัฐบาลด้วยการสร้างเหตุการณ์อย่างหวือหวาจะมีเพิ่มขึ้นและดำเนินการอย่างเข้มข้น อย่างเช่น งาน smart lady อันเป็นการดึงดูดความสนใจของผู้คนให้เบนไปจากความล้มเหลว และความเน่าเฟะของรัฐบาล
งบประมาณจำนวนมากถูกโยนทิ้งไปกับเรื่องราวที่ไร้แก่นสาร ขณะที่เรื่องราวความเดือดร้อนของประชาชน เกษตรกรที่ประสบกับราคาผลผลิตตกต่ำ และภัยธรรมชาติ กลับไม่ได้รับการใส่ใจเท่าที่ควร

2. การนิรโทษกรรมผู้ก่อการจลาจลและผู้ก่อการร้ายเสื้อแดง ก็ได้รับการผลักดันเข้าสู่สภา อันเป็นการจุดชนวนความขัดแย้งที่รุนแรงเกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะผู้คนในสังคมจำนวนมากเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดแย้งกับหลักนิติรัฐ นิติธรรม และความยุติธรรม ทั้งยังเป็นการส่งเสริมค่านิยมและวัฒนธรรมการใช้ความรุนแรงให้แพร่กระจายและซึมลึกในสังคมไทยมากขึ้น
กระแสคัดค้านจะมาจากทั่วทุกสารทิศ และหากรัฐบาลดื้อรั้นยืนยันผลักดันต่อไป รวมทั้งใช้ความรุนแรงในการปราบปรามทำร้ายผู้คัดค้านดังที่เคยทำมาในอดีต สถานการณ์ก็อาจพัฒนาไปสู่ภาวะที่ทำให้รัฐบาลต้องล้มลงไปได้

3. สำหรับการเจรจากับBRN ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ทำให้สถานภาพขององค์การณ์นี้ในสากลสูงขึ้น มีอำนาจต่อรองมากขึ้น และสถานะและอิทธิพลในท้องถิ่นก็เข้มแข็งขึ้นเช่นกัน ทำให้ประชาชนในพื้นที่ที่เคยร่วมมือกับรัฐ ต้องทบทวนบทบาทของตนเอง เพราะเกิดความหวั่นเกรงมากขึ้น รัฐจะสูญเสียแนวร่วมจากงานนี้จำนวนมหาศาล ซึ่งจะทำให้โอกาสสูญเสียดินแดนและอธิปไตยมีสูงขึ้น
เรียกได้ว่ารัฐบาลนี้ ทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางสากล และ เพิ่มอำนาจความน่าเกรงขามในระดับท้องถิ่นให้แก่ BRN สูงขึ้นด้วย

(เราเคยคิดหรือสำเหนียกหรือไม่) หาก CPP ชนะเลือกตั้งได้ครองอำนาจต่อไปอีก

สภ.บึงมะลู
(เราเคยคิดหรือสำเหนียกหรือไม่) หาก CPP ชนะเลือกตั้งได้ครองอำนาจต่อไปอีกอย่างน้อย ๕ ปี รัฐบาลกัมพูชาอาจใช้มติมหาชนเป็นข้ออ้างในการจัดการกับไทยด้วยวิถีทางต่างๆ หากผลการตัดสินคดีปราสาทพระวิหารไม่เอื้อประโยชน์ต่อกัมพูชา หรืออาจส่งเสริมการเรียกร้องสิทธิในพื้นที่ทับซ้อนอื่นๆ ทั้งนี้ ความเชี่ยวชาญของฝ่ายกัมพูชาในการปฏิบัติการข่าวสารและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการประสานการดำเนินการในทุกภาคส่วน ทำให้กัมพูชามีขีดความสามารถสูงในการต่อรองผลประโยชน์ต่างๆ ฝ่ายไทยจึงควรเตรียมความพร้อมสำหรับปฏิบัติการข่าวสารเชิงรุกและสร้างความเข้าใจในการแสดงออกอย่างเป็นเอกภาพในการรับมือต่อปัญหาใดๆ ที่อาจเกิดจากกัมพูชาต่อไป
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/ruarob/20130725/518914/เลือกตั้งกัมพูชา-นอนมาฮุนเซน-ไม่เล่น-Thai-Card.html

เดินทางกลับจากเยี่ยมคุณวีระครั้งนี้พร้อมกับพี่ไก่ แมลงสาบ

Veera Somkwamkid
Admin - เดินทางกลับจากเยี่ยมคุณวีระครั้งนี้พร้อมกับพี่ไก่ แมลงสาบที่เป็นตัวแทนพี่น้องศิลปินไปส่งมอบกำลังใจ ซึ่งศิลปินหลายท่านฝากความห่วงใยไปถึง อีกทั้งพี่น้องที่ได้ทราบว่าพี่ไก่จะเดินทางไปต่างยินดีและฝากกำลังใจไปด้วยมากมาย คุณวีระยิ้มและฝา่กขอบคุณทุกท่านตลอดจนเพื่อนทาง FB ด้วย
.... เราได้แจ้งเรื่องความคืบหน้าในกิจกรรม "มนุษยธรรมไร้พรมแดน" ที่จะจัดขึ้นในวันพุธที่ 31 ก.ค. ที่จะถึง หารือกับกงสุลถึงการขนย้ายข้าวของ และการส่งมอบต่อให้กับเรือนจำต่างๆ ทางกงสุลจะเป็นธุระดำเนินการให้ โดยครอบครัวจะขอเป็นตัวแทนนำไปมอบให้ในวันงานทำบุญในศุกร์หน้า คุณวีระฝากขอบคุณเป็นอย่างมากที่ทุกท่านจะมีส่วนช่วยกันดูแล เยียวยาความจำป่วยของเพื่อมนุษย์ด้วยกันที่ได้ัรับความทุกข์ยากในต่างแดน หรือแม้แต่เพื่อนมนุษย์ต่างเชื้อชาติ ศาสนา เป็นกุศลที่มีโอกาสได้ทำร่วมกัน
.... จากนั้นพี่ - น้องได้พูดคุยกัน เล่าความเป็นอยู่สารทุกข์สุขดิบด้วยความห่วงใย ข่าวสารจากเมืองไทย และมีหลายคนฝากบอกว่า คุณวีระเป็นวีระบุรุษของเขา คุณวีระบอกว่า "ที่ถูกเรียกเช่นนั้นคงเป็นเพราะว่าชื่อวีระอยู่แล้ว และก็เป็นผู้ชายอีกต่างหาก ก็อาจเรียกอย่างนั้นเป็นได้ จริงๆ แล้วไม่ได้ทำสิ่งที่พิเศษอะไรไปกว่าใครๆ หรอก เพียงทำก็เป็นหน้าที่ให้ดีที่สุด ทำหน้าที่พลเมืองไทยพึงจะกระทำ หรือพลเมืองชาติไหนๆ ก็ควรต้องทำ ทำหน้าที่ในการดูแล ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ เพื่อส่วนรวม และอยากให้ทุกคนช่วยกันทำอย่างที่ตนทำได้ ไม่นิ่งเฉยต่อความเีสียหายของประเทศ"

แบน! ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น ความดัดจริตของคนเมือง

?

-1-

กลายเป็นประเด็นร้อนแทบจะทันที หลังจากที่ละครซีรีส์เรื่องดัง ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น ที่ออกอากาศผ่านกล่องของแกรมมี่ ถูกอนุกรรมการกำกับดูแลเนื้อหาฯ ในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เรียกดูเทป ละครเรื่อง 'ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น' เนื่องจากอ้างว่า พบเนื้อหาล่อแหลมอาจจะเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ประกอบการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 มาตราที่ 37 ที่ระบุว่า...

"ห้ามไม่ให้ออกอากาศเนื้อหารายการที่มีลักษณะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจาร หรือมีผลกระทบต่อการก่อให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจ หรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง"

ก่อนหน้านี้ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมบางประการของละครเรื่องนี้เป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะฉากเซ็กซ์ของ 'สไปร์ท' เด็กนักเรียนสาวที่คิดว่าเรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องปกติ จนคำว่า “อยากกินสไปร์ทต้องใส่ถุง (ยาง)” กลายเป็นคำฮิต

หรือฉากความรุนแรงของตัวละครอย่างไผ่ ที่ชอบยกพวกตีกับคู่อริ แม้กระทั่งฉากไผ่บวชพระก็ถูกรุมกระทืบ ฉากไผ่สูบบุหรี่ ฉากผู้หญิงรุ่นพี่ยกพวกตบรุ่นน้อง เพื่อแย่งผู้ชายแล้วถ่ายคลิปประจาน ฉากผู้ชายจูบปากกับผู้ชาย ฯลฯ

ประเด็นก็คือ ถ้าคุณเป็นแฟนละครซีรีส์เรื่องนี้จริง ๆ ดูติดตามตั้งแต่ต้นจนจบตอน คุณคิดว่าละครเรื่องนี้มีเนื้อหา ผิดพ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 37 สมควรถูกแบนหรือไม่? ละครเรื่องนี้เมื่อเทียบกับละครทางฟรีทีวีที่มีมากมายประเภทแย่งผัวแย่งเมีย ตบๆ ตีๆ กรี๊ดๆ วางยาฆ่าแม่ผัว ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น มันจะมีความดีสู้ได้บ้างไหม?

