++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

นิทานเซน : ชาวนาซื้อที่ดิน


นิทานเซน : ชาวนาซื้อที่ดิน
คนผู้หนึ่ง เอ่ยถามอาจารย์เซนว่า “สิ่งใดน่ากลัวที่สุดในโลก?”

อาจารย์เซนตอบว่า “ความอยาก”

คนผู้นั้นยังคงไม่เข้าใจ อาจารย์เซนจึงเล่าเรื่องๆ หนึ่งให้เขาฟัง ใจความดังนี้

“ยังมีชาวนาผู้หนึ่ง ต้องการหาซื้อที่ดินสักหนึ่งผืน เขาได้ยินมาว่ามีคนต้องการขาย จึงได้เดินทางไปพบเพื่อติดต่อขอซื้อ เมื่อไปถึง ชาวนาจึงได้เอ่ยถามคนผู้นั้นว่า “ที่ดินของท่านขายอย่างไร?”

ผู้ที่ต้องการขายที่ดินตอบว่า “ขอเพียงท่านมอบเงินให้ข้า 1000 ตำลึงเท่านั้น จากนั้นให้เวลาท่านหนึ่งวันเต็มๆ นับจากพระอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งพระอาทิตย์ตก ให้ท่านออกเดินเท้าไปรอบๆ ที่ดิน หากท่านสามารถเดินวนไปได้ไกลเท่าไหร่ ที่ดินเหล่านั้นล้วนนับเป็นของท่าน แต่หากว่าท่านเดินทางกลับมายังจุดเริ่มต้นไม่ทันพระอาทิตย์ตกดิน ท่านจะไม่ได้ที่ดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว”

ชาวนาได้ฟังดังนั้นในใจก็คิดว่า “เช่นนี้ก็ไม่เลว ข้ายอมลำบากหนึ่งวัน เดินให้เร็วที่สุด ไกลที่สุด เพื่อที่จะได้ที่ดินกว้างใหญ่ การซื้อขายนี้ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก” ดังนั้นเขาจึงตกลงทำสัญญากับผู้ขายที่ดินรายนั้น

วันรุ่งขึ้น เมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ชายชาวนาก็เร่งฝีเท้าจ้ำเดินออกไปทันที เมื่อถึงยามเที่ยงวัน เขาหันหลังกลับมามองก็พบว่าเขามาไกลจนมองไม่เห็นจุดเริ่มต้นแล้ว จึงค่อยเลี้ยงโค้งเพื่อเดินวนไปอีกด้านหนึ่ง พร้อมทั้งก้าวเดินต่อไปโดยไม่ยอมหยุดพัก แม่ว่าจะหิวโหยและเหนื่อยอย่างยิ่งก็ตาม เขาก้าวเดินต่อไป ต่อไป จนกระทั่งพบว่าพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว ในใจเขาจึงร้อนรนขึ้นมาเพราะเกรงว่าหากกลับไปไม่ทันพระอาทิตย์ตกจะหมดสิทธิ์ ครอบครองที่ดินทั้งหมด เขาจึงรีบหันหลังกลับเพื่อเดินไปยังจุดเริ่มต้น แต่พระอาทิตย์ก็ใกล้จะลาลับฟ้าเต็มที เขาที่ทั้งเหน็ดเหนื่อย ตื่นเต้น และหิวโหยพยายามเร่งฝีเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า จนกระทั่งเหลือเพียงสองก้าวจะถึงจุดเริ่มต้น ทว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขามีได้ถูกใช้หมดสิ้นไปแล้ว สุดท้ายได้แต่ล้มลง ณ ที่นั้น ขณะล้มลงมือทั้งสองพลันทาบทับไปที่จุดเริ่มต้นพอดีกับที่พระอาทิตย์ลาลับฟ้า พร้อมกับชายชาวนาที่ล้มหายใจขาดห้วง สิ้นใจไปในลักษณะนั้น

ที่ดินผืนกว้างใหญ่มหาศาลตกเป็นของชาวนาตามที่ได้ตกลงกันไว้ แต่จะมีความหมายอันใด ในเมื่อเขาไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว”

เมื่อจบเรื่องราวที่อาจารย์เซนเล่า เหล่าศิษย์ก็กระจ่างในใจ เข้าใจว่าเหตุใด “ความอยาก” จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก

ปัญญาเซน : กิเลส ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น คือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์


ที่มา : http://iloveone.exteen.com/20120915/entry-5

ขมิ้นชันต้านเชื้อวัณโรค


ขมิ้นชันต้านเชื้อวัณโรค หนุมานประสานกายแก้วัณโรคระยะแรกได้ วัณโรคเป็นโรคติดต่อที่เคยหายไปจากประเทศไทยแล้ว แต่กลับมาใหม่ในกลุ่มผู้มีภูมิต้านทานบกพร่อง และทำให้เชื้อโรคนี้แพร่หลายในเมืองไทยอีกครั้ง แม้วัณโรคยุคใหม่จะรักษาได้หายขาด แต่การกินยาจากสารเคมีมีผลทำลายตับ และการกินยาไม่สม่ำเสมอส่งผลให้เกิดการดื้อยาง่าย ชีวอโรคยา จึงได้ค้นคว้าหาสมุนไพรไทยที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาวัณโรคมาแบ่งปันกันนะคะ

วัณโรคเป็นโรคติดเชื้อที่มีความร้ายแรงมากโรคหนึ่ง โดยพบว่าประชากรโลกถึงหนึ่งในสาม หรือประมาณ 1,900 ล้านรายติดเชื้อวัณโรค มีผู้ป่วยวัณโรคใหม่อุบัติขึ้น 7-8 ล้านราย และเสียชีวิตประมาณ 2-3 ล้านรายต่อปี สำหรับในประเทศไทยมีอัตราความชุกของวัณโรคประมาณ 130,000 ราย อุบัติการณ์ของผู้ป่วยวัณโรคประมาณ 93,000 และมีจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตปีละ 12,000 ราย วัณโรคยังคงเป็นสาเหตุการตายของประชากรมากกว่าโรคติดเชื้ออื่นๆ

การรักษาวัณโรคจะใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกันหลายชนิด เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน โดยผู้ป่วยจะต้องกินยาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยาที่ใช้ในการรักษาอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงในระดับที่ผู้ป่วยสามารถทนได้จนถึงระดับรุนแรงที่คุกคามชีวิตผู้ป่วย เช่น การเกิดผื่นแพ้ การเกิดพิษต่อตับ หรือแม้กระทั่งการกดภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยลดลง เมื่อใช้ยาไม่สม่ำเสมอจะทำให้เชื้อเกิดการดื้อยาได้มากขึ้น

จากสถานการณ์การรักษาวัณโรคในประเทศไทยพบว่า มีอัตราผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาหลายขนานรายใหม่คิดเป็นร้อยละ 1.65 อัตราผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาหลายขนานที่เคยรักษามาก่อน ร้อยละ 34.54 และมีผลข้างเคียงจากยามาก ดังนั้นการคิดค้นยารักษาวัณโรคจึงมีความจำเป็นอย่างมาก

ขมิ้นชัน (Curcuma longa) เป็นพืชในวงศ์ Zingiberaceae ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศไทยและทวีปเอเชีย และมีรายงานสรรพคุณที่ใช้ในทางการแพทย์พื้นบ้านมากมาย เช่น แก้ปวด ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง ต้านเชื้อรา, ไวรัส และแบคทีเรีย และป้องกันการเสื่อมของตับ เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีการศึกษาผลของขมิ้นชันในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยเอดส์ พบว่าสามารถช่วยเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี

หนุมานประสานกาย สมุนไพรแก้วัณโรคระยะแรก
หนุมานประสานกาย หรือ SCHEFFLERA LEUCANTHA VIG อยู่ในวงศ์ ARALIACEAE เป็นไม้พุ่มแกมเถา มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น มีสรรพคุณเฉพาะคือ ใบสด ต้มดื่มแก้ไอ แก้อาเจียนเป็นเลือด ใช้ตำพอกแผลเพื่อห้ามเลือด และสมานแผล ซึ่งสารสกัดจากใบพบสารซาโปนิน มีฤทธิ์ขยายหลอดลมด้วย ถิ่นกำเนิดเดิม ประเทศจีน ชาวจีนเรียกว่า ชิดฮะลั้ง

วัณโรค เป็นโรคติดต่อคนสู่คนชนิดหนึ่งที่ในสมัยก่อนคนไทยเป็นกันเยอะ และถือเป็นโรคน่ากลัวชนิดหนึ่ง บ้านไหนมีคนเป็นจะถูกแยกไปอยู่ตามลำพัง อยู่ร่วมสังคมไม่ได้ผู้คนรังเกียจ เพราะจะติดต่อสู่คนอื่น บางคนเป็นรุนแรงขนาดไอออกมาเป็นเลือด ร่างกายซูบผอม หากไม่รักษาจะทำให้เสียชีวิตได้ แต่สมัยนี้ไม่น่ากลัวแล้ว เพราะแพทย์สมัยใหม่สามารถรักษาได้

สมัยก่อน ถ้าใครรู้ตัวว่าเริ่มจะ เป็นวัณโรคระยะแรก แพทย์แผนไทยมีวิธีรักษาให้หายได้เช่นกัน โดยให้เอาใบของต้นหนุมานประสานกาย ชนิดที่มี 7 ใบต่อก้าน แบบสดๆ จำนวน 15 ก้าน ต้มรวมกับน้ำใส่ให้มากหน่อย ต้มจนเดือดเคี่ยวต่อประมาณ 10 นาที ถ้าคนไม่เป็นเบาหวานสามารถเติมน้ำผึ้งแท้ลงไปได้จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ หรือไม่เติมก็ได้ ดื่มขณะอุ่นวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น และก่อนนอน และต้องเปลี่ยนยาต้มทุกวัน ดื่มติดต่อกัน 60-90 วัน อาการวัณโรคระยะแรกจะหายและร่างกายจะอ้วนพีขึ้นทันที

เครดิต: เรียบเรียงจาก สมุนไพรไทย 200 ชนิด
บทความ หนุมานประสานกาย สมุนไพรแก้วัณโรคระยะแรก โดย นายเกษตร – ไทยรัฐ
บทความ “ขมิ้นชันต้านเชื้อวัณโรค” โดย นางสาวธิษณิน สุภาไชยกิจ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
อ้างอิง :
1.Tengamnuay, P., Pengrungruangwong, K., Pheansri, I., Likhitwitayawuid, K. Artocarpus lakoocha heartwood extract as a novel cosmetic ingredient: evaluation of the in vitro antityrosinase and in vivo skin whitening activities. Int. J. Cosmet. Sci. 2006, 28, 269–276.
2.García AA, García VB, Nicolás JP, Rivera G. Recent advances in antitubercular natural products. Eur J Med Chem, 2012; 49: 1-23.
3.Kohli K, Ali J, Ansari MJ, Raheman Z. Curcumin: A natural anti-inflammatory agent. Indian J Pharmacol 2004; 37: 141-147.

ภาพ: นำภาพจากอินเตอร์เน็ตมารวมกันเป็นภาพเดียว
*****************************************

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

10 บทเรียนชีวิตที่มีคุณค่าจากผู้สูงอายุ


10 บทเรียนชีวิตที่มีคุณค่าจากผู้สูงอายุ

ในสังคมยุคดิจิทัลเรามักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับคำแนะนำ หรือประสบการณ์ของผู้มีอายุกันเท่าไร ยุคนี้หลายคนถือว่าเป็นยุคของคนรุ่นใหม่

ดังนั้น ผู้สูงอายุหรือผู้มีประสบการณ์จึงมักไม่ใช่แหล่งที่เราจะเข้าไปหาเมื่อมีปัญหาหรือต้องการคำแนะนำ คนรุ่นใหม่มักจะหันหน้าเข้าหาผู้เชี่ยวชาญรุ่นใหม่ หรือไม่ก็หนังสือพวก Self-Help หรือไม่ก็ปรึกษา Google เลย เรามักจะมองว่าบรรดาผู้สูงอายุหลายๆ ท่านไม่ทันสมัย ชอบแต่เล่าเรื่องเก่าๆ ไม่ทันต่อยุคและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

แต่จริงๆ ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่ง เราจะพบว่าบรรดาผู้สูงอายุทั้งหลายนั้นได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก และกว่าที่อายุจะยืนยาวได้ถึงระดับหนึ่งย่อมจะต้องได้เรียนรู้ในบางสิ่งบางอย่างที่มีคุณค่า ที่หนังสือหรือเว็บไหนก็ไม่สามารถที่จะทดแทนได้ ถึงแม้สภาวะแวดล้อมในอดีตกับปัจจุบันไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่แก่นและหลักการพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการใช้ชีวิตย่อมไม่ต่างกันมาก

ในต่างประเทศนั้นได้มีอาจารย์ท่านหนึ่งของ Cornell ชื่อ Dr. Karl Pillemer ซึ่งได้ไปสัมภาษณ์ชาวอเมริกันที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไปมากกว่า 1,200 คน โดยคำถามเด็ดนั้นอยู่ที่ว่า “จากประสบการณ์ชั่วชีวิตคุณ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน” แล้วก็นำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living ครับ แต่เขาได้คัดเลือกบทเรียนสำคัญ 10 ประการที่โดดเด่นเอาไว้ครับ โดยบทเรียนทั้ง 10 ประการ ประกอบด้วย

1. ให้เลือกอาชีพโดยดูจากความต้องการภายในมากกว่าผลตอบแทนด้านการเงิน โดยบรรดาผู้สูงวัยกล่าวว่าความผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพของเขา คือ การเลือกอาชีพโดยดูจากผลตอบแทนมากกว่าสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ

2. ให้ปฏิบัติต่อร่างกายเหมือนกับต้องใช้งานไปอีกร้อยปี โดยให้ลดและเลิกพฤติกรรมที่ทำร้ายร่างกายเราไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่ดี หรือไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเสียชีวิตในฉับพลัน แต่ทำให้เราเกิดความทรมานเมื่อสูงวัย

3. ตอบตกลงต่อโอกาสที่เข้ามา โดยเมื่อมีโอกาสหรือความท้าทายเข้ามา ต้องอย่าปฏิเสธครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะมาเสียใจหรือเสียดายในภายหลัง

4. เลือกคู่ด้วยความระมัดระวัง อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ใช้เวลาในการดูและทำความรู้จักคนที่เราจะอยู่ด้วย อย่ารีบด่วนตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกันจนกว่าจะรู้จักอีกฝ่ายหนึ่งอย่างถ่องแท้

5. เที่ยวให้มากไว้ (ชอบมากครับ) เมื่อมีโอกาสให้เดินทาง คนสูงวัยส่วนใหญ่จะมองย้อนกลับมายังโอกาสต่างๆ ที่ได้ท่องเที่ยวเดินทาง และมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ และมีคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว

6. ให้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดเดี๋ยวนี้ เนื่องจากเรามักจะเสียใจและเสียดาย ว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูดกับหลายๆ คน เมื่อไม่มีโอกาส เราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

7. เวลาเป็นของมีค่า ชีวิตของเรานั้นแสนสั้น แต่ไม่ใช่ให้มานั่งเศร้า แต่ให้ทำในสิ่งที่สำคัญและมีค่าเดี๋ยวนี้ เนื่องจากยิ่งเราอายุมากขึ้น เราจะพบว่าเวลายิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น

8. ความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากเงื่อนไขต่างๆ คำแนะนำหนึ่ง ก็คือ จงรับผิดชอบต่อความสุขของตัวเราเองตลอดชีวิตเรา

9. การใช้เวลามานั่งกังวลต่อสิ่งต่างๆ นั้นเป็นการเสียเวลา ดังนั้น ให้หยุดกังวล หรือไม่ก็พยายามลดความกังวลลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลในสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น

10. คิดเล็ก-อย่าคิดใหญ่ ค่อยๆ ซึมซับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตเรา และมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้น


ขอบคุณบทความจาก http://www.wiseknow.com/blog

หากถูกปลิงดูดเลือด


หากถูกปลิงดูดเลือด ใช้น้ำเกลือเข้มข้น น้ำส้มสายชูแท้ หรือแอลกอฮอล์ หยดลงบริเวณรอบปากปลิงหรือใช้บุหรี่ที่ติดไฟจี้ตัวปลิง ปลิงจะหลุดออก
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 24 มี.ค.2556

กลุ่มฆราวาสนานาชาติ ขอเชิญร่วมกิจกรรม International Lay Sangha รอบพิเศษ


กลุ่มฆราวาสนานาชาติ ขอเชิญร่วมกิจกรรม
International Lay Sangha รอบพิเศษ

เพื่ออำลา คุณ Francois 'Paco' Merigoux อาสาสมัครชาวฝรั่งเศส ที่ช่วยสร้างและประสานงานธรรมภาคภาษาอังกฤษ ของสวนโมกข์กรุงเทพหลายกิจกรรม ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา

Paco เป็นกำลังสำคัญในการดูแลกิจกรรมทางธรรมมากมาย เช่น กิจกรรมทำสมาธิทุกวันอังคาร, การบรรยายธรรมภาคภาษาอังกฤษโดยพระอาจารย์ต่างชาติสายหนองป่าพง, กิจกรรมเพลินธรรมนำชม ภาคภาษาอังกฤษ, งานเทศกาลหนังพุทธปัญญานานาชาติ, งานวัดลอยฟ้าปีที่แล้ว และเป็นผู้ดูแล facebook ของสวนโมกข์กรุงเทพภาคภาษาอังกฤษด้วย
(https://www.facebook.com/suanmokkhbangkok)

ในโอกาสนี้ขอเชิญเพื่อน ๆ กัลยาณมิตรมาร่วมงานภาวนาครั้งสุดท้ายกับ Paco สวนโมกข์กรุงเทพขอขอบคุณในความทุ่มเทของเขาเพื่องานพุทธศาสนา ทำให้ชาวต่างชาติได้รู้จักเข้าใจพุทธแบบเถรวาทมากขึ้น

วันอังคารที่ 2 เมษายน
เวลา 18.00 - 19.30 น. (เวลาเริ่มเร็วกว่ากำหนดปกติเล็กน้อย)
ณ ห้องนิพพานชิมลอง สวนโมกข์กรุงเทพ

The Buddhadasa Indapanno Archives would like to invite you for a special International Lay Sangha meeting on Tuesday April 2nd at BIA

A special event also with all of you who have contributed, through your presence and collaboration -past, present and future- to wider opportunities for Dhamma practice.

https://www.facebook.com/events/124679247714538/

วิธีลดความชื้นที่มากเกินไปในก้อนเชื้อเห็ดก่อน


วิธีลดความชื้นที่มากเกินไปในก้อนเชื้อเห็ดก่อนหรือ ขณะเปิดดอก เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราอื่นปลอมปน คือ ใส่ปูนขาวลงไปครึ่งช้อนชาต่อก้อน
จาก SMS FArmerInfo by DTAC - 11 มีค 2556

พัฒนาตนเอง พัฒนาการศึกษา พัฒนาสังคม ร่วมงานธรรมกับ ๒ โรงเรียนวิถีพุทธและท่านชยสาโร


พัฒนาตนเอง พัฒนาการศึกษา พัฒนาสังคม
ร่วมงานธรรมกับ ๒ โรงเรียนวิถีพุทธและท่านชยสาโร

หากคุณกำลังมองหางานที่ได้พัฒนาชีวิตทุกๆ ด้านควบคู่ไปกับการทำงาน โรงเรียนทอสีและโรงเรียนปัญญาประทีปยินดีต้อนรับเข้ามาร่วมกันด้วยกัน ในหลายตำแหน่งงาน

-----------------------------------------

๑. เจ้าหน้าที่ดูแลจัดการและเผยแผ่สื่อธรรมะดิจิทัล
(ประจำกองทุนสื่อธรรมะโรงเรียนทอสี เอกมัย กรุงเทพฯ)

รายละเอียดงาน:
- จัดเก็บไฟล์เสียงและวีดิทัศน์ รวมทั้งไฟล์สิ่งพิมพ์ ไฟล์หนังสือธรรมะต่างๆ ของพระอาจารย์ชยสาโรให้เป็นระบบ สืบค้นง่าย
- ทำหน้าที่บันทึกเสียงและวีดิทัศน์พระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ชยสาโรในงานกิจกรรมธรรมะ (สามารถจัดสรรเวลาไปปากช่องได้เดือนละ ๑-๒ ครั้ง)
- ทำงานร่วมกับทีมสื่อดิจิทัล (กลุ่มญาติธรรม) อาทิ ช่วยดูแลและปรับปรุงข้อมูลในเว็บไซต์ และเฟซบุคเพจ ที่เผยแผ่ธรรมะจากพระอาจารย์ชยสาโร และเชื่อมโยงงานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารองค์กรฯ โรงเรียนทอสี และโรงเรียนปัญญาประทีป อาทิ ช่วยเหลืองานวีดิทัศน์ในส่วนการปฏิบัติธรรมที่โรงเรียน

หมายเหตุ:
- ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ทั้ง Mac และ PC
- ทักษะในการจัดการหรือแปลงไฟล์เสียงและตัดต่อวีดีทัศน์ และความรู้ภาษาอังกฤษระดับใช้งานได้ดีจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

-----------------------------------------

๒. เจ้าหน้าที่ IT Support
(ประจำโรงเรียนทอสี เอกมัย กรุงเทพฯ)

คุณสมบัติ:
- เพศชาย / ปริญญาตรีสาขาที่เกี่ยวข้อง อายุ ๒๕ ปีขึ้นไป
- สามารถติดตั้ง ซ่อมบำรุง Hardware/ Software ได้ดี
- มีความชำนาญระบบ Network และฐานข้อมูล เพื่อดูแล Server ประจำโรงเรียน
- มีวินัย อดทนสูง มนุษย์สัมพันธ์ดี

-----------------------------------------

๓. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารองค์กรและชุมชนสัมพันธ์
(ประจำโรงเรียนปัญญาประทีป อ.ปากช่อง)

รายละเอียดงาน:
- ถ่ายภาพนิ่ง บันทึกภาพเคลื่อนไหวกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียน
- ตัดต่อวีดิทัศน์ภาพเคลื่อนไหว จัดการไฟล์เสียง เพื่อเผยแพร่
- ดูแลและจัดการ YouTube และปรับปรุงข่าวสารในเว็บไซต์โรงเรียน (มีระบบ Back Office)
- จัดการไฟล์ภาพ ส่งพริ้นท์ และจัดเก็บภาพกิจกรรมในแฟ้มกิจกรรมของโรงเรียน
- งานต่างๆ ที่หัวหน้างานมอบหมาย อาทิ พิมพ์บทความ สแกนชิ้นงาน ไรท์ซีดี/ดีวีดี ฯลฯ

