++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

สิ่งเล็กๆที่ยิ่งให้ สู้ๆเป็นกำลังใจให้ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้


สิ่งเล็กๆที่ยิ่งให้ สู้ๆเป็นกำลังใจให้ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้
อุปสรรคแม้ยิ่งใหญ่เพียงไหน ก็แพ้ต่อความเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ และไม่นิ่งดูดายในการทำความดี ชมวีดิทัศน์เรื่องนี้ แล้วหวังใจว่าจะเป็นแรงใจให้ทุกท่านมีกำลังใจสู้



ข้อคิดแบบผู้นำของเฮียฮ้อ อาร์เอส SurachaiChetchotisak ‏@HereHorRS


SurachaiChetchotisak ‏@HereHorRS

- "ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แต่ต้องทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า" ท่องไว้&พยายามทำให้ได้ เราก็จะมีชีวิตที่ดีในทุกๆวันไม่ว่าสิ่งต่างๆรอบตัวจะเปลี่ยนไปอย่างไร

-  ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเท เพื่อสิ่งดีๆในชีวิต ต้องคิดดีทำจริงด้วยความอดทน ขอให้สำเร็จสมหวังทุกคนครับ

- RS"ENTER THE ERA 2013" คือการก้าวสำคัญสู่การเป็นเจ้าของ&ผู้บริหารสถานีอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยวิชั่น&ทีมบริหารคุณภาพ&ประสบการณ์&ความเชี่ยวชาญ(1)

- รักษาความเป็นผู้นำด้วยการทำงานอย่างเข้าถึงเข้าใจผู้บริโภค&ตลาด โดยการใช้ข้อมูลเชิงลึกมากำหนดกลยุทธเพื่อสร้างผลงานให้ถูกใจผู้ชมมากที่สุด(2)

- ด้วยความพร้อมขององค์กร&และการทุ่มเททำงานอย่างหนักจะทำให้RSปีนี้มีการเติบโตทั้งรายได้&กำไรสูงที่สุดนับแต่ก่อตั้งบริษัทมา (3)

- แม้วันนี้ผลงานต่างๆของRSทั้งเพลง&สื่อจะประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับอย่างมากแต่เราไม่เคยพอใจจะมุ่งมั่นพัฒนาต่อไปขอบคุณทุกคนที่สนับสนุน

- หัวใจที่สำคัญมากๆในการสร้างความแข็งแรงให้กับบริษัทเพื่อการเป็นผู้นำ ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างทีมคุณภาพ&วันนี้RSมีดรีมทีมที่ปึกมากในทุกมิติ

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

4 VDO อาลัย ฅนลานข้าว แดง อินโดจีน (สหชาติ จันทินมาธร) คำสัญญา ที่สยามคำนึง ๒๓ ม.ค.๒๕๕๖ ณ วัดคู้บอน

อาลัย ฅนลานข้าว แดง อินโดจีน (สหชาติ จันทินมาธร) คำสัญญา ที่สยามคำนึง ๒๓ ม.ค.๒๕๕๖ ณ วัดคู้บอน คำสัญญาบรรเลง 23-01-2556


พี่น้องผองเพื่อนร่วมอาลัย 23-01-2556 (1)


ไก่ แมลงสาบ ร่วมอาลัย23-01-2556


พี่น้องผองเพื่อนร่วมอาลัย 23-01-2556 (2)


วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร ?


ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร ?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

Sixty plus and Going strong เข้มแข็งหลัง ๖๐



Don't worry about what will happen after you are gone, because when you return to dust, you will feel nothing about praises or criticisms.
อย่าไปกังวลว่าถ้าคุณจากไป อะไรจะเกิดขึ้น...เพราะเมื่อกลายเป็นผงธุลีไปแล้ว ใครเขาจะยกย่องชื่นชมหรือตำหนิประณามอย่างไร คุณจะไปรู้สึกรู้สาอะไรได้

Don't worry too much about your children for children will have their own destiny and find their own way. Don't be your childrens slave.
ลูกของคุณเขาจะเป็นอย่างไร...ก็อย่าเป็นห่วงให้มากนัก  พวกเขาต่างก็มีจุดหมายและหนทางชีวิตของตนเอง    ตายไปแล้ว...คุณก็ยังไม่เลิกเป็นทาสของลูกๆอีกหรือ

Don't expect too much from your children. Caring children, though caring,would be too busy with their jobs and commitments to render any help.Uncaring children may fight over your assets even when you are still alive, and wish for your early demise so they can inherit your properties.Your children take for granted that they are rightful heirs to your wealth; but you have no claims to their money.
อย่าคาดหวังอะไรมากจากเด็กๆ ต่อให้คุณชุบเลี้ยงใครไว้ดูแลคุณยามแก่เฒ่า  เขาก็ต้องวุ่นวายกับการงานและภาระผูกพันต่างๆ เกินกว่าจะมีเวลามาช่วยเหลือดูแลอะไรคุณได้มากนัก   ส่วนลูกจริงๆนั้นก็อาจจะกำลังทะเลาะกันเพื่อแย่งทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ทั้งๆที่คุณยังมีชีวิตอยู่ก็ได้  ดีขึ้นมาหน่อยก็อาจจะแค่แอบภาวนาให้คุณอย่าใช้เงินให้มากและรีบจากไปเสียเร็วๆ  อย่างนี้ก็มีให้เห็นอยู่ถมไป
คุณไม่รู้หรอกหรือว่า..บรรดาลูกๆเขาถือว่าทรัพย์สมบัติของคุณเป็นสิทธิขาดของเขาไปแล้ว  คุณจึงไม่มีสิทธิ์จะไปกำหนดอะไรได้เลยในเงินที่เป็นของเขา...เข้าใจไหม
60-year olds like you, don't trade in your health for wealth anymore; Because your money may not be able to buy your health. When to stop making money, and how much is enough (hundred, thousands, million, ten million)?
คนอายุเกิน ๖๐ อย่างคุณต้องเลิกเอาสุขภาพไปแลกกับความร่ำรวยได้แล้วมีเงินเท่าไรก็ซื้อสุขภาพคืนมาไม่ได้   คุณตอบได้ไหมว่าจะหยุดหาเงินเมื่อใด..  เท่าไหร่คุณถึงจะบอกว่าพอแล้ว ..ร้อย พัน หมื่น ล้าน สิบล้าน..พอรึยังไม่ทราบ ?

Out of thousand hectares of good farm land, you can only consume three quarts (of rice) daily; out of a thousand  mansions, you only need eight square meters of space to rest at night.So as long as you have enough food and enough money to spend, that is good enough.
ต่อให้คุณมีไร่นานับพันไร่ คุณก็กินข้าวได้แค่วันละสามจาน   แม้นจะมีคฤหาสน์นับพันหลัง  คุณก็ต้องการพื้นที่หลับนอนยามค่ำคืนเพียงแปดตารางเมตร   ดังนั้น..ตราบใดที่คุณยังมีข้าวปลาอาหารกินอย่างเพียงพอ  มีเงินพอใช้สอยได้ทุกวัน   เพียงเท่านี้ก็ดีเหลือหลายแล้ว

So you should live happily. Every family has its own problems. Just do not compare with others for fame and social status and see whose children are doing better, etc. but challenge others for happiness, health and longevity.. Don't worry about things that you can't change because it doesn't help and it may spoil your health.
อายุเท่านี้แล้ว คุณควรอยู่อย่างเป็นสุข   ทุกบ้านต่างก็มีปัญหาของตนเอง อย่ามัวไปคิดเปรียบเทียบ แก่งแย่งแข่งดีกัน ไม่ว่าชื่อเสียง ฐานะในสังคม หรือความก้าวหน้าของเด็กๆ ฯลฯ    สิ่งที่ควรจะแข่งกัน..ท้ากันจริงๆนั้น คือแข่งกันมีความสุข แข่งกันมีสุขภาพดี และอายุยืนนาน   ส่วนอะไรที่เราเปลี่ยนมันไม่ได้ ก็อย่าไปฝังอกฝังใจให้ป่วยการและทำลายสุขภาพตัวเองเลย อายุป่านนี้แล้วก็ยังเปลี่ยนมันไม่ได้เลย
You have to create your own well-being and find your own happiness; As long as you are in good mood, think about happy things, do happy things daily and have fun in doing, then you will pass your time happily every day.
หลัง ๖๐ แล้วอย่างนี้ คุณต้องค้นหาหนทางของคุณเองที่จะสร้างชีวิตที่เป็นอยู่ดีๆ และสุขสดใสขึ้นมาให้ได้  ตราบใดที่มันทำให้คุณอารมณ์ดี คิดถึงแต่สิ่งที่ทำให้เป็นสุข ทำอะไรก็สุขสนุกกับมันอยู่ทุกวัน นั่นก็หมายความว่าคุณได้ผ่านวันเวลาอย่างเป็นสุขแล้ว