กระทั่งคำถามใหญ่ที่ว่า หน่วยงานแบนละครเรื่องนี้ติดตาม เท่าทัน เข้าใจสถานการณ์สังคมสมัยใหม่มากน้อยแค่ไหน?

ไทยรัฐออนไลน์พาไปหาคำตอบกับปรากฏการณ์ด่าตามกระแส ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยดู หรือดูแบบหยาบๆ ที่หลายคนเรียกนิสัยนี้ว่า ความดัดจริตของคนเมือง...(2)

สถาบันสหสวรรษ "ล้างบางการเมือง ยกเครื่องประเทศไทย"

สถาบันสหสวรรษ "ล้างบางการเมือง ยกเครื่องประเทศไทย"
ยินดีร่วมทุกกลุ่ม ตาม 4 ประเด็นหลัก

1. ไม่เตะหมูเข้าปากหมา
ไม่ใช่เป็นการล้มรัฐบาลพรรคหนึ่งแล้วเอาอีกพรรคหนึ่งขึ้นแทน เช่นล้มเพื่อไทยแล้วให้ประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล
2. ไม่เขี่ยบอลให้ทหาร
ถ้าเขี่ยบอลให้ทหารจบลงจะได้แบบ 19 ก.ย.อีกครั้งหนึ่ง ทำให้ประเทศล้าหลังไปอีก สิ่งที่ต้องการเห็นคือความคืบหน้าอย่างรวดเร็วและเป็นประโยชน์กับประชาชน
3. ไม่กำกวม
แม้จะไม่บอกว่าใครเป็นผู้นำรัฐบาล แต่ในหนังสือปฏิญญากองทัพกบ บอกรายละเอียดชัดเจนว่าจะทำอะไรบ้าง มิตรเห็นอะไร ศัตรูก็เห็นอย่างนั้น
4. ไม่ใช่รวมศัตรูทักษิณรุมตื้บทักษิณอย่างเดียว
เพราะจะไม่ได้รัฐบาลประชาชนอย่างที่ต้องการ จะได้เพียงสงครามกลางเมือง ต่างจัดม็อบมาปะทะกัน ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ ประชาชนแพ้อยู่ดี

ของกินอีสาน ร้านแซบ ๆ

ของกินอีสาน ร้านแซบ ๆ
เรื่องและภาพ : อาทิตย์ บำรุงเอื้อ

...ร้านน้องไอซ์ลาบก้อยแม้จะเป็นร้านเล็ก ๆ แต่เรื่องความสะอาดในการล้างผักสุดยอด วัสดุคัดเลือกดีมาก ขนาดปอดที่ต้มเปื่อยในเมนูต้มแซบ เห็นได้เลยเป็นปอดของวัวที่แข็งแรง ไร้จุดด่างดำ กลืนลงคอไม่ต้องกระเดือกพร้อมกับคิดไปต่าง ๆ นานา รสชาติของกินแทบทุกจานผ่าน จึงเห็นผู้คนเต็มร้านเกือบทุกวันในตอนเที่ยงส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการครู ทั้งครูน้อยครูใหญ่เพียบ...

อ่านต่อคลิกที่นี่...http://e-shann.com/?p=3245

ทางอีศานฉบับที่๖ ปีที่๑ ประจำตุลาคม ๒๕๕๕
คอลัมน์: ข้าวปลา/อาหาร/การกิน
column: Culinaries

เพลงเธอเป็นนักสู้ - ไก่ แมลงสาบ


ดาวโหลด MP3
http://www.mediafire.com/?p0cqw6xf46gisjk
http://www.4shared.com/mp3/eC7v4g22/_-_.html


เพลงเธอเป็นนักสู้

สู้ต่อไป ก้าวต่อไป ให้มีชัยกันนะเพื่อนเอ๋ย
อย่าอยู่เฉย อย่าละเลย มาเพื่อนเอ๋ยมาสู้ต่อไป
เป็นคนไทย สู้เพื่อไทย อยู่แห่งไหนร่วมใจประสาน
 เป็นหนึ่งเดียว ตลอดกาล ให้หมู่มาร ถึงกาลปราชัย

สู้ไปจงอย่าได้ท้อ ยังก้าวเกิดก่อ สร้างสรรค์สิ่งใหม่
สร้างตำนาน สร้างความเป็นไทย เพื่อลูกหลานไทยได้ความร่มเย็น

สู้ๆเพื่อศักดิ์ศรี สู้เพื่อความดีให้โลกได้เห็น
ต่อไปนี้จะไม่ลำเค็ญ จะไม่หยุดเว้นเพราะเราเป็นนักสู้


++

สู้ต่อไป ก้าวต่อไป ให้มีชัยกันนะเพื่อนเอ๋ย
อย่าอยู่เฉย อย่าละเลย มาเพื่อนเอ๋ยมาสู้ต่อไป



วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ชายหรือหญิง ทำบุญเหมือนกัน ได้อานิสงค์เท่ากันหรือไม่




Air-Cair Kongklaew ปุจฉา - อยากถามพระอาจารย์ค่ะ ว่าถ้าผู้หญิงกับผู้ชายปฏิบัติกรรมดี ทำบุญเหมือนกันทุกอย่าง จะได้บุญเท่ากันหรือไม่ ความต่างของเพศมีผลอย่างไรบ้าง แล้วเหตุใดผู้ชายสามารถบวชทดแทนคุณพ่อแม่ได้ แต่ไม่มีให้ผู้หญิงบวชแทนคุณ (และอยากแสดงความคิดเห็นในเรื่อง อยากให้กฎหมายแรงงานมีสวัสดิการที่ให้สิทธิ์ผู้หญิงลาเพื่อปฏิบัติธรรมได้แค่ ๗ วัน ก็ยังดี การส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าใกล้ธรรมะ น่าจะเป็นการพัฒนาสังคมได้อีกทางหนึ่ง) กราบขอบพระคุณค่ะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - บุญนั้นไม่ขึ้นอยู่กับ เพศ วัย หรือเชื้อชาติ หากวางใจถูก จะเป็นชายหรือหญิง ทำบุญเหมือนกันทุกอย่างก็ได้อานิสงส์เท่ากัน ส่วนเรื่องบวชแทนคุณพ่อแม่นั้น เป็นเรื่องประเพณีและวัฒนธรรมไทย ซึ่งเปิดกว้างให้แก่ผู้ชายเท่านั้น ส่วนผู้หญิงนั้นไม่มีธรรมเนียมบวชแทนคุณพ่อแม่ อีกทั้งมีข้อจำกัดจากคณะสงฆ์ด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหลักธรรม
ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
http://www.facebook.com/visalo?fref=ts

อย่าปฏิบัติเพื่อจะเอาอะไร อย่าปฏิบัติเพื่อจะได้อะไร

อย่าปฏิบัติเพื่อจะเอาอะไร อย่าปฏิบัติเพื่อจะได้อะไร อย่าปฏิบัติเพื่อจะเป็นอะไร แต่ปฏิบัติด้วยการปล่อย เพื่อการปล่อยวาง ถ้าเรายังปฏิบัติเพื่อความหวังว่าจะได้อะไรดี ๆ เอาไปบ้าน เรามักจะผิดหวัง

ความจริงแล้วก็ขออภัยนะ วัดก็คล้าย ๆ กับส้วม มีหลายคนที่ชอบถามว่า คุณไปวัดได้อะไรบ้าง คุณไปวัดก็เหมือนไปห้องส้วม คุณจะได้อะไรบ้าง ก็ไม่ได้อะไร แต่ว่าเราก็ได้ถ่ายของสกปรกออกไป ก็มีประโยชน์เหมือนกัน

ชยสาโรภิกขุ

นานาสาระธรรม

เจ้านายลำเอียง



ปุจฉา - กราบนมัสการพระอาจารย์ค่ะ ดิฉันมีเรื่องทุกข์ใจเกี่ยวกับที่ทำงานค่ะ เนื่องด้วยตัวดิฉันและคู่ทีมไม่ได้รับความยุติธรรมในการทำงาน เพราะเจ้านายมีความลำเอียง เลือกที่รักมักที่ชัง พอดิฉันไปถามขอทราบเหตุผลทำไมถึงทำกับดิฉันและเพื่อนร่วมทีมเช่นนี้ เจ้านายก็ตอบไม่ได้ ได้แต่ตอบข้างคูๆ พร้อมแสดงอารมณ์โกรธอย่างเห็นได้ชัด ตัวดิฉันไม่ได้ต้องการให้เจ้านายแก้ไขในคำสั่งที่ได้ทำลงไปแล้ว เพียงแต่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเองเท่านั้น ในขณะที่เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ได้รับผลประโยชน์จากการกระทำในครั้ง นี้ คนส่วนใหญ่จึงเพิกเฉย ทั้งๆที่รับรู้ว่าดิฉันได้รับการกลั่นแกล้ง ด้วยกลัวว่าตนเองจะเสียผลประโยชน์ในสิ่งที่ตนได้รับแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ความรัก ความสามัคคีที่เคยมีให้กันต้องสูญสิ้นไปอย่างสิ้นเชิง คิดทีไรก็รู้สึกเจ็บใจ น้อยใจ เสียใจ โกรธ ร้องไห้ มีทุกอารมณ์รวมกันหมด ส่งผลเสียต่อร่างกายทำให้น้ำหนักลดและเครียด ท่านพระอาจารย์ช่วยให้คำแนะนำแก่ดิฉันด้วยว่าทำอย่างไรดิฉันจึงจะ พ้นความทุกข์นี้ไปได้ และคนที่รังแกดิฉันอย่างไม่ยุติธรรมจะได้รับผลกรรมเช่นไรคะ