คุณสมบัติ:
- ชาย/หญิง อายุไม่เกิน ๓๕ ปี
- จบการศึกษาในสายงานนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ หรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง หรือมีประสบการณ์รับผิดชอบงานในด้านนี้มาก่อน จะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ
- ใช้งานโปรแกรมเกี่ยวกับกราฟิก ตัดต่อวีดีโอ, ACDsee, Microsoft Office และ ใช้งาน YouTube ได้ดี
- มีทักษะในการเขียนข่าว การถ่ายภาพเบื้องต้น จัดองค์ประกอบภาพได้ดี
- มีใจรักงานบริการและอำนวยความสะดวก สื่อสารได้ดีอย่างเป็นกุศล
- สนใจในการพัฒนาและฝึกฝนจิตใจตนเอง

-----------------------------------------

ตำแหน่งอื่นๆ ที่โรงเรียนทอสีและโรงเรียนปัญญาประทีปกำลังเปิดรับสมัคร:
http://thawsischool.com/school/job.html
http://panyaprateep.org/wp/?page_id=170

-----------------------------------------

เอกสารประกอบการสมัคร:
รูปถ่ายหน้าตรง ขนาด ๑ นิ้ว ๑ รูป
สำเนาบัตรประชาชน
สำเนาทะเบียนบ้าน
สำเนาวุฒิการศึกษาและเกียรติบัตรต่างๆ
หลักฐานการรับราชการทหาร หรือ เรียนรักษาดินแดน (ชาย)

-----------------------------------------

การสมัคร:

- ตำแหน่งงานของโรงเรียนทอสี ส่งเอกสารการสมัครที่ teacherlife@thawsischool.com หรือ โทร. ๐๒-๗๑๓๐๒๖๐-๑ ต่อ ๑๐๗ , ๐๘๐-๙๙๘๕๕๕๔ , ๐๘๓-๐๐๙๗๗๓๓ (ครูใหม่)
*ยกเว้นตำแหน่งเจ้าหน้าที่ดูแลจัดการและเผยแผ่สื่อธรรมะดิจิทัล ส่งเอกสารการสมัครที่ info@thawsischool.com หรือ โทร. ๐๒-๗๑๓๐๒๖๐-๑ ต่อ ๒๒๒ (ครูหยก)

- ตำแหน่งงานของโรงเรียนปัญญาประทีป ส่งเอกสารการสมัครมาที่ krunew.panyaprateep@gmail.com หรือ โทร. ๐๘๗-๙๔๖๖๑๐๐, ๐๘๙-๑๑๒๒๒๖๖ (ติดต่อครูนิว)

อานาปานสติ ที่สวนโมกข์กรุงเทพ


อานาปานสติ ที่สวนโมกข์กรุงเทพ

อานาปานสติ หมายถึง สติกำหนดอารมณ์ทุกลมหายใจเข้าออก ซึ่งอานาปานสติ ที่พระพุทธองค์แนะนำ มีอารมณ์ อยู่ ๑๖ อย่าง แบ่งเป็น ๔ หมวด คือ หมวดกาย หมวดเวทนา หมวดจิต หมวดธรรม

วันพุธและพฤหัส ช่วงเย็น ๆ ขอเชิญท่านที่สนใจ
ฝึกปฏิบัติอานาปานสติ กับเสียงท่านพุทธทาส
ณ ห้องนิพพานชิมลอง ชั้น 2

16.00 - 17.00 น. สนทนาธรรม สอบถาม
17.00 - 18.30 น. ภาวนาอานปานสติ 16 ขั้น

สามารถมาร่วมกิจกรรมช่วงใดช่วงหนึ่งได้ตามสะดวก
จัดโดย ธรรมะภาคี กลุ่มอยู่เย็นเป็นประโยชน์
สอบถามได้ที่ คุณ สุรชัย ๐๘ ๙๑๕๕ ๕๖๓๕

รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จาก http://www.bia.or.th/new/index.php/events/activity-details/66-activity-detail/449-meditation

ขอเชิญร่วมทำบุญเพื่อช่วยเหลือดับไฟป่า


ขอเชิญร่วมทำบุญเพื่อช่วยเหลือดับไฟป่าที่วัดพระบรมธาตุดอยผาส้มและพื้นที่ป่ารอบๆ วัด ในเขตตำบลยั้งเมินและตำบลแม่สาบ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่

ชื่อบัญชี "วัดพระบรมธาตุดอยผาส้ม (กองทุนป้องกันหมอกควันไฟป่า)"
ธนาคารกรุงไทย สาขาแม่ริม เลขที่ 515-0-26661-2

Account “Wat Barom Tat Doi Pha Som (Forest Fire Smoke & Prevention Funding)”
Krungthai Bank, Mae Rim Branch, Account No. ”515-0-26661-2″

ขออนุโมทนาบุญมา ณ ที่นี้ค่ะ

แม่ใครกันหนอ


แม่ใครกันหนอ



๐ แม่จ๋าแม่นี่แม่ใครกันหนอ น้ำตาคลอสงสารแท้แม่ร่ำไห้

ชีวิตแม่ขาดลูกน้อยกล่อมฤทัย ลมหายใจแม่สิ้นไร้ใครดูแล

๐ โอ้อาลัยหญิงแก่ชะแรวัย ลูกชั่วช้าสาไถยไม่แยแส

ชีพดับดิ้นข้างถนนไร้คนแคร์ ร่างหญิงแก่แม่เฒ่านี้แม่ใคร

๐ แม้นชีวิตแม่ดับดิ้นตามกงกรรม ลูกระยำปล่อยทิ้งแม่ได้ไฉน

แม่ก่อกำเนิดร่างกายและจิตใจ แต่ลูกมีสิ่งใดตอบแทนพระคุณ

๐ มองร่างไร้วิญญาณของแม่เฒ่า ทุกข์คลอเคล้าน้ำตารินใจหมองขุ่น

อันสังขารสิ้นลมหายใจใครการุณย์ โปรดทำทานเจือจุนแม่เฒ่าที

๐ แม่จ๋าแม่นี่แม่ใครกันหนอ อ้อนวอนขอความเห็นใจร่างแม่นี้

โดนลูกชั่วเหยียบหยามและย่ำยี ตายเป็นผีเราจงแผ่เมตตาเทอญ



(ขอไว้อาลัยและอุทิศผลบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำแด่ร่างไร้วิญญาณและวิญญาณแม่เฒ่านี้เทอญ)



ขอน้อมคารวะจากใจ

“ทรชนบ้านนอก”

ที่มาhttp://www.thaipoet.net/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&Category=thaipoetnet&thispage&No=1371739&WBntype=1

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

“มะหาด” เป็นสมุนไพรไทยที่ยอมรับกันในวงการความงามไทยมาหลายปีแล้ว




“มะหาด” เป็นสมุนไพรไทยที่ยอมรับกันในวงการความงามไทยมาหลายปีแล้ว ว่ามีสรรพคุณทำให้ผิวขาวขึ้นจริง โดยไม่ต้องใช้สารตั้งต้นทำให้ผิวขาวจากเมืองนอก ปัจจุบันมีผู้ผลิตมะหาดเป็นครีม โลชั่น สบู่ฯลฯ ที่ใช้แล้วทำให้ผิวขาวขึ้น บางยี่ห้อถึงกับเขียนฉลากว่า “สูตรขาวเร่งด่วน” หลายคนคงสงสัยว่าจริงหรือไม่ วันนี้ ชีวอโรคยา จึงค้นคว้าข่าวเก่าๆ มาให้อ่านกัน เพื่อความสบายใจที่จะใช้เครื่องประทินโฉมจาก “มะหาด” หรือ “แก่นมะหาด” โดยแนะนำให้เลือกซื้อยี่ห้อที่มี อย. นะคะ

เภสัชศาสตร์ จุฬาฯ พบสูตรสมุนไพรไทย “แก่นมะหาด” ลดความเข้มของเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง มีผลทำให้ผิวขาวได้ ปลอดภัยและไม่ทำให้ระคายเคืองผิว

รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ และ รศ.ดร.ภาคภูมิ เต็งอำนวย อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งศึกษาวิจัย “สมุนไพรช่วยให้ผิวขาวจากแก่นมะหาด” ผลการทดลองพบว่ามะหาดมีประสิทธิภาพในการลดความเข้มของสีผิวในหนูตะเภา ต่อมาได้ทำการศึกษาในอาสาสมัครจำนวน 4 คน โดยทาสารสกัดจากแก่นมะหาดที่แขนวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ และทำการวัดค่าความเข้มของสีผิวด้วยเครื่อง Mexameter พบว่าแขนที่ทาด้วยสารสกัดจากแก่นมะหาดมีแนวโน้มให้ค่าความเข้มของสีผิวลดลง

นอกจากนี้ ยังไม่มีอาการแพ้หรือระคายเคือง ในที่สุดผู้วิจัยได้ศึกษาในอาสาสมัครจำนวนมากขึ้น คือ 60 คน ในระยะเวลา 12 สัปดาห์ โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 20 คน เป็นเพศหญิง อายุ 20–48 ปี มีสภาพผิวหนังปกติ จากการทาสารสกัดที่ต้นแขนของอาสาสมัครวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจากชะเอมและกรดโคจิก ผลการทดลองพบว่ากลุ่มอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจากมะหาด จะมีผิวขาวขึ้นเรื่อย ๆ ความขาวของสีผิวจะเห็นผลในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์ และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมีนัยสำคัญตามระยะเวลาที่ทำการทดลอง

นอกจากนี้ ยังไม่พบอาการแพ้หรือระคายเคืองผิวแต่อย่างใด ในขณะที่สารสกัดจากชะเอมและกรดโคจิกให้ผลในการทำให้ผิวขาวในระยะเวลาที่นานกว่า คือ 10 และ 8 สัปดาห์ตามลำดับ

เครดิต: ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 5 ธ.ค. 2545
ภาพ : จากอินเตอร์เน็ต
*****************************************

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

หากมีปัญหาหรือความไม่ถูกต้อง ก็ควรหาทางแก้ไขเท่าที่เหตุปัจจัยอำนวย


หากมีปัญหาหรือความไม่ถูกต้อง
ก็ควรหาทางแก้ไขเท่าที่เหตุปัจจัยอำนวย
แต่ไม่ควรทำด้วยความคับแค้น
ความโกรธ หรือความทุกข์ใจ
เพราะใจที่เป็นทุกข์นั้น
นอกจากไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว
ยังเป็นการเบียดเบียนตนเอง

จิตที่มีอารมณ์ดังกล่าว
พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า
เป็นจิตที่ถูกประทุษร้าย

จะดีกว่าหากวางใจให้เป็นปกติ
ขณะที่กำลังแก้ไขปัญหา
พูดง่าย ๆ คือ “ทำจิต” ควบคู่กับ “ทำกิจ”

พระไพศาล วิสาโล

ที่มา http://www.facebook.com/visalo?fref=ts

เมื่อหัวใจเต้นครั้งที่ 15,000,000,000


เมื่อหัวใจเต้นครั้งที่ 15,000,000,000
หากบอกว่าตัวเลข 15,000,000,000 คืออายุขัยของดวงอาทิตย์ของเรา ย่อมถูกต้อง หากบอกว่า 15,000,000,000 คืออายุปัจจุบันของจักรวาล ก็พอรับได้ เพราะตัวเลขใกล้เคียง

แต่หากบอกว่า 15,000,000,000 คือจำนวนครั้งการเต้นของหัวใจทั้งชีวิตของสัตว์แทบทุกชนิดในโลกนี้ จะเชื่อไหม?

จำนวนครั้งการเต้นของหัวใจทั้งชีวิตของสัตว์แทบทุกชนิดในโลกนี้? ล้อเล่นหรือเปล่า? ในเมื่อสัตว์ต่างๆ ในโลกมีอายุต่างกัน ขนาดต่างกัน...

หามิได้ ไม่ได้ล้อเล่น! นี่เป็นทฤษฎีที่มาจากการวิจัยอัตราเต้นของหัวใจ ขนาดของหัวใจ และอัตราการเผาผลาญพลังงาน (metabolism) ของสัตว์โลกชนิดต่างๆ จนได้ข้อสรุปว่า ในช่วงหนึ่งชีวิตของสัตว์ส่วนใหญ่ในโลก หัวใจของสัตว์แต่ละชนิดเต้นหนึ่งหมื่นห้าพันล้านครั้งโดยประมาณ (ตัวเลขแตกต่างกันบ้าง ราว 10,000,000,000 - 15,000,000,000 ครั้ง)

หนูอายุยาว 3 ปี หัวใจเต้นตลอดชีวิตของมัน 15,000,000,000 ครั้ง วาฬอายุ 130 ปี หัวใจเต้นตลอดชีวิตของมัน 15,000,000,000 ครั้งเท่ากัน

ความแตกต่างคือ หัวใจหนูเต้นเร็วมาก (450 ครั้งต่อนาที) ส่วนหัวใจของวาฬเต้นช้ากว่าหนูมาก (10 ครั้งต่อนาที)

ส่วนมนุษย์เรา อายุเฉลี่ย 70 ปี หัวใจเต้นประมาณ 60-70 ครั้งต่อนาที คำนวณตลอดชีวิต 15,000,000,000 ครั้งเช่นกัน

นี่คือสถิติที่วิจัยมา :

กระต่าย อายุเฉลี่ย 9 ปี หัวใจเต้น 205 ครั้งต่อนาที
หนู 3 ปี 450 ครั้ง
แมว 15 ปี 150 ครั้ง
หมา 15 ปี 90 ครั้ง
หมู 25 ปี 70 ครั้ง
ม้า 40 ปี 44 ครั้ง
ช้าง 70 ปี 30 ครั้ง
วาฬ 80-130 ปี 10 ครั้ง
ฯลฯ

การคำนวณนี้มีรากมาจากงานศึกษาของนักเคมีชาวสวิส แม็กซ์ ไคเบอร์ (Max Kleiber) ในปี 1932 เรียกว่า Kleiber’s law

ไคเบอร์พบสูตรว่า สัตว์ส่วนใหญ่ในโลกมีอัตราพลังงานเผาผลาญต่อหน่วยน้ำหนักเป็นสัดส่วนกับมวลของสัตว์นั้นยกกำลัง 3/4 ยกตัวอย่างเช่น แมวมีมวลมากกว่าหนูร้อยเท่า จะมีอัตราเผาผลาญพลังงาน (metabolism) มากกว่าหนูราว 31 เท่า

ในแต่ละนาที หัวใจออกแรงบีบเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ให้อยู่ต่อไปได้ แรงบีบและจำนวนครั้งแตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมของโครงสร้างร่างกาย

พูดง่ายๆ คือ อัตราเต้นหัวใจเป็นตัวกำหนดอัตราเผาผลาญพลังงานของร่างกาย อายุของสัตว์ถูกกำหนดมาจากความต้องการพลังงานของเซลล์ มีสัดส่วนต่ออัตราเต้นของหัวใจ

เซลล์ของสัตว์โลกมีขนาดพอๆ กัน ไม่แตกต่างมาก สัตว์ขนาดใหญ่กว่ามีจำนวนเซลล์มากกว่า และอัตราเต้นของหัวใจลดลง อายุก็ยิ่งยาวขึ้น มนุษย์เมื่อยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์แม่ หัวใจเต้นเร็วมากประมาณ 100-180 ครั้งต่อนาที และลดลงราวครึ่งหนึ่งเมื่อโตขึ้น

ทฤษฎีนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่สำหรับเราๆ ไม่ว่าทฤษฎี 15,000,000,000 ครั้งถูกหรือผิด ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นคือเราจะใช้จำนวน ‘15,000,000,000 ครั้ง’ นี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุดหรือไม่ และอย่างไร?

หัวใจของเราทุกคนทำงานหนักทั้งชีวิต ไม่มีวันหยุด เพื่อให้เรามีกำลังทำงาน ทำกิจกรรมต่างๆ

สมมุติว่าหัวใจของเราเต้นทั้งชีวิต 15,000,000,000 ครั้งจริง ลองถามตัวเองดูว่า เราใช้ประโยชน์จาก 15,000,000,000 ครั้งนี้กี่ครั้ง?

หักลบกิจกรรมที่ไม่มีคุณค่าออกไปแล้ว บางคนอาจแปลกใจที่ใช้ประโยชน์จากหัวใจของตัวเองไม่ถึงครึ่งเดียว บ้างไม่ถึงเสี้ยวเดียว

สูบบุหรี่หนึ่งตัว = หัวใจเต้น 300 ครั้ง
ตั้งวงกินเหล้าหนึ่งกลม = หัวใจเต้น 16,800 ครั้ง
คุยโทรศัพท์ + แช็ต + เฟซบุ๊คทั้งวัน = หัวใจเต้น 16,800 ครั้ง
ทะเลาะกับชาวบ้าน = หัวใจเต้น 1,400 ครั้ง
ดูชาวบ้านทะเลาะกัน = หัวใจเต้น 700 ครั้ง
นินทาชาวบ้านหนึ่งเรื่อง = หัวใจเต้น 700 ครั้ง
ฟังชาวบ้านนินทากัน = หัวใจเต้น 1,400 ครั้ง
เขียนด่าชาวบ้านในเว็บไซต์ = หัวใจเต้น 2,100 ครั้ง
อ่านชาวบ้านเขียนด่ากันในเว็บไซต์ = หัวใจเต้น 2,100 ครั้ง

คราวนี้ลองคูณจำนวนวัน เดือน ปีเข้าไป จะรู้ว่าเราเสียแรงหัวใจไปเท่าไรกับแต่ละกิจกรรมตลอดชีวิต

บางคนใช้แรงหัวใจเหนื่อยเปล่าในการทำกิจกรรมที่ไม่มีค่าอะไรต่อชีวิต หัวใจเต้นเหนื่อยเปล่าในการทำตัวเกเร ทำให้พ่อแม่เสียใจ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไปจนถึงเป็นมารสังคม ทำร้ายแผ่นดินของตัวเอง

พูดสั้นๆ คือหัวใจเต้นเหนื่อยฟรี เสียแรงเปล่าๆ ปลี้ๆ

ญาติมิตรหลายคนของผมเป็นโรคหัวใจร้ายแรง คนเหล่านี้หายใจแต่ละครั้งด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่ละวันอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ญาติคนหนึ่งไม่สามารถนอนหงายได้ เพราะหัวใจเจ็บ ต้องนั่งหลับเท่านั้น

พวกเขาอยากมีชีวิตต่อ อยากทำเรื่องต่างๆ มากมาย อยากอยู่กับคนที่รัก แต่พวกเขาทำไม่ได้ เพราะหัวใจหมดสภาพ จากโลกไปก่อนกำหนด

เห็นคนอยากมีชีวิตเหล่านี้แล้วเสียดายเวลาแทนคนมีชีวิตที่ไม่มีชีวิต!

น่าเสียดายที่คนมีหัวใจสมบูรณ์ไม่ใช้แรงเต้นของหัวใจให้เป็นประโยชน์เต็มที่

สัตว์อย่างหนู กระต่าย มีเวลาสั้นกว่าเรามาก แต่พวกมันแทบไม่มีเวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ใช้แรงเต้นของหัวใจขับเคลื่อนชีวิตอย่างคุ้มค่ากว่ามนุษย์จำนวนมาก

ทฤษฎี 15,000,000,000 ครั้งที่เราควรสนใจคือ เราจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร

อย่าลืมว่า ทุกครั้งที่เสียเวลาทำเรื่องไร้ประโยชน์ เรากำลังใช้แรงหัวใจของเราอยู่

เรามีทางเลือกเสมอ จะเลือกให้หัวใจเต้นฟรีโดยเปล่าประโยชน์ หรือจะเลือกทำอะไรสักอย่างสองอย่างที่เมื่อหัวใจเต้นถึงครั้งที่ 15,000,000,000 เรามองชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมด และสามารถเอ่ยว่า “มันเป็นชีวิตที่ดี”

ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?ref=stream

15 วิธีดูแลอาหารการกินหน้าร้อน


15 วิธีดูแลอาหารการกินหน้าร้อน
ปรกติร่างกายเราต้องการอาหารครบ 5 หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ผลไม้-ผักสด น้ำ และเกลือแร่ แต่สภาพอากาศร้อนมากๆ เราควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน ความร้อนยังทำให้ร่างกายเสียเหงื่อมากเพื่อระบายความร้อน เราจึงต้องทดแทนด้วยน้ำและเกลือแร่ วันนี้เรามีวิธีดูแลตัวเองในเรื่องอาหารการกินง่ายๆ ดังนี้คือ

1.อาหารที่เราควรกินในหน้าร้อน คือ แกงส้ม ต้มยำ ต้มโคล้ง หรือยำประเภทต่างๆ
2.ควรทำน้ำแข็งเองจากน้ำต้มหรือน้ำกรอง
3.ไม่ควรเก็บกับข้าวไว้นอกตู้เย็น
4.อาหารสดต้องเก็บในตู้เย็น ควรล้างให้สะอาดก่อนเก็บในตู้เย็น เพราะความเย็นไม่ได้ฆ่าเชื้อ เพียงแต่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคเท่านั้น
5.พยายามกินอาหารให้ตรงเวลา
6.อุปกรณ์ที่ใช้ในการปอกหรือหั่นอาหารที่จะกินสดๆ หรือต้มสุกแล้ว ต้องล้างให้สะอาด และเก็บในภาชนะที่สะอาดปราศจากแมลงต่างๆ ที่เป็นพาหนะของเชื้อโรค
7.เนื้อสัตว์ที่นำมาปรุงอาหารไม่ควรเป็นชนิดที่สุก ๆ ดิบ ๆ
8.กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ควรลดไขมันทุกชนิด
9.ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังกินอาหารทุกมื้อ
10.น้ำมะตูม เป็นเครื่องดื่มโบราณที่นิยมดื่มในหน้าร้อน เพราะนอกจากจะมีกลิ่นหอมชื่นใจช่วยแก้กระหายแล้วยังมีสรรพคุณ ในการทำลายเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วง
12.น้ำยาอุทัยที่เคยนิยมเหยาะใส่น้ำเย็นดื่มแล้วชื่นใจ มีสรรพคุณเช่นเดียวกับน้ำมะตูม
13.หากอ่อนเพลีย ให้ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนสดๆ จากลูก จะช่วยเพิ่มพลังได้มาก เพราะน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นน้ำเกลือแร่บริสุทธิ์จากธรรมชาติ ขนาดที่องค์การอาหารโลกยังประกาศยอมรับ
14.หากอยากกินขนมหวาน ควรกินขนมหวานประเภทผลไม้ลอยแก้วที่ไม่ใส่กะทิหรือนมสด
15.เลือกซื้ออาหารปรุงสำเร็จที่ปรุงสดๆ ใหม่ๆ จากร้านค้าที่สะอาด