One day passes, you will lose one day; One day passes with happiness, then you gain one day.In good spirit, sickness will cure; in happy spirit, sickness will cure fast; in good and happy spirit; sickness will never come.
ทุกวันวารที่ผ่านไป คุณจะสูญเสียไป ๑ วัน   แต่ถ้ามันผ่านไปอย่างเป็นสุข วันนั้นคือกำไรชัดๆเลย  จิตใจที่ดี จะช่วยรักษาโรคภัยได้  ถ้าจิตใจเป็นสุขโรคก็จะหายเร็วขึ้น แต่ถ้าจิตใจทั้งดีทั้งเป็นสุขด้วยแล้วล่ะก็   ความเจ็บป่วยจะไม่มีทางมาแผ้วพานได้

 With good  mood, suitable amount of exercise, always in the sun, variety of foods, reasonable amount of vitamin and mineral intake,hopefully you will live another 20 or 30 years of healthy life.
ด้วยอารมณ์ที่ดีแจ่มใสอยู่เป็นนิจ  ออกกำลังกายให้เพียงพอ  อยู่กลางแจ้งบ่อยๆ กินอาหารให้ครบหมู่ ได้วิตามินและแร่ธาตุอย่างเพียงพอ  เพียงเท่านี้ก็เชื่อได้แน่นอนว่า ชีวิตที่เป็นสุข อีก ๒๐ หรือ ๓๐ปี จะเป็นของคุณแน่นอน

Above all learn to cherish the goodness around  and FRIENDS…… they all make you feel young and wanted"…without them you are sure to feel lost!!
เหนือสิ่งอื่นใด...คุณต้องรู้จักบ่มเพาะและเก็บเกี่ยวความสุขดีๆจากการได้อยู่ได้เที่ยว ได้คุยกับเพื่อนๆ  เพราะเขาเหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้สึกเยาว์วัยและมีความหมายอยู่เสมอขาดพวกเขาเมื่อใด..คุณจะต้องรู้สึกสูญเสียอย่างแน่นอน

Wishing you all the best.

"เรื่องตลก... ที่ต้องร้องไห้!!!"... That's mother...




           คิทาโน ทาเคชิ เป็นดาวตลกและผู้กำกับภาพยนต์ญี่ปุ่นชื่อดัง เพิ่งได้รับรางวัลระดับนานาชาติเมื่อไม่นานมานี้  (จำโหดมันส์ฮาได้ป่ะ?)
เมื่อไม่กี่ปีก่อน มารดาของเขาสิ้นบุญที่บ้านนอก เขาไปร่วมงานศพ ทั้งๆ ที่เขาไม่ชอบคุณแม่เลย เพราะคุณแม่ของเขาเอาแต่ขอเงินจากเขา เดือนไหนที่เขาไม่ได้ส่งเงินกลับบ้าน แม่ของเขาจะโทรมา เปิดปากก็ด่าขโมงโฉงเฉง ยิ่งทาเคชิดังมากขึ้นเท่าไร แม่ก็ยิ่งขอเงินมากขึ้นเท่านั้น...
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็ยังอดร้องไห้โฮไม่ได้ เพราะเขายังตะขิตตะขวงใจที่ต้องไปทำงานไกลๆ ไม่ได้อยู่ดูแลคุณแม่ แม้จะเป็นแม่ที่ "เอาแต่เงิน" เขาก็ยังอดรู้สึกติดค้างคุณแม่ไม่ได้...
หลังงานศพ ก่อนที่ทาเคชิจะกลับ พี่ใหญ่ของเขาได้ยื่นซองเล็กๆ ซองหนึ่งให้เขา บอกว่าคุณแม่สั่งนักสั่งหนาว่าต้องมอบให้เขา
                ทาเคชิเปิดซองออกอย่างระมัดระวัง ในนั้นมีสมุดเงินฝากธนาคารเล่มหนึ่งและจดหมายฉบับหนึ่ง สมุดเงินฝากเป็นชื่อของเขา มีเงินฝากเป็นหลายสิบล้านเยน ในจดหมายเขียนว่า...  “ลูกทาเคชิ ในบรรดาลูกๆ ของแม่ คนที่ทำให้แม่กังวลมากที่สุดคือลูก ตั้งแต่เล็กลูกไม่ขยันเรียนหนังสือ สุรุ่ยสุร่าย แถมใจกว้างกับเพื่อนฝูง พอลูกจะขอมาสู้ในเมืองหลวง แม่ก็กังวลเพียงว่าลูกจะตกระกำเป็นไอ้จรจัด ดังนั้น แม่จึงบังคับให้ลูกส่งเงินกลับมาให้แม่ทุกเดือน เพื่อจะได้กระตุ้นให้ลูกไปหาเงินให้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยลูกเก็บเงินอีกทางหนึ่ง เงินที่ลูกให้แม่ แม่ไม่ได้ใช้แม้แต่แดงเดียว พี่ชายของลูกดูแลแม่ดีอยู่แล้ว เงินของลูกก็คือเงินของลูก ตอนนี้ลูกเอาไปใช้ให้คุ้มเถิด”  พออ่านจบ ทาเคชิทรุดลงบนพื้น ทรุดอยู่เช่นนั้นเป็นนานๆๆๆ... ถ้ายังมีพ่อแม่อยู่ ก็แค่ทำหน้าที่ลูกให้ดีที่สุด อย่าทำอะไรที่จะรู้สึกเสียใจภายหลังก็พอ...

คำว่า "แม่" แปลว่า "ให้"

Cr. Teens_Me_D
แปลโดย... Ksd Smc

ศีลทำให้เป็นคนดีงามตราบเท่าชรา






สีลัง ยาวะ ชรา สาธุ
ศีลทำให้เป็นคนดีงามตราบเท่าชรา ดังนี้

ผู้ไม่มีศีลได้ชื่อว่าเป็นผู้สกปรก ดังท่านแสดงไว้ในเรื่องโทษของศีลว่า ผู้ล่วงละเมิดในศีลข้อนั้นๆ นอกจากจะเป็นผู้สกปรก เดือดร้อนด้วยโทษนั้นๆ แล้ว

เมื่อตายไปแล้วจะต้องไปสู่ทุคติ มีนรกเป็นที่สุด เมื่อเสวยผลของกรรมนั้นพอควร แล้ว จึงจะพ้นจากนรกนั้นมาเกิดเป็นคนแล้วได้รับเศษกรรมนั้นอีก ดังนี้ ...

๑ .. โทษของการฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ..
จะเป็นผู้มีอายุสั้นพลันตาย เป็นคนขี้โรค ทรมาน รูปร่างก็น่าเกลียด ไม่มีใครเมตตาเอ็นดู

๒ ..โทษของการฉ้อโกง ลักขโมยของเขา ..
จะเป็นคนจนทรัพย์อับปัญญาอนาถาหาที่ พึ่งมิได้ หาทรัพย์มาไว้ได้ ก็จะมีแต่คนมาฉ้อโกง ลักขโมยเอา และฉิบหายด้วยภัย ต่าง ๆ

๓ .. โทษของการประพฤติมิจฉาจาร ..
เมื่อได้ลูกเมียมาจะได้แต่คนว่ายากสอนยาก ประพฤตินอกใจ ทำให้ชอกช้ำใจเป็นทุกข์มาก

๔ .. โทษของการกล่าวเท็จโกหกเป็นต้น ..
เมื่อเกิดมาเป็นคนพูดจาสิ่งใดไม่มีคนเชื่อ ถ้อยฟังคำ มีแต่เขาจะมาหลอกลวงให้เสียทรัพย์ เสียดสีด่าว่าหยาบคายต่าง ๆ นานาเป็นต้น

๕ .. โทษของการดื่มสุราเมรัย ..
จะเป็นคนบ้านใบ้เสียจริตผิดมนุษย์ อีกทั้งเป็นคนโง่เขลา เบาปัญญาไม่น่าคบ

นี่โทษของการไม่ตกแต่งฝึกฝนอบรม กาย วาจา ใจ ตามศีลธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


ด้วยเหตุนี้ จึงควรแต่งกาย วาจา ใจ ให้สะอาดเสียตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้

เพราะถ้าไม่สะอาดแต่เมื่อยังอยู่ในโลกนี้ ตายไปแล้วก็จะเป็นผู้สกปรกไม่สะอาดใน โลกหน้าต่อไปอีก ดังแสดงมาแล้ว ..


หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=43678

อารมณ์อยู่ที่ไหนใจก็อยู่ที่นั่น






ถ้าเรากำหนดดูอารมณ์ภายในใจก็เท่ากับเรากำหนดดูใจไปในตัว ใจมีอารมณ์แห่งความโลภก็ให้รู้ ใจมีอารมณ์แห่งความโกรธก็ให้รู้ ใจมีอารมณ์แห่งราคะก็ให้รู้ ใจมีอารมณ์แห่งความลุ่มหลงก็ให้รู้

อารมณ์นี้เองจึงเป็นเครื่องวัดใจได้ดี ถ้ารู้เห็นว่าอารมณ์มีที่ใจแล้ว ก็ต้องมีสติกำหนดรู้ให้เห็นใจไปในตัว อารมณ์เกิดขึ้นที่ใจได้ เราก็ต้องมีสติ กำหนดให้อารมณ์ให้อ่อนกำลังลง และดับไปได้เช่นกัน

ข้อห้ามที่สำคัญ เราอย่าส่งใจออกไปนึกถึงเหตุภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ความอิจฉาพยาบาท กับใครๆ ทั้งสิ้น ถ้าใจไปนึกหาเหตุของอารมณ์ดังกล่าว ใจก็จะเกิดอารมณ์ที่เป็นพิษขึ้นที่ใจเองและจะมีความเดือดร้อนเองว่า ผลของอารมณ์ที่มีในใจเป็นอย่างนี้

ให้เอาสติกำหนดเพ่งดูจุดของอารมณ์นั้นๆ ให้เห็นชัดภายในใจ ไม่นาน อารมณ์ภายในใจ ก็จะอ่อนกำลัง นี้เป็นอุบายวิธีที่เราหนีไม่พ้น เราก็ต้องสู้แบบตัวต่อตัวด้วยกำลังสติ จะแพ้จะชนะก็ให้รู้ดีให้รู้กันในช่วงนี้ นี้สงครามภายในก็ต้องอาศัยสติเข้าแผดเผา จดจ้องแบบไม่หนีหน้ากัน



โดย หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ

ธุดงค์ เป็นวัตร แต่ไม่เป็นศีล


ธุดงค์ เป็นวัตร แต่ไม่เป็นศีล
คำว่า “ธุดงค์” ที่มาในบาลีเดิม ไม่พบครบจำนวน 13 ประการในที่เดียว ที่พบจำนวนมาก คือ ม.อุ.14/186/138; องฺ.ทสก.24/181/245; ขุ.ม. 29/918/584 ส่วนคำอธิบายทั้งหมดดูใน คัมภีร์วิสุทธิมัคค์
ใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส ฉบับมหามกุฏ เล่ม 29 หน้า 60 ว่าด้วยศีลและวัตร กล่าวว่า...
เป็นศีลและเป็นวัตรเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยความ สำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรอยู่ เป็นผู้เห็นภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ความสำรวม ความระวัง ความไม่ก้าวล่วง ในสิกขาบททั้งหลายนั้น นี้เป็นศีล. ความสมาทานชื่อว่าเป็นวัตร. เพราะอรรถว่าสำรวม จึงชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่า สมาทานจึงชื่อว่าวัตร นี้เรียกว่าเป็นศีลและเป็นวัตร.
เป็นวัตรแต่ไม่เป็นศีลเป็นไฉน? ธุดงค์ (องค์ของภิกษุผู้กำจัดกิเลส) 8 คือ อารัญญิกังคธุดงค์ ปิณฑปาติกังคธุดงค์ ปังสุกูลิกังคธุดงค์ เตจีวริกังคธุดงค์ สปทานจาริกังคธุดงค์ ขลุปัจฉาภัตติกังคธุดงค์ เนสัชชิกังคธุดงค์ ยถาสันถติกังคธุดงค์ นี้เรียกว่าเป็นวัตรแต่ไม่เป็นศีล.
แม้การสมาทานความเพียร ก็เรียกว่าเป็นวัตรแต่ไม่เป็นศีล กล่าวคือพระมหาสัตว์ทรงประคองตั้งพระทัยว่า จงเหลืออยู่แต่หนังเอ็นและกระดูกก็ตามที เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือดแห้งไปเถิด อิฐผลใดอันจะพึงบรรลุด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยกำลังของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษ การไม่บรรลุผลนั้นแล้ว หยุดความเพียรจักไม่มี ดังนี้ แม้การสมาทาน ความเพียรเห็นปานนี้ ก็เรียกว่าเป็นวัตรแต่ไม่เป็นศีล. พระมหาสัตว์ทรงประคองตั้งพระทัยว่า จิตของเราจักยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นเพียงใด เราจักไม่ทำลายบัลลังก์ (ความนั่งเนื่องด้วยขาที่คู้เข้าโดยรอบ) นี้เพียงนั้น แม้การสมาทานความเพียร เห็นปานนี้ ก็ เรียกว่า เป็นวัตรแต่ไม่เป็นศีล.
ส่วนใน อรรถกถาจูฬวรรคที่ 2 ราหุลสูตรที่ 11 มีข้อมูลเรื่อง “ว่าด้วยธุดงค์” กล่าวว่า .....
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระราหุลทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะเราว่า เธออย่าได้กระทำความอยากในจีวรดังนี้ จึงได้สมาทานธุดงค์ 2 ข้อที่เกี่ยวกับ จีวร คือ ปังสุกูลิกังคธุดงค์ 1 เตจีวริกังคธุดงค์ 1.
ท่านพระราหุลนั้นทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะเราว่า เธออย่าได้กระทำความอยากในบิณฑบาต จึงได้สมาทานธุดงค์ 5 ข้อที่เกี่ยวกับบิณฑบาตคือ ปิณฑปาติกังคธุดงค์ 1 สปทานจาริกังคธุดงค์ 1 เอกาสนิกังคธุดงค์ 1 ปัตตปิณฑิกังคธุดงค์ 1 ขลุปัจฉาภัตติกังคธุดงค์ 1.
ท่านพระราหุลนั้นทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะเราว่า เธออย่าได้ทำความอยากในเสนาสนะดังนี้ จึงได้สมาทานธุดงค์ 6 ข้อ ที่เกี่ยวข้องด้วยเสนาสนะคือ อารัญญิกังคธุดงค์ 1 อัพโภกาสิกังคธุดงค์ 1 รุกขมูลิกังคธุดงค์ 1 ยถาสันถติกังคธุดงค์ 1 โสสานิกังคธุดงค์ 1 เนสัชชิกังคธุดงค์ 1.
สรุปว่า “ธุดงค์” เป็นวัตรไม่ใช่ศีล เป็นข้อแนะนำให้ปฏิบัติเพื่อฝึกตัว ไม่ใช่ข้อบังคับว่าต้องทำ แบ่งเป็น 3 หมวดตามวัตถุประสงค์การฝึกตัว คือ 1.จีวร ไม่อยากติดในเรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มให้ปฏิบัติหมวดนี้ 2.อาหาร ไม่อยากติดในรสอาหาร ให้ปฏิบัติหมวดนี้ 3.สถานที่อยู่อาศัย ไม่อยากติดที่ ติดสบาย ก็ให้ปฏิบัติหมวดนี้
ธุดงค์ ปฏิบัติได้ทั้งในเมืองและในป่า แล้วข้อที่อยู่ป่า เป็นเพียงข้อเดียวเท่านั้น คือ ข้อ 8 อารัญญิกังคธุดงค์ ในป่าสู้กับกิเลสในตัว แต่ธุดงค์ในเมือง ฝ่ากิเลสของคนอื่นด้วย และเป็นเนื้อนาบุญให้กับสาธุชนที่พบเห็นได้ออกมา ต้อนรับอุปัฏฐาก สร้างความสามัคคีของพุทธบริษัท 4 ได้เกื้อกูลสืบทอดประเพณีอันดีงามของชาวพุทธ
สาธุชนผู้สนใจร่วมกิจกรรมต้อนรับพระธุดงค์ธรรมชัย ใน 6 จังหวัด ปทุมธานี นนทบุรี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 2-27 ม.ค. 2556 สอบถามเส้นทางได้ที่ โทร.02-831-1234 หรือ www.dmc.tv และwww.dmycenter.com
จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันวันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555
คอลัมน์ ตามตะวัน โดย..พระสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส

จดหมายข่าว GotoKnow ครั้งที่ 2 ประจำเดือนมกราคม พ.ศ. 2556




สวัสดีค่ะ สมาชิก GotoKnow ทุกท่าน

ในจดหมายข่าวฉบับนี้ทีมงานขอนำเสนอข่าวที่น่าสนใจจาก GotoKnow ดังนี้ค่ะ

# เชิญร่วมกิจกรรมออนไลน์ลุ้นรับรางวัล #

- "ทักษะของครูในศตวรรษที่ 21" ร่วมบันทึกและลุ้นรับรางวัล หมดเขต 30 มค. นี้ (http://www.gotoknow.org/posts/516454)
- ถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านบล็อกกับรางวัลสุดคะนึง (GotoKnow Writer of the Month) (http://www.gotoknow.org/posts/486853)

# เชิญร่วมแสดงความยินดี #

- ผู้ได้รับรางวัลสุดคะนึงส่งท้ายปี 2555 ได้แก่ คุณกานดา แสนมณี (สาธุวงษ์) หรือ กานดาน้ำมันมะพร้าว ค่ะ กว่า 3 ปีใน GotoKnow กับการเผยแพร่การทำน้ำมันมะพร้าวและประโยชน์มหาศาลของน้ำมันมะพร้าวต่อสุขภาพ (http://www.gotoknow.org/profiles/users/kandanalike)

# Tips การใช้งาน GotoKnow #

- ระบบโน้ตส่วนตัว :: ใช้เพื่อการร่างความคิดซึ่งไม่แสดงต่อผู้อื่น แต่สามารถส่งออกเป็นบันทึกได้เมื่อต้องการตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านสมุด
- ดาวน์โหลดคำถามที่พบบ่อยในการใช้ GotoKnow (http://www.gotoknow.org/posts/512354)
- ดาวน์โหลด GotoKnow Express สำหรับ Google Chrome บันทึกเร็ว เก็บง่าย ไม่ต้องจำ (http://www.gotoknow.org/blogs/posts/503939)

ขอบคุณค่ะ

GotoKnow - คนทำงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สู่บูรณาการงานกับชีวิต
สนุบสนุนโดย ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) http://thaihealthcenter.org/

การสร้างเสริมสุขภาพ (การลด เพิ่ม หรือ คงน้ำหนัก) : โครงการสวนลุมฯ สวนสุขภาพ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์



สวนลุมพินีเป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของประเทศไทยที่มีสิ่งแวดล้อมหลากหลาย(สระน้ำ ต้นไม้ สัตว์ต่างๆ และถาวรวัตถุต่างๆ)ในพื้นที่ที่กว้างขวางถึง 360 ไร่ มีสมาคม ชมรม และกิจกรรมต่างๆที่ตอบสนองต่อประชาชนกลุ่มต่างๆ อย่างหลากหลาย ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และประชาชนทั่วไป เช่น กิจ กรรมดูนกในเมือง ลานตะวันยิ้ม(กิจกรรมนันทนาการเพื่อคนพิการ) สโมสรพลเมืองอาวุโส ศูนย์สร้างโอกาสเด็กสวนลุมพินี ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร ห้องสมุดประชาชน ศูนย์เยาวชน(นำเสนอและฝึกสอนกีฬาแก่เด็กและเยาวชน) จักรยานน้ำและเรือพายศูนย์อาหา กิจกรรมธรรมมะในสวน และกิจกรรมดนตรีในสวน เป็นต้น ประกอบกับอยู่ใกล้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จึงเป็นสวนสาธารณะที่บุคลากรและผู้มารับบริการสุขภาพของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ไปใช้บริการด้านนันทนาการและการออกกำลังกายเป็นประจำด้วย

ดังนั้นบริบทของสวนลุมพินีจึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จะนำมาประกอบการจัดกิจกรรมด้านการสร้างเสริมสุขภาพเสริมต่อกับกิจกรรมและบริการต่างๆที่มีอยู่เดิมของสวนลุมพินีเพื่อให้กิจกรรมและบริการด้านการสร้างเสริมสุขภาพเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมกลุ่มประชาชนอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นโดยเฉพาะผู้ป่วยและประชากรกลุ่มเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังทั้งยังสามารถเกื้อหนุนต่อการแสดงบทบาทความรับผิดชอบต่อสังคมของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้เป็นอย่างดีทั้งนี้เนื่องจากสวนลุมพินีตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานครมีการคมนาคมสะดวก และประชาชนจำนวนมากรู้จักและมาใช้บริการอย่างแพร่หลาย

วัตถุประสงค์

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำบริบทของสวนลุมพินีมาประกอบในการจัดกิจกรรมบริการด้านการสร้างเสริมสุขภาพของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์แก่ประชาชนทั่วไป ทั้งผู้ที่มีสุขภาพดี ประชากรกลุ่มเสี่ยงและผู้เป็นโรคเรื้อรัง โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะ ดังต่อไปนี้

ก)   เพื่อให้ความรู้และสร้างความตระหนักด้านการสร้างเสริมสุขภาพโดยเฉพาะด้านการออกกำลังกาย การบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการ และการควบคุมน้ำหนักตัวแก่ประชากรกลุ่มเป้าหมาย ภายในบริบทของสวนลุมพินี
ข)   เพื่อจัดกิจกรรมการสร้างเสริมสุขภาพโดยเฉพาะด้านการออกกำลังกาย การบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการ และการควบคุมน้ำหนักตัวแก่ประชากรกลุ่มเป้าหมาย ภายในบริบทของสวนลุมพินี
ค)   เพื่อจัดบริการให้คำแนะนำปรึกษาด้านสุขภาพ เพื่อการป้องกันและจัดการดูแลโรคเรื้อรังที่สำคัญ(เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระดับไขมันในเลือดสูง และน้ำหนักเกิน)ด้วยตนเองผ่านช่องทางการสื่อสารหลากหลายช่องทาง แก่ผู้มาใช้บริการ ณ สวนลุมพินีและประชาชนทั่วไป

บทความ เมื่อ หลวงพ่อชา...ตอบพระเซ็น(ญี่ปุ่น)...สภาพก่อนพุทธศาสนาจะหายไป




วันหนึ่งมีนักบวช 3 รูป ท่าทางไม่ใช่คนไทย แต่งกายคล้ายซามูไร
บอกลักษณะว่าน่าจะเป็นพระเซ็น พระผู้ต้อนรับได้ปฏิสันถารกับอาคันตุกะทั้งสามจนทราบว่าเขาต้องการถามธรรมะหลวงพ่อจึงได้เชิญเขาเข้าไปพบหลวงพ่อพร้อมกับนิมนต์พระฝรั่งรูปหนึ่งมาเป็นล่าม เมื่อเริ่มต้นปฏิสันถารก็ได้ความว่า