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - การที่เพื่อนร่วมงานของคุณเพิกเฉยต่อการเรียกร้องของคุณนั้น แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้น แต่ก็พอจะเข้าใจได้ พวกเขาอาจเกรงว่าจะเกิดผลกระทบกับตนเองหากสนับสนุนข้อเรียกร้องของคุณ คุณจึงควรให้อภัยเขา อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์กับคุณเอง เพราะถ้าคุณโกรธเขา ผลร้ายก็จะตกกับคุณเอง ดังคุณเองก็ยอมรับว่าตอนนี้มีอารมณ์ต่าง ๆ ประดังประเดเข้ามาจนน้ำหนักลดและเครียด
การไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้นเป็นปัญหาแน่นอน แต่ถ้าวางใจไม่เป็น ยึดติดถือมั่นกับมันมาก ย่อมเกิดผลเสียต่าง ๆ ตามมามากมาย คือ ทำให้เสียสุขภาพกายและใจ รวมทั้งเสียสัมพันธภาพด้วย ถ้าจะเสียก็ควรเสียอย่างเดียว คือเสียสิทธิที่ควรจะได้ แต่อย่าปล่อยให้ต้องเสียอะไรอีกมากมาย ซึ่งไม่คุ้มเลย

ที่จริงเจ้านายของคุณคงรู้ว่าตนทำผิดพลาดไปแล้ว แต่กลัวเสียหน้า จึงแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ หากคุณมีปฏิกิริยารุนแรงหรือแข็งกร้าว ก็ยิ่งจะทำให้เขายืนกรานในสิ่งที่ตนเองทำมากขึ้น ผลเสียจะตามมามากมาย อย่างน้อยก็คงทำให้บรรยากาศในที่ทำงานย่ำแย่และทำให้คุณไม่มีความสุขกับการทำงาน แต่ถ้าหากคุณจะลองใจเย็นอีกสักนิด และใช้วิธีการที่นุ่มนวล ให้อภัยเขา แล้วเริ่มต้นกันใหม่ หรือให้โอกาสเขาอีกครั้ง ผลที่ตามมาอาจจะดีก็ได้

“ในหลวง" ทรงห่วงใย เรื่องการแก้ไขปัญหาการศึกษาของไทย

“ในหลวง" ทรงห่วงใย เรื่องการแก้ไขปัญหาการศึกษาของไทย ที่เป็นพื้นฐานสำคัญ เป็นอย่างมาก โดยมีรับสั่งกับองคมนตรี เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ปีที่ผ่านมา โดยสรุปว่า

1. ทรงรับสั่งให้องคมนตรีดูแลโรงเรียนในพื้นที่ชายขอบ ที่มีมาตรฐานการศึกษาต่ำกว่าในชุมชนหรือเขตเมือง โดยจะทำอย่างไรให้ลดช่องว่างความแตกต่างลง

2. ทรงเน้นว่าจะสร้างเด็กอย่างไรให้เป็นคนดีก่อนและให้คนเก่งมาทีหลังก็ได้

3. การจะสร้างเด็กให้เป็นคนดีได้นั้น ความสำคัญอยู่ที่ครู ต้องมีความพร้อม ทำอย่างไรจะให้ครูรักเด็กและเด็กรักครู ให้เกิดความผูกพัน มีการอบรมสั่งสอน คุณธรรม จริยธรรมและความรู้ให้เป็นไปได้โดยง่าย ซึ่งพระองค์ท่านได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ที่รับสั่งว่า เป็นเงินของประชาชนที่พระราชทานและพระองค์ทรงเก็บไว้และพระราชทานคืนผ่านองคมนตรี เพื่อนำไปปรับปรุงระบบการศึกษา

อย่างไรก็ตาม จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องการให้ โรงเรียนมีความสำคัญ ถ้าทุกภาคส่วนช่วยกันก็จะทำให้เกิดสังคมคุณภาพ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพราะจะมีคนดีและมีความรู้ นำมาปรับใช้ในโรงเรียนต่าง ๆ

นอกจากนี้ต้องสอนให้เด็กเยาวชน รู้จักความหมายของคุณธรรม และจริยธรรมอย่างถูกต้อง ซึ่งหมายถึง คิดดี พูดดี ทำดี ขณะเดียวกัน คือ 3 สถาบันหลัก คือ ครอบครัว โรงเรียนและ วัด ต้องร่วมมือกันปลูกฝังคุณธรรม และจริยธรรม ควบคู่ไปด้วย

...................................................

เนื้อหาบางส่วนจากการปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ
“ความซื่อตรง…กับทางรอดประเทศไทย”
งานสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 6
อิมแพคเมืองทองธานี
โดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี

"ถอดระหัส ๔ สิงหา กองทัพประชาชน"


@เสนาธิการร่วม..เป็นคำจำกัดความใหม่ของแกนนำองค์การพิทักษ์สยามซึ่งประกอบด้วย พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม
พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ
พล.อ.ชูเกียรติ ตันสุวัฒน์
พล.อ.ท.วัชระ ฤธาคณี
นายพิเชษฎ พัฒนาโชติ
และนายไทกร พลสุวรรณ
บุคคลอื่นๆในจำนวนนี้เป็นนักเคลื่อนไหวหน้าเดิมๆ แต่ท่ีน่าสนใจคือ พล อ ชูเกียรติ ตันสุวัฒน์ ซึ่งเป็นท่ีรับรู้ว่าสนิทสนมเป็นอย่างยิ่งกับ...พล ต มนูญกฤตย รูขจร!!!!!!
@งานนี้นำ้หนักท่ีแท้จริงจึงยังอยู่ท่ี เสธฯอ้าย พล อ บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ อดีตองค์การพิทักษ์สยามและหากงานนี้ พล ต มนูญกฤตย เข้าร่วมแจมด้วยจริง รัฐบาลมีหนาวแน่!!!!!!
@ระหัสคำประกาศเสธฯอ้าย...จะเดินหน้าเมื่่อ ทหาร ตำรวจเข้าร่วม แปลความตรงนี้ให้ชัด ไม่น่าจะใช่..กองทัพ..หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาตืแน่ แต่น่าจะหมายถึง ทหาร ตำรวจ ประจำการจำนวนหนึ่ง ท่ีอาจจะเข้าร่วมขบวน หากว่ามีการปราบปรามฝ่ายผู้ประท้วง แน่นอนว่าไม่น่ามาร่วมด้วย.. มือเปล่า..เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับประชาชนทั่วไป จะมาประกาศให้เสียเวลาทำไม!!!!
@พล ต มนูญกฤตย เมื่อ ๙ ก ย ๒๕๒๘ แต่งชุดลายพราง ใส่รองเท้าผ้าใบยังเอารถถังมายิง ตูม ๆได้ แต่นั่นคือเหตุการณ์เมื่อ ๒๘ ปีก่อนท่ียังมีลูกน้องท่ีเคยร่วมรบผูกชีวิตเป็นหนึ่งเดียวยังอยู่ในประจำการ มีสรรพนามเดียวท่ีดรียกหาผู้การของพวกเขาคือ..พ่อ..ไม่ใช่นายเหมือนนายทหารอื่นๆ วันนี้จะเหมือน วันนั้นหรือไม่ก็เป็นเรื่องท่ีต้องรอคอยพิสูจน์!!!!
@๔ สิงหา วันสุกดิบท่ีมีแนวโน้มว่า ร่าง พรบ.นิรโทษฯม่ฉบับใดฉบับหนึ่งเข้าสู่การพิจารณาของสภา ด้วยเงื่อนไขนี้มีแนวโน้มท่ีจะนำมวลชนออกมาได้ แต่ท่ีต้องขบคิดต่อไปคือมวลชนวันนี้ได้ถูกยกระดับ ความรับรู้ในการต่อสู้มาตลอด จึงมีคำถามว่า..ให้พวกเขาออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร...นี่เป็นโจทย์ ต้นๆท่ีคณะเสนาธิการร่วมต้องขบคิด ก่อนยุทธศาสตร์ในการรุกรบ กองทัพประชาชนจึงจะเป็น กองทัพโดยสมบูรณ์ มีทั้งแกนนำและสมบูรณืกำลังมวลชนอันจะนำไปสู่การดึง..กำลังประจำการให้ออกมาร่วมขบวนต่อไป..ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนคำสบประมาทในคลิปทั้งเช่าท่ีว่า..ไม่มีนำยาถ้าทหารไม่เอา!!!!!!!!