สรุปคือ เพื่อหลีกเลี่ยงโรคที่มากับหน้าร้อน ส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เพราะอุณหภูมิในหน้าร้อนเป็นอุณหภูมิที่เชื้อโรคชอบเป็นพิเศษ และเจริญเติบโตได้รวดเร็ว อาหารที่ปรุงเสร็จแล้วถ้าไม่เก็บให้ถูกต้องจะเสียเร็ว โดยเฉพาะอาหารที่ใช้กะทิเป็นส่วนประกอบ ไม่ใช่แต่อาหารที่ปรุงเสร็จแล้วอย่างเดียว อาหารสดก็จะเสียเร็วกว่าปกติ เพราะอาหารสดส่วนใหญ่จะต้องเก็บในอุณหภูมิต่ำ นอกจากอาหารแล้วเครื่องดื่มก็สำคัญ โดยเฉพาะน้ำแข็ง ยิ่งร้อนมากเท่าไรยิ่งอยากกินน้ำแข็งมากขึ้นเท่านั้น น้ำที่นำมาทำน้ำแข็งหรือภาชนะที่บรรจุอาจไม่สะอาด และหน้าร้อนเรามักมีอาการเบื่ออาหาร เวลาอากาศร้อนมากๆ จะทำให้คนเราเบื่ออาหาร กินไม่ลง กินไม่เป็นเวลา กินอาหารผิดประเภท วิธีง่ายๆ ที่บอกมานี้จะช่วยทำให้เราห่างไกลจากโรคยอดนิยมในหน้าร้อนนี้ได้พอสมควรนะคะ

เครดิต: เรียบเรียงจาก www.cbh.moph.go.th/source/knowledge/2550-04/hot.html

วิธีหนึ่งในการผลิตไม้ผลรสชาตหวานฉ่ำ


อีกวิธีหนึ่งในการผลิตไม้ผลรสชาตหวานฉ่ำ ขายได้ราคา เพียงพรวนดินรอบทรงพุ่ม+ราดกากน้ำตาล 1-3 กก. /ต้น แล้วรดน้ำตาม ก่อนเก็บเกี่ยว 1 เดือน
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 25 มี.ค.2556

การปลูกหญ้าแฝก


การปลูกหญ้าแฝก / ผักตบชวาในบ่อปลา-บ่อกบที่เป็นบ่อซีเมนต์ จะช่วยดูดซับของเสียจากบ่อมาเป็นอาหารและบำบัดน้ำในบ่อได้เป็นอย่างดี
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 25 มี.ค.2556

เปลี่ยนบอระเพ็ดระขม ไม่ให้ขม


เปลี่ยนบอระเพ็ดระขม ไม่ให้ขม จนคนรุ่นใหม่หันมานิยมทานแก้ไข้หรือเป็นยาอายุวัฒนะได้ เพียงแค่ทานมะเขือพวงสด 3-4 ลูกก่อนทานบอระเพ็ดเท่านั้นเอง
จาก SMS FArmerInfo by DTAC - 09 มีค 2556

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

ควรระวัง! 10 อาหารจานอันตรายในหน้าร้อน


ควรระวัง! 10 อาหารจานอันตรายในหน้าร้อน
ขอต้อนรับอากาศร้อนๆที่กำลังจะมาถึงช่วงเมษานี้ ด้วยการพาผู้อ่านไปรู้จักกับ 10 อาหารจานอันตราย รวมทั้งข้อควรระวังเกี่ยวกับอาหารในหน้าร้อน จะมีเมนูไหนบ้างตามไปเลย

1.ส้มตำ เมนูนี้ ใครๆ ก็รู้ว่าฮิตกันแค่ไหน แต่ถ้าไม่สะอาดรับรองว่าอาจทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วง หรืออาหารเป็นพิษกันได้ง่ายๆ จะว่าไปส้มตำตามร้านทั่วๆ ไป ส่วนใหญ่รสชาติก็จัดจ้านถึงใจกันอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นร้านส้มตำข้างทางที่ไม่สะอาด หรือปรุงไม่ถูกสุขอนามัย เช่น ปลาร้าไม่ต้มสุก มีแมลงวันตอม ใส่ปูดองไม่สดสะอาด หรือมีเชื้อโรคปนเปื้อนก็ยิ่งน่าเป็นห่วง ก่อนซื้อร้านไหนตัดสินใจให้รอบคอบก่อนนะ

2.อาหารทะเล ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์อาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) มาแล้ว เพราะกินอาหารทะเลที่ปนเปื้อนเข้าไป จึงรู้ว่าทรมานแค่ไหน ช่วงร้อนๆ แบบนี้ ถ้าอยากกินอาหารทะเลจึงควรปรุงให้สุก และหากจะไปทานตามชายทะเลก็ควรเลือกให้ดีว่าสด สะอาดหรือไม่ หากสงสัย ไม่ควรเสี่ยงเป็นอันขาด โดยเฉพาะอาหารทะเลจำพวกหอยที่มักปรุงแบบสุกๆ ดิบๆ ควรเลี่ยง

3.อาหารหมักดอง ในช่วงร้อนๆ แบบนี้ ขอแนะนำให้เลี่ยงอาหารหมักดอง โดยเฉพาะอาหารหมักดองที่ขายตามท้องตลาด เพราะอากาศร้อนมากๆ ทำให้เชื้อโรคเติบโตได้ดี เช่น ยีสต์และเชื้อรา เช่น จากกะปิ แหนม ปลาร้า เมื่อกินเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วง อาเจียน นอกจากนี้ ถ้ามีเชื้อไวรัสก็อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ โดยเฉพาะในแหนม นอกจากจะมีโอกาสได้รับพยาธิตัวตืดแล้ว ยังอาจได้รับสารพิษที่มีชื่อว่า ไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วยหากมีการเติมสารไนไตรต์หรือดินประสิวลงไป

4.ข้าวราดแกง ใครก็รู้ว่าข้าวราดแกงนั้นต้องทำในปริมาณมากๆ แล้วราดข้าว หรือแบ่งขาย ถ้าทำใหม่ๆ ก็โชคดีไป แต่หากทำแล้วไม่มีคนซื้อ เมื่อบวกกับอากาศร้อน แมลงวันตอม ก็อาจทำให้อาหารเน่าบูดหรือเสียได้ นอกจากนี้ ในซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านค้าที่ขายอาหารไม่หมดมีการนำอาหารถุงมาวางขายในช่วงเย็นๆ อย่าเห็นแก่ราคาถูกแล้วรีบซื้อขอให้ดูดีๆ ก่อน

5.อาหารกระป๋อง ไม่เฉพาะหน้าร้อนนะที่อาหารกระป๋องจะทำพิษให้ท้องเราได้ ช่วงอื่นๆ ก็เป็น หากอาหารกระป๋องนั้นหมดอายุ บู้บี้ผิดรูป ก็ไม่ควรซื้อ ที่สำคัญ ซื้อไปแล้วหากกินไม่หมดไม่ควรเก็บไว้นาน เพราะอาจมีแมลงวันตอมหรือเชื้อโรคตามอากาศที่เข้าไปปะปนได้ในภายหลัง

6.ยำ อาหารเมนูยำก็เช่นเดียวกับเมนูอื่นๆ ที่มักจะมีอันตรายแฝงอยู่หากปรุงไม่ได้มาตรฐาน เพราะวัตถุดิบที่ใช้ เช่น กุ้ง หมูสับ มะเขือเทศ ฯลฯ ที่แม่ค้าเตรียมไว้อาจเสียได้ง่ายกว่าในช่วงอื่น
เมื่อเรากินเข้าไปอาจทำให้ท้องเสียได้ง่ายๆ จึงควรระวังเมนูนี้เช่นกัน

7.ลาบ ก้อย น้ำตก พล่า อาหารประเภทนี้ส่วนใหญ่จะปรุงแบบสุกๆ ดิบๆ ทำให้อาจมีเชื้อโรคปนเปื้อน เช่น เนื้อสัตว์ที่ย่างยังไม่สุกจะมีตัวอ่อนของพยาธิติดมา เนื้อหมูและเนื้อวัวอาจพบตัวอ่อนของพยาธิตัวตืด เนื้อหมูป่า หากไม่ปรุงให้สุกอาจจะเจอตัวอ่อนของพยาธิตัวกลมไทรชิเนลลา สไปเรลีส (Trichinella spiralis) ส่วนปลาและกุ้งน้ำจืดก็อาจเป็นพาหะนำโรคพยาธิตัวจี๊ดมาสู่คนได้ ยิ่งร้อนๆ แบบนี้โอกาสเสี่ยงต่ออาหารที่ไม่สด สะอาด ก็ยิ่งมีมากขึ้น

8.ซูชิ ถ้าหากวางขายในร้านที่เชื่อถือได้ก็น่าจะวางใจ แต่หากวางขายในตลาดนัด ซึ่งเราไม่รู้ว่าคนขายนำวัตถุดิบมาจากแหล่งผลิตใด วัตถุดิบคืออะไร ยิ่งมาวางขายใกล้ถนนที่ฝุ่นฟุ้งกระจาย บวกกับอากาศร้อนๆ เมื่อของสดบวกกับความร้อนและเชื้อแบคทีเรียในอากาศผู้ที่ซื้อไปกินก็อาจมีอาการท้องร่วง ท้องเสียตามมา

9.เอแคลร์-ลูกชุบ หรือขนมที่มีการปั้นๆ ถูๆ ประเภทนี้ก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะเราไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังการทำนั้นเป็นอย่างไร โดยเฉพาะสุขอนามัยในช่วงหน้าร้อนแบบนี้ อาจมีสิ่งปนเปื้อนมากกว่าเราคิดเสียอีก ที่สำคัญ สีที่ใส่ผสมลงไปในอาหาร ที่อาจไม่ใช่สีผสมอาหารที่ผ่านการรับรอง กินเข้าไปก็เตรียมใจรับสารตะกั่วได้เลย

10.สลัด แม้ว่าเราจะสนับสนุนให้คนหันมากินผักกันมากๆ เพราะจะช่วยลดอัตราเสี่ยงโรคมะเร็ง รวมทั้งบำรุงสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะผักผลไม้มีสารแอนติออกซิแดนท์จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ผักสลัด เช่น ผักกาดต่างๆ กะหล่ำปลี มีโอกาสพบเชื้อโปรโตซัวได้หลายชนิด บางชนิดก็เป็นสาเหตุของโรคท้องร่วง เช่น เชื้อซัลโมเนลลา เป็นเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ทั้งเรื้อรังและรุนแรง นอกจากนี้ อาจพบไข่ของพยาธิหลายชนิด เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิแส้ม้า รวมทั้งไข่ของพยาธิตัวตืดอีกด้วย ผักทุกชนิดที่จะกินจึงจำเป็นต้องล้างให้สะอาดเสียก่อน

หน้าร้อนนี้ จึงควรระมัดระวังเรื่องอาหารการกินให้มากที่สุด ตั้งแต่เลือกอาหารที่จะกินล้างมือให้สะอาดก่อนกิน อุ่นอาหารให้ร้อนก่อนกิน ฯลฯ เพราะหากพลาดพลั้งอาจถูกหามเข้าโรงพยาบาลหรือมีอาการเรื้อรังจากเชื้อโรคและปรสิตต่างๆ ตามมาได้...จะกินอะไรก็ระมัดระวังให้มากด้วยนะ

เครดิต: หน้าพิเศษ Hospital Healthcare นสพ.มติชน
ภาพ: จากอินเตอร์เน็ต

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

"ขายตรงเป็นสัมมาอาชีวะหรือไม่"


"ขายตรงเป็นสัมมาอาชีวะหรือไม่"

Pichet Chan – นมัสการพระคุณเจ้า กระผมอยากสอบถามว่า ถ้าเราทำธุรกิจ MLM หรือ ขายตรงหลายชั้น เป็นอาชีพที่ถูกต้อง เหมาะสมตาม แนวทางพระพุทธศาสนาหรือปล่าวครับ กระผมกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ด้วยความเคารพ

พระไพศาล วิสาโล - อาชีพขายตรงนั้นมิใช่อาชีพที่ผิดกฎหมาย หากเป็นสัมมาอาชีวะ หากคุณมีความซื่อตรงกับลูกค้า ให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน ไม่หลอกลวง ก็ถือว่าถูกธรรม ขึ้นชื่อว่าสัมมาอาชีวะ หากทำอย่างถูกต้อง ไม่ก่อให้เกิดการเบียดเบียนแก่ผู้ใด ก็ถือว่าถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา

ที่มา http://www.facebook.com/visalo?fref=ts

เมื่อจิตมันเพลินทางด้านปัญญาแล้วส่วนมากจิตมันยังไม่อยากเข้า สมาธิ


เมื่อจิตมันเพลินทางด้านปัญญาแล้วส่วนมากจิตมันยังไม่อยากเข้า สมาธิ เมื่อมันไม่เข้าสมาธิจริงๆ เอาคำบริกรรมติดเข้าไปคือให้มันอยู่ ในอารมณ์เดียว ถ้าออกจากนี้ปั๊บมันจะพุ่งออกด้านปัญญาเพราะ ฉะนั้นจึงให้ยับยั้งเข้ามาสู่สมาธิด้วยคำบริกรรม เช่นพุทโธ หรือคำ บริกรรมใด ที่เราเคยสนิทติดกับจริตนิสัยของเราให้สติจ่ออยู่กับคำ บริกรรมอย่างเดียว แล้วจิตก็จะค่อยสงบแน่วลงสู่สมาธิ เมื่อเข้าสู่สมาธิ แล้วหยุด การพินิจพิจารณาสิ่งใดทั้งหมดให้พักทั้งหมด เรื่องทาง ปัญญาที่แยกขันธ์ แยกเขาแยกเราแยกทุกส่วนนั้นเป็นเรื่องของ ปัญญาจะพักหมด จิตเข้าสู่สมาธิเพื่อพักเอากำลัง

พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

หน้าที่พื้นฐาน 3 ประการที่พนักงานต้องทำ


หน้าที่พื้นฐาน 3 ประการที่พนักงานต้องทำ
พระพุทธเจ้าตรัสว่ามนุษย์เราเกิดมาเพื่อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามแนวทางที่ทรงสอนไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งมีอยู่ 3 ข้อ ได้แก่ ไม่ทำชั่ว ให้ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ ทีนี้ถ้าเราจะหยิบเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประยุกต์ใช้กับการทำงานในองค์กร ก็สามารถนำมาใช้ได้ดังนี้ การทำงานของพนักงานโดยทั่วไปจะทำหน้าที่สนับสนุนความสำเร็จตามเป้าหมายกลยุทธ์ขององค์กร และมีส่วนร่วมในการส่งมอบคุณค่าของผลิตภัณฑ์และบริการให้แก่ลูกค้าไม่ทางตรงก็ทางอ้อม แต่หน้าที่ความรับผิดชอบ 3 อย่างของการเป็นพนักงานที่ดี ก็คือ
1.ทำสิ่งที่ต้องทำให้ดี – ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายให้ครบถ้วนสมบูรณ์สมกับตำแหน่งและบทบาทในองค์กร
2. ทำสิ่งที่แย่ให้เป็นปกติ- แก้ปัญหาในงาน และช่วยเหลือให้ผู้อื่นสามารถทำผลงานได้ดี กำจัดข้อบกพร่องในกระบวนการ
3. ทำสิ่งดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น – พัฒนาต่อยอดความก้าวหน้าในงาน คิดค้นสิ่งใหม่ สร้างโนว์ฮาวที่ยกระดับการทำงาน

ตามปกติพนักงานจะทำหน้าที่ข้อ 1 ได้ดี เพราะเป็นงานประจำที่ทำตามปกติ ตามกระบวนการมาตรฐาน และถูกระบุไว้ใน job description ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เข้าใจร่วมกันอยู่แล้วว่าใครทำงานอะไร ส่วนข้อ2 เป็นธรรมชาติของการทำงานย่อมมีปัญหาข้อจำกัดและอุปสรรคความท้าทายมาเป็นบททดสอบอยู่เสมอ แต่ข้อ 3 เป็นสิ่งที่องค์กรคาดหวังจากผู้บริหารมากกว่าพนักงานปฏิบัติการ เพราะแค่ให้คนทำงานได้ตามกรอบการทำงาน ตามระบบที่วางไว้ ก็ยากแล้ว ดังนั้น หาได้น้อยมากที่คนทำงานจะทำหน้าที่ได้ครบ 3 ประการ แม้จะเป็นหลักปฏิบัติที่ฟังดูเข้าใจง่ายก็ตาม
ฉะนั้น ถ้าหากองค์กรไหนสามารถปลูกฝังพนักงานให้มีจิตสำนึกในหน้าที่ 3 อย่างนี้ได้ ย่อมจะทำให้องค์กรมีความได้เปรียบอย่างยั่งยืน เพราะคนทำงานทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง สืบสานความสำเร็จของงานได้อย่างต่อเนื่อง ต่อจากนี้ไปพนักงานจะมี contribution ให้แก่องค์กรได้อย่างคุ้มค่าจ้างเงินเดือน และใครก็ตามที่ปฏิบัติตามหน้าที่ 3 ประการได้อย่างครบถ้วนก็น่าจะเรียกได้่ว่าเป็นคนทำงานมืออาชีพที่ทุกองค์กรปรารถนาไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งหรือสถานะอะไร และย่อมจะส่งผลให้มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างมีนัยสำคัญ
http://humanrevod.wordpress.com/2013/02/15/business-leaders-survey-2012/

ล่อแมลงให้มาตายโดยไม่ต้องฉีดพ่น


นำสำลีก้อน ชุบสารฆ่าแมลงชนิดใดก็ได้ 1 ช้อนชา ใส่ในขวดพลาสติกเจาะรู 1 ซม. 4 ด้าน ปิดฝา ผูกไว้ตามต้นไม้ ช่วยล่อแมลงให้มาตายโดยไม่ต้องฉีดพ่น
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 26 มี.ค.2556

การเจาะต้นกล้วยออกเป็นรู


การเจาะต้นกล้วยออกเป็นรู แล้วนำสำลีชุบกลิ่นสังเคราะห์เช่น ทุเรียน ยัดเข้าไปแล้วปิดด้วยเทปกาว เป็นวิธีเปลี่ยนให้มีกลิ่นต่างๆตามต้องการ
จาก SMS FArmerInfo by DTAC - 07 มีค 2556

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

10 บทบัญญัติขจัดร้อน


10 บทบัญญัติขจัดร้อน
น.พ.กฤษดา ศิราพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่าสภาพอากาศร้อนจัด คนเมืองควรปฏิบัติตนตามบทบัญญัติขจัดร้อนไว้ 10 ข้อดังนี้

1.ควรดื่มให้พอ น้ำเปล่าดีที่สุดขอให้ดื่มไว้เรื่อยๆ มีเทคนิคคือตั้งขวดน้ำไว้หน้าโต๊ะทำงานแล้วปฏิญาณ ว่าวันนี้จะดื่มให้หมดขวด ในท่านที่ชอบออกกำลังฤดูนี้ต้องยั้งพลังไว้บ้างแล้วดื่มน้ำให้มากก่อนลงสนาม

2.รอเข้าวิน ขออย่าเพิ่งเข้าห้องปรับอากาศทุกครั้ง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ให้หาเสื้อไว้เปลี่ยน เผื่อถ้าเดินชื้นเหงื่อมาแล้วต้องเข้าออฟฟิศทำงานเลยจะทำให้ร่างกายเย็นจนเป็นหวัดไม่สบายได้

3.กินให้น้อย การกินอยู่พอสัณฐานประมาณเป็นข้อพึงปฏิบัติอยู่ทุกฤดู โดยเฉพาะหน้าร้อนนี้ขออย่าให้กินอิ่มเกินไปเพราะทำให้อาหารไม่ย่อยและป่วยไข้ได้ ความร้อนทำให้อาหารบูด เสียเร็วไม่เว้นแม้ในกระเพาะลำไส้

4.ค่อยๆ ออก หมายถึงออกกำลังกายให้เพลาลงบ้างในฤดูนี้ มีหลายท่านที่ “ช็อกแดด” ในหน้าร้อนจนช็อกในฟิตเนสกันมาแล้ว การหาเอ็กเซอร์ไซซ์เบาๆ ให้เหมาะกับตัวเราคือไม่เหนื่อยเกินไป ไม่ต้อง อาบเหงื่อต่างน้ำมาก ลดแอโรบิกลง คงไว้แต่ไดนามิกเบาๆอย่างซิตอัพก็ได้

5.บอกถ้าป่วย หากท่านมีโรคประจำตัวอยู่ขอให้คอยระวังไว้เวลาเหนื่อยแล้วต้อง “เพลา” ลงบ้าง เพราะโรคร้ายอย่างสโตรค อัมพฤกษ์ อัมพาต กับโรคหัวใจจะมาถามหาเวลาร้อนจัดจนเลือดแทบเดือดอย่างนี้ หากท่านมีโรคประจำตัวที่ว่าการหารือกับคุณหมอไว้ก่อนให้ปรับยาก็จะดี

6.ช่วยนอนเร็ว การนอนช่วยดับร้อนได้ส่วนหนึ่งคือช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนซ่อมแซมตัวเองหลังจากผจญไอร้อนมาทั้งวัน ความร้อนทำให้ท่านเสียน้ำ หัวใจเต้นเร็วและเสียเกลือแร่ในร่างกาย ตัวเราจะใช้เวลานอนนั้นจะทำให้ตื่นมามีแรง

7.เจลลดไข้ ใช้ได้ในเด็กที่ใกล้จะช็อกแดดหรือดูดซึมลงจากอากาศร้อนเพราะช่วยลดได้ทันใจไม่อันตราย ดีกว่าจับอาบราดน้ำเย็น

8.ไม่กินหวาน อันหน้าร้อนมีผลทำให้อุณหภูมิกายสูงอยู่แล้ว การเร่งให้ร่างกายต้องเผาผลาญอาหารที่อุดมไปด้วยน้ำตาลอีกจะทำให้เกิดอาการป่วยได้ เพราะในของหวานมีน้ำตาลที่ทำให้เกิดกระบวนการ “ไกลเคชั่น (Glycation process)” อันทำให้เกิดเสื่อมอักเสบขึ้น

9.อาหารเย็น เป็นเครื่องดับร้อนที่ดี อาหารที่เหมาะสมคือ แกงส้ม ข้าวแช่ แตงไทยน้ำกะทิ น้ำมะตูม หรือแบบเทศก็มีเฉาก๊วย สมูตตี้แตงโม เก๊กฮวยเย็น ต้มมะระ ฯลฯ

10.เน้นธรรมชาติ คนไทยรุ่นใหม่ใช้แอร์เป็นเครื่องดับร้อนจึงทำให้ยิ่ง “ร้อนใน” เพราะแอร์เป็นอากาศแห้งและเย็นทำให้เกิดอักเสบทางเดินหายใจง่าย ที่ไหนมีแอร์ที่นั่นมีสิทธิ์ป่วย

เครดิต: สสส.
ภาพ: จากอินเตอร์เน็ต
*****************************************

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

บกิจกรรม “เกษตรทำได้” “การประดิษฐ์ว่าว”


ร่วมสนุกกับกิจกรรม “เกษตรทำได้” “การประดิษฐ์ว่าว” การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
ในวันที่ 6 เมษายน 2556 เวลา 09.30 - 12.00 น.