เขาได้ท่องเที่ยวถามธรรมะจากพระผู้ใหญ่ทั้งที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในขณะนั้นหลายรูปหลายองค์ด้วยกันมาแล้วเมื่อนักบวชทั้ง 3 ได้กราบคารวะและขออนุญาตถามปัญหาแก่หลวงพ่อ ท่านก็อนุญาตให้ถามได้ไม่ต้องเกรงใจ ให้ถือว่าเราต่างเป็นชาวพุทธด้วยกัน มีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ อย่าถือว่ามหายานหรือ เถรวาท ให้ถือว่าเป็นลูกพ่อแม่เดียวกันเมื่อพระอาคันตุกะทราบคำอนุญาตแล้วก็เริ่มตั้งคำถามว่า

"ปฏิบัติไปทำไม ปฏิบัติเพื่ออะไร ทำไมจึงต้องปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วจะได้อะไร"

หลวงพ่อตอบทันทีว่า "กินข้าวไปทำไม กินข้าวเพื่ออะไร

ทำไมจึงต้องกินข้าว กินข้าวแล้วจะได้อะไร"

ปรากฏว่าพระอาคันตุกะเกิดความซึ้งใจในทันที

และบอกว่าได้พยายามหาคำตอบสั้นๆเช่นนี้มานานแล้ว ส่วนมากคำตอบที่ได้มักยาว หลวงพ่อฟังแล้วท่านก็เฉยๆไม่ตอบเพียงกล่าวต่อไปว่า"มีปัญหาอีกไหม"
เขาจึงถามต่อไปว่า "คนไม่รู้ คือ ใคร"
หลวงพ่อ "คนไม่รู้ คือ คนหลง"
พระอาคันตุกะ "คนหลง คือ ใคร"
หลวงพ่อ "คนหลง คือ คนไม่รู้ "

พระอาคันตุกะถึงกับน้ำตาคลอ เพราะได้คำตอบที่กินใจมากพระอาคันตุกะหมดความสงสัย เมื่อเห็นพระอาคันตุกะเลิกถามท่านก็ปฏิสันถารอีกเล็กน้อยว่า

"ท่านเองท่านชอบการปฏิบัติแบบเซ็น แม้พระไทยบางองค์ก็ไปปฏิบัติที่อินเดีย ลังกา เกาหลี ไม่ว่าปฏิบัติที่ไหน ก็ถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระธรรมเป็นนามธรรมเดียวกัน พระทุกชาติมีกิเลสตัวเดียวกัน ธัมมะจึงเป็น เอโก ธัมโม ขออย่าให้เราติดใจสงสัยเกี่ยวกับรูปแบบ

คัมภีร์ อาจารย์ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นเปลือกนอก ที่ไหนๆก็มี คนแก่ คนเจ็บ คนตาย"

จากหนังสือ สุดสายธรรม หน้า 24
http://atcloud.com/stories/77742

ประเทศไทยในกระแสการปฏิรูปแบบมีส่วนร่วม โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ





   กระแสการปฏิรูปประเทศไทยเป็นปัจจัยที่สืบเนื่องมาจากการเรียกร้องต้องการของประชาชนและการวิเคราะห์สภาพการณ์ปัจจุบันของสังคมไทยที่มีความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมเป็นที่ตั้ง แต่ทว่าก็ว่าเถอะ ‘พลังของประชาชน’ ในการเปลี่ยนประเทศไทยให้มีความเป็นธรรม เท่าเทียม และเสมอภาคก็กลับก่อวิกฤตในตัวเองทั้งด้านความเชื่อมั่นในศักยภาพตนเอง การกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธิวิธีต่อสู้ การระดมทรัพยากรและคนเข้าร่วม ไปจนถึงการกลัวเกรงอำนาจเถื่อนและฎหมายที่มักมอบความสูญเสียมาให้
     
       อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ที่ประเทศไทยไม่มีทางถอยกลับไปสู่จุดดั้งเดิมที่ประชาชนจำนนกับอำนาจนอกระบบและสยบยอมกับความอยุติธรรมที่กำหนดผ่านมาทางกฎหมายและนโยบาย ในสภาวการณ์ซึ่ง ‘ความตาย’ ก็ไม่อาจหยุดยั้งความปรารถนาของประชาชนในการปลดแอกพันธนาการความอยุติธรรมและเหลื่อมล้ำนั้นสิ่งสำคัญหนึ่งซึ่งต้องทำควบคู่กันไปกับการปรับโครงสร้างทางการเมืองให้เปิดกว้างกับการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนในทุกขั้นตอนก็คือการบริหารจัดการการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายสาธารณะที่ต้องผสานทั้ง ‘ศาสตร์’ และ ‘ศิลป์’ เข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น โดยเฉพาะการผนึกความรู้และหลักการเข้ากับความคิดสร้างสรรค์ ริเริ่ม และยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ที่จะเป็นปัจจัยและเงื่อนไขในการได้มาซึ่ง ‘มติ’ หรือข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับทิศทางประเทศไทยในอนาคต
     
       ดังนั้น จึงจำเป็นต้องสร้างพื้นที่หรือเวทีสาธารณะในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างความเข้าใจร่วมกันในกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholder) ที่อย่างน้อยสุดต้องประกอบด้วยภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐ อันจะเป็นหลักประกันเบื้องต้นในการบรรลุเป้าหมายปฏิรูปประเทศไทยที่มีทิศทางเดียวกันได้ ไม่ให้ขัดแย้งกันเกินจะผสานความร่วมมือ การเข้าใจในความหลากหลายทางทัศนะและอุดมการณ์ที่แสดงออกมาทางพฤติกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมนั้นจะเป็นกลไกควบคุมจากภายในให้ไม่ต้องมีความขัดแย้งหนักหน่วงตามมาเมื่อต้องปฏิบัติการจริงในระดับของข้อกฎหมายหรือแนวนโยบายสาธารณะ หรือกระทั่งไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรไปกับการติดตามมติปฏิรูปประเทศไทยที่อาจไม่มีผลทางปฏิบัติมากนักเนื่องจากหน่วยงานรัฐไม่ใคร่ให้ความสำคัญ หรือต่อต้าน คัดค้าน ไม่เห็นด้วยตั้งแต่ตอนกำหนดมติแล้ว
     
       กระบวนการมีส่วนร่วมที่เปิดกว้างไม่เพียงทำให้มติปฏิรูปประเทศไทยไปถึงจุดหมายภายในระยะเวลาอันสั้นอย่างมีประสิทธิภาพจากการเข้าใจในประเด็นเนื้อหาเดียวกันเท่านั้น หากยังทำให้เวทีสาธารณะนั้นๆ พัฒนามาเป็นเวทีแห่งการเรียนรู้ (learning assembly) ได้ด้วย โดยคนเข้าร่วมจะได้เรียนรู้ปัญหาและวิกฤตที่เกี่ยวเนื่องกับความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำในระดับโครงสร้าง วิคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ ก่อนจะพัฒนาร่วมกันเป็น ‘มติปฏิรูปประเทศไทยให้มีความเป็นธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม’ ที่มีขีดความสามารถในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมไทยได้
     
       ผลลัพธ์ (outcome) ที่ได้จากการบริหารจัดการเวทีให้เปิดกว้างกับการมีส่วนร่วมและเรียนรู้ร่วมกันระหว่างภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐ นอกจากจะทำให้ได้พัฒนาทั้งงานและคน (capacity building) ไปพร้อมๆ กันแล้ว ยังสร้างแรงจูงใจในการจะลงมือปฏิบัติการตามมติร่วมกันเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะจากหน่วยงานรัฐที่เคยถูกวิพากษ์จากประชาชนว่าไม่ทำงานเพื่อประชาชน
     
       ดังนั้น การสร้างและพัฒนากลไกการมีส่วนร่วมจะเป็นกลไกหลักของการจูงใจให้ประชาชน ตลอดจนหน่วยงานรัฐและองค์กรเอกชนเข้าร่วม นอกเหนือไปจากการสร้างสายสัมพันธ์ฉัน ‘กัลยาณมิตร’ ระหว่างการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันเกี่ยวกับวิกฤตสังคมไทยที่ยากจะหลีกเลี่ยงการถกเถียงถกแถลงที่จะเกิดขึ้นได้ในเมื่อต่างมีผลประโยชน์ ชุดข้อมูล หลักการ และโลกทรรศน์ ที่ยึดถือเชื่อมั่นไม่เหมือนกัน
     