ที่มา เพจ สนธิญาณ สำนักข่าวทีนิวส์


เคล็ดลับในการมีอายุยืนนาน



“ละเว้นสิ่งที่เป็นอบายมุขทั้งหมด อายุจะได้ยืนนาน ของพวกนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไร เหล้ายาปลาปิ้ง เมื่อตอนเป็นหนุ่มดื่ม เลิกตอนอายุ ๓๐ บุหรี่ก็เลิก เมื่อก่อนนี้อยู่เชียงรายก็ลองฝิ่นด้วย อาเจียนเกือบตาย เราเป็นหมอต้องลองให้หมด ว่าอะไรดีไม่ดียังไง แล้วก็ปฏิบัติธรรม สำคัญมาก ต้องพยายามช่วยเหลือคนทุกคน ไม่มีศัตรู ศัตรูที่แท้จริงคือตัวเราเอง เมื่อไม่มีศัตรู ทำให้เราอยู่ได้อย่างสบาย วัน ๆ ก็อยู่กับแม่เขา ปฏิบัติธรรมก็คือ หนึ่ง มีศีลห้า เบญจศีล เบญจธรรม มีความเมตตากรุณา ช่วยเหลือคนทุกคนที่เขาทุกข์ยาก ชีวิตมนุษย์มีทุกข์ทั้งหมด เราก็พยายามช่วยเขาเท่าที่เราสามารถทำได้ เราได้ความปีติจากการที่เราช่วยเหลือคนอื่น

“การที่อยู่ด้วยกัน เราต้องใช้ความมีมานะ อดทนสารพัด ไม่ใช่อยู่ไปวัน ๆ บางทีมีอะไรที่จะมาสะกิดให้เรามีเรื่องกัน เราก็ต้องมีความรอบคอบ ไม่หูเบา ไม่ใจง่าย ไม่เชื่อใครง่าย ๆ พยายามที่จะทำตัวให้เป็นคนที่เฉยที่สุด นอกจากว่าจำเป็นต้องพูด เราก็ต้องมีปัญญา คิดว่าจะพูดยังไง จะทำอะไรยังไง ไม่ใช่อยู่ไปเฉย ๆ ปล่อยไปตามเรื่องตามราว ชีวิตคู่มันมีเรื่องให้หยุมหยิมกันอยู่เรื่อย ๆ

“จำไว้ว่าถ้าเธอมีเงินมากเมื่อไหร่ จะไม่สามารถคุมตัวเองได้ ไม่ใช่แต่ประเทศไทย ทั่วโลกก็เป็นอย่างนี้ เขาถึงได้เตือนแล้วเตือนอีกว่า อย่ามีเงินมากนะ ให้มีพอมีพอใช้ อย่าให้มันร่ำรวยเกินไป”

ศ.นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว (๓๑ พฤษภาคม ๒๔๕๔ - ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (ช่วงปี ๒๕๒๓ - ๒๕๒๖)

ที่มา: คอลัมน์ เดินตามผู้ใหญ่ฯ
นิตยสาร สารคดี, ตุลาคม ๒๕๔๗

"มิน" ชาวเขายอดกตัญญู หอบชุดครุยถ่ายรูปกับพ่อ


เขาคือ "นายพิศุทธิ์ คีรีธระกุล หรือ มิน" เด็กชาวเขาเผ่าม้ง ที่ปัจจุบันเขาคือบัณฑิตใหม่ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

"รูปนั้น เป็นรูปที่ผมถ่ายกับพ่อครับ ตอนนั้นพ่อผมก็จำอะไรไม่ได้แล้ว แกเริ่มสติไม่ดีตั้งแต่แม่เสียไป วันที่ผมรับปริญญาผมกลับไปหาพ่อ ไปพูดข้างๆ หูพ่อว่า.. ผมเป็นลูกพ่อนะ ผมเรียนจบแล้วครับ พ่อก็ยิ้มๆ ตอบกลับมา"

ชีวิตของวัยเด็กของมิน
มินเป็นเด็กชาวเขาเผ่าม้ง บ้านเกิดอาศัยอยู่ที่อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ทางบ้านของเขามีอาชีพทำไร่ทำสวน มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน โดยที่ตัวเขาเองเป็นน้องเล็กคนสุดท้อง ด้วยความที่บ้านของเขามีฐานะยากจน อาศัยอยู่บนเขาห่างไกลความเจริญ จึงทำให้เขาต้องเสียบุคคลที่รักในครอบครัวไปด้วยโรคภัยทีละคนสองคน ตั้งแต่แม่ที่ป่วยและเสียชีวิตไปตอนเขายังเด็ก รวมถึงพี่ๆ ที่ทยอยจากไปรวมทั้งหมด 4 คน

ทุกวันนี้ครอบครัวของมิน จึงเหลือสมาชิกเพียง 3 คน นั้นคือ พ่อ พี่ชายคนโต และตัวมินเอง โดยมินได้เล่าว่า "ตอนนี้พ่อผมอายุ 50 กว่าๆ แล้วครับ ผมจำความได้ว่าวันที่แม่ของผมเสียไป พ่อผมจากที่เป็นคนใบ้อยู่แล้ว ก็เริ่มมีอาการเศร้าคิดถึงแม่ จนต่อมาก็มาเสียพี่ๆ ไปทีละคน ยิ่งทำให้พ่อกลายเป็นคนเก็บตัว และหลังๆ มีอาหารหลงๆ ลืมๆ จนทุกวันนี้พ่อจำอะไรไม่ได้เลย
จำลูกไม่ได้ แต่พ่อผมก็เดินได้ และช่วยเหลือตัวเองได้ครับ"

เส้นทางคำว่า "นักเรียน" ของมิน
"ผมบวชเรียนมาตั้งแต่เด็กเลยครับ บวชเป็นสามเณรตั้งแต่ ป.1 ถึง ม.6 ที่วัดปรางค์ อ.ปัว จ.น่าน จากนั้นก็สึก แล้วมาเรียนต่อ ปวส.ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพะเยา ในสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ พอจบก็มาสอบเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในคณะบริหารธุรกิจ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ"
มินเล่าเสริมว่า ด้วยความที่ตนเองบวชเรียนมา จึงไม่มีครูแนะแนวให้คำปรึกษาในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เลยต้องค้นหาข้อมูลด้วยตัวเอง อาศัยอ่านจากป้ายประกาศที่เขาติดตามสี่แยก หรือใบปลิวที่เขาแจกตามงานต่างๆ ว่ามหาวิทยาลัยไหนรับเข้าเรียนบ้าง "ตอนแรกผมก็ไปสมัครเรียนที่ ม.ราชภัฏพิบูลสงคราม แต่พอไปถึงพบว่ามันเป็นโควต้านักกีฬา ผมคงไม่ไหวเลยไม่ได้สมัคร แล้วก็ไปสมัครต่อที่ ม.ราชภัฏเชียงราย ลองผิดลองถูก กว่าจะเข้าใจและหาพวกหลักฐานการเข้าเรียนได้ก็เหนื่อยเหมือนกันครับ"

เมื่อเด็กชาวเขา ต้องไกลบ้านมาเรียนในเมือง
"ตอนเรียน ปวส.เป็นช่วงชีวิตที่หนักสุดของผมเลยครับ จังหวัดบ้านเกิดที่ผมอยู่ไม่มีมหาวิทยาลัยเรียน หากอยากเรียนก็จำเป็นที่จะต้องไกลพ่อไกลพี่หนีห่างมาเรียน ยอมรับเลยว่านอนร้องไห้เลยครับ เคยคิดโทษตัวเองบ่อยๆ ว่าทำไมเราต้องอยากเรียน คนที่เขามีพ่อมีแม่ที่ดี หาเงินให้ใช้ทำไมเขาถึงไม่อยากเรียน แต่เราไม่มีอะไรเลย ทำไมต้องอยากเรียนด้วย ผมท้อหลายครั้ง เพราะผมก็ไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง เคยได้เกรดมากสุดแค่ 2.9 แต่ก็มีความสุขที่ได้เรียน อยากเรียน และด้วยที่ผมอยากเรียนผมก็เลยต้องสู้ครับ ฐานะทางบ้านผมแค่มีข้าวให้พ่อให้พี่กินอิ่มท้องก็ลำบากแล้ว ตอนนั้นผมก็ต้องทำงาน และเอาเงินไปจ่ายค่าเทอมครับ แต่โชคดีที่คุณครูก็ยอมให้ค้างค่าเทอมได้ ผมแบ่งไว้ว่าเงินที่ทำงานได้มา จะจ่ายค่าเทอมก่อนเสมอ ที่เหลือค่อยมาใช้อยู่กิน แต่ช่วงปี 3 ก็โชคดีขึ้นมาหน่อย เพราะผมกู้ทุน กยศ.ของมหาวิทยาลัย ได้ครับ คุณสมบัติผมผ่าน ก็เลยมีเงินมาจ่ายค่าเทอมครับ"

ถึงวันที่รอคอย "รับพระราชทานปริญญาบัตร"
"ดีใจมากๆ ครับ อาจารย์และเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยก็ดีใจกับผม วันที่ผมรับพระราชทานปริญญาบัตรเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด มันเป็นเหมือนของขวัญสำหรับคนจน คนชาวเขาอย่างผมให้ได้ภูมิใจเหมือนคนอื่นบ้าง ตอนนั้นผมอยากให้พ่อ และพี่ชายมาเห็นผมในพิธีรับปริญญา แต่พ่อก็อยู่ไกลมากที่จังหวัดน่าน พอจบงานรับปริญญาผมก็กลับไปหาพ่อเลยครับ อยากเอาชุดครุยไปให้แกได้เห็น ให้แกได้จับ ไปถ่ายรูปกับแก แต่พ่อผมก็จำอะไรไม่ได้แล้วนะครับ แกเริ่มสติไม่ดีตั้งแต่แม่เสียไป ผมกลับไปหาพ่อ ไปถึงบ้าน พูดข้างๆ หูพ่อว่าผมเป็นลูกพ่อนะ ผมเรียนจบแล้วครับพ่อ พ่อก็ยิ้มๆ ตอบกลับมาให้ผม"