ค่าสมัครร่วมกิจกรรม ครอบครัวละ 250 บาท

พิเศษ!!!!! สมัครวันนี้เป็นต้นไป
รับหนังสือ "คู่มือผักพื้นบ้านอาหารต้านโรค" มูลค่า 50 บาท ฟรี 1 เล่ม ต่อครอบครัว
สมัครร่วมกิจกรรมที่ ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 02-529-1965 หรือ E-mail :
gojumao_crm@hotmail.com
ภายในวันที่ 4 เมษายน 2556

การพัฒนาคุณภาพด้วยความรัก ความเข้าใจ


การพัฒนาคุณภาพด้วยความรัก ความเข้าใจ

เมื่อเราบ่มเพาะสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น เหมือนกับร่างกายที่บ่มเพาะด้วยจิตใจที่ดี ร่างกายก็แสดงออกด้วยการ กระทำที่ดีและมีความสุข การพัฒนาคุณภาพก็เฉกเช่นเดียวกัน ถ้าเราพัฒนาร่วมกันด้วยความรัก ความเข้าใจ ความหวัง การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เอื้อเฟื้อต่อกัน ผลลัพธ์ของการพัฒนาคงไม่หนีไปจากสิ่งที่เราเรียกว่า "ความสุข และความยั่งยืน " เพราะผลการพัฒนาที่เกิดขึ้นได้ประจักษ์แก่ทีมงานแล้วว่านำมาซึ่งความสุขและความสำเร็จ แม้ว่าจะมีปัญหาและอุปสรรคปรากฏบนเส้นทางของการพัฒนาคุณภาพก็ตาม แล้วเราผู้เป็น SHA Facilitator และทีมงานจะมิคำนึงถึงเรื่องนี้หรือครับ...?
โดย Suradet Sri

" อยู่ร่วมกับคนพาลอย่างไรให้มีความสุข "


" อยู่ร่วมกับคนพาลอย่างไรให้มีความสุข "

ปุจฉา - กราบนมัสการพระอาจารย์ ทำอย่างไร ถึงจะอยู่กับคนพาลได้อย่างมีความสุขค่ะ เมื่อคนพาลนั้น มีแต่คำพูดดูถูก ต่อว่า ตำหนิ ติเตียน ผู้อื่นอยู่เสมอ ไม่มีใครดี หรือเก่งในสายตาของคนผู้นี้ ทุกคนแย่หมดเลยค่ะ ขอบพูดจาเสียดสีผู้อื่น ยกตนข่มท่าน แม้ไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาเดือดร้อน บุคคลผู้นี้ก็ยังมองผู้อื่นแย่อยู่ดี ไม่มีน้ำใจ เห็นแก่ตัว และอยากได้ของ ๆ ผู้อื่นอยู่เสมอ เมื่ออยู่ในองค์กรที่มีบุคคลเช่นนี้ เราจะทำใจอย่างไรค่ะ เพราะถูกกระทบอยู่ทุกวันค่ะ

พระไพศาล วิสาโล - ปากของผู้อื่นนั้นเราห้ามไม่ได้ แม้กระทั่งปากของเราเองบางครั้งก็ยังเผลอพูดหลุดออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ดี ดังนั้นเราจึงไม่ควรใส่ใจกับคำพูดของผู้คนมากนัก ควรมองว่าชีวิตของคนเรานั้นสั้นมาก แต่ละวันมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย จึงไม่ควรเสียเวลาและพลังงานไปกับการใส่ใจว่าใครพูดอย่างไร คนพาลนั้นแม้จะพูดจาอย่างไรก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้หากเราไม่มัวสนใจคำพูดของเขาหรือคว้าคำพูดของเขามาทิ่มแทงจิตใจตนเอง ไม่ว่าเขาจะพูดตำหนิเราอย่างไร ต่อว่าเราเป็นหมูเป็นหมาอย่างไร ก็ไม่ได้ทำให้เราเป็นอย่างที่เขาว่าได้เลย เราก็ยังเป็นเราอยู่นั่นเอง แต่ถ้าวางใจไม่เป็น เอาคำของเขามาเป็นอารมณ์ เกิดความโกรธเกลียดเขา ในที่สุดเราอาจเป็นอย่างที่เขาว่าก็ได้

หากคุณยังทำใจไม่ได้ คุณควรพูดตรงไปตรงมากับเขาว่าคุณรู้สึกอย่างไรต่อการกระทำของเขา พฤติกรรมของเขาสร้างความเสียหายแก่คุณอย่างไร ควรพูดอย่างมีสติ อย่าให้ความโกรธเกลียดครอบงำใจคุณ หาไม่จะเกิดผลเสียแก่คุณเอง อันที่จริงแม้คุณทำใจได้แล้ว แต่หากเห็นว่าพฤติกรรมของเขาก่อผลเสียต่อส่วนรวม ก็ควรพูดตักเตือนเขาด้วยเช่นกัน พระพุทธองค์ทรงแนะนำว่า เมื่อจะตักเตือน ควรพูดสิ่งที่เป็นความจริง มีประโยชน์ ถูกเวลา ใช้ถ้อยคำสุภาพ และด้วยความปรารถนาดี หากมีองค์ประกอบครบทั้ง ๕ ประการก็เกิดผลดีมากกว่าผลเสีย

อย่างไรก็ตามหากเขายังคงมีพฤติกรรมดังกล่าวต่อไป คุณก็ควรปรึกษาเพื่อน ๆ ในหน่วยงานว่าควรจะทำอย่างไร อาจทำเรื่องแจ้งผู้บังคับบัญชา หรือไม่ก็ “คว่ำบาตร” คือไม่คบค้าสมาคมกับเขา ไม่พูดคุยหรือให้ความร่วมมือกับเขา เขาจะได้รู้ตัวว่าผู้คนส่วนใหญ่รับไม่ได้กับการกระทำของเขา หากเขาไม่เปลี่ยนพฤติกรรมก็ยากที่จะอยู่ได้อย่างปกติสุข

ที่มา http://www.facebook.com/visalo?fref=ts

การเคลื่อนไหวไปมาแม้นที่สุดการเดินจงกรม


การเคลื่อนไหวไปมาแม้นที่สุดการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เรื่อง สติเป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องใหญ่โต ในการบำเพ็ญจิตภาวนาของพวก เรา ขอให้มีสติดีๆ เถอะ สมมติว่าเราเริ่มฝึกหัดเบื้องต้น จำต้องอาศัย คำบริกรรมจะเป็นคำใดก็ตามตามแต่จริตนิสัยที่ชอบ เช่นพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นต้นนะแล้วให้ยึดคำบริกรรมนั้นเอาไว้กับจิต มีสติควบคุม อยู่กับคำบริกรรมนั้นตลอดไปอย่าให้เผลอไผลไปไหน

พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

การแกว่งแขนบำบัดโรคความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำ หัวใจ ประสาท โรคจิ


การแกว่งแขนบำบัดโรคความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำ หัวใจ ประสาท โรคจิต ไต ตับ อัมพาต เนื้องอก มะเร็ง นอนไม่หลับ โรคโลหิต ถึงโรคเรื้อรังต่าง ๆ แทบทุกโรคที่เกิดจากการเต้นของชีพจรไม่สม่ำเสมอ และเลือดลมที่เดินไม่สะดวกทั้งสิ้น และยังช่วยลดน้ำหนักได้

ความพิเศษของการแกว่งแขนรักษาโรค คือ ส่วนบนว่างและเบา แต่ส่วนล่างแน่นและหนัก การเคลื่อนไหวอ่อนโยนละมุนละไม ตั้งจิตเป็นสมาธิแล้วแกว่งแขนทั้งสองข้าง นี่แหละจะสามารถช่วยให้ท่านที่มีร่างกายอ่อนแอ กล่าวคือส่วนบนแข็งแรงแต่ส่วนล่างอ่อนแอ ให้เปลี่ยนเป็นผู้ที่มีส่วนล่างแข็งแรง และส่วนบนกระชุ่มกระช่วย โรคภัยทั้งหลายก็จะถูกขจัดให้หายไปเอง

การแกว่งแขนเป็นการออกกำลังกายซึ่งสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาช่วยลดน้ำหนัก ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง แถมยังสามารถรักษาโรคได้ด้วย
วิธีกายบริหารด้วยการแกว่งแขนนี้ นำมาจากคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของพระโพธิธรรม (ตั๊กม้อโจ้วซือ) ชื่อว่า คัมภีร์ ต๋า โม๋ อี้ จิน จิง ซึ่งนับเป็นวิธีออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสุขภาพและขจัดโรคภัย ปฏิบัติได้ง่าย แต่ให้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์! การแกว่งแขนนี้เป็นการแกว่งให้เลือดลมเดินได้สะดวก และปรับสภาพเส้นเอ็น โดยจะช่วยรักษาโรคความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำ หัวใจ ประสาท โรคจิต ไต ตับ อัมพาต เนื้องอก มะเร็ง นอนไม่หลับ โรคโลหิต ถึงโรคเรื้อรังต่าง ๆ แทบทุกโรคที่เกิดจากการเต้นของชีพจรไม่สม่ำเสมอ และเลือดลมที่เดินไม่สะดวกทั้งสิ้น

การแกว่งแขนจะทำให้การหมุนเวียนโลหิตดีขึ้นตามลำดับ และชีพจรก็จะเต้นได้สม่ำเสมอ นับเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายมากทั้งยังให้ผลเกินคาด เพียงแต่ผู้ปฏิบัติต้องมีความขยันและอดทนปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ สามารถทำได้ทุกที่ หากแต่ถ้าจะทำในที่โล่งได้ก็จะดีมากเพราะจะได้อากาศบริสุทธิ์ ยิ่งยืนบนหญ้าก็จะได้แร่ธาตุจากดินจากน้ำค้างด้วย มาดูวิธีการปฏิบัติกันเลยค่ะ

1. ยืนตรง เท้าสองข้างแยกออกจากกันให้มีระยะห่างเท่ากับหัวไหล่
2. ปล่อยมือสองข้างลงตามธรรมชาติ อย่าเกร็ง ให้นิ้วมือชิดกัน หันอุ้งมือไปข้างหลัง
3. หดท้องน้อยเข้า เอวตั้งตรง เหยียดหลัง ผ่อนคลาย กระดูกลำคอ ศีรษะ และปาก ผ่อนคลายตามธรรมชาติ
4. จิกปลายนิ้วเท้ายึดเกาะพื้น ส้นเท้าออกแรงเหยียบลงบนพื้นให้แน่น ให้แรงจนกล้ามเนื้อโคนเท้า โคนขาและท้องตึง ๆ เป็นใช้ได้
5. บั้นท้ายควรให้งอขึ้นเล็กน้อย ระหว่างบริหารต้องหดก้นหรือขมิบทวารหนัก คล้ายยกสูงให้หดเข้าไป ในลำไส้
6. ตามองตรงไปจุดใดจุดหนึ่งจุดเดียว สลัดความคิดฟุ้งซ่าน กังวล ออกให้หมด ทำสมาธิให้รู้สึกอยู่ที่เท้า
7. แกว่งแขนไปข้างหน้าเบาหน่อย ทำมุม 30 องศากับลำตัว แล้วแกว่งไปหลังแรงหน่อย ทำมุม 60 องศากับลำตัว จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยง นับเป็น 1 ครั้ง โดยปล่อยน้ำหนักมือให้เหมือนลูกตุ้ม แกว่งแขนไป-มา โดยเริ่มจากทำวันละ 200-300 ครั้ง ค่อยๆ ขยับไป เป็นวันละ 500 ครั้ง จนถึงวันละ 1,000 สูงสุดวันละ 2,000 ครั้ง จะดีมาก ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที

ตัวอย่างชาวจีนที่แกว่งแขนบำบัดโรคหาย
1. นายจู อายุ 76 ปี ป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมองและมะเร็งที่ปอด เขาจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำการบริหารแกว่งแขน เพื่อบำบัดโรคภัยนี้ เขาได้ทำการบริหารแกว่งแขนตอนเช้า 2,000 ครั้ง และเย็นหรือกลางคืนอีก 2,000 ครั้ง ก็ได้ผลที่เห็นชัด ทำอยู่ 5 เดือน โรคร้ายก็หายขาด
2. นายบั้ง อายุ 48 ปี เป็นช่างไม้อยู่ในโรงงานแห่งหนึ่ง ป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบและอุจจาระเป็นเลือดอยู่ประมาณ 1 ปี ขณะเดียวกันก็เป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร เมื่อทำการบริหารแกว่งแขนโรคทั้งสองก็หายขาด ส่วนโรคมะเร็งก็กระเตื้องดีขึ้นเรื่อย ๆ
3. นายแต้อายุ 75 ปี เป็นกรรมกรที่ปลดเกษียณของบริษัทรถรางเซี่ยงไฮ้ เป็นโรคความดันโลหิตมานาน 40 ปี และต้องใส่แว่นตาตลอดมา ปัจจุบันนี้ความดันเลือดปกติและไม่ต้องใส่แว่นตาด้วย เพราะเขาเป็นคนหนึ่งที่ได้ออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขน
4. นายกู้ อายุ 42 ปี ทำงานอยู่ที่บริษัทขนส่งเมื่อ 10 ปีก่อน เริ่มเป็นโรคตับอักเสบ อาการของโรคเริ่มกำเริบอีกเป็นครั้งที่สอง โดยนายแพทย์ได้ตรวจวินิจฉัยแล้ว ปรากฏว่าเป็นโรคตับแข็ง เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ว่าจะต้องทำกายบริหารแกว่งแขนโดยไม่แตะต้องยา เขาได้ทำอยู่อย่างสม่ำเสมอและถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ปรากฏว่าได้ผล เพราะหลังจากผ่านไป 1 เดือน นายแพทย์ถึงกับงงต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป

ดังนั้น ลองมาทดลองออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขนบำบัดโรคอีกทางเลือกหนึ่งง่ายๆ ลองดูไม่เสียหาย หากไม่เชื่ออย่างน้อยก็ได้ออกกำลังกาย หากเป็นโรคร้ายแรงอยู่ แล้วหายก็ถือว่าโชคดีไป ไม่ต้องเสียเงินและเจ็บตัวไปรักษาราคาแพงที่โรงพยาบาล

เครดิต: เรียบเรียงจาก บทความสุขภาพ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ WWW.KU.AC.TH
บทความ แกว่งแขน...กายบริหารแบบง่ายๆ ช่วยบำบัดโรค จาก women.thaiza.com
อ้างอิง: คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของพระโพธิธรรม (ตั๊กม้อโจ้วซือ) ชื่อคัมภีร์ ต๋า โม๋ อี้ จิน จิง
ภาพ: ขอบคุณภาพ จาก women.thaiza.com
*******************************************************
แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีไม่พึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

คำว่าคุณภาพครอบคลุมถึงไหน....?



คุณภาพคืออะไร ถ้าคุณภาพคือความปลอดภัย และได้มาตรฐาน สำหรับองค์กร ผู้รับบริการ ผู้ให้บริการ และชุมชน.... แล้วสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อยู่ในโรงพยาบาล คุณภาพมีส่วนเข้าไปจัดการหรือเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ในการบริหารจัดการความเสี่ยง ,การจัดการสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆ รายงานที่ไม่อยากที่จะได้รับเลยคือ น้องหมา น้องแมว สี่ขา มาป้วนเปี้ยนในจุดที่ให้บริการ จะด้วยการเดินผ่านหรือมานอนพักเอาแรงก็ตาม ..คำถามที่เกิดขึ้นตามมาเราจะทำอย่างไรเมื่อได้รับรายงาน ถ้ายึดตามมาตรฐาน แนวทางที่วางไว้นั่นคือการส่งต่อรายงานนี้ให้ผู้เกี่ยวข้อง หรือถ้าไม่ทำตามสิ่งที่วางไว้นั่นคือลบรายงานออกจากระบบ หรือทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะถ้าเราส่งต่อรายงานออกไป ผลลัพธ์มีสองอย่างคือ อยู่กับไป อยู่คือการที่น้องหมา น้องแมวเหล่านี้ยังเดินอยู่ มีชีวิตอยู่ อาศัยอยู่ในโรงพยาบาลเพียงให้มีที่อยู่หรือที่กินเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ คำว่าไป มีอยู่ด้วยกันสองอย่างคือ ไปจากโลกนี้จะด้วยวิธีการใดๆก็ตามนั่นคือหมดลมหายใจ หรือจะกรุณาขึ้นไปอีกนิดนั่นคือนำไปปล่อยที่อื่น เพื่อให้มันได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แม้ว่าจะไม่รู้ว่าชีวิตของมันจะเป็นอย่างไร แต่มันก็มีลมหายใจ ผมได้ฟังเรื่องราวแบบนี้มาพอสมควรในกรณีที่มีน้องหมา น้องแมว มาอาศัยอยู่ในโรงพยาลจากโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งผมคงไม่สามารถไปชี้นำได้หรอกว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่ผมมีคำกล่าวสั้นๆ แต่เพียงว่า "ชีวิตของใคร ใครก็รัก " ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะเป็นอะไร ดังนั้นมิติของคุณภาพจะครอบคลุมถึงไหน จะจัดการอย่างไร สิ่งนี้ผู้เกี่ยวข้องแต่ละ ท่านคงต้องตรองดูเองครับ
โดย Suradet sri

จัดอบรมหลักสูตร “การเพิ่มมูลค่าและคุณค่าผลผลิตข้าวแก่เกษตรกร ภูมิปัญญาไทย นา ๑ ไร่ ได้เงิน ๑ แสนบาท


สำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ ร่วมกับ
ชมรมเกษตรสรรพสิ่ง และบริษัท เกษตรสรรพสิ่ง จำกัด จัดอบรมหลักสูตร “การเพิ่มมูลค่าและคุณค่าผลผลิตข้าวแก่เกษตรกร ภูมิปัญญาไทย นา ๑ ไร่ ได้เงิน ๑ แสนบาท” ด้วยองค์ความรู้ “เกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์”
ในระหว่างวันที่
๒๖- ๒๘ (ศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์) เมษายน ๒๕๕๖
ณ พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.wisdomking.or.th

30 มีค2556ิ ปาร์ตี้พบปะคนดนตรีแบบมีธรรมะ อารมณ์กันเอง อุ่นอุ่น


กลับมาอีกครั้งกับบรรยากาศ ปาร์ตี้พบปะคนดนตรีแบบมีธรรมะ อารมณ์กันเอง อุ่นอุ่น มีเวิร์คชอบเบาๆ จิบน้ำชา ทานขนม สบายๆ เป็นการพบปะกลุ่มอาสานักดนตรี และน้องๆอาสาสมัครคนรักเสียงเพลง

วันเสาร์ 30 มีนาคม 2556

09.00 – 12.00 น. ดนตรีบำบัด Crystal Singing Bowls : อ.กัมปนาท บัวฮัมบุรา (เฉพาะกิจกรรมนี้ลงทะเบียนเต็มแล้วครับ)

10.00 – 12.00 น. เวิร์คชอบ จัดดอกไม้ .. ด้วยใจ ... โดย Simply Living

12.00 – 13.00 น. ฟังเพลงจากกลุ่มอาสาเพลินเพลงธรรม และนักร้องประสานเสียง รุ่นพิเศษ

13.00 – 14.00 น. คุยกับ จิตร์ ตัณฑเสถียร บก.วารสารพลัม และ เจ้าของหนังสือ ใจเปล่าเล่าเปลือย หัวข้อ : บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขในหัวใจ

14.15 – 14.45น. การแสดงเดี่ยวเปียโน อาสาสมัครนักดนตรี ที่อายุน้อยที่สุด ด.ช.เลิศ เลิศวงศ์วาณิชย์ บีโธเฟียน นักเปียโนรุ่นเยาว์ วัย ๙ ขวบ

15.00 – 15.45 น. หุ่นสายเสมา เรื่อง สัทธามหาบุรุษ ละครหุ่นสายพุทธจินตนิทานเรื่องแรกของไทย

16.00 - 17.00 น. เพลงเพราะเพราะเล่นด้วยใจ จากอาสานักดนตรีของสวนโมกข์ จำปูน / และ เด็กๆจากกลุ่มสลึง

17.00 – 18.00 น. ฟังเพลง จิบความสุข กับ วงนั่งเล่น

*** จบงาน ***

ภายในงานชมนิทรรศการพิเศษ เดซิเบลแห่งความสุข

WorkShop เก๋เก๋ กับ Simply Living และอาหารสุขภาพ

ขงเบ้งกล่าวไว้ว่าการดูคนนั้่นมีอยู่ด้วยกัน 7 วิธี


ขงเบ้งกล่าวไว้ว่าการดูคนนั้่นมีอยู่ด้วยกัน 7 วิธีดังนี้
1 "ปณิธาน" (ความตั้งมั่นในร้าย / ดี)
2 "ปฏิภาณ" (ไหวพริบการเอาตัวรอด)
3 สอบถามซึ่งกลยุทธ์แล้วสังเกตดูซึ่ง "ปัญญา"

4 "ความกล้า"
5 มอมเมาด้วยสุราแล้วสังเกตดูซึ่ง "อุปนิสัย"
6 "ความสุจริต"
7 "สัจจะ"

ปรับสภาพน้ำบ่อปลา



ปรับสภาพน้ำบ่อปลา ป้องกันปลามีกลิ่นคาว กลิ่นโคลน นำเศษแป้งมันสำปะหลัง 5 กก. ต้มกับน้ำ 10 ลิตร 30 นาที ทิ้งให้เย็น ใส่ในบ่อ 1-2 กก./บ่อ/ไร่

จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 27 มี.ค.2556

รวมพลังปั่นต้านโลภ ครั้งที่ ๒ ณ สวนสันติภาพ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ

รวมพลังปั่นต้านโลภ ครั้งที่ ๒ ณ สวนสันติภาพ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ



วิธีการง่ายๆเพื่อสมานแผลไก่


วิธีการง่ายๆเพื่อสมานแผลไก่ เพียงนำถ่านไม้เนื้ออ่อน มาบดให้ละเอียดแล้วทาที่แผล เพียงสัปดาห์ละครั้งจนกว่าแผลจะหาย
จาก SMS FArmerInfo by DTAC - 06 มีค 2556