       การจะบรรลุเป้าหมายปฏิรูปประเทศไทยให้หลุดพ้นหลุมดำแห่งความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมคือการพัฒนาเวทีสาธารณะให้สามารถเปิดช่อง ‘ความเป็นไปได้’ ที่จะทำให้มติซึ่งเกิดจากฉันทามติร่วม (consensus) ได้กลายเป็นกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ หรือกระทั่งศีลธรรมร่วมสำหรับสังคมส่วนรวมได้ยึดมั่นเชื่อถือท่ามกลางความเป็นสังคมพหุนิยม (pluralism) ที่มีความหลากหลายทางความคิดความเชื่อ
     
       กล่าวอีกนัยหนึ่งเป้าหมายของการบริหารจัดการเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่ความเป็นธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมคือการพัฒนากระบวนการเชื่อมร้อยประโยชน์ของประชาชนโดยรวมเข้ากับประโยชน์ของแต่ละปัจเจก ถึงแม้ว่าประโยชน์ของประชาชนมักจะขัดแย้งกับประโยชน์ของปัจเจกบุคคล โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นนำ (elites) แต่ทว่าถ้าประชาชนหมายถึงคนส่วนใหญ่ในประเทศแล้วประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ย่อมเกิดขึ้นได้ในเมื่อสังคมโดยรวมมีความเป็นธรรม เท่าเทียม และเสมอภาค และเปิดโอกาสกับการพัฒนาศักยภาพของแต่ละคนเป็นสำคัญอันเป็นแนวทางหลักของการปกครองระบอบเสรีประชาธิปไตย
     
       ในขณะเดียวกันก็มีกลไกที่เข้มแข็งในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรสังคม ทรัพยากรเศรษฐกิจ และทรัพยากรการเมือง ที่จะเป็นฟันเฟืองหรือกลจักรในการขับเคลื่อนความปรารถนาของประชาชนที่หลากหลายได้ทำงานภายใต้ผลประโยชน์ที่ขัดกันหรือแตกต่างกันของผู้คน
     
       ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าที่สุดแล้วการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะของประชาชนจะไม่ได้ในสิ่งที่ผลักดันขับเคลื่อน ‘100%’ เพราะเป้าหมายที่วาดหวังไว้ไม่ได้ง่ายดายเหมือนภาคธุรกิจที่มีผลกำไรสูงสุด (maximum profit) ขององค์กรเป็นเป้าหมายสูงสุดในการบริหารจัดการ หากแต่กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการปฏิบัติจริงของทุกภาคส่วนที่ร่วมกันผลักดันเป้าหมายที่เป็น ‘ผลประโยชน์ของส่วนรวม’ จะทำให้สามารถก้าวข้ามความแตกต่างทางความคิดความเชื่อซึ่งยากจะทอนลดลงได้ในสถานการณ์ปกติด้วยกระบวนการฉันทามติหรือกระทั่งเสียงข้างมากของประชาชน เช่น กรณีที่ดินที่ปัจจุบัน ‘กระจุกตัว’ อยู่ในกลุ่มกุมอำนาจทางการเมืองและทุนจนคนส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยและทำมาหากินจะเปลี่ยนสถานภาพมาเป็น ‘กระจายตัว’ ได้ ถ้าประชาชนได้เข้ามาร่วมกำหนดนโยบายสาธารณะ และร่วมกันผลักดันความปรารถนานั้นผ่านช่องทางและกระบวนการนิติบัญญัติทางสังคมเพื่อกำหนดเป็นมาตรการกฎหมายที่บังคับใช้อย่างเสมอหน้ากัน (everyone equal before the law) อันเป็นหลักการสำคัญของการเป็นนิติรัฐ
     
       เหมือนดังการพยายามผลักดันหลักการให้ที่ดินเป็นสมบัติของชาติที่พึงจัดการภายใต้หลักการการเป็นเจ้าของร่วมระหว่างรัฐ องค์กรชุมชนสาธารณะ และปัจเจกบุคคล และหลักการการเคารพสิทธิของประชาชนและของชุมชนในการมีส่วนร่วมกับรัฐเพื่อกำหนดกลไกในการเข้าถึง การใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ การบำรุงรักษา และการได้รับประโยชน์จากที่ดินของเวทีสมัชชาปฏิรูประดับชาติ ที่ปรากฏเป็นรูปธรรมผ่านการขับเคลื่อนโฉนดชุมชนและการต่อรองกับรัฐให้ชะลอการจับกุมประชาชนกรณีมีข้อพิพาทบุกรุกที่ดินรัฐ
     
       พลังประชาชนจึงเป็นพลังทางการเมืองและสังคมที่นำไปสู่การกำหนดนโยบายสาธารณะ (public policy) ที่สามารถกำหนดวาระทางการเมือง (policy agenda) และวาระสื่อ (media agenda) ได้ ถ้าเพียงประชาชนตื่นตัวเข้าร่วมขบวนปฏิรูปประเทศไทยให้มีมิติเคลื่อนไหวกว้างขวางกว่าการเลือกตั้งตัวแทนเข้าไปบริหารชาติบ้านเมืองด้วยนโยบายประชานิยม แต่เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนความปรารถนาฉันทามติที่อยู่บนพื้นฐานและหลักการเสรีประชาธิปไตยที่มีเป้าหมายท้ายสุดที่ต้องการจะบรรลุเป็น ‘การสร้างความเป็นธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย’

เด็กดี เพราะได้แบบอย่างที่ดี โดย อภินันท์ สิริรัตนจิตต์




  นับเป็นฤกษ์งามยามดีช่วงวันเด็กแห่งชาติ ซึ่งจัดมาเป็นเทศกาลสำคัญในวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมในทุกปี ที่ผู้ใหญ่จะได้ใช้โอกาสนี้ในการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี หรือจะเรียกว่าเป็นวันทำดีให้เด็กดูเป็นตัวอย่างก็ได้ ถึงกระนั้นธรรมเนียมปฏิบัตินิยมของสังคมไทย ในวันเด็กแห่งชาตินั้น เด็กๆ จะได้รับพรและคำขวัญจากฝ่ายปกครองบ้านเมืองและประมุขสงฆ์ทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักสำคัญ ในการปฏิบัติตนอยู่ในกรอบคุณงามความดี ซึ่งจะเป็นสิ่งคุ้มครองจิตใจไม่ให้ตกต่ำไปในอำนาจฝ่ายชั่ว
     
       หากพิจารณาพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ผู้เขียนเห็นว่า ภาพเด็กไทย ได้ถูกแสดงไว้ในพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวแล้ว ขอคัดมาบางส่วนจากมาตรา 4 เช่นว่า
     
       “เด็ก” หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส
     
       ทั้งนี้ยังมีคำจำกัดความเกี่ยวกับ “เด็กเร่ร่อน” “เด็กกำพร้า” “เด็กที่อยู่ในสภาพยากลำบาก” “เด็กพิการ” และ “เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด”
     
       ส่วน คำว่าเด็ก ยังครอบคลุมไปถึง คำว่า “นักเรียน” หมายความว่า เด็กซึ่งกำลังรับการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ทั้งประเภทสามัญศึกษาและอาชีวศึกษาหรือเทียบเท่าอยู่ในสถานศึกษาของรัฐหรือเอกชน และ คำว่า “นักศึกษา” หมายความว่า เด็กซึ่งกำลังรับการศึกษาระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าอยู่ในสถานศึกษาของรัฐหรือเอกชน
     
       สาระสำคัญจากนิยามศัพท์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่าเด็ก หมายถึงเด็ก นักเรียน และนักศึกษา ผู้มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ ทั้งนี้จากคำจำกัดความอื่นๆ เกี่ยวกับเด็ก ซึ่งพบในสังคมไทย เช่น เด็กเร่ร่อน เด็กพิการ เด็กกำพร้า เด็กที่อยู่ในสภาพยากลำบาก และเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด ซึ่งควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียมในสังคมประชาธิปไตย โดยทุกภาคส่วน รวมทั้งเจ้าภาพหลักอย่างรัฐสวัสดิการที่ควรพยายามกระทำอย่างเต็มที่
     