อยากให้ฝากถึงน้องๆ กำลังอ่านเรื่องราวของมิน
"อยากให้น้องๆ ทุกคนที่ตั้งใจเรียน จะเหนื่อยจะท้อแค่ไหนมันก็จะผ่านไปเอง ฝากถึงน้องๆ ที่โชคดีมีคุณพ่อคุณแม่มีเงินพร้อมให้เรียนโดยไม่ต้องไปลำบาก ขอให้ตั้งใจเรียนไปนะเลยครับ อย่าทำให้ท่านต้องผิดหวังหรือเสียใจ ท่านไม่หวังอะไรนอกจากให้ลูกได้มีความสุขเหมือนคนอื่นๆ ในวันรับปริญญา หากใครท้อก็ขอให้สู้ต่อไปนะครับ ขอบคุณครับ"

มินได้ให้สัมภาษณ์หลังจากรับปริญญาเดือน ก.ค. ว่า
ก็ตัดสินใจสู้เต็มที่เพื่อหาเงินมาดูแลพ่อให้ท่านไม่เจ็บไม่ป่วย
ให้มีความสุขทดแทนเรื่องร้ายๆ ที่พ่อเจอตอนมินยังเด็ก พร้อมช่วยแบ่งเบาพี่ชายที่ทำไร่ทำสวนอยู่ที่บ้าน โดยมิน ได้ตัดสินใจขอแบ่งเช่าห้องเล็กๆ แห่งหนึ่งใน อ.เชียงกลาง จ.น่าน เปิดเป็นร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ตามวิชาชีพที่ได้เรียนมา (ชื่อร้าน PS คอมพิวเตอร์)

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.dek-d.com
ขออนุโมทนาบุญกับน้องมินด้วย สาธุ สาธุ สาธุ
...............................................................................
เติมความสุข กำลังใจ สู่ความสำเร็จในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม
www.facebook.com/ThanavuddhoStory

คำคม ควรคิด

- เพื่อจะประสบความสำเร็จ ความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จของคุณ ต้องมากกว่าความกลัวที่จะล้มเหลว -บิล คอสบี้ #ThaiQuote
- บางที..การที่สิ่งดีๆต้องจากไป ก็เพื่อหลีกทางให้สิ่งที่ดีกว่า เข้ามาแทนที่
- ไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า 'ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจง่ายๆได้ แสดงว่าคุณไม่เข้าใจสิ่งนั้นดีพอ' #ThaiQuote
- ถ้าเราไม่ได้เกิดมาเป็นไม้บรรทัด ก็ไม่จำเป็นจะต้องเอาตัวเองไปวัดกับคนอื่น #ThaiQuote
- ความสบายต้องอาศัยเงิน แต่ความสุขไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับเงิน ~พระไพศาล วิสาโล

"พิษภัยที่แฝงมากับตะเกียบ"


"พิษภัยที่แฝงมากับตะเกียบ" ^___________^

อุปกรณ์ หนึ่งในการกินก๋วยเตี๋ยวที่จะขาดเสียไม่ได้เลยก็คือ “ตะเกียบ” โดยส่วนใหญ่ที่ผลิตออกมาขาย หรือใช้กันอยู่ทุกวันนี้ทำจากวัสดุหลัก 2 ชนิด ได้แก่

1. พลาสติก มีหลายสี ทั้งสีอ่อนคล้ายงาช้าง สีชมพู จนถึงสีแดง ถ้าใช้กับอาหารที่ร้อนมาก ๆ หรืออาหารที่เป็นกรด อาจละลายออกปะปนกับอาหาร

2. ไม้ที่นิยมนำมาใช้ทำตะเกียบคือ ไม้ไผ่และไม้โมกข์ เนื่องจากมีสีขาว เนื้อละเอียด ไม่ทำให้อาหารมี สี กลิ่น รส ผิดเพี้ยนไป ส่วนใหญ่ไม่นิยมเคลือบหรือทาสีใด ๆ

อย่างไรก็ตาม มีผู้ผลิตบางรายที่เคลือบตะเกียบด้วยสีน้ำมัน เช่น สีแดงสลับดำ จึงไม่เหมาะที่จะใช้คีบอาหารที่ยังร้อนอยู่ อาหารที่มีน้ำมันมาก รวมถึงอาหารที่เป็นกรด เพราะสีที่เคลือบไว้จะละลายลงไปในอาหาร ซึ่งสีที่ใช้เคลือบนี้มีสารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว เจือปนอยู่ เมื่อใช้ไปนาน ๆ สีจะหลุดร่อนกะเทาะออกมาปนอยู่ในอาหารเข้าสู่ร่างกายของเรา จนเกิดการสะสมในร่างกายปริมาณมาก

นอกจากนั้นแล้วผู้ประกอบการร้านอาหาร ส่วนใหญ่ยังนิยมใช้ “ตะเกียบอนามัย” ชนิดใช้แล้วทิ้ง

ฟังชื่อแล้วทำให้มั่นใจว่าจะได้ตะเกียบที่สะอาด ปลอดภัย แต่แท้จริงแล้วตะเกียบชนิดนี้เป็นที่สะสมของสารเคมีอันตรายหลายชนิด โดยเฉพาะ “สารฟอกขาว” ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่ใช้แช่ถั่วงอก ที่มีสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นส่วนประกอบ เมื่อสารชนิดนี้ถูกน้ำร้อนหรือของที่มีอุณหภูมิสูงจะเปลี่ยนเป็นสารซัลฟูริก ชนิดเดียวกับที่ใช้ในแบตเตอรี่รถยนต์

เมื่อเราใช้ตะเกียบที่มีสารฟอกขาว ในอาหารที่ร้อนจัด เช่น สุกี้ หม้อไฟ หมูกระทะ เป็นต้น จะทำให้สารดังกล่าวละลายออกมาจากตะเกียบปะปนในอาหาร

"ในรายที่แพ้ง่ายหรือเป็นโรคหอบหืด" จะมีอาการแสดงทันทีที่ได้รับสารนี้เข้าไป

ส่วนในคนที่ร่างกายแข็งแรงจะยังไม่แสดงอาการ แต่จะค่อย ๆ สะสมในร่างกาย ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง จึงมีโอกาสเกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าปกติ เพราะร่างกายไม่มีภูมิต้านทาน หากได้รับสารสะสมนานเข้าอาจกระตุ้นให้เกิด "โรคมะเร็ง"

วิธีการที่ช่วยให้เราเลี่ยงจากพิษภัยของสารเคมีในตะเกียบ เมื่อต้องใช้ตะเกียบกินของร้อน ๆ สามารถป้องกันได้ด้วยการนำตะเกียบไปแช่ในน้ำร้อนก่อนประมาณ 3-4 นาที แล้วเทน้ำทิ้งไป จึงค่อยนำตะเกียบมาใช้

แต่ในความเป็นจริงการแช่ตะเกียบตามร้านอาหาร หรือร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางค่อนข้างยุ่งยาก และคนขายไม่อยากทำให้

ทางที่ดีคือ เราอาจนำตะเกียบส่วนตัวไป ใช้เอง หรือทำความสะอาดตะเกียบให้เรียบร้อยก่อนนำมาใช้ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพนะคะ

หากชอบเนื้อหาของเรา แบ่งปันต่อเพื่อสุขภาพที่ดีซึ่งกันและกันด้วยนะคะ ฝากกด "ถูกใจ" ที่หน้าเพจเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ https://www.facebook.com/CKHealthyTips
ขอบคุณค่ะ ^_______^

Cr.ฟาร์มดี

เข้าพรรษานี้ อย่ามัวแต่ทำทานอย่างเดียว รักษาใจ รักษาศีลด้วยเน่อ



~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

สีเลนะ สุคติง ยันติ (ศีล นั้นจักเป็นเหตุให้ถึงความสุข)

สีเลนะ โภคะสัมปะทา (ศีล นั้นจักเป็นเหตุให้ได้มาซึ่งโภคทรัพย์)

สีเลนะ นิพพุติง ยันติ (และศีลนั้นยัง จะเป็นเหตุให้ได้ไปถึง นิพพาน คือความดับเย็นจากกิเลส เครื่องเศร้าหมอง ทั้งปวง)

ตัสสมา สีลัง วิโสธะเย (ศีล จึงเป็นสิ่งที่วิเศษนักที่เธอทั้งหลายพึงยึดถือเป็นหลัก ประจำชีวิต ประจำจิตใจ ปฏิบัติ ให้ได้ ดังนี้ แล)

ดังนั้นผลของศีลจึงยิ่งใหญ่กว่าทานมากนัก

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รัฐแบบวาติกัน ในเมืองไทย



ปัญหาเรื่องการใช้อำนาจทางโลกของพุทธจักร อย่างไม่ถูกต้องเคยมีปรากฏมาแล้ว เช่นกรณีการจัดการที่ดินหกพันกว่าไร่บริเวณพระพุทธบาทสระบุรี เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ซึ่งสื่อมวลชนในขณะนั้นรายงานว่า "ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งได้เรื้อรังมานานนับเป็นปี ๆ ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยื่นมือเข้าไปแก้ไขให้สำเร็จเด็ดขาดไปได้ และจังหวัดอำเภอจะเข้าไปดำเนินการเองก็ไม่ถนัดนัก เพราะเกรงจะเป็นการก้าวก่ายกับฝ่ายสงฆ์"