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

คำตอบของ 10 อันดับ ปัญหาคาใจเกี่ยวกับการนอน


คำตอบของ 10 อันดับ ปัญหาคาใจเกี่ยวกับการนอน
เชื่อว่าหลายๆคนชอบมีปัญหาเกี่ยวกับการนอน และชอบตั้งคำถามในใจไม่รู้จะถามใคร ลองอ่าน "10 อันดับปัญหาคาใจเกี่ยวกับการนอน " หวังว่าคงตอบโจทย์ใครหลายๆ คนได้ค่ะ

10. เราควรเลือกปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนอย่างไร
ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนเป็นส่วนที่สัมผัสกับร่างกายโดยตรง เนื้อผ้าที่ใช้ควรเป็นผ้านิ่ม เพราะผ้าที่แข็งเกินไปอาจทำให้เกิดรอยยับ หากรอยยับนั้นมากดบนผิวหน้าหรือร่างกายบ่อยครั้งอาจเกิดปัญหาตามมาได้ การเลือกจึงควรเลือกผ้าที่จับแล้วสบายมือพอสมควร ไม่หลุดเป็นขุย เนื้อผ้าที่นิยมใช้ทำเครื่องนอนได้แก่ ผ้า Cotton หรือผ้าฝ้าย ควรเลือกที่เป็น cotton 100% เพราะเนื้อผ้าจะนิ่ม ไม่ระคายผิว ผ้า Cotton satin เป็นผ้าที่ผสมระหว่างผ้าฝ้ายและผ้าไหม เนื้อผ้าจึงนิ่มและลื่นกว่าผ้า Cotton ซึ่งราคาก็สูงกว่าตามไปด้วย

9. เครื่องนอนเคลือบสารป้องกันไรฝุ่นเชื่อได้แค่ไหน
ไรฝุ่น (dust mite) เป็นสัตว์ประเภท "แมง" กินเศษผิวหนังและรังแคเป็นอาหาร ไรฝุ่นจึงพบมากที่สุดในห้องนอน และเครื่องนอนต่างๆ 10% ของน้ำหนักหมอนที่เราใช้นาน 2 ปีขึ้นไป มาจากตัวไรฝุ่นและอึของมัน เช่นเดียวกับที่นอนที่ใช้นาน 6 เดือนก็อาจมีไรฝุ่นมากพอที่ทำให้คนเป็นภูมิแพ้เกิดอาการได้ ที่นอน ที่ทำจากใยสังเคราะห์ ฟองน้ำ ใยมะพร้าว หรือยางพารา เมื่อใช้ไประยะหนึ่งก็เกิดไรฝุ่นได้ ที่นอนที่ไม่มีไรฝุ่น คือ ที่นอนน้ำ (water bed) ส่วนหมอน ควรเลี่ยงชนิดที่ทำจากขนสัตว์ ฟองน้ำ นุ่น แต่ถ้าต้องการใช้ควรหุ้มด้วยผ้ากันไรฝุ่นอีกชั้นก่อนใส่ปลอกหมอนธรรมดา เครื่องนอนเคลือบสารกันไรฝุ่นอาจช่วยป้องกันคุณให้ปลอดภัยจากไรฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง สังเกตได้จากคำว่า Microban Allergy Control หรือ Scot guard ควรเลือกปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่น ที่ทำจากผ้าเนื้อแน่น ทอละเอียด ปูทับก่อนปูผ้า หรือปลอกหมอนธรรมดา หากเป็นผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ควรซักผ้าด้วยน้ำอุ่น เพื่อฆ่าไรฝุ่นด้วย แต่ถ้าไม่ได้ใช้ผ้าปูที่นอน หรือปลอกหมอนกันไรฝุ่น ควรทำความสะอาดที่นอนเป็นประจำทุกเดือน ซักผ้าด้วยน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส ทุก 1-2 สัปดาห์

8. การนอนกับพื้นดีกว่านอนบนที่นอนจริงไหม
การนอนกับพื้นแข็งมากๆ ทำให้เกิดการกดทับเป็นเวลานาน ระบบเลือดไหลเวียนลำบาก ทำให้เมื่อย และอาจเกิดอาการชาได้ การนอนพื้นจึงควรปูที่นอนบุนวมนิดหน่อย เพื่อกระจายแรงกดทับของหลังกับพื้นโดยตรง แต่ทั้งนี้การนอนพื้นก็ไม่มีผลกระทบร้ายแรงแต่อย่างใด ถ้าคุณนอนแล้วไม่เกิดอาการปวด หรือเมื่อยหลังก็สามารถนอนได้ค่ะ

7. จะรู้ได้อย่างไรว่าควรเปลี่ยนเครื่องนอนชุดใหม่แล้ว
อายุของที่นอน/หมอนไม่ควรเกิน 15 ปี ถ้าเกินกว่านี้ก็ต้องสังเกตว่าคุณปวดหลัง ปวดตัว ทุกครั้งที่ตื่นนอน หรือที่นอนยุบลงไปเป็นแอ่งหรือเปล่า ทั้งที่คุณกลับด้านหน้า ด้านหลังมาใช้แล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณควรเปลี่ยนที่นอนหลังใหม่ เช่นเดียวกับหมอน ถ้านอนแล้วไม่รู้สึกสบายรู้สึกปวดคอ ก็ควรเปลี่ยนได้แล้วค่ะ

6. หมอนสุขภาพจำเป็นไหม
หมอนสุขภาพมีการผลิตจากวัสดุหลายประเภท เช่น โฟมลาเทกซ์ หรือยางพารา ฯลฯ ซึ่งอาจผลิตให้โค้งเว้าเพื่อรองรับกระดูกต้นคอให้ได้ระนาบเวลานอนมากขึ้น ซึ่งมีข้อดีคือรองรับต้นคอได้พอดีเมื่อนอนหงาย แต่อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ชอบนอนตะแคงเพราะจะคอเอียงและปวดคอได้ ส่วนหมอนที่ผลิตจากเปลือกไม้หรือเปลือกเมล็ดพืช เป็นหมอนที่ผลิตเพื่อรองรับและให้เข้ารูปกับศีรษะและต้นคอของผู้นอนแต่ละคน ซึ่งหลายคนที่เคยทดลองใช้ให้ความเห็นว่านอนหลับสบายขึ้น แต่มีข้อจำกัดคือราคาแพง และต้องผึ่งแดดบ่อยๆ เพื่อป้องกันความชื้นและแมลง

5. เราจำเป็นต้องมีหมอนหนุนของตนเองหรือเปล่า
ควร เพราะสรีระแต่ละคนแตกต่างกัน ขนาดของหมอนที่เหมาะกับแต่ละคนจึงต่างกันไปด้วย การเลือกหมอนต้องดูความเหมาะสมกับร่างกาย เช่น ผู้ที่รูปร่างใหญ่ หรือนอนกรน ควรใช้หมอนที่สูง เพื่อให้คออยู่ระนาบเดียวกับลำตัวพอดี ทำให้รู้สึกไม่อึดอัด และลดการนอนกรน หากเป็นคนตัวเล็กอาจหนุนหมอนต่ำลงมาหน่อยเพื่อรักษาแนวระนาบของลำตัว สำหรับรูปทรงของหมอนขึ้นอยู่กับท่านอนของแต่ละคน ควรเลือกหมอนที่มีขนาดใหญ่พอสมควร และมีส่วนกว้างออกมาถึงช่วงไหล่ เวลาพลิกตัวจะได้ไม่ตกหมอน หมอนที่มีส่วนเว้าโค้ง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับกับต้นคอ จะเหมาะกับท่านอนหงาย หากนำมาใช้นอนตะแคงอาจปวดต้นคอ และลองนอนหนุนหมอนทุกครั้งก่อนซื้อ เพื่อทดสอบความพอดีกับต้นคอ ความสูง ความนิ่ม ว่าเหมาะสมกับตัวเองมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ ยังมีหมอนเพื่อรองรับการใช้งานรูปแบบอื่นๆ เช่น หมอนรองเอว หมอนรองขา หมอนรองคอ หมอนข้าง ผู้ที่มีปัญหาเวลานอนแล้วปวดขา ปวดเอว อาจซื้อหมอนประเภทนี้มารองเพื่อให้รู้สึกนอนสบายยิ่งขึ้นก็ได้

4. หมอนแบบไหนดีที่สุด
การหนุนหมอนที่ไม่มีคุณภาพนานๆ อาจทำให้กระดูกต้นคอ กดทับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หรือเกิดเป็นลิ่มเลือดอุดตัน หากลิ่มเลือดขึ้นสมองอาจกลายเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้ คุณจึงควรสังเกตอยู่เสมอว่ามีอาการปวดช่วงต้นคอหลังจากตื่นนอนด้วยหรือไม่ หมอนที่ดีควรนอนแล้วรับกับกระดูกต้นคอได้พอดี เสมอเป็นระนาบเดียวกับลำตัว นอนแล้วคอไม่แหงนหรือพับ วัสดุที่ใช้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน - ใยสังเคราะห์ มีทั้งแบบนุ่มฟูและแน่นขึ้นอยู่กับความชอบ ข้อดีคือมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามรูปศีรษะ คืนรูปและระบายอากาศได้ดี ข้อจำกัด คือ เสื่อมสภาพเร็ว อายุใช้งานไม่คงทน - โฟมลาเทกซ์ แข็งและแน่นมากกว่าหมอนประเภทอื่นๆ ข้อดีคือ คงทน อายุการใช้งานนาน ข้อจำกัดคือ การระบายอากาศไม่ดี หากเลือกขนาดไม่เหมาะกับศีรษะอาจนอนแล้วปวดคอได้ - ยางพารา มีทั้งแบบแข็งและแบบนิ่ม ข้อดีคือ คงทน อายุการใช้งานนาน ข้อจำกัดคือ การระบายอากาศไม่ดี - ขนเป็ด มีความนุ่มฟูเป็นพิเศษ เหมาะกับผู้ที่ชอบหมอนนุ่มมากๆ มีข้อจำกัด เรื่องการทำความสะอาด (ซักไม่ได้) และราคาค่อนข้างสูง - นุ่น เป็นวัสดุที่ดีในการทำเครื่องนอน เพราะสามารถปรับให้รับกับสรีระของผู้นอนได้ และราคาไม่แพง แต่มีข้อจำกัด คือ การทำความสะอาดยากและอาจมีเศษนุ่นหลุดเป็นละออง ออกมาจึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้

3. เลือกซื้อที่นอนอย่างไรดี
ที่นอนควรมีขนาดกลางๆ ไม่นิ่ม หรือแน่นเกินไป (แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างที่นอนนิ่ม กับที่นอนแน่น ควรเลือกที่นอนแน่น เพราะที่นอนนิ่มจะทำให้ปวดหลังได้มากกว่า) แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและสรีระของแต่ละบุคคล ถ้าคุณลองนอนดูแล้วไม่เกิดอาการปวดหลังก็ถือว่าใช้ได้ และควรเลือกที่นอนที่ยาวกว่าความสูงของตัวเองอย่างน้อย 15 ซม. และพิจารณาสิ่งสำคัญต่อไปนี้ด้วย - ความแน่นของที่นอน (Firmmess) ขึ้นอยู่กับความชอบและรูปร่างของผู้นอน เช่น คนที่รูปร่างใหญ่ จะเหมาะกับที่นอนแน่นเป็นพิเศษ - ชั้นโอบรับ (Conformity) คือมีส่วนที่สัมผัสและโอบรับกับร่างกายอย่างเหมาะสม เข้ากับส่วนโค้งเว้าได้ดี จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและนอนหลับสบายขึ้น - ความแข็งของที่นอน (Edge Support) คือ ความสามารถในการรับน้ำหนัก โดยเฉพาะช่วงขอบของที่นอน ป้องกันการยุบตัว และไม่เกิดการลื่นไหลเวลานั่งขณะขึ้นหรือลงจากที่นอน เมื่อใช้ที่นอนนานเกิน 6 เดือน ควรกลับที่นอนอีกด้านหนึ่งขึ้นมาใช้ เพื่อไม่ให้ที่นอนถูกใช้งานเพียงด้านเดียว เพราะทำให้ที่นอนเสื่อมสภาพเร็ว และควรกลับด้านหัวนอนและปลายเท้าสลับกันด้วย เพื่อใช้งานอย่างทั่วถึงทั้งสี่ด้าน

2. นอนหลับท่าไหนดีที่สุด
การนอนมีความสัมพันธ์กับกระดูกสันหลัง เพราะหากนอนผิดท่า เช่น นอนงอตัวหรือนอนบิดตัว ติดต่อกันหลายๆ ปี อาจทำให้กระดูกสันหลังเลื่อนออกนอกแนวระนาบ ผิดรูป หรือคดงอได้ ท่านอน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นอนหลับสนิท ตื่นนอนอย่างสดชื่นและไม่ปวดเมื่อย - นอนหงาย ควรใช้หมอนหนุนหัวแบบต่ำเพื่อให้ต้นคออยู่แนวเดียวกับลำตัว ป้องกันการปวดคอจากนอนคอพับหรือนอนเงยคอมากเกินไป แต่ท่านี้ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวก หัวใจทำงานลำบากขึ้น การนอนหงาย ยังอาจทำให้ผู้มีอาการปวดหลังมีอาการรุนแรงขึ้นด้วย นอนตะแคง การนอนตะแคงขวาช่วยให้หัวใจทำงานสะดวก และอาหารที่ค้างในกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ช่วยลดอาการปวดหลังได้ทางหนึ่ง แต่การนอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เสียดลิ้นปี่ เพราะอาหารย่อยไม่หมดและค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร หญิงตั้งครรภ์ควรนอนตะแคงเพื่อไม่ให้มดลูกไปกดทับกระดูกสันหลังและเส้นเลือดแดงใหญ่กลางลำตัว - นอนคว่ำหน้า อาจทำให้หายใจติดขัดและปวดต้นคอ เพราะคอแอ่นมาทางด้านหลังหรือบิดไปด้านใดด้านหนึ่งเป็นเวลานานๆ ถ้าต้องนอนคว่ำหน้าควรใช้หมอนรองใต้หน้าอกเพื่อไม่ให้ปวดเมื่อยต้นคอ

1. ทำไมการนอนจึงสำคัญ
การนอนทำให้กล้ามเนื้อและอวัยวะทุกส่วนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ พร้อมสำหรับการทำงานในวันต่อไป เมื่อนอนน้อยอาจส่งผลให้ทำงานผิดพลาด ทำงานได้น้อยลง คุณภาพงานต่ำกว่าปกติ และมีงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 4 ชม. หรือนอนมากกว่า 10 ชม. ต่อคืน เป็นประจำ อาจมีอายุสั้นกว่าคนที่นอนหลับปกติ คนที่นอนไม่เพียงพอนานๆ อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดเมื่ออายุมากขึ้น และการนอนระหว่าง 21.00-22.00 น. จะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะโกร๊ธ ฮอร์โมน ( growth homone) หลั่งออกมาอย่างเต็มที่ในช่วง 22.00-24.00 น. ช่วยซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย และควรนอนให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน

เครดิต: toptenthailand
ภาพ : จากอินเตอร์เน็ต
*****************************************

แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ไม่ต้องพึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

"ไม่(ต้อง)อยากตายสงบ จึงตายอย่างสงบ"


"ไม่(ต้อง)อยากตายสงบ จึงตายอย่างสงบ"

แม่ชีท่านหนึ่งล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง มีความเจ็บปวดรุนแรงมาก ขอให้กัลยาณมิตรผู้หนึ่งไปเยี่ยมเพื่อช่วยชี้แนะวิธีบรรเทาความเจ็บปวด เมื่อกัลยาณมิตรผู้นั้นสอบถามและซักไซ้ไล่เลียงก็พบว่า สิ่งที่ทำความทุกข์ให้แก่แม่ชีท่านนั้นมิได้มีแค่ความเจ็บปวดเพราะโรคมะเร็งเท่านั้น หากยังได้แก่ความกังวลว่าจะไม่ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นสูง

แม่ชีศึกษาเรื่องสุคติภูมิจนหมายมั่นในสวรรค์ชั้นสูง แต่เป็นเพราะมีความอยากมาก จึงมีความห่วงกังวลตามมา มิใช่ห่วงว่าจะไม่ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นสูงเท่านั้น แต่ยังห่วงกังวลว่าจะตายไม่สงบด้วย ซึ่งย่อมส่งผลให้ไปอบายภูมิ ความห่วงกังวลนี้เองที่ทำความทุกข์ให้แก่แม่ชี อาจจะยิ่งกว่าความเจ็บปวดเพราะก้อนมะเร็งเสียอีก

อย่าว่าแต่ความอยากไปเกิดในสวรรค์เลย แม้กระทั่งความอยากตายให้สงบ ก็สามารถเป็นอุปสรรคต่อการตายอย่างสงบได้ ยิ่งรู้มากและอยากได้การตายที่สมบูรณ์แบบ ก็ยิ่งกลัวว่าจะไม่ได้ตายแบบนั้น ผลก็คือถูกความกลัวรังควานจนกระสับกระส่าย

ดังนั้น เมื่อวาระสุดท้ายมาถึงจึงควรปล่อยวางแม้กระทั่งความอยากไปเกิดในสวรรค์หรืออยากตายสงบ

ใช่หรือไม่ว่า ยิ่งอยากได้ กลับไม่ได้ แต่เมื่อไม่อยากได้ กลับได้

พระไพศาล วิสาโล

สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังไม่มีหลัก ให้ถือคำบริกรรม


สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังไม่มีหลัก ให้ถือคำบริกรรม (เช่นพุทโธ ฯลฯ) เป็น หลักใจ แล้วมีเครื่องกำกับอยู่กับคำบริกรรมนั้นอย่าให้เผลอ อย่าเสีย ดายเวล่ำเวลาไปไหนที่กิเลสมันฉุดลากออกไปด้วยความอยากคิดเรื่อง นั้นอยากปรุงเรื่องนี้ นี่เป็นจิตที่มีแต่กิเลสฉุดลากออกนอกลู่นอกทาง แห่งคำบริกรรมของเรา อย่าให้มันคิดออกไปได้ เราจะตั้งภาวนาเพื่อ ให้ได้หลักของจิตใจเกี่ยวกับจิตภาวนา

พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ถ้าพบว่าเพื่อนของท่านกำลังโกรธ


ถ้าพบว่าเพื่อนของท่านกำลังโกรธ ให้ท่านตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดโดยความสงบไม่มีการโต้ตอบใดๆ ให้ตั้งใจฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจ โดยไม่มีการตัดสินหรือวิจารณ์หรือวิเคราะห์ใดๆทั้งสิ้น ให้ตั้งใจฟังเพื่อให้เขาได้ระบายหรือปลดเปลื้องสิ่งต่างๆที่ทำให้เขาเป็นทุกข์ -ท่านติช นัท ฮันห์- ♥♥ღϠ₡ღ

If it is your partner who is angry, just listen.
Listen and do not react. Do your best to practice compassionate listening. Do not listen for the purpose of judging, criticizing, or analyzing. Listen only to help the other person express himself and find some relief from his suffering.♥♥ღϠ₡ღ

-Thich Nhat Hanh-

กำจัดไรในถุงลมนก


กำจัดไรในถุงลมนก ต้มน้ำ 5 ลิตรกับตะไคร้ 6 ต้น จนเดือด ทิ้งให้เย็น + ใส่ด่างทับทิม 4 เกล็ด พักไว้ 15 นาที ฉีดพ่นตัวนก หรือ ผสม 1 ส่วน / น้ำ 4 ส่วน ให้กิน
จาก SMS FarmerInfo by DTAC - 22 มี.ค.2556

สำหรับไม้ผลที่อยู่ในระยะผลแก่และเก็บเกี่ยว


สำหรับไม้ผลที่อยู่ในระยะผลแก่และเก็บเกี่ยว ควรเก็บกวาดผลที่เน่าเสียและร่วงหล่นไปกำจัดเผาหรือฝัง เพื่อเป็นการจัดวงจรชีวิตของศัตรูพืบ
จาก SMS FArmerInfo by DTAC - 06 มีค 2556

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

พระพุทธองค์ทรงสอนให้พิจารณาธรรมทั้งหลาย


พระพุทธองค์ทรงสอนให้พิจารณาธรรมทั้งหลาย
ที่กายที่ใจของเรา ธรรมะไม่ได้อยู่ไกลที่ไหน
อยู่ที่ตรงนี้ อยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหละ
ดังนั้น นักปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง เอาจริงเอาจัง
ให้ใจมันผ่องใส สว่างขึ้น ให้มันเป็นใจอิสระ
ทำความดีแล้ว ก็ปล่อยมันไป อย่าไปยึดไว้
หรืองดเว้นการทำชั่วได้แล้ว ก็ปล่อยมันไป
พระพุทธเจ้า ทรงสอนให้อยู่กับ ปัจจุบันนี้
ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่อยู่กับ อดีตหรืออนาคต

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
จากหนังสือ ๔๘ พระธรรมเทศนา น. ๘๔

::: ถูกทุกสาย ถ้าพูดถึงสมถะ :::


::: ถูกทุกสาย ถ้าพูดถึงสมถะ :::

“... ชื่อของกิเลสอีกชื่อหนึ่ง คือ ความประมาท
ชื่อของอวิชชาอีกชื่อหนึ่ง คือ ความประมาท
ชื่อของธรรมและวิชชาจรณะสัมปันโน คือ ชื่อความไม่ประมาท
มรรคองค์แปดก็คือ ความไม่ประมาท
สติปัฏฐานสี่ก็ คือ ความไม่ประมาท
สติ คือ ความไม่ประมาท

ย่อลงมาก็คือ “ อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ” จงอย่าตั้งอยู่ในความประมาทเลย คือ จงอย่าตั้งอยู่ในกิเลสเลย จงอย่าตั้งอยู่ในความมัวเมา จงอย่าตั้งอยู่ในความหลง จงอย่าตั้งอยู่ในความมืด จงอย่าตั้งในอยู่ในอวิชชานั่นเอง เห็นไหม นี่เราประมาทในศีล เราประมาทในทาน เราประมาทในสมาธิ รวมถึงประมาทในปัญญา เราไม่สนใจหลักวิชาทางตำรา ก็ประมาทตำราอีก เราติดตำราเกินไปก็ประมาทในทางสมถะภาวนากับวิปัสสนาภาวนาอีก เราประมาทในกัมมัมฏฐานของคนอื่น แต่พอใจในกัมมัฏฐานของตนแล้วก็ว่ากัมมัฏฐานของคนอื่นผิด ยังไม่ลึกซึ้งพอในการปฏิบัติกัมมัฏฐาน สมถะแม้กระทั่งขยับนิ้วแล้วเกิดความเป็นสมาธิก็ไม่เห็นผิดอะไร สมถะคืออุบายที่ทำให้สงบใจเห็นมั้ย ...