       อย่างไรก็ดี หากเหลียวมองสาระสำคัญในหมวด 2 การปฏิบัติต่อเด็กว่า มาตรา 22 การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม และโดยเฉพาะในมาตรา 25 ผู้ปกครองต้องไม่กระทำการต่างๆ เช่น ทอดทิ้งเด็กไว้ในสถานที่ใดโดยเจตนาที่จะไม่รับเด็กกลับคืน ปฏิบัติต่อเด็กในลักษณะที่เป็นการขัดขวางการเจริญเติบโตหรือพัฒนาการของเด็ก หรือปฏิบัติต่อเด็กในลักษณะที่เป็นการเลี้ยงดูโดยมิชอบ รวมทั้งมาตรา 26 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการ เป็นต้นว่า กระทำหรือละเว้นการกระทำอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก จงใจหรือละเลยไม่ให้สิ่งจำเป็นแก่การดำรงชีวิตหรือรักษาพยาบาลแก่เด็ก จนน่าจะเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจของเด็ก บังคับ ขู่เข็ญ ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด หรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากเด็ก บังคับ ขู่เข็ญ ใช้ ชักจูง ยุยง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กแสดงหรือกระทำการอันมีลักษณะลามกอนาจาร ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าตอบแทนหรือเพื่อการใด และ จำหน่าย แลกเปลี่ยน หรือให้สุราหรือบุหรี่แก่เด็ก เว้นแต่การปฏิบัติทางการแพทย์
     
       ผู้เขียน เชื่อมั่นว่า สาระสำคัญของกฎหมายที่ตราขึ้น เพื่อช่วยเหลือ คุ้มครอง ดูแล และจัดสวัสดิการแก่เด็ก ตามศักยภาพและความพร้อมที่มีเกี่ยวข้อง แต่ทั้งนี้ยังมีข้อบกพร่องในการปฏิบัติและบังคับกฎหมายใช้อย่างทั่วถึงและเข้มข้นได้มาตรฐาน เพราะกรณีพฤติการณ์กระทำต่อเด็กอย่างรุนแรงและความไม่เหมาะสม ในภาพข่าวรายวันยังคงเกิดขึ้นกับเด็ก เช่น การค้าเด็ก การประเวณีในเด็ก และการทารุณกรรมเด็ก เป็นต้น
     
       ดังกล่าวแล้วในข้างต้นว่า วันเด็กแห่งชาติ จึงมิใช่แต่เป็นวันสำคัญของเด็กเท่านั้น หากจะยังเป็นวันของผู้ใหญ่ ที่จะต้องครองตนเป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวอย่างแก่เด็ก อย่างน้อยก็สะท้อนพฤติกรรมในคำขวัญวันเด็กที่มีอยู่ทุกปี ซึ่งมีคำขวัญวันเด็กที่ผู้เขียนประทับใจอยู่ 2 ปี คือ พ.ศ. 2550 ที่พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ มอบให้ว่า มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข และ พ.ศ. 2553 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มอบให้ว่า คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม เพราะนั่นเป็นสื่อแห่งความดีงามในแบบอย่างที่ดี ทั้งนี้ยังทำให้ผู้เขียนคิดถึง คำกล่าวของครูสมพร คนสอนลิง (ผลงานถอดบทเรียนกรณีโรงเรียนสอนลิง หนังสือของ ดร.รุ่ง แก้วแดง) ที่กล่าวถึงการเป็นแบบอย่างที่ดีเกี่ยวกับพฤติกรรมการส่งเสริมให้เลิกสูบบุหรี่ ว่า “เยาวชนจะเลิกสูบบุหรี่ ถ้าผู้ใหญ่ไม่ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง” (ครูสมพร: คนสอนลิง หน้า 69)
     
       เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2556 นี้ ผู้เขียน ขอเสนอแนวทางให้ผู้ใหญ่ได้แสดงความรักต่อเด็กอย่างบริสุทธิ์ใจ ในลักษณะรู้สึกอย่างไร บอกเขาไปอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นลูก หลาน หรือเหลน ซึ่งล้วนเป็นอนาคตของประเทศ พร้อมกับระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า เราเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็ก เป็นผู้ใหญ่ด้วยคุณธรรมมิใช่ผู้ใหญ่กว่าทางร่างกาย พร้อมทั้งร่วมกันหยุด ยับยั้งการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ความรุนแรง กระทบกระเทือนต่อชีวิตและจิตใจของเด็ก เพราะนั่นอาจเป็นฐานรากของความรุนแรง ที่อาจก่อตัวในอนาคต ซึ่งผู้ใหญ่บางคนอาจเผลอปลูกฝังให้เขาไปโดยไม่รู้ตัว และไม่ได้อาจลืม จะฝากเด็กๆ ว่า ปี 2556 นี้ อย่าลืมคำขวัญวันเด็ก ที่ว่า รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบให้เป็นของขวัญด้วย