ข้อความนี้เองทำให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ต้องเขียนวิจารณ์ประเด็น ก้าวก่ายฝ่ายสงฆ์ ใน "สยามรัฐ หน้า ๕" วันที่ 31 มกราคม 2513 และเตือนว่าพุทธจักรจะเป็นรัฐอิสระแบบวาติกันในไม่ได้

"...ข้อความตอนท้ายนี้สำคัญยิ่ง เพราะแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทางราชการในปัจจุบันถือว่ามีรัฐวาติกันเป็นเอกราชขึ้นในเมืองไทย
ที่ดินใด สถานที่ใด ตลอดจนโบราณสถานต่าง ๆ ที่มีสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว ทางราชการก็ไม่กล้าเข้าไปก้าวก่าย

เถรเรือลอยที่ไหนจะไปจับวัดร้างเข้าวัดหนึ่ง แล้วยกตัวเองขึ้นเป็นสมภาร ตั้งหน้าตั้งตาทำลายโบราณสถานอันมีค่าทางประวัติศาสตร์ในวัดนั้น ทางราชการก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปห้ามปราม

รัฐวาติกันในเมืองไทยนี้ มีอำนาจเก็บภาษีจากความความศรัทธาของประชาชน โดยที่ทางราชการไม่กล้าเข้าไปก้าวก่ายอีกเช่นเดียวกัน ใครมีศรัทธามากก็เสียภาษีมาก

ทางรัฐวาติกันเมืองไทย ก็เอาเงินภาษีนั้นไปสร้างสิ่งไม่บังเกิดผลทางเศรษฐกิจแก่ใครเลย นอกจากผู้สร้าง เช่นสร้างพระพุทธรูประฟ้าขึ้นกลางทุ่ง

ปัญหาเรื่องอำนาจทางโลกของทางพุทธจักรนี้ เป็นปัญหาที่คนในสมัยก่อนได้คิดมาแล้ว และได้แก้ไขไว้แล้วด้วยการโอนเอาพุทธจักรนี้มาขึ้นกับอาณาจักร พระมีสมณะศักดิ์ก็เพราะเหตุนั้น

เพราะเมื่อพระมีสมณะศักดิ์แล้ว พระก็ต้องมีสัญญาบัตร หิรัญบัตร และสุพรรณบัฏ เช่นเดียวกับขุนนาง องค์ไหนทำความชอบแก่ราชการก็เลื่อนสมณะศักดิ์ เพิ่มนิตยภัตให้ องค์ไหนทำผิดก็ถอดได้

แม้แต่เมื่อรับนิมนต์คนอื่นเขาไว้แล้ว มีหมายงานหลวงมาก็ต้องบอกเลิกนิมนต์ เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ราชการสำคัญกว่ากิจส่วนตัว เมื่อปัญหานี้ได้แก้ไขไว้ดีแล้ว การที่ทางราชการยังเกรงกลัวไม่กล้าที่จะเข้าไปก้าวก่ายกับทางสงฆ์ จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก"

พุทธจักรต้องขึ้นกับอาณาจักร เรื่องใดที่สงฆ์ทำไม่ถูกกฎหมาย ทางราชการต้องเข้าไปแก้ไขจัดการ

สยามรัฐออนไลน์, 23 กรกฎาคม 2556

บวช...

บวช...

รักษ์ไม้ยางบวชต้นยางดั่งบรรพชิต
คนต้นคิดเขารักยางหาทางถนอม
กว่าพันต้นบวชทุกต้นยางยินยอม
จีวรอ้อมไม่ขัดขืนยืนให้พัน
เข้าพรรษาทุกหน้าฝนคนรู้หมด
หลายคนอดถือศีลธรรมกรรมฐาน
มีต้นยางเป็นต้นครูบาอาจารย์
กรรมฐานต้นยางนี้มีเช่นไร
รับฟ้าฝนทนรับแสงที่แรงร้อน
ลมพัดว่อนริ้วกิ่งใบไม่หวั่นไหว
คือขันติของต้นยางกระจ่างใจ
ใครทนได้เย็นได้คล้ายต้นยาง
แม้แห้งแล้งไร้ฝนฟ้าอากาศหนาว
ร้อนอบอ้าวคนเผาไฟไม่เคยอ้าง
ไม่สิ้นใจแตกกิ่งใบไปตลอดทาง
ยังเคียงข้างคลุมสองทางให้ร่มเย็น
คติธรรมย้ำเตือนเดือนพรรษา
สอนใจข้าย้ำเตือนตนทุกคนเห็น
ทุกคนรู้อยู่ที่ตนฝึกฝนเป็น
อดทนเช่นยางนาครูข้าเอยฯ

( ต้นยางนา หน้ารพ. สารภี เชียงใหม่)

โดย หมอสารภี

หนูอาละวาด แต่ไม่อยากฆ่ามัน




Chaiwisate Chanida - บริเวณที่อยู่อาศัยเป็นแฟลตเคหะ มีหนูจำนวนมาก นับครบทุกอาคารน่าจะรวมได้เป็นพันตัว เจ้าหนูหาอาหารอยู่รอบๆ อาคาร บางครั้งก็ขึ้นมาวิ่งตามทางเดิน บ้างก็เข้ามาในห้องผู้อยู่อาศัยโดยกัดมุ้งลวดเข้ามาเลย ข้าพเจ้าเคยคิดจะแจ้งเทศบาลประจำพื้่นที่ให้มาจัดการ แต่ก็กลัวเป็นต้นเหตุจากบาปด้วยการฆ่าและไม่รู้จะทำอย่างไร จึงไม่เบียดเบียนชีวิตเขา แต่ไม่อยากอยู่ร่วมกับพวกเขา

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - การแจ้งเทศบาลให้มาจัดการ ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง แม้จะจับหนูทั้งหมดไปฆ่า แต่ตราบเท่าที่อาคารยังมีขยะมูลฝอยหรือมีมุมอับให้มันอาศัยและทำรัง หนูก็จะแห่มาอีกจนได้ ถ้าจะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ควรแก้ที่ต้นเหตุ คือการทำให้อาคารสถานที่ไม่มีขยะมูลฝอยหรือกลายเป็นแหล่งอาหารและอาศัยของหนู จะทำเช่นนั้นได้ผู้อยู่อาศัยในแฟลตต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง แต่ในขณะที่ยังไม่มีการแก้ไขดังกล่าว คุณเองก็ควรช่วยตัวเองด้วยการป้องกันมิให้หนูมารังควาญ เช่น วางกับดักหนู เมื่อจับได้แล้วก็ไปปล่อยตามทุ่งนาชานเมือง

ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
http://www.facebook.com/visalo?fref=ts

คนที่บอกว่าการชุมนุมด้วยความรุนแรงจะสำเร็จ

คนละหมัด เดอะซีรี่ย์ 2
คนที่บอกว่าการชุมนุมด้วยความรุนแรงจะสำเร็จ ... แล้วตัดสินใจใช้พื้นที่หน้ากากขาว แสดงการกร้าวร้าว "เกินความจำเป็น"มีทั้งสเปร์พริกไทย ไม่รู้คราวหน้าพวกบ้าบิ่นจะเอาอะไรมาเล่นอีก - - คนไป ชุมนุมน้อยกว่าเดิม ไม่ไช่เรพะาอะไร ... แต่ไม่อยากไป"เกรียน" เป็นนักเลงข้างถนน

ส่วนคนที่ บอกแล้วไปแล้วไม่ได้อะไร ... ก็ ลองคิดดูเสียว่า ทำไม ... ชุมนุม ครั้งแรกๆ รัฐบาลเต้นกัน ฉิบหาย คำตอบง่ายๆ ก็เพระาคนออกมา ประท้วงตามสิทธิกฏหมายจำนวนมากไง ... พวกมันถึงตกเป็นจำเลยสังคม

หลายคนคงมีคำถามว่า ...อ่าวแล้วถ้าตำรวจมันตี แม้วมันรุนแรง มาประชาชนจะทำไง !!! ....

เอ๊า!!! ก็ป้องกันตัวตามสิทธิสิครับ แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีสิทธิ พก กระบองไฟฟ้าไปทุบตำรวจนะจ๊ะ !!!