คำว่าสมถะเป็นอุบายที่ทำให้สงบใจ มีด้วยกัน ๔๐ กอง ... เมื่อได้สมถะความสงบแล้วทำไมไม่เข้าวิปัสสนาตามทางที่ถูกต้อง ทำไมต้องไปต่ออะไรเป็นขั้นเป็นตอนมั่วไปหมดเลย ยกมือขยับมือ ยกมือขยับมือ ก็ถูกไม่ผิดไงไม่ได้เถียงสมถะนั่นแหละ สายจับดวงแก้วก็ถูกอีกไม่ผิด สายยุบหนอก็ถูก นะมะพะธะก็ถูก ถูกทุกสายนั่นแหละ ถ้าพูดถึงสมถะนะ ฉันยังไม่พูดถึงวิปัสสนา ถ้าพูดถึงวิปัสสนาคุณต้องเข้าให้ถูก เอากำลังตรงนั้นมาเจริญวิปัสสนา วิปัสสนาสายกลางจริงๆ มีสายหลวงปู่มั่นนี้รู้สึกจะกลางที่สุด มาตรฐานแสตนดาร์ดที่สุดเลย เพราะรักษาคงไว้ตามหลักของพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่พระสาวกต่างๆ มาจนถึงลำเลียงมา ไปอ่านในหลักของพระสูตรแล้วตรงหมด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงและดัดแปลงทั้งสิ้น แต่ภาคสมถะท่านจะเน้นเรื่อง พุทโธ เท่านั้นเอง แต่ท่านก็ไม่สอนแค่พุทโธ บางองค์สำเร็จกสิณ หลวงปู่ฝั้นสำเร็จกสิณ บางองค์สำเร็จนั้น แต่ทุกองค์ที่สำเร็จนั้นทำไมกลับมารวมสอนพุทโธอย่างเดียว ไม่สอนอย่างอื่น เพราะพุทโธเป็นตัวขัดเกลาจิต เป็นตัวกล่อมจิต และเป็นตัวที่ทำให้เกิดกุศลในจิตได้ง่าย และในขณะที่ภาวนาพุทโธนั่นเองเป็นตัวดึงดูดบุญกุศลทั้งหลาย บุคคลใดนึกถึงบุคคลที่มีคุณ บุคคลใดนึกถึงบุคคลที่สูงศักดิ์ บุคคลใดนึกถึงบุคคลที่พ้นไปแล้ว บุคคลผู้นั้นจะเป็นผู้พ้นตาม เป็นผู้บรรลุตาม เป็นผู้ถึงธรรมตาม ...”

ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา ณ บ้านธรรมยอดไกรศรีฯ
โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน

ควรหาเวลา ที่จะทำตัวให้ปลอดพ้นจากเทคโนโลยี


ควรหาเวลา ที่จะทำตัวให้ปลอดพ้นจากเทคโนโลยี
หรือสิ่งอำนวยความสะดวกบ้าง

ถ้าเราใช้ชีวิตตามความเคยชิน
เอาความสะดวกสบายเป็นใหญ่
มันจะเข้ามาครอบใจโดยไม่รู้ตัว
แล้วเราก็จะไปเกิด 'อวิชชา' ขึ้นมาว่า
พวกนี้คือสิ่งจำเป็น ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นเลย
ผลก็คือเราเป็น 'ทาส' ของมัน
อย่างกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ไปตลอดชีวิต

พระไพศาล วิสาโล

“เอกคตารมณ์


อยู่เอกจิต เอกธรรม เรียกว่า “เอกคตารมณ์”แน่วอยู่ด้วยสมาธิอย่างนี้ เรียกว่าจิตอิ่มตัว เช่นนี้แล้วให้แยกออกจากจิตคือแยกออกจากสมาธิ พิจารณาทางด้านปัญญา ด้านปัญญานี้“เกศา โลมานขา ทันตาตโจ” (ผม ขน เล็บฟัน หนัง) นี้เป็นได้ทั้งอารมณ์สมถะที่เราบริกรรมเพื่อ ความสงบใจเป็นได้ทั้งอารมณ์วิปัสสนาคือเราคลี่คลาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อเหล่านี้จนกระทั่งเห็นกระดูก ตับ ไต ไส้ พุง ไปหมด คลี่คลายออกตามสัดส่วนที่มีอยู่ในร่างกายของเรา

พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

8 วิธีแก้เมารถ-เมาเรือ แบบง่ายๆ


8 วิธีแก้เมารถ-เมาเรือ แบบง่ายๆ
สำหรับบางคน เดินทางไปเที่ยวมักจะเกิด อาการเมารถ หรือ เมาเรือ อาการเหล่านี้เกิดจากประสาทการทรงตัวไม่สมดุล เนื่องจากได้รับแรงกระตุ้นมากเกินไป เช่น นั่งรถที่สะเทือนนานเกินไป หรือเรือที่โยนไปมาตามลูกคลื่น จนไปกระตุ้นประสาทการทรงตัวของเรา คนที่มีประสาทการทรงตัวปกติจะไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับบางคน ประสาทการทรงตัวอาจไวเป็นพิเศษ จึงเวียนศีรษะง่าย และมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตามมา ไม่อยากโดนทำลายความสนุกด้วยอาการวิงเวียน จึงควรรู้ 8 วิธีแก้เมารถ เอาไว้ค่ะ

1 อย่าก้มหน้า จะอาเจียน
หากต้องนั่งรถทางไกล เงยหน้าเท่านั้น มองระยะไกลเข้าไว้ อย่าก้มหน้าอ่านหนังสือ เล่นเน็ตทางโทรศัพท์หรือแท็บเล็ต หรือเล่นเกมส์เด็ดขาด เพราะการก้มหน้าจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย เป็นที่มาของอาการคลื่นไส้ วิงเวียน และอาเจียนจะตามมาในที่สุด

2 ยืดเส้นยืดสาย สลายอาการวิงเวียน
ถ้าเป็นไปได้ ลงจากรถเพื่อยืดเส้นยืดสายซะบ้าง ไม่ควรนั่งรถนานถึงสิบชั่วโมงรวด ถ้ารถแวะจอดที่ปั๊ม ให้ใช้โอกาสนี้ออกกำลังแขนขา เปลี่ยนอิริยาบถ เพื่อช่วยให้เลือดลมไหลเวียนสะดวกขึ้น

3 นั่งหน้าดีกว่านั่งหลัง

ไม่เซียนจริง อย่านั่งท้าย เพราะเวลารถเหวี่ยง กระเด้งกระดอน จะโค้งหักแขน หักศอก ส่วนท้ายจะได้รับผลกระทบมากกว่าส่วนไหนๆ ขืนฝืนนั่งไป อาหารที่ทานไว้จะขึ้นมาจ่อคอหอย เพราะฉะนั้นขึ้นรถอย่ารอช้า กระโดดช่วงชิงเบาะหน้า ไม่วิงเวียน ไม่อาเจียน สบายละ!

4 จะเดินทาง อย่ากินอิ่มเกิน
หากรู้ว่าต้องเดินทางไกล กินพอให้อยู่ได้ไม่หิว ถ้ามัวห่วงว่าจะหิวโฮก รับรองได้โอ้กกันเต็มคันรถ เพราะการกินอิ่มเกินไป โดยเฉพาะอาหารรสจัด อาหารมันๆ จะทำให้ยิ่งรู้สึกคลื่นไส้มากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่กินเลยนะ เพราะที่จริงแล้ว ยิ่งท้องว่าง ก็จะทำให้เมารถเร็วยิ่งขึ้น

5 ระบายอากาศเป็นครั้งคราว
ถ้าภายในรถมีที่นั่งค่อนข้างแออัด ควรเปิดหน้าต่างบ้าง ให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก พัดเอาลมข้างนอกเข้ามาในตัวรถ เพราะออกซิเจนจะช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ลดอาการวิงเวียนได้เป็นอย่างดี

6 ลองใช้วิทยายุทธ กดจุดที่ข้อมือ
การกดจุด โดยใช้นิ้วมือนวดวนๆ ที่ข้อมือด้านใน บริเวณใกล้กับที่จับชีพจร วิธีนี้ยังไม่มีผลพิสูจน์ทางการแพทย์ แต่ว่ากันว่าหลายคนใช้แล้วได้ผล

7 กินยาแก้เมารถก่อนขึ้นรถ หรือดมยาหอมๆ
กันไว้ดีกว่าพลาด รับประทานยาแก้เมารถ ก่อนออกเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง จะช่วยได้มาก แต่ยาจะมีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน ก็คิดซะว่าหลับสักตื่น ฟื้นมาก็ถึงพอดี หากไม่ชอบกินยาให้หายาดมสมุนไพรหอมๆ มาดม จะช่วยได้

8 ตั้งสติ ก่อนสตาร์ท
อย่าเครียด คือ วิธีที่ดีที่สุดหากทำได้ ทำตัวตามสบาย ยิ่งวิตกกังวล ยิ่งเมารถง่ายขึ้น ที่สำคัญหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งก่อนและระหว่างการเดินทาง เท่านี้ก็เดินทางสะดวก ปลอดภัย

เครดิต: เรียบเรียงจาก www.ocpb.go.th
ภาพ : จากอินเตอร์เน็ต
*****************************************
แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ไม่ต้องพึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

ผักต้มจะมีสีสวยสดและหวานกรอบน่ารับประทานมากขึ้น


ผักต้มจะมีสีสวยสดและหวานกรอบน่ารับประทานมากขึ้น เพียงใส่น้ำตาลทราย 3-4 ช้อนแกง (อัตราต่อน้ำหนักผัก 1กก.) ลงไปในน้ำ แล้วใส่ผักลงไปต้ม
จาก SMS Farmer info by DTAC - 16 มีค 2556

สุดยอดภูมิปัญญา เพียงนำเถาตำลึงสดมาแขวน


สุดยอดภูมิปัญญา เพียงนำเถาตำลึงสดมาแขวนหรือวางไว้ในโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ ให้ไก่จิกกินเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ไข่ที่ได้จะมีฟองใหญ่ขึ้น
จาก SMS FArmerInfo by DTAC - 04 มีค 2556

ข้อคิดดีๆ จาก "รอยตะปู"

ข้อคิดดีๆ จาก "รอยตะปู"

มีเด็กน้อยคนหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดีพ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขา 1 ถุงและบอกเขาว่า ทุกครั้งที่ลูกรู้สึกไม่ดี โมโห หรือโกรธใครก็ตาม ให้ตอกตะปู 1 ตัวลงไปที่รั้วหลังบ้านก็แล้วกัน วันแรกผ่านไปเด็กน้อยตอกตะปูเข้าไปที่รั้วถึง 37 ตัว วันที่ 2 และ วันที่ 3 และแต่ละวันที่ผ่านไป ผ่านไปจำนวนตะปูก็ค่อยๆลดลง ลดลงๆ เพราะเด็กน้อยรู้สึกว่า การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ


แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่เขาสามารถ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาเดินไปหาพ่อเพื่อบอกว่า เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นที่ต้องตอกตะปูอีกแล้ว เพราะเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนแล้ว

พ่อยิ้มแล้วบอกลูกชายว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลองพิสูจน์ให้พ่อดู ทุกๆครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองได้ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้านที่ละ 1 ตัว วันแล้ววันเล่า เด็กชายก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัว ๆ จนในที่สุด วันหนึ่งตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกเด็กชายดีใจมากรีบวิ่งไปบอกพ่อของเขาว่า ผมทำได้แล้วครับในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จ


พ่อไม่ได้พูดว่าอะไร แต่จูงมือลูกของเขาไปที่รั้วนั้น แล้วบอกลูกทำได้ดีมากทีนี้ลองมองกลับไปที่รั้วสิ เห็นมั๊ยว่ารั้วมันไม่เหมือนเดิมมันไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็นก่อนหน้านี้ ลูกจำไว้นะ ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำอะไรลงไปด้วยการใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมักจะเกิดรอยแผล เหมือนกับการเอามีดไปกรีดหรือแทงใครเข้า ต่อให้ใช้คำว่า..ขอโทษ..สักกี่หนก็ไม่อาจจะลบรอยแผลหรือความเจ็บปวดที่เกิดกับเขาคนนั้นได้ ลูกจงจำคำว่า ..ขอโทษ..ไว้เสมอนะ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เรา หรือ ไม่ก็ตามนะจำไว้อีกด้วยว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น รอยร้าวที่เกิดขึ้นกับเขาเขาอาจจะไม่มีวันลืมมันได้......ตลอดไป

สิ่งที่สำคัญคือ รู้ทันความโกรธให้เร็วที่สุด ทันทีที่สติรู้ทันว่า เราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ อย่างน้อยมันจะหยุดเพ่งโทษคนอื่นวางความยึดมั่นว่าเราถูกลงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขสถานการณ์ดีกว่าปล่อยให้ความยึดว่า ตัวเองถูกเสมอ หรือฐิทิมานะมาทำลายทุกอย่างรวมทั้งชีวิตตัวเราเอง

Cr.ปันสุข

ที่มา http://www.facebook.com/people.khon

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

โรงเรียนใหญ่ที่สุดในโลก


โรงเรียนใหญ่ที่สุดในโลก

โรงเรียนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แม้แต่กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์ ยังยกย่องโรงเรียนซิตี้ มอนเทสโซรี สคูล หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “ซีเอ็มเอส” ในเมืองลัคเนาของอินเดียว่า เป็นโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พร้อมนักเรียนที่ลงทะเบียนในปีการศึกษา 2553-2554 จำนวน 39,437 คน

โรงเรียน “ซีเอ็มเอส” ผงาดกลายเป็นโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกครั้งแรกเมื่อปี 2548 ซึ่งขณะนั้นมีนักเรียนทั้งสิ้น 29,212คน โค่นแชมป์เก่าโรงเรียนมัธยมไรซาลในกรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์ ที่มีนักเรียน 19,738 คน

โรงเรียน “ซีเอ็มเอส” ก่อตั้งโดยจักดิช คานธี และภารตี ภรรยาของเขาเมื่อปี 2502 ด้วยเงินกู้ยืมมา 300 รูปี (แต่อัตราปัจจุบันอยู่ที่ 6 ดอลลาร์สหรัฐ) และมีนักเรียนเพียง 5 คนเท่านั้น

นักเรียนโรงเรียน “ซีเอ็มเอส” ซึ่งมีอายุระหว่าง 3 ขวบถึง 17 ปี ต้องสวมใส่เครื่องแบบนักเรียนทุกคน และแต่ละห้องจะมีนักเรียนราว 45 คน กระนั้นโรงเรียนไม่เคยจัดประชุมใหญ่ เพราะไม่มีพื้นที่เพียงพอรองรับนักเรียนจำนวนมาก โรงเรียน “ซีเอ็มเอส” ไม่มีกองทุนรัฐบาลอินเดียช่วยเหลือ ทำให้ต้องเก็บค่าเล่าเรียนสำหรับเด็กเล็กตกเดือนละ 1,000 รูปี หรือราว 600 บาท และจะเพิ่มเป็นเดือนละ 2,500 รูปีเมื่อเรียนในชั้นสูงขึ้น

บรรดาศิษย์เก่าของโรงเรียน “ซีเอ็มเอส” หลายคนประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน มีตำแหน่งใหญ่โต อย่างอูชฮาน กันเดเวีย นายธนาคารแห่งโกล์ดแมน แซคส์ และปรากาศ กุปตะ เจ้าหน้าที่ทูตระดับอาวุโสประจำสหประชาชาติในนครนิวยอร์กของสหรัฐ นอกจากนี้ ยังมีศิษย์เก่าที่เป็นนักวิชาการแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตลอดจนศัลยแพทย์กับนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำอีกหลายคนที่เคยผ่านโรงเรียน “ซีเอ็มเอส” มาแล้ว.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/world/163294
ที่มา  http://www.facebook.com/dcj.sink?fref=ts


.กิเลสทั้งหลายก็เปรียบเสมือนน้ำ


“...กิเลสทั้งหลายก็เปรียบเสมือนน้ำ
จิตของผู้ประพฤติก็คือใบบัว
ถูกกันอยู่ ไม่หนีไป แต่ว่าไม่ซึมซาบเข้าไป
จิตของพระโยคาวจรเจ้าผู้ปฏิบัติก็เหมือนกัน
ไม่ได้หนีไปไหน อยู่ที่นั่นแหละ
ความดีมาก็รู้ ความชั่วมาก็รู้
ความสุขมาก็รู้ ความทุกข์มาก็รู้
ความชอบมาก็รู้ ความไม่ชอบมาก็รู้
รู้หมด รู้หมดอยู่ที่นั่น แต่ท่านรับทราบไว้เฉยๆ
มันไม่ได้เข้าไปในจิตของท่าน เรียกว่าไม่มีอุปาทาน
เป็นผู้รับทราบไว้เรื่อยๆ เรื่อยๆ ไป...”

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
จากหนังสือ ๔๘ พระธรรมเทศนา น. ๑๑๘

" อย่ามีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ตอน ๑ "


" อย่ามีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ตอน ๑ "

ไปสังเกตดูเถอะว่า พอเราหวังเท่านั้น
เราก็ผิดหวังทันทีที่เราหวัง
เพราะมันยังไม่มา มันยังไม่ได้
นี่เราจะไปหวังให้ผิดหวังทำไม

ฉะนั้น เราไม่ต้องหวัง
เราคิดดี ว่าเราต้องการอะไร
เราคิดเสร็จแล้วเราก็ทำ

ทีนี้ก็ทำไปด้วยกำลัง ด้วยสติ ด้วยปัญญา
ทำด้วยสติปัญญาไม่กัด
ถ้าทำด้วยความหวังแล้วมันกัดขบ
มีชีวิตอยู่ด้วยความหวังนั่นแหละ
ความหวังมันจะกัด
มันจะขบอยู่ตลอดเวลาเลย
มันเป็นสัตว์ร้าย....ความหวัง

ทีนี้เราไม่มีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง
เรามีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญาๆ
ระลึกไว้ดีแล้วก็ทำไปๆ
เราไม่ต้องหวัง ให้มันกัดเรา

ทีนี้สิ่งเหล่านั้นมันก็ดำเนินไปๆ
จนถึงเวลาที่มันมีผล มันก็ได้ผลแหละ

พุทธทาสภิกขุ

การบรรยายประจำวันเสาร์ แห่งภาคอาสาฬหบูชา
หัวข้อ "การอยู่ด้วยปัจจุบัน ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต"
ที่มา http://www.facebook.com/buddhadasaarchives?ref=stream

สูตรกระตุ้นเส้นใยเห็ดฟางชุดหลัง


สูตรกระตุ้นเส้นใยเห็ดฟางชุดหลัง ให้ออกดอกมากขึ้น เศษเห็ด 10 กก. + กากน้ำตาล 5 ลิตร +พด.2 จำนวน 1ซอง+น้ำ 20 ลิตร หมัก 1 เดือน ใช้ 2 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตรหลังเก็บดอก
จาก SMS Farmer info by DTAC - 12 มีค 2556

สูตรมาร์คหน้า ผิวขาว แก้ปัญหาสิว


สูตรมาร์คหน้า ผิวขาว แก้ปัญหาสิว ใช้ผงทานาคา + โยเกิร์ต + น้ำมะขามเปียกอย่างละ 1 ช้อนชา + นมสด 2 ช้อนชา มาร์คหน้าหลังล้างหน้า 15-20 นาที แล้วล้างออก
จาก SMS FArmerInfo by DTAC - 03 มีค 2556

สองด้านของเหรียญ

สองด้านของเหรียญ
แม่กลุ้มใจที่ลูกชายวัย ๑๑ ขวบทำตัวเหินห่าง มีปัญหาอะไรก็ไม่เคยบอกแม่ จนแม่รู้จากปากของคนอื่นว่าลูกถูกเพื่อนร่วมโรงเรียนแกล้งเป็นประจำ กลายเป็นคนเงียบขรึม ไม่สุงสิงกับใคร ซ้ำยังมีปัญหากับครูที่ชอบดุด่า จนลูกไม่อยากไปโรงเรียน บางวันถึงกับแกล้งป่วย ครั้นแม่พยายามคะยั้นคะยอให้เปิดใจคุยกับแม่เรื่องเหล่านี้ ลูกก็มีอาการหงุดหงิด และถึงกับหัวเสียเมื่อแม่ให้คำแนะนำลูก

แม่เสียใจจนร่ำไห้ที่ลูกไม่เห็นตัวเองอยู่ในสายตา แถมมีอาการต่อต้านแม่ด้วย แต่วันหนึ่งเธอได้ร่วมกิจกรรมไตร่ตรองชีวิตและได้สนทนากับกัลยาณมิตรที่มีประสบการณ์ เธอก็พบความจริงอย่างหนึ่งว่า ตอนเธอเป็นเด็กนั้น เธอก็ทำกับพ่ออย่างเดียวกับที่ลูกทำกับเธอทุกวันนี้ แม้อยู่บ้านเดียวกันแต่เธอแทบไม่คุยกับพ่อเลย รู้สึกว่าห่างได้เป็นดี เจอหน้าทีไรก็รู้สึกมึนตึง ในใจนั้นรู้สึกเกลียดพ่อด้วยซ้ำ

เธอไม่ชอบพ่อก็เพราะพ่อชอบจู้จี้ขี้บ่น ต่อว่าเธอเป็นประจำ และไม่เคยฟังเธอเลย มีหลายครั้งที่พ่อระบายอารมณ์ใส่เธออย่างรุนแรง ยิ่งนึกถึงพ่อก็ยิ่งโกรธ แต่ชั่วขณะหนึ่งเธอก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า สิ่งที่พ่อทำกับเธอนั้น เธอก็เอาไปทำกับลูกเช่นกัน แม้จะรุนแรงน้อยกว่าก็ตาม เธอชอบจู้จี้กับลูกและต่อว่าเขาเป็นประจำ และไม่ค่อยฟังเขาเลย เธออดแปลกใจไม่ได้ว่า ทั้ง ๆ ที่เธอไม่ชอบนิสัยของพ่อ แต่เธอกลับรับเอานิสัยของพ่อมาใช้กับลูกของเธอ

เธอได้พบว่าลูกคือภาพสะท้อนของเธอตอนเป็นเด็ก ส่วนเธอก็เป็นภาพสะท้อนของพ่อในอดีต ตอนเป็นเด็กเธอรู้สึกว่าตนถูกกระทำจากพ่อ แต่ตอนนี้เธอกำลังเป็นฝ่ายกระทำต่อลูก มาถึงตอนนี้เธอเข้าใจลูกมากขึ้น ลูกไม่ใช่ตัวปัญหา ปัญหาอยู่ที่ตัวเธอเองต่างหาก นับแต่วันนั้นเธอพยายามระมัดระวังคำพูดมากขึ้น ไม่จู้จี้ขี้บ่น ขณะเดียวกันก็เปิดใจฟังลูก ไม่คิดแต่จะให้คำแนะนำสั่งสอนอย่างเดียว ไม่นานเธอก็พบว่าลูกเปิดใจให้เธอมากขึ้น นอกจากฟังเธอแล้ว ยังพร้อมจะเล่าความในใจให้เธอฟังเพราะรู้ว่าเธอจะฟังเขาอย่างจริงจังโดยไม่ด่วนตัดสิน

เราต่างเป็นทั้งผู้กระทำและถูกกระทำโดยไม่รู้ตัว แม่รู้สึกว่าลูกปฏิบัติไม่ดีกับแม่ แต่เมื่อสืบสาวก็จะพบว่า นั่นเป็นเพราะแม่ปฏิบัติไม่ดีกับลูกก่อน ที่ลูกไม่ฟังแม่ ก็เพราะแม่ไม่ฟังลูกหรือเอาแต่จู้จี้ขี้บ่น อย่างไรก็ตามหากสืบสาวไปให้ไกลอีกหน่อยก็จะพบว่า ที่แม่ทำตัวเช่นนั้นก็เพราะเคยถูกกระทำอย่างเดียวกันกับพ่อ(หรือแม่)ของตน

จากเรื่องราวข้างบน ความจริงอย่างหนึ่งที่ดูแปลกก็คือ ลูกสาวไม่ชอบสิ่งที่พ่อทำกับตน แต่พอเป็นแม่ก็ทำอย่างเดียวกันนั้นกับลูกของตน ราวกับว่าซึมซับรับเอาการกระทำของพ่อมาไว้กับตัว คงไม่ผิดหากจะพูดว่าความรุนแรงนั้นถ่ายทอดกันได้ ด้วยเหตุนี้คนที่เป็นฝ่ายถูกกระทำด้วยความรุนแรง จึงมักลงเอยด้วยการกลายเป็นผู้กระทำความรุนแรงนั้นเสียเอง

ในสังคมวงกว้างเรามักพบเช่นกันว่า คนที่ก่อความรุนแรงกับผู้อื่นนั้น ในอดีตก็เคยเป็น “เหยื่อ” หรือผู้ถูกกระทำมาก่อน โดยอาจจะเริ่มจากครอบครัว เยาวชนจำนวนไม่น้อยที่ก่ออาชญากรรมทางเพศหรือยกพวกตีกันจนมีคนบาดเจ็บล้มตาย ล้วนเป็นคนที่มีบาดแผลในวัยเด็ก เช่น ถูกพ่อแม่ละทิ้งหรือทำร้ายร่างกาย ถูกเหยียดหยามจากคนรอบข้าง หรือถูกยัดเยียดให้รู้สึกว่าเป็นคนไร้ค่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นธรรมดาที่คนเหล่านี้ย่อมซึมซับความรุนแรงรวมทั้งความเกลียดชังไว้ในใจ และพร้อมจะระบายใส่คนอื่นเมื่อมีโอกาส ยิ่งถูกกระทำทารุณกรรมเมื่อถูกจับเข้าสถานพินิจ ฯหรือเรือนจำ ก็ยิ่งสะสมความรุนแรงที่เป็นอันตรายต่อคนรอบตัว

ประสบการณ์อันเลวร้ายที่ได้รับทำให้คนเหล่านี้เกลียดชังคนทั้งโลก ยกเว้นพวกเดียวกัน เพราะคนกลุ่มหลังนี้เป็นพวกเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า หรือมี “ตัวตน” อยู่ในโลกนี้ ดังนั้นเขาจึงพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อน ๆ แม้นั่นจะหมายถึงการทำร้ายคู่อริหรือรุมโทรมหญิงก็ตาม

เป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะยอมรับว่า คนที่มีพฤติกรรมเลวร้ายนั้น แท้จริงเขาคือ “เหยื่อ” หรือผู้ถูกกระทำด้วยเช่นกัน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น เหยื่อหรือผู้ถูกกระทำ หาได้แยกจากกันไม่ ทำนองเดียวกับสองด้านของเหรียญเดียวกัน

ความจริงดังกล่าว ท่านติช นัท ฮันห์ ได้ถ่ายทอดเป็นบทกวีอย่างงดงามและสะเทือนใจ

“ฉันคือแมลงเม่า ที่กำลังกลายรูปบนผิวน้ำ
และฉันคือนก โฉบลงขยอกกลืนเจ้าแมลง
ฉันคือกบแหวกว่ายอย่างเป็นสุข
และฉันคืองูเขียว เลี้ยวลดกินกบอย่างเงียบเชียบ
ฉันคือเด็กในอูกันดา มีแต่หนังหุ้มกระดูก
ขาฉันเล็กบางราวลำไผ่
และฉันคือพ่อค้าอาวุธ ขายเครื่องประหัตประหารแก่อูกันดา
ฉันคือเด็กหญิงสิบสองขวบ ลี้ภัยในเรือน้อย
โถมร่างลงกลางสมุทร หลังถูกโจรสลัดข่มขืน
และฉันคือโจรสลัด
หัวใจฉันยังขาดความสามารถในการเห็นและรัก”
(จากบทกวี “เรียกฉันด้วยนามอันแท้จริง” แปลโดย ร.จันเสน)

ผู้ที่ก่อความรุนแรงนั้นล้วนเป็นผลมาจากการที่เคยเป็นเหยื่อมาก่อน การรุมประณามหยามเหยียดหรือใช้ความรุนแรงกับเขา จึงไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา มีแต่จะทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่า การทำเช่นนั้นเป็นความยุติธรรมจริงหรือ ประสบการณ์ของทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การปฏิบัติด้วยความรักความเคารพและให้เกียรติแก่เยาวชนที่ต้องโทษเพราะก่ออาชญากรรมนั้น สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของเขาได้ เพราะจิตใจได้รับการเติมเต็ม รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และเกิดความเคารพในตนเอง จนไม่อยากทำชั่วอีกต่อไป พูดอีกอย่างคือ ความใฝ่ดีในจิตใจของเขาถูกกระตุ้นให้กลับมีพลังจนเอาชนะความเห็นแก่ตัวได้ เมื่อบาดแผลในใจที่เกิดจากการเป็น “เหยื่อ” ในอดีตได้รับการเยียวยา ความโกรธเกลียดที่เคยผลักดันให้เป็นผู้ก่อความรุนแรงก็เจือจางไป สามารถอยู่อย่างมีสันติกับตนเองและผู้อื่นได้ (อ่านเรื่องราวของเธอได้จากหนังสือเรื่อง “เด็กน้อยโตเข้าหาแสง” โดย “มิลินทร์” สำนักพิมพ์สวนเงินมีมา)

คนที่แสดงแต่ด้านมืดออกมา มักเป็นเพราะมีเงามืดของคนอื่นมาทาบทับชีวิตของเขานานเกินไป การเปิดโอกาสให้เขาได้รับแสงสว่างในชีวิต ย่อมช่วยขยายด้านสว่างและลดทอนด้านมืดในใจเขา จนสามารถส่องสว่างให้แก่ผู้อื่นได้ในที่สุด
ที่มา http://www.facebook.com/people.khon

VDO บรรยากาศ 107 ปีวันตราดรำลึก 23มีค 2556

      เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสไปร่วมพิธีเปิดงาน 107 ปี วันตราดรำลึก วันสำคัญของชาวตราด 23 มีนาคม 2556 ที่คนตราด เริ่มต้นจัดงานรำลึกมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากจุดเล็กๆ ที่มีเพียงการวางดอกไม้รำลึกที่หน้าพระบรมราานุสาวรีย์ เสด็จพ่อ ร.๕ จนพัฒนามาเป็นการจัดงานที่ใหญ่โต มีการแสดงแสงสีเสียง และขบวนแห่ยาวเหยียดจากการรวมพลังของชาวตราดในวันนี้







      ภาพบรรยากาศที่คน จ.ตราด ร่วมใจร่วมขบวนแห่เปิดงาน ๑๐๗ ปี วันตราดรำลึก ด้วยสำนึกคุณของ ร.๕ ที่ทำให้ได้อยู่ในแผ่นดินที่สงบร่มเย็นมายาวนาน สถาบันพระมหากษัตริย์มีความสำคัญในหัวใจของชาวตราดอย่างสูง ร่วมแสดงออกกับขบวนที่ยาวเหยียด

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

น้ำอัดลม และเครื่องดื่มรสผลไม้ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอ้วน....


น้ำอัดลม และเครื่องดื่มรสผลไม้ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอ้วน....

เว็บไซต์ของวารสารการแพทย์ นิว อิงแลนด์ ระบุว่า สถิติการบริโภคน้ำอัดลม และเครื่องดื่มรสผลไม้ในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจากเมื่อราว 30 ปีก่อนถึง 2 เท่า ส่งผลให้อัตราส่วนประชากรชาวอเมริกันที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 ในช่วงเวลาเดียวกัน

ผลงานวิจัยชิ้นแรก ที่อ้างอิงจากกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันทั้งชายและหญิงกว่า 33,000 คน พบว่า การบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลสูงส่งผลกระทบต่อกลไกทางพันธุกรรม ทำให้เกิดความแปรปรวนและอาจนำไปสู่การเพิ่มของน้ำหนักตัว อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการบริโภค ความถี่ในการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง รวมถึงการออกกำลังกาย

ส่วนผลงานวิจัยอีก 2 ชิ้น อ้างอิงผลจากการทดลองให้เด็ก และผู้ใหญ่รับประทานเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล เช่น น้ำแร่บรรจุขวด หรือน้ำอัดลม และเครื่องดื่มรสหวานที่ใช้สารปรุงแต่งความหวานแทนน้ำตาลแท้ โดยตั้งสมมติฐานว่า สามารถทำให้น้ำหนักลดได้ โดยผลงานวิจัยชิ้นที่ 2 อาศัยกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้ป่วยวัยรุ่นที่มีน้ำหนักเกิน ของโรงพยาบาลเด็กเมืองบอสตัน 224 คน โดยให้บริโภคเครื่องดื่มที่โฆษณาว่า “ปราศจากน้ำตาล” หรือ “0 แคลอรี่” นาน 1 ปี พบว่า เด็กเหล่านี้มีน้ำหนักตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเพียง 0.68 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับเด็กอีกกลุ่ม ที่ดื่มน้ำอัดลมปกติ มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.5 กิโลกรัม

ขณะที่ผลงานวิจัยชิ้นที่ 3 จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัมส์ ของเนเธอร์แลนด์ ใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กอายุระหว่าง 4-11 ปี 641 คน โดยกลุ่มหนึ่งให้ดื่มเครื่องดื่มรสผลไม้ และน้ำอัดลม ส่วนอีกกลุ่มบริโภคเครื่องดื่มลักษณะเดียวกัน แต่มีน้ำตาลน้อยกว่า เป็นเวลา 18 เดือน ปรากฏว่า เด็กที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อย มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6.39 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับกลุ่มเด็กที่บริโภคเครื่องดื่มน้ำตาลสูง ซึ่งมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7.36 กิโลกรัม

พญ.ซอนญ่า คาปริโอ จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล ของสหรัฐ กล่าวว่า ผลงานวิจัยทั้ง 3 ชิ้น แสดงให้เห็นว่า น้ำตาลมีผลต่อน้ำหนักตัว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจะนำไปวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางควบคุม และปรับพฤติกรรมการบริโภค เพื่อลดภาวะน้ำหนักเกินตั้งแต่ในวัยเด็กต่อไป.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/

ที่มา  http://www.facebook.com/dcj.sink?fref=ts

ป่าช้าผีดิบ (ร่างกาย) อยู่ที่นี่หมด


ป่าช้าผีดิบ (ร่างกาย) อยู่ที่นี่หมด นี่ปัญญาก็สอดเข้าไปรู้ ตัณหาราคะ จะเบาลง ทีนี้เวลาพิจารณาอสุภะมากเท่าไหร่ราคะตัณหาเบาแทบไม่ ปรากฏ บางทีไม่ปรากฏเลย ต้องได้ทดลองดูหลายแบบหลายฉบับเช่น เราเดินเข้าไปในกลุ่มหญิงสาวๆ สวยๆ นะ ทางด้านสติปัญญาของเรา มันจะพิจารณาผ่านอสุภะ หญิงสวยๆ งามๆ จะไม่มีคำว่าสวยว่างาม อสุภะนี่จะตีแตกกระจัดกระจายผ่านเข้าไปในคนๆ นั้น จะไม่มีกำหนัด นี่คือสติปัญญาพิจารณาทางอสุภะซึ่งแก่กล้าสามารถแล้ว อสุภะมันเตะ ทีเดียวขาดสะบั้นเลย มันเลยหาความสวยความงามจากผู้หญิงสาวสวย ไม่ได้ ราคะตัณหาเกิดไม่ได้

พอแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

“กุหลาบ” มีคุณค่ามากมาย


“กุหลาบ” มีคุณค่ามากมาย นอกจากมีไว้ดูชมดมหอมๆ แล้วยังกินได้ ทำน้ำสมุนไพรได้ ทำน้ำอาบ-แช่ร่างกายบำรุงผิว รักษาโรคปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อรูมาตอยด์ คลายเครียด กลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบช่วยคลายเครียด เพิ่มความรู้สึกทางเพศ ลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส คลายกล้ามเนื้อ ฝาดสมานรักษาแผล ทำให้แผลหายเร็ว บำรุงตับ ช่วยระบาย ขับระดู ทำให้นอนหลับ ระงับประสาท บำรุงร่างกาย

ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เปิดเผยว่า กุหลาบถูกนำมาใช้ประโยชน์หลากหลาย โดย “กลีบกุหลาบ” อุดมไปด้วยวิตามินซี แคโรทีน วิตามินบี วิตามินเค แคลเซียม และแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายและระบบเลือด เรียกได้ว่า วิตามินเกลือแร่ต่างๆ ที่ร่างกายต้องการนั้น มีอยู่ครบถ้วนในกลีบกุหลาบ เช่น โปแตสเซียม ที่จำเป็นต่อระบบหัวใจ แร่ธาตุทองแดง ที่ร่างกายต้องการเพื่อกระบวนการสร้างเม็ดเลือด และใช้ในกระบวนการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ ไอโอดีน ที่ร่างกายต้องการสำหรับการสร้างฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ นับว่า ในกลีบกุหลาบมีคุณค่าครอบจักรวาลสำหรับการดูแลสุขภาพ

การใช้เริ่มที่ กลีบสด ซึ่งมีการศึกษาข้อมูลพบว่า เชื้อแบคทีเรียจะตายภายใน 5 นาทีเมื่อสัมผัสกับกลีบกุหลาบสด ซึ่งถ้าหากมีปัญหาผิวหนังติดเชื้อ มีสิว แผลเปิด ไฟไหม้ ผิวผื่นแพ้ ล้วนสามารถรักษาได้ด้วยกลีบกุหลาบสด โดยการเก็บกลีบกุหลาบมาใช้นั้น ภญ.ดร.สุภาภรณ์แนะให้เก็บตอนเช้ามืดในช่วงที่อากาศยังสะอาดบริสุทธิ์ หรือในช่วงที่มีความชื้นในอากาศมาก เช่น ยามหลังฝนตกหรือเช้ามืดที่มีน้ำค้างพรมบนกุหลาบ ซึ่งสามารถนำไปใช้ทันทีโดยไม่ต้องล้าง เพื่อรักษาคุณค่าทั้งหลายในกลีบเอาไว้

นอกจากใช้รักษาแผลแล้ว การอาบน้ำกลีบกุหลาบ ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นกัน โดยสามารถช่วยคลายเครียด ลดความวิตกกังวล และช่วยบำรุงผิว ทำได้โดยการนำกลีบกุหลาบสดครึ่งถ้วย ใส่ชามขนาดใหญ่ เติมน้ำร้อนและปิดฝาทิ้งไว้เพื่อรักษากลิ่นของกุหลาบ เมื่อจะอาบน้ำให้เทน้ำกุหลาบที่เตรียมไว้ผสมกับน้ำอุ่นในอ่างน้ำอาบ และเติมน้ำคั้นหัวบีทรูทเพื่อเพิ่มสรรพคุณทางการรักษาของกุหลาบให้ดีขึ้นไปอีก ขณะที่การอาบในขณะน้ำยังอุ่นจะช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อจากรูมาตอยด์ได้ด้วย

สำหรับกุหลาบแห้ง สามารถนำมาป่นให้เป็นผง ผสมกับน้ำผึ้ง ใช้ทาภายในช่องปากเพื่อรักษาอาการอักเสบในช่องปาก ปัญหาของเหงือกและฟันได้ หรือใช้ “มาส์กใบหน้า” ด้วยการทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 10 -15 นาที แล้วล้างออก สำหรับผู้ที่มีผิวมันหรือผิวที่มีปัญหาสิว ทำให้ผิวสดใส มีชีวิตชีวา

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่จะลืมไปไม่ได้ ได้แก่ “น้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบ” ที่ช่วยคลายเครียด ลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส คลายกล้ามเนื้อ เพิ่มความรู้สึกทางเพศ ฝาดสมานรักษาแผล ทำให้แผลหายเร็ว บำรุงตับ ช่วยระบาย ขับระดู ทำให้นอนหลับ ระงับประสาท บำรุงร่างกาย โดยสามารถแบ่งเป็นสรรพคุณต่อระบบต่างๆ ได้ดังนี้คือ

ส่งผลดีระบบประสาทและอารมณ์ กล่าวคือ ช่วยให้สงบ ระงับประสาท ทำให้นอนหลับ ลดอาการใจสั่น กระวนกระวายใจ ลดความเครียด วิตกกังวล ลดความโศกเศร้า ลดความกลัว สร้างความรู้สึกเป็นมิตร ทำให้รู้สึกเป็นสุข โดยในทางสุคนธบำบัดเชื่อว่า น้ำมันกุหลาบเป็นน้ำมันที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในการบำบัดทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ

ในแง่ของระบบสืบพันธุ์นั้น น้ำมันหอมระเหยกุหลาบ ช่วยรักษาอาการติดเชื้อของระบบสืบพันธุ์ บำรุงมดลูก ลดอาการปวดประจำเดือน แก้ปวดท้อง ปรับสมดุลฮอร์โมนใช้ได้ดีกับผู้ที่มีประจำเดือนมามากกว่าปรกติ

ช่วยบำรุงผิวพรรณ ให้ความชุ่มชื้น ทำให้ผิวนุ่ม ช่วยฝาดสมาน ฆ่าเชื้อโรค สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวแห้ง ผิวผู้สูงอายุ ลดการอักเสบ เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเส้นเลือดฝอย ใช้กับผู้ที่มีปัญหาเส้นเลือดฝอยเปราะ แตกง่าย

โดยจากการศึกษาข้อมูลด้านความปลอดภัยโดยทั่วไปทั้ง rose otto และ rose absolute ไม่พบข้อมูลความเป็นพิษและการระคายเคือง


ส่วนการใช้ประโยชน์อื่น ๆ จากกุหลาบยังรวมถึงการทำน้ำต้มกุหลาบมาใช้ทำสเปรย์พ่นเพื่อบรรเทาปวด หมอหลายคนได้ใช้น้ำต้มกุหลาบรักษาอาการเส้นประสาทอักเสบ หรือใช้น้ำต้มกุหลาบทาหน้าหรือใช้เป็นโทนเนอร์ปรับสภาพผิวหลังล้างหน้าได้ด้วย ในขณะที่ ชากลีบกุหลาบ เหมาะสำหรับรักษาอาการหวัด เจ็บคอ หลอดลมอักเสบ บำรุงร่างกายให้แข็งแรง เป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่ดี เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่มากมาย

นอกจากนี้กุหลาบยังรับประทานได้ด้วย ซึ่งช่วยบรรเทาอาการหวัด การติดเชื้อทางเดินหายใจ รักษากระเพาะอักเสบ ท้องเสีย ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง เพิ่มการไหลเวียนเลือด แก้อาการปวดประจำเดือน

“กุหลาบ” มีชื่อวิทยาศาสตร์ Rosa hybrids ในวงศ์ Rosaceae ทั่วโลกมีอยู่มากกว่า 100 ชนิดและส่วนใหญ่มีถิ่นกำเนิดในเอเชีย ที่เหลือกระจายกันไปในท้องถิ่นยุโรป อเมริกาเหนือ และแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ ค้นพบโดยชาวสวนนิรนามเมื่อ 4,000 ปีก่อน เป็นดอกไม้แสนสวยที่มักถูกกล่าวถึงในบทกวีหรือตำนาน เปรียบเทียบกับเรื่องของความรัก ความงาม ความโรแมนติคและยังถูกใช้ในทางการแพทย์หลายอย่างมาแต่สมัยโบราณ

จะเห็นได้ว่า กุหลาบสวยใกล้ตัวมีประโยชน์หลากหลาย ฉะนั้น “ เครียด” ครั้งต่อไป อย่าลืมนำกุหลาบมาใช้ช่วยผ่อนคลายได้


เครดิต: เรียบเรียงจากคอลัมน์สุขภาพ ความงาม WWW.ACNEWS.NET
ภาพ : จากอินเตอร์เน็ต
*****************************************
แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ไม่ต้องพึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

วิธีลดความเครียดปลา


วิธีลดความเครียดปลา นำเกลือแกง 150 กก. แบ่งใส่บ่อ(ขนาด 1 ไร่ น้ำลึก 1 ม.) ครั้งละ 50 กก. เว้นระยะการใส่ 2-3 ชั่วโมง/ ครั้ง เพื่อให้ปลาได้ปรับสภาพ
จาก SMS Farmer info by DTAC - 13 มีค 2556

วิธีต้มปลาทูหวานให้ก้างนิ่ม เนื้อไม่เละ


วิธีต้มปลาทูหวานให้ก้างนิ่ม เนื้อไม่เละ เมื่อทำปลาเสร็จล้างด้วยน้ำปูนใส หั่นอ้อยเป็นท่อนๆวางในหม้อต้ม ใส่ปลา เติมน้ำปรุงรส ต้ม 30 นาที
จาก SMS FArmerInfo by DTAC - 03 มีค 2556

13 วิธี ในการเพิ่มความสุขให้กับชีวิต

13 วิธี ในการเพิ่มความสุขให้กับชีวิต

การสร้างความสุขให้กับตนเอง จริงๆ แล้วทำไม่อยากหรอกครับ แต่ขึ้นอยู่กับว่า คนเราจะทำหรือปล่าวเท่านั้น วันนี้ผมมีข้อแนะนำมาฝาก สำหรับการสร้างความสุขให้ตนเองแบบง่ายๆ ลองทำดูนะครับ