การตรวจสอบของคนกลุ่มเล็กๆอย่างพวกเราทำให้ก.พลังงาน และ ปตท. เดือดร้อนหนัก

เวบพันทิพ หยิบเอาเรื่องเก่ามาโจมตี มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และ ส.ว รสนา ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องกรรมการมูลนิธิมีหุ้นใน ปตท. เป็นพวกเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง เรียกร้องคนอ่านอย่าไปหลงเชื่อมี่ออกมาเคลื่อนไหวทวงคืนปตท. และเรียกร้องให้ตรวจสอบ ส.ว รสนา และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคให้จงหนัก

เลยเอาเวบเรื่องนี้มาแปะให้เพื่อนมิตรได้อ่าน เพื่อนส่งมาให้ดิฉันช่วยชี้แจง เลยเอาคำชี้แจงมาโพสให้อ่านด้วย แสดงว่าการเคลื่อนไหวตรวจสอบ ปตท.และก.พลังงานน่าจะทำให้เขาเดือดร้อนหนัก จนต้องมีพวกมือปืนรับจ้างมาดิสเครดิตในโลกออนไลน์

ข้อความที่ตอบเพื่อนที่ส่งลิงค์มาให้ดู ดังนี้

" น่าจะเป็รเรื่องเก่าที่โจมตีตั้งแต่สมัยพี่กับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคฟ้องเพิกถอนการแปรรูป ปตท.สมัยปี2548 ที่กล่าวหากรรมการมูลนิธิฯว่าถือหุ้นปตท.ตอนนี้กลายเป็นว่าได้รับการจัดสรรหุ้น

เท่าที่พอจำเรื่องราวได้คือมีคนถือหุ้นปตท. ที่เป็นญาติของกรรมการมูลนิธิ ใช้นามสกุลเดียวกัน เลยถูกนำไปประโคมข่าวว่ากรรมการมูลนิธิถือหุ้นปตท.

ที่จริงคนอ่านน่าจะลองคิดในมุมว่า หากกรรมการมูลนิธิมีหุ้นปตท.จริง แต่ยังตรวจสอบ ปตท. แสดงว่ามีความเป็นกลางนะ ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว

ตอนนี้ดูจะปิดเบือนไปถึงขั้นว่าได้รับการจัดสรรหุ้น ถ้าสมมติเป็นจริง จะหาว่าเขาอกตัญญูกับคนจัดสรรหุ้นให้กระนั้นหรือ?!? ดูแล้วตรรกะไม่สมเหตุสมผลเสียเลย

คนพวกนี้ต้องการแค่การดิสเครดิตโดยไม่ได้สนใจว่าคนอ่านสามารถใช้วิจารณญาณเป็น

สำหรับตัวพี่เอง เคยคิดจะซื้อหุ้นเหมือนกัน จะได้ขอเข้าไปตรวจสอบข้อมูลของปตท. แต่ก็ยังไม่ได้ลองทำดู ส่วนกรรมการมูลนิธิตอนนี้ไม่รู้ว่ามีใครซื้อหุ้นหรือเปล่า ถึงเขาจะซื้อ แต่ยอมให้เจ้าหน้าที่มาขับเคลื่อนการตรวจสอบปตท. ก็ต้องชื่นชมเขานะว่าดีกว่าผู้บริหารในกระทรวงพลังงานที่กินเงินเดือนประชาชน แต่กลับไปใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ปตท. ทั้งที่ศาลปกครองสูงสุดตัดสินในคดีที่พี่กับมูลนิธิฯ ฟ้อง ว่า " การแปรรูปทำให้ ปตท. ไม่ใช่องคาพยพของรัฐอีกต่อไป จึงไม่สามารถใช้อำนาจรัฐได้อีก และต้องคืนทรัพย์สินที่ได้มาโดยอำนาจมหาชนคืนให้กับแผ่นดิน เช่นท่อส่งก๊าซทั้งระบบ แต่จนบัดนี้ยังคืนไม่หมด โดยเฉพาะท่อก๊าซในทะเล มีความยาวเป็นพันกิโลเมตร

ส่วนอำนาจรัฐที่ศาลปกครองตัดสินว่าห้ามปตท.ใช้อีก แต่ปตท.ก็อาศัยผู้บริหารในก.พลังงานใช้อำนาจแทน คนพวกนี้ยอมเป็นนอมินีทางอำนาจให้ ปตท.โดยได้ผลประโยชน์เงินโบนัสปีละ3-10 ล้านบาท และน่าจะเป็นผู้ได้รับการจัดสรรหุ้น ที่มีความจงรักภักดีต่อผู้จัดสรรให้ คนพวกนี้ควรเรียกว่าเป็นผู้ทรยศต่อข้าวแดงแกงร้อนที่ประชาชนเลี้ยงดู เพราะได้รับการเลี้ยงดูอย่างอิ่มหมีพีมันจาก ปตท.มากกว่า

คนที่มาปล่อยข่าวก็คงเป็นพวกได้รับเศษเนื้อข้างเขียงมาเป็นแน่ จึงได้เอาความเท็จมาปั้นน้ำให้เป็นตัว

เพิ่งไปอ่านในเวบพันทิพ ทีแรกนึกว่าเรื่องเก่า แต่เป็นเรื่องเก่าเอามาปั้นแต่งขายใหม่ คนเขียนกล่าวอ้างว่าพี่เป็นกรรมการมูลนิธิ ซึ่งพี่ไม่เคยเป็น

คนเขียนพูดว่าต้องตรวจสอบ ส.ว รสนา และ มูลนิธิให้จงหนัก ที่จริงควรตรวจสอบภาครัฐให้จงหนัก เพราะรัฐบาล และก.พลังงาน ใช้ภาษีของประชาชน

ที่จริงก็ต้องขอบคุณคนเขียนในเวบพันทิพ แสดงว่าการตรวจสอบของคนกลุ่มเล็กๆอย่างพวกเราทำให้ก.พลังงาน และ ปตท. เดือดร้อนหนัก ถึงกับต้องมีมืปืนรับจ้างพวกนี้มาคอยดิสเครดิตพี่และ มูลนิธิ นอกจากเรื่องนี้แล้ว เขาก็ไม่มีประเด็นอื่นจะมาใส่ร้ายพี่ และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้อีก

http://pantip.com/topic/30737396

คนไข้จ๋า เตียงบ่มีแล้ว......

คนไข้จ๋า เตียงบ่มีแล้ว......

ไม่อยากป่วยเสียเวลามาหาหมอ
ลูกแม่พ่อถ่อกายาฟ้าฝน
มารับจ้างขายแรงงานลำบากลำบน
แม้ทุกข์จนน้ำตาเหือดเลือดออกไต
ที่พักกายก็เพียงกระต๊อบน้อย
แค่ไว้คอยบังฝนและคนเห็น
ที่ห่มกายไร้ฟูกงามไร้ความเย็น
แค่ผ้าเต๊นท์นายจ้างทิ้งขว้างไป
ไม่มีมุ้งไร้ฟูกหมอนแค่นอนเสื่อ
ทั้งหยาดเหงื่อกลิ่นผ้าเก่าเขาอยู่ได้
กินพออยู่กินเพียงน้อยพออิ่มกาย
อดทนไว้วันหน้าฟ้าเห็นใจ
มาวันนี้มีไข้ทั้งสามคน
ปวดหัวจน จะทน แทบไม่ไหว
มาหาหมอตรวจเลือดก็ทราบเร็วไว
วินิจฉัยไข้เลือดออกทั้งสามคน
กินไม่ได้อาเจียนจนเวียนหัว
เจ็บไปทั่วกายาแทบตาถลน
แน่นลิ้นปี่ถ่ายเหลวอีกหนึ่งคน
หมอไม่บ่นเติมน้ำเกลือเจือจุนไป
อีกนับสิบก็มาหามาด้วยไข้
มากันได้ติดๆกันฉันยังไหว
แต่ปัญหาคือที่อยู่ผู้ป่วยใน
นอนไม่ได้เตียงเต็มแล้วแม่แก้วตา....ทำไงดีนะ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~
รายงานจาก( ห้องฉุกเฉินรพ. สารภี)

มีเรื่องเล่าว่า....มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

มีเรื่องเล่าว่า....มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

จัดประชุมอาจารย์ว่า ให้ดูแลลูกศิษย์ให้ดี

เพราะลูกศิษย์ที่ได้ 100 คะแนนเต็ม จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ในอนาคต

ได้ 80% จะเป็น ครูอาจารย์ ในอนาคต

ได้ตำ่กว่า 50% จะเป็น เศรษฐีร่ำรวย และสนับสนุน มหาวิทยาลัยในอนาคต

พวกที่โกงข้อสอบ อย่าไปว่าเขา เพราะจะเป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต

พวกที่ลาออกก่อน ต้องให้เกียรติอย่างเต็มที่ เพราะอนาคต เขาจะเป็นอย่าง บิลเกต หรือสตีบจอป

ส่วนคนที่ไม่รู้อะไรเลย ย่ิงอย่าไปว่าเขา เพราะอนาคตเขาคือ นายกรัฐมนตรี

ว่าแต่ข่าวไม่ได้บอกว่า มหาวิทยาลัยดังกล่าวนั้นอยู่ที่ไหน.

โดย หมอสารภี

รายการคนค้นตน เชิญชมเรื่องราวชีวิตอันงดงามของน้องเพชร เด็กหนุ่มออทิสติก 27 กค 2556



“น้องเพชร” เด็กหนุ่มหน้าตาดี วัย 15 ปี ป่วยเป็นโรคออทิสติกมาตั้งแต่กำเนิด เขาเป็นเด็กพิเศษที่ผ่านการฝึกฝน ขัดเกลาจนเติบโตมาเด็กหนุ่มที่ปรกติเหมือนคนอื่นๆ ซึ่งกว่าที่เขาจะมีวันนี้ได้นั้นทั้ง “แม่”และ“ยาย” ต้องใช้พลังแห่งความรัก ความทุ่มเท ในการฝึกฝนทักษะพื้นฐานทุกอย่างในชีวิต จากเด็กออทิสติกที่มีอาการผิดปรกติค่อนข้างมาก ณ วันนี้ น้องเพชรสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสังคมได้เป็นอย่างดี ส่วนอาการของโรคออ ทิสติกคงเหลือเพียงแต่เรื่องการไม่สามารถตัดสินใจและไม่สามารถคิดแก้ปัญหาเรื่องต่างๆด้วยตัวเองได้ แม้กระทั่งการตัดสินใจข้ามถนน

“น้องเพชร” เป็นเด็กที่สุภาพ อ่อนน้อม พูดจาไพเราะ มีความซื่อสัตย์ มีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นที่รักและเอ็นดูของคนรอบข้างอยู่เสมอๆ นอกจากนี้เขายังเป็นเด็กที่รู้จักมองโลกในแง่ดี เลือกจดจำเรื่องราวที่มีแต่ความสุข ไม่จดจำเรื่องราวที่ไม่ดีหรืออะไรที่เป็นความทุกข์ ดังนั้นโลกของน้องเพชรจึงเต็มไปด้วยความสุข ความสดใส และงดงาม และที่สำคัญเขาเป็นเด็กที่มีความคิดความอ่านที่เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ควรเอาเป็นแบบอย่าง ทั้งเรื่องการประหยัด ความซื่อสัตย์ ความเป็นตัวของตัวเองไม่ตามแบบใคร ความไม่ตามกระแสวัตถุนิยมต่างๆ ฯลฯ

“น้องเพชร” เป็นเด็กที่ชอบของโบราณย้อนยุคเป็นชีวิตจิตใจ ส่งผลให้วิถีการดำรงชีวิตของเขาจึงมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวที่ผิดแผกแตกต่างจากวัยรุ่นทั่วๆไป เขาจะชอบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าไทยพื้นบ้าน ชอบใส่หมวกกะโล่ ชอบสะพายย่าม ชอบใช้ยาสีฟันผงวิเศษนิยม ชอบเสริมหล่อด้วยแป้งน้ำมองเล่ยะ ชอบเพิ่มเสน่ห์ลมหายใจด้วยยาอมโบตั๋นชนิดแผ่น ชอบสร้างความสุขให้ชีวิตด้วยการฟังละครวิทยุคณะเกศทิพย์ ฟังเพลงสุนทราภรณ์ ดูหนังเก่ายุค 40-50 ปีที่แล้ว และสิ่งที่เขารักเป็นชีวิตจิตใจเลยคือ “การวาดรูป” น้องเพชรมีพรสวรรค์ด้านการวาดภาพมาตั้งแต่เล็กๆ เขาชอบวาดภาพวิวทิวทัศน์และภาพบุคคล ซึ่งเขามีความฝันว่าอยากเป็นศิลปินวาดรูป
ติดตามเรื่องราวชีวิตอันงดงามของน้องเพชร เด็กหนุ่มออทิสติกผู้น่ารักคนนี้ ได้ในรายการคนค้นฅน ตอน โลกของ “เพชร” วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 เวลา 14.00 น. ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี

คิดได้ไง กับ คิดโง่ๆ วินทร์ เลียววาริณ



สมมุติว่าคุณขับรถเร็วด้วยความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไล่ตามรถไฟที่แล่นด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุณจะมองเห็นรถไฟนั้นเคลื่อนเร็วกว่าคุณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สมมุติว่าคุณเร่งเครื่องรถให้เร็วขึ้นเป็น 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่าความเร็วของรถไฟ คุณจะมองเห็นคนในรถไฟชัดเหมือนอยู่กับที่ ตามหลักสามัญสำนึกบอกว่า คุณสามารถหักลบความเร็วของวัตถุสองสิ่งออกจากกันได้

ความเร็วที่สูงที่สุดในจักรวาล (เท่าที่มนุษย์พิสูจน์ได้) คือความเร็วของแสง คือ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที นั่นคือ เมื่อคุณกดปุ่มเปิดไฟฉาย เพียงหนึ่งวินาที แสงไฟนั้นก็ไปไกลถึง 300,000 กิโลเมตรแล้ว

เอาละ สมมุติว่าคุณสามารถประดิษฐ์ยานที่แล่นด้วยความเร็ว 299,980 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งช้ากว่าความเร็วของแสง 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุณจะพบว่า แสงนั้นยังคงเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วปกติของมัน คุณไม่มีทางตามมันทันได้

แต่... โอ! โน! อิมพอสสิเบิ้ล! เป็นไปไม่ได้! เอาอะไรมาพูด! นี่ฝืนหลักสามัญสำนึกเห็นๆ

แน่นอน มันฝืนหลักสามัญสำนึก แต่เป็นสิ่งที่ไอน์สไตน์ พิสูจน์มาแล้วด้วยหลัก สัมพัทธภาพพิเศษ ของเขา ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าความเข้าใจเรื่องฟิสิกส์ของมนุษย์อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ

คำอธิบายของปรากฏการณ์นี้คือ เมื่อคุณเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วขนาดนั้น เวลาของคุณก็จะหดสั้นลง เพราะความเร็วสัมพัทธ์กับเวลา และจักรวาลไม่ได้มีเพียงสามมิติอย่างที่เรา ‘มองเห็น’

ผ่านการพิสูจน์มานานหลายปี ประโยค “โอ! โน! อิมพอสสิเบิ้ล!” ก็ค่อยๆ จางหายไป และถูกทดแทนด้วยประโยค ‘คิดได้ไง’

ยูคลิด ปรมาจารย์ด้านคณิตศาสตร์แห่งกรีก พิสูจน์ให้ชาวโลกเห็นมาเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ว่า มุมภายในของสามเหลี่ยมรวมกันได้เท่ากับ 180 องศา และเส้นขนานสองเส้นไม่มีวันบรรจบกันอย่างเด็ดขาด มันกลายเป็นกฎทางเรขาคณิตและหลักสามัญสำนึกที่ใครๆ ก็เห็นชัดๆ

จนถึงศตวรรษที่ 19 นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันนาม ไรแมนน์ ที่ศึกษามิติโค้งทางฟิสิกส์พบว่า มุมภายในของสามเหลี่ยมรวมกันได้มากกว่าหรือน้อยกว่า 180 องศาก็ได้ และเส้นขนานก็ตัดกันได้ หากสามเหลี่ยมและเส้นขนานนั้นวางบนระนาบโค้ง นั่นคือมุมภายในของสามเหลี่ยมรวมกันได้มากกว่า 180 องศาบนระนาบโค้งนูน และน้อยกว่า 180 องศาบนระนาบโค้งเว้า

เมื่อครั้งที่ กาลิเลโอ กาลิเลอี บอกคนทั่วไปว่า ลูกเหล็กสองลูกที่มีมวลไม่เท่ากัน จะตกถึงพื้นพร้อมกัน ทุกคนหัวเราะเยาะเขา บอกว่า ‘เป็นความคิดที่โง่เง่าอะไรเช่นนั้น’ เพราะมันฝืนหลักสามัญสำนึกอย่างเห็นได้ชัด

ทว่าไม่มีอะไรหลอกตาเราเท่ากับสามัญสำนึกของมนุษย์ สามัญสำนึกของคนเราเกิดขึ้นเมื่อเราพบเห็นปรากฏการณ์ที่มองเห็นด้วยสายตาจนเกิดความเคยชิน หรือเราค้นพบความรู้บางอย่างและพิสูจน์จนมันกลายเป็นกฎ เมื่อนั้นก็ไม่มีใครกล้าท้าทายกฎเหล่านั้น

ยิ่งยึดมั่นถือมั่นกับกฎเหล่านั้นเท่าไร ก็จะไม่กล้ามองมุมต่าง และไม่มีวันสลัดหลุดออกจากกรอบความคิดเดิมนั้น

มนุษย์เกิดมาในโลกสามมิติ กว้าง x ยาว x สูง เราเคยชินกับสภาวะนี้จนเราไม่กล้าคิดอะไรที่แตกต่างออกไป เช่น เป็นไปได้ไหมที่เราอยู่ในโลกที่มีมิติมากกว่า 3 เพียงแต่เรามองไม่เห็นมิติอื่นที่เหนือกว่านั้น? เป็นไปได้ไหมที่สิ่งมีชีวิตบนโลกเราหายใจด้วยก๊าซชนิดอื่นที่ไม่ใช่ ออกซิเจน?

ในโลกของการสร้างสรรค์ ไม่ว่าในทางศิลปะหรือวิทยาศาสตร์ คุณจะไม่มีทางค้นพบสิ่งใหม่ๆ หากไม่กล้าละวางกฎ กติกา และสามัญสำนึกลงเสียก่อน นวัตกรรมทั้งหลายในโลกล้วนเกิดจากการมองมุมต่างทั้งสิ้น

เสียงหัวเราะเยาะกับคำว่า “คิดโง่ๆ” และ “เป็นไปไม่ได้” ปิดกั้นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ มามากต่อมากแล้ว ‘สามัญสำนึก’ ก็ฆ่าความคิดสร้างสรรค์มาทุกยุคทุกสมัย แต่หากอยากก้าวไปสู่มรรคาใหม่ ก็ต้องรู้จักคิดต่าง และกล้าคิดต่าง

‘คิดได้ไง’ เกิดขึ้นได้เสมอเมื่อคุณกล้า ‘คิดโง่ๆ’

วินทร์ เลียววาริณ, 4 สิงหาคม 2550
www.winbookclub.com