1. ดื่มน้ำทุกชั่วโมง เวลาทำงานเรามักยุ่งจนลืมดื่มน้ำ ทางแก้คือ วางแก้วน้ำหรือขวดน้ำไว้ใกล้มือแล้วจิบบ่อยๆ พบว่าหากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจนน้ำหนักตัวลดลงแม้แค่ 2 เปอร์เซ็นต์ จะมีผลให้ให้ความจำระยะสั้นและทักษะการแก้ปัญหาลดลง เมื่อไรที่รู้สึกกระหายน้ำ นั่นคือสัญญาณเตือนว่าขาดน้ำแล้ว

2. ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แต่ต้องเป็นรอยยิ้มที่มาจากใจด้วยนะ เพราะจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนรับรู้ความสุข หากวันไหนรู้สึกเศร้าจนยิ้มไม่ออก โทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่มุขเยอะหรืออยู่ใกล้คนอารมณ์ดีเข้าไว้ จะทำให้คุณยิ้มได้ เพราะคนเรามีแนวโน้มเลียนแบบอารมณ์ของคนที่พูดคุยด้วย

3. เช็คท่าทางของตัวเอง ขณะนั่งทำงานเรามักโน้มตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว ทำให้กล้ามเนื้อหลังส่วนบนยืดขึ้นจนอาจบาดเจ็บได้ ทางที่ดี ทุก 2 - 3 ชั่งโมง คุณควรเช็คท่านั่งของตัวเองเพื่อบุคลิกและสุขภาพที่ดี ท่าที่เหมาะสมคือ นั่งให้สะโพกและไหล่อยู่ในแนวตรงกัน ไม่ต้องถึงกับหลังตรงมากเกินไป ต้นขาขนานพื้น โดยให้ข้อเท้าอยู่ล้ำหัวเข่าออกไปเล็กน้อย หากต้องนั่งทำงานเป็นเวลานานควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อวันละ 2 - 3 ครั้ง โดยนั่งหลังตรง กางแขนทั้งสองขึ้นด้านข้างระดับไหล่ งอศอกให้มือทั้งสองแตะศีรษะ แล้วบีบสะบักหลังเข้าหากัน ค้างไว้ 3 วินาที ทำซ้ำ 3 ครั้ง

4. คิดจินตนาการเรื่องดีๆ ก่อนนอน ใช้เวลาก่อนแค่ 2 - 3 นาที วาดฝันเรื่องที่ทำให้คุณมีความสุข เช่น ทริปสุดสนุกช่วงพักร้อน ดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับหวานใจ หรือคำชมจากเจ้านาย เทคนิคนี้ช่วยให้หลับได้เร็วและสนิทมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจและสมาธิ

5. ผูกมิตรเพื่อนใหม่ แม้คุณจะเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ไม่ว่ากับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างานหรือแม้แต่กับแม่บ้าน ก็ไม่ควรละเลยการทำความรู้จักผู้คนใหม่ๆ ด้วย เพราะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจมากขึ้นและเปิดโลกทัศน์ของตนเอง ที่สำคัญคือ เป็นผลดีต่อหัวใจ พบว่าคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นมีความดันโลหิตต่ำกว่าคนไม่เข้าสังคม ซึ่งมักจัดการความเครียดด้วยวิธีที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น

6. ใกล้ชิดธรรมชาติ จะลงมือพรวนดิน ใส่ปุ๋ย รดน้ำต้นไม้ หรือแค่เดินชมนกชมไม้ก็ให้ประโยชน์ทั้งนั้น ผลการศึกษาในอังกฤษพบว่า หากได้สูดกลิ่นไอดินจะทำให้สมองหลั่งสารความสุขชื่อ “เซโรโทนิน” (serotonin) ออกมามากขึ้น ถ้าบ้านของคุณมีพื้นที่ไม่มากนักปลูกไม้ประดับหรือสมุนไพรไว้ในบ้านก็ได้ นอกจากสร้างความสดชื่นแล้ว ยังสามารถนำมาปรุงอาหารจานสุขภาพ ซึ่งอุดมไปด้วยสารแอนติออกซิแดนท์อีกต่างหาก

7. ฟังเพลงขณะเดินทาง ฟังดนตรีจังหวะสบายๆ บรรเทาความเครียดได้ เพราะช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลาย ป้องกันไม่ให้ระดับฮอร์โมนความเครียด ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงจนเกินไป ยิ่งร้องตามไปด้วยยิ่งส่งผลดี พบว่า การร้องเพลงช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและลดฮอร์โมนความเครียด คอร์ติซอล (cortisol) แถมยังเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ นอกจากนี้ขณะร้องเพลงเราจะสูดหายใจลึกขึ้น จึงเพิ่มปริมาณออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพื่อสร้างแอนติบอดีต่อสู้โรคหวัด

8. กินอาโวคาโด จะกินสดๆ หรือกินเมนูที่มีส่วนผสมของอาโวคาโดก็ดีต่อสุขถาพทั้งสิ้น เพราะในอาโวคาโดมีสารซึ่งช่วยฆ่าเซลล์บางชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และปกป้องเซลล์ดีไม่ให้กลายเป็นเนื้องอก จึงเป็นปราการป้องกันโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้อาโวคาโดยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอล รวมถึงมีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ดีต่อหัวใจอย่างวิตามินซีและอี เพื่อรสชาติอร่อยแปลกใหม่ ลองใส่อาโวคาโดในสลัดแทนชีสได้รสชาติหอมมันไม่แพ้กัน

9. ตุนอาหารมีประโยชน์ ผู้หญิงที่ทำอาหารกินเองบ่อยๆ มีแนวโน้มกินผักและผลไม้มากขึ้น และรับไขมันเข้าสู่ร่างกายน้อยลง เมื่อเทียบกับคนที่มักกินตามร้านหรือซื้อมากิน นั่นเพราะคุณสามารถเลือกส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพมาใส่ในจานโปรดของคุณได้ ทุกสัปดาห์ ควรซื้อผักผลไม้สดและเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ อย่างเนื้อปลามาเก็บไว้ในตู้เย็น และเดือนละครั้ง หาอาหารแห้งมาตุนไว้ สิ่งที่ควรซื้อติดบ้าน ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ น้ำมันมะกอก ปลาทูน่ากระป๋อง ซอสมะเขือเทศ เครื่องเทศต่างๆ รวมทั้งของกินเล่น ประเภทผลไม้อบแห้งและถั่วต่างๆ

10. ทำความสะอาดบ้าน บ้านช่องที่สะอาด ปราศจากฝุ่นและเชื้อโรค นอกจากดีต่อสุขภาพกาย เพราะช่วยป้องกันคุณจาดโรคหวัดภูมิแพ้ และหอบหืดแล้ว ยังทำให้จิตใจแจ่มใสและอารมณ์ดีด้วย พบว่า ๙๘ เปอร์เซนต็ของคนทั่วไปรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นเมื่อบ้านสะอาด ดังนั้นเพียงจัดบ้านให้สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบ ก็ช่วยลดเครียดได้แล้ว

11. พักการดูโทรทัศน์บ้าง จะทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเลิกดูโทรทัศน์ไปเลย เพียงเลือกดูเฉพาะรายการที่อยากดูจริงๆ เท่านั้น พบว่าคนที่ไม่เปิดโทรทัศน์นานสองสัปดาห์มีแนวโน้มเข้านอนเร็วขึ้น ทำให้ตื่นขึ้นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า จัดสรรหนึ่งวันในสัปดาห์ให้เป็น “วันปลอดโทรทัศน์” แล้วใช้เวลากับตนเอง ครอบครัว หรือเพื่อนฝูงมากขึ้น โดยชวนกันไปออกกำลังกาย กินมื้อเย็น ไปเดินห้าง หรืออาจฉกฉวยช่วงเวลานี้ทำสิ่งที่ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการขลุกอยู่กับหนังสือเล่มโปรด หรือขัดสีฉวีวรรณครั้งใหญ่ นอกจากรู้สึกผ่อนคลาย ผิวยังสวยขึ้นด้วย

12. วัดรอบเอว ไม่ใช่เพื่อรูปร่างที่ดูดีเท่านั้น แต่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย หากคุณมีรอบเอว ๓๕ นิ้วหรือเกินกว่านั้น แสดงว่าคุณมีไขมันหน้าท้องมากเกินไปแล้ว ทำให้เสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง

เริ่มวัดรอบเอวเดือนละครั้งตั้งแต่วันนี้ หากพบว่ามีขนาดเกินมาตรฐาน ควรหาหนทางลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี เช่น ออกกำลังกาย ลดปริมาณอาหาร กินผัก ผลไม้ ข้าวไม่ขัดสี และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเป็นประจำ ฯลฯ

13. อยู่ใกล้ดอกไม้ การเห็นดอกไม้สดใกล้ๆ ตัว ทำให้ผู้หญิงอารมณ์ดีขึ้นและวิตกกังวลน้อยลง การศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า เพียงได้ชมดอกไม้ชั่วครู่ในตอนเช้าช่วยให้สดชื่นไปตลอดทั้งวัน นอกจากในบ้านแล้ว ควรหาดอกไม้มาประดับแจกันบนโต๊ะทำงานด้วย หากไม่ชอบดอกไม้ เปลี่ยนเป็นไม้กระถางต้นเล็กๆ ก็ได้ ทำให้คุณหายใจสะดวกขึ้น เพราะช่วยเพิ่มก๊าซออกซิเจนและลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จาก www.ladinaclub.com
ที่มา http://www.facebook.com/people.khon

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

บางมุมมองของเครื่องดื่มชูกำลัง


บางมุมมองของเครื่องดื่มชูกำลัง...(ข้อมูลบางส่วนจากวิถีพีเดีย)


เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมของสารคาเฟอีนในปริมาณไม่เกิน 50 มิลลิกรัม ต่อ 1 ขวด (100 - 150 มิลลิลิตร) เครื่องดื่มชนิดนี้ส่วนใหญ่เน้นไปทางด้านพลังงาน นักวิทยาศาสตร์ได้ให้พื้นฐานกับเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า เครื่องดื่มชนิดนี้มีความใกล้เคียงกันกับเครื่องดื่มที่ไม่มีส่วนผสมของคาเฟอีนโดยส่วนใหญ่แล้วเครื่องดื่มชนิดนี้จะนิยมดื่มในหมู่ผู้ใช้แรงงาน และคนที่ทำงานหนักเนื่องจากเมื่อทำงานเสร็จร่างกายจะอ่อนเพลีย จึงต้องการพลังงานชดเชยกลับมา

ส่วนประกอบของเครื่องดื่มชูกำลัง

ส่วนใหญ่ในเครื่องดื่มชูกำลังจะมีส่วนผสมที่สำคัญคือ Xanthine , วิตามินบี และสมุนไพร บางยี่ห้อก็ใส่ส่วนผสมเพิ่มเติมเช่น Guarana แปะก๊วย โสม บางยี่ห้อก็จะใส่น้ำตาลในปริมาณที่สูง บางยี่ห้อก็ถูกออกแบบให้มีพลังงานต่ำ แต่ส่วนผสมหลักของเครื่องดื่มชูกำลังก็คือคาเฟอีน ซึ่งเป็นส่วนผสมชนิดเดียวกันกับกาแฟหรือชา
เครื่องดื่มชูกำลังส่วนใหญ่จะมีปริมาตร 237 มิลลิลิตรต่อขวด (ประมาณ 8 ออนซ์) มีสารคาเฟอีนประมาณ 80 มิลลิกรัมต่อ 480 มิลลิลิตร โดยในการทดสอบสูตรของเครื่องดื่มชูกำลังนั้น กลูโคสมักเป็นส่วนผสมพื้นฐานของเครื่องดื่มชูกำลังเสมอ (ซึ่งผสมอยู่ในคาเฟอีน , ทอรีน และสารกลูโคโลแล็คโทน)


ที่มา  http://www.facebook.com/dcj.sink?fref=ts

เข้าสู่สมาธินี่คือการพักนะ


“เข้าสู่สมาธินี่คือการพักนะ” งานของเราคืองานพินิจพิจารณาอสุภะ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตาอยู่ในร่างกายนี้ เมื่อมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว ให้ย้อนเข้ามาพักในสมาธิ แต่จิตจะเพลินไม่อยากจะเข้าพักในสมาธิ แต่ก่อนถือสมาธิเป็นสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ให้ความสุข ความสบาย แต่ เวลาก้าวออกทางปัญญาแล้วสมาธินี่เหมือนหนึ่งว่าจะหมดคุณค่าไป ความจริงมีคุณค่าอยู่ในนั้นเมื่อเวลาเราพิจารณาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า มากๆแล้ว จิตจะไม่อยากอยู่ในสมาธิมันเพลินทางด้านปัญญามันจะ พุ่งออกทางด้านปัญญาเวลาเราจะให้พักจะต้องหักจิตเข้ามา ถึงแม้มัน จะเพลินในการพิจารณาในด้านปัญญาขนาดไหน เวลานั้นมันเหนื่อย เมื่อยล้า ควรพักให้ย้อนเข้ามาสู่สมาธิทำสมาธิให้สงบตามเดิม

พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ตอน.. “ดับอัตตาต้องรู้รูปนาม”


บันทึกย่อ  วิถีอาริยธรรม  ณ สันติอโศก
อา. ๓ มี.ค. ๒๕๕๖  แรม ๖  ค่ำ เดือน ๓  ปีมะโรง เริ่ม 09:01 น.
ตอน..  “ดับอัตตาต้องรู้รูปนาม”


1. พ่อครูพาไหว้พระ ท่านจันทร์ว่าการวิ่งตามข้อมูลข่าวสารอันฉับไวเพียงด้านเดียว แบบด่วนตัดสินใจ เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจให้ถูกต้อง สังคมจึงแข่งขันการให้ข้อมูลที่เร็วไวที่สุด สังคมจึงขาดความไตร่ตรองให้สุขุมรอบคอบ  ท่านจั.ตั้งจิตอธิษฐานจะไม่จดจ่อติดตามข้อมูลข่าวสารที่มาจากไอทีต่างๆ จะได้ทำให้ใจสงบลง จึงได้แต่งกลอนขึ้นมาสามสี่บท “...รับข่าวช้าจะได้เจอข้อมูลจริง”


2. พ่อครูตั้งใจจะอธิบายเรื่องรูป อัตตาหรือกายต่างๆ คนมักง่ายก็มักจะนึกคิดเอาด้วยเหตุผลตักกะ หนักขนาดว่าในเมื่อไม่มีตัวตน แล้วจะเอาตัวตนที่ไหนไปปฏิบัติ ซึ่งใช้ไม่ได้กับการเข้าถึงสภาวธรรมอันคัมภีรภาพของพระองค์ ซึ่งจะเข้าถึงไม่ได้ด้วยตักกะ (อตักกาวจรา) .. ไปยึดอุปาทานไว้ด้วยปัญญาที่รู้ตัวจบสุดท้าย ไปเป็นคำตอบสุดท้ายของเหตุผลตักกะ ทั้งที่จริงนั้น เมื่อบรรลุอรหัตตผลแล้ว จิตวิญญาณนั้นก็ยังเป็นจิตที่มีพลังเต็มเปี่ยม มีขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ จนรู้ว่าบางคนก็ยังยึดอัตตาบริสุทธิ์ว่าเป็นเราอยู่ได้ ดังนั้น การศึกษาต้องรู้จักอัตตาให้ถ่องแท้ตั้งแต่เบื้องต้น (รู้จักอัตตาทั้ง ๓) ให้เป็นแสงเงินแสงทองมาก่อน ที่จะได้รู้จักการปฏิบัติด้วยมรรคองค์ ๘


3. คุณ๘๗๐๕ จึงได้แต่แย้งด้วยตักกะโลกแตก ที่หาที่จบไม่ได้  เขาบอกว่า ผู้ปฏิบัตินั้นไม่มีใครฆ่ากิเลสได้หรอก ถ้ามีปัญญา มีดวงตาแห่งธรรมปัญญา กิเลสมืดมัวนั้นจะหาย ตายไปเอง (พ่อว่า ถ้างั้นปหาน๕ก็ไม่ต้องมี อันแสงปัญญานั้นก็คือการทำให้เป็นไฟปัญญา ... ความฉลาดนั้นจึงหลอกตนเองได้ จนไปเห็นว่าบัณฑิตอื่นโง่ไปหมด โง่ตรงที่ว่าไม่รู้ว่าอนัตตานั้นไม่ใช่ตัวตนที่จะมีตัวไปปฏิบัติ พ่อครูจึงเห็นว่า ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี  รูปานิ ปัสสติ) ถ้าไม่รู้รูปนามแล้ว จะเห็นรูปทั้งหลาย หรือเห็นอัตตาทั้งหลายได้ยังไง  คุณอ้างว่าคุณไม่ได้สร้างอัตตา  แต่คุณไม่รู้จักอัตตาที่คุณได้สร้างขึ้นมาเลย  ทิฏฐุปาทานก็อัตตา อัตตวาทุปาทานก็อัตตา กามุปาทานก็ยิ่งเป็นอัตตา 4. เขาหาว่าโพธิรักษ์นั้นเห็นรูปได้แค่รูปที่เกิดทางตา ทั้งที่รูปที่เกิดจากทางหู ก็มี ... พ่อครูสอนว่า (ผมบันทึกไม่ทัน มีทั้งปฏิภานดี) เขาว่า “ที่ไปว่าเขาว่าปั้นอัตตาถามว่าเอาอะไรมาปั้น เดาต่างหาก” ...เขาว่า “ให้มีสติรู้ทันการเกิดดับของรูปนามของเรา แต่เรามีอายตนะทั้ง๖ จึงต้องให้ปิดทวารทั้ง๕เสีย เอาแต่ทวารเดียว” ... “พธร.ไม่ยอมสำเนียกในคำว่า รูปนามต่างก็หาอัตตาไม่ได้ หาใช่อัตตานั่นเอง”


5. พ่อครูจึงสอนให้เรื่องการรู้นามรูป กาย หรืออัตตาที่มีองค์ประชุมเรียกว่ากายะ  เริ่มที่อวิชชาเกิด รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือสิ่งที่รู้ คนสามารถกำหนดรู้แยกแยะรู้ได้ เวทนาก็เป็นรูปให้ถูกรู้ เจตนาก็เป็นรูปให้ถูกรู้ ก็รูปนั่นแหละคืออัตตา กำจัดอัตตา ไม่ใช่ตัวตน ท่านที่กำจัดได้แล้วจึงไม่ตั้งปณิหิตตะต่อ จึงเข้าปรินิพพาน  ส่วนท่านที่ยังไม่ดับหมด ยังตั้งปณิหิตนิพพานไว้ด้วยการสมาทานอยู่ต่อ ก็คือให้มีอัตตาอยู่อาศัยทำงานต่อไปได้อีก


6. อวิชชายังให้เกิดโลกสมุทัย พาให้เกิดสังขาร (สังขารที่เป็นโลกสมุทัย และตัวอื่นๆที่จะเกิดตามมาในปฏิจจสมุปบาท ก็ล้วนแต่เกิดเป็นเหตุแห่งโลกสมุทัยทั้งนั้น หรือก็คือเกิดห่วงโซ่ให้เกิดทุกข์ /ผู้บันทึก) ... พ่อครูสอนปัจจัยในธรรมที่เกี่ยวข้องกันหลายองค์ธรรม เช่น นามรูป มีรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งแม้นามธรรมก็ยังต้องเป็นรูปที่ถูกรู้ให้ได้ เช่น เวทนา๖ ตัณหา๖ วิญญาณ๖ ย่อมเป็นรูปกันทั้งนั้น เพื่อให้รู้ด้วย “นามรูปปริเฉทญาณะ”  รู้โดยเอาสัญญาไปกำหนดรู้


7. รูปาวจรจึงเห็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต (มโนมยอัตตา) ส่วน อรูปาวจรนั้นจึงเห็นความไม่มีรูปนั้น(อรูปอัตตา)ด้วยสัญญา ... เจตนา ๓ ก็คือตัณหา๓นั่นเอง โดยมีมโนสัญเจตนาไปในกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา ... คำว่า สังขาร ก็ไม่ได้ทิ้งกายสังขาร ย่อมมีครบทั้งกาย วจี จิต อันเป็นไปแบบอภิสังขาร ... มีวิญญาณ๖ ไม่ใช่วิญญาณเดี่ยวๆ ไปเดียวๆ ที่เอาแต่มโนวิญญาณเท่านั้น วิญญาณ๖จึงมีปัจจัยการเกิด .. ปัจจัยการเกิด ก็เกิดทั้งวจีสังขาร ที่เกิดมาตั้งแต่การริเริ่มดำริมาก่อน  


8. พ่อครูอ่านข้อความในพระไตรฯให้รู้ครบในวิภังคสูตร (จำแนกต่างๆ เช่น นามรูปเป็นไฉน ผัสสะ๖ เวทนา๖ วิญญาณ๖ ฯลฯ อภิสังขาร และสอนทั้งวิจารณ์ในสิ่งที่ไม่ใช่ด้วย) ...


9. ชาติคือการเกิด .. พ่อครูจะอธิบายให้หัวกับท้ายมันสัมพันธ์กัน คือ เกิดและดับ ถ้าเริ่มต้นด้วยอวิชชา สังขารก็ต้องปรุงแต่งด้วยอกุศลหยั่งลง ให้เกิดเป็นสัตว์ที่ผูกไว้ด้วยอวิชชา .. เกิดอย่างต่อเนื่อง ก็คือโอกกันติ ต่อเนื่องไม่ขาด ไม่มีขณะคั่นเลย ... เกิดอย่างเที่ยงก็ไม่มี เกิดอย่างนิรันดร์ย่อมไม่มีเพราะต้องมีอะไรมาคั่นให้เปลี่ยนไป การดับอย่างเที่ยงก็ไม่มี และดับอย่างเที่ยงก็มีคือมีความเป็นอมตะ เพราะดับเหตุที่พาเกิดได้สนิท จึงไม่มีอะไรมาเกิดให้ดับอีกเลย


10. โอกกันติท่านผู้รู้อธิบายว่า เกิดหยั่งลงอย่างชลาพุชโยนิและอัณฑชโยนิ  นิพพัตตินั้นท่านว่าเกิดอย่างสังเสทชโยนิ  อภินิพพันติหรือเกิดจำเพาะนั้นคือเกิดโดยโอปปาติกะ ... แต่พ่อครูว่า การเกิดในปฏิจจฯนั้นล้วนแต่เป็นการเกิดทางนามธรรม  ถึงแม้จะอ้างถึงรูป ก็เพียงมีความเกี่ยวข้องเท่านั้น ... (พ่อครูว่า สัญชาติคือเกิดหยั่งลง จำฝังลงไป ซึ่งไปซ้ำกับโอกกันติที่เป็นการหยั่งลงเกิด /ผู้บันทึก) ... ท่านจันทร์สรุป พ่อครูเปิดเผยความเที่ยง ไม่เที่ยง มีขณะ.

ที่มา http://www.facebook.com/notes/asokeboonniyom/%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1/340608819372620