บุคคลแห่งปีของเอเชีย




ชาง ผิงอี้ไม่เคยลืมครั้งแรกที่เธอไปเยี่ยมหมู่บ้านผู้ป่วยโรคเรื้อนในจีน ปีนั้นคือปี 2542 ชางเป็นนักข่าวมือรางวัลมีประวัติการทำงานโดดเด่นของหนังสือพิมพ์ไชน่าไทม์ ในกรุงไทเป และสามเดือนก่อนหน้านั้น นักข่าวหญิงวัย 40 ปีผู้นี้ก็เพิ่งให้กำเนิดบุตรคนที่สอง เมื่อเธอเดินเข้าไปก็พบเด็กๆ เนื้อตัว
ล่อนจ้อนมอมแมม แมลงวันไต่ตอมตามใบหน้า ผู้ใหญ่แขนขาเน่าเปื่อยไร้การดูแลและกลิ่นเหม็นตลบลอยมาจากชาวบ้าน
สี่เดือนก่อนที่ชางจะประสบกับภาพที่รบกวนจิตใจดังกล่าว เธอเพิ่งรับรู้ถึงประเด็นต่างๆ ที่แวดล้อมโรคเรื้อนอันเป็นโรคเรื้อรังที่ทำลายประสาทอย่างถาวร รวมทั้งทำให้ผิวหนังเสียหาย แขนขาพิการ ช่วงที่เธอตั้งครรภ์ได้เก้าเดือน หนังสือพิมพ์ต้นสังกัดไม่ได้มอบหมายงานให้เธอ ดังนั้นเมื่อนักบวชชาวออสเตรียผู้หนึ่งชวนเธอไปเยี่ยมสถานรักษาผู้ป่วยเรื้อรังโลเช็ง ซึ่งเป็นสถานดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อนแห่งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ของไต้หวัน ชางจึงตอบตกลง การไปครั้งนั้น
กระตุ้นความสนใจของเธอ และเมื่อนักบวชท่านเดิมแนะให้ไปหมู่บ้านผู้ป่วยโรคเรื้อนในจีน ชางก็ไม่ลังเล
สิ่งที่เธอได้พบที่นั่นไม่น่าอภิรมย์เลยชางสะเทือนใจมากต่อชะตากรรมเลวร้ายของชาวบ้านในนิคมโรคเรื้อนกว่า 800 แห่งทั่วประเทศจีน พวกเขามิได้ต้องการอะไรมากไปกว่าให้ลูกหลานของตนซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ติดโรคเรื้อนได้รับการศึกษาและเป็นที่ยอมรับของสังคม “ฉันนึกไม่ถึงว่าผู้คนเกินครึ่งในนิคมเหล่านี้จะมีสุขภาพดีและยังเด็ก” ชางซึ่งบัดนี้อายุ 53 ปีกล่าว “ในฐานะแม่ซึ่งมีลูกสองคน ฉันอดเป็นห่วงอนาคตของเด็กๆ พวกนี้ไม่ได้” หลังกลับไปไทเป ชางก็ลาออกจากงานเงินเดือนสูงที่ไชน่าไทม์ การตัดสินใจอย่างนี้ไม่ง่ายเลยสำหรับคนซึ่งโตมาในครอบครัวที่มั่งคั่ง แต่ในใจเธอรู้ดีว่าต้องแลกอาชีพการงานและบ้านสี่ชั้นแสนสบายในไทเปเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ในนิคมโรคเรื้อนของจีน เธอบอกว่า “ฉันไม่ได้เลือกหรอก มันเป็นเรื่องของจังหวะเวลาที่คุณอธิบายไม่ได้”
ช่วงทศวรรษ 1950 รัฐบาลจีนเริ่มแยกผู้ป่วยโรคเรื้อนไว้ในนิคมเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด แม้ปัจจุบันโรคนี้รักษาและป้องกันได้แล้ว แต่ยังมีการเลือกปฏิบัติอยู่ในหลายๆ ชุมชน อย่างที่เหลียงซานในมณฑลเสฉวน ซึ่งพลเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวอี๋ ชนกลุ่มน้อยที่เชื่อว่าโรคเรื้อนเกิดจากการถูกผีสิง
รัฐบาลไม่ได้ยอมรับหมู่บ้านหลายแห่งเหล่านี้อย่างเป็นทางการ ผู้อยู่อาศัยจึงไร้เอกสารแสดงตนเพื่อใช้เข้าโรงเรียนหรือหางานทำนอกหมู่บ้าน ชางรู้มาว่าภาวะที่ขาดการเหลียวแล การศึกษา และไร้อนาคตทำ ให้เด็กๆ ในหมู่บ้านเหล่านี้ติดบุหรี่กันตั้งแต่อายุแค่ห้าขวบ แล้วในที่สุดหลายคนก็หันไปหาสุรา ยาเสพติด และอาชญากรรม
ช่วงปลายปี 2543 มีคนโทรศัพท์ติดต่อมาเล่าให้ชางฟังถึงเรื่องโรงเรียนแห่งหนึ่งในแขวงเยว่ซีของเหลียงซาน สถานที่ที่เรียกกันว่า “สถานศึกษา” แห่งนี้ตั้งขึ้นเมื่อปี 2530 เป็นโรงเรียนแห่งแรกในเสฉวนที่สร้างสำหรับรับเด็กจากนิคมโรคเรื้อน เป็นบ้านสองห้องโทรมๆ ไม่มีหน้าต่าง เปิดสอนนักเรียน 70 คนถึงแค่ประถมสี่ โดยครูคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ศึกษาด้านนี้มาโดยตรง
ชางเห็นว่าโรงเรียนนี้คือโอกาสหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็กๆ มีอนาคตที่ดีกว่าเดิมได้ เธอจึงทุ่มเทความพยายามสร้างมันขึ้นใหม่ เธอระดมหาเงินทุน คุมงานก่อสร้าง และติดต่อเจรจากับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเอง ปี 2545 เธอภูมิใจที่ได้เข้าร่วมพิธีเปิดอาคารเรียนหลังใหม่ที่พรั่งพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ครูผู้สอน และเจ้าหน้าที่ ปีถัดมาโรงเรียนแห่งนี้สร้างหอพักหนึ่งหลังในบริเวณโรงเรียน แล้วเธอก็ก่อตั้งมูลนิธิวิงส์ออฟโฮป (ปีกแห่งความหวัง) ในไต้หวัน
ปลายปี 2548 มูลนิธิวิงส์ออฟโฮปบรรลุหมุดหมายสำคัญสามอย่าง อย่างแรกคือชางเอาชนะผู้ยื่นโครงการอื่นๆ 800 ราย ได้รับเงินรางวัล 1.7 ล้านเหรียญไต้หวันจากกองทุนจอห์นนี วอล์กเกอร์ คีป วอล์กกิงซึ่งมอบให้แก่โครงการที่เหมาะสม ต่อมาเดือนมีนาคม 2548 ทางการก็รับรองหมู่บ้านที่อยู่รอบโรงเรียน โดยชาวบ้านที่นั่นได้รับบัตรประชาชนเป็นครั้งแรกในชีวิต หมู่บ้านนั้นได้ชื่อใหม่ว่าไต้อิงปัน และอย่างที่สามคือในเดือนกรกฎาคม 2548 โรงเรียนประถมไต้อิงปันฉลองนักเรียนรุ่นแรกที่เรียนจบ ชางเดินหน้าสานฝันขั้นต่อไป คือสร้างโรงเรียนมัธยมด้วยงบประมาณอุดหนุนจำนวน 2.6 ล้านหยวนจากสำนักงานบรรเทาความยากจนมณฑลเสฉวน โรงเรียนมัธยมไต้อิงปันจึงสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2553
ทุกวันนี้ไต้อิงปันคือความภาคภูมิใจของเหลียงซาน ด้วยห้องเรียนพร้อมด้วยสื่อผสมจำนวนสิบห้อง ครัวหนึ่งห้อง และห้องสมุดสองห้อง พร้อมน้ำประปาและไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ โรงเรียนนี้มีถังเก็บน้ำใต้ดินของตัวเอง พร้อมสุขาสาธารณะแห่งแรกของหมู่บ้าน ภาคเรียนหน้าคาดว่าจะมีครู 17 คน นัก เรียน 355 คน ที่น่าประหลาดใจคือนักเรียนหนึ่งในสิบไม่ได้มาจากหมู่บ้านผู้ป่วยโรคเรื้อน
ชางยังมีโครงการควบคู่กันในเมืองชิงเตา มณฑลชานตงด้วย นั่นคือ โรงเรียนการอาชีพชิงเตา เมื่อหลายปีก่อนเธอรบเร้าให้พี่ชายซึ่งบริหารโรงงานผลิตอุปกรณ์ออกกำลังกายที่นั่นรับนักเรียนที่จบจากไต้อิงปันเข้าฝึกงานพร้อมหลักสูตรภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ และทักษะการจัดการชีวิต
เธอกล่าวว่า “ต่อให้นักเรียนบางคนของฉันจบมัธยมปลายหรือมหาวิทยาลัย ช่องทางที่จะหางานทำได้ก็ยังจำกัด ฉันจึงคิดว่าน่าจะให้พวกเขาได้เรียนรู้ทักษะด้านเทคนิคที่ใช้ประกอบอาชีพ ช่วยจุนเจือครอบครัว”
ชางยังคงติดต่อกับทางไต้อิงปันอยู่เสมอ แม้ขณะนั่งอยู่ในสำนักงานมูลนิธิของเธอที่ไทเป ซึ่งเป็นแฟลตธรรมดาๆ บนชั้นสองเหนือคลินิกแพทย์ของสามี
เสื้อผ้าสวมสบายและใบหน้าที่แต่งบางๆ ของเธอตรงข้ามกับที่เคยได้ชื่อว่าติดหรูเมื่อสมัยทำงานที่หนังสือพิมพ์เมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่ผมซึ่งเธอถักเปียสองข้างก็ยังส่อให้เห็นพลังเยาวภาพในน้ำเสียงและกิริยาท่าที
“ไม่มีใครตั้งใจทำอะไรอย่างนี้จริงจังเพราะหวังจะได้รางวัลหรอก” เธอพูดถึงการได้รับรางวัลบุคคลแห่งปีของเอเชียจากรีดเดอร์ส ไดเจสท์ “แต่พูดตรงๆ ก็รู้สึกไม่เลวเลย มันทำให้เรารู้ว่าคนอื่นเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทำการที่ใครๆ ยอมรับงานทั้งหมดที่เราทุ่มเททำมาย่อมเป็นเรื่องวิเศษ”
ชางบอกว่าข้อเสียของการได้รางวัลก็คือ “ไม่ได้อยู่นอกสายตาใครๆ อีกต่อไป แรงกดดันนี้ทำให้ต้องทำงานหนักมากกว่าเดิม” ใช่ว่ามันจะเคยเป็นเรื่องง่าย ชางเล่าไว้ในบันทึกความทรงจำซึ่งตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วถึงความสิ้นหวังในช่วงแรกตอนที่ขายเทียนหาเงินทุนและรู้สึกย่ำแย่เมื่อขายไม่ได้แม้แต่เล่มเดียวในวันคริสต์มาสอีฟ เธอบอกว่า “มันยากที่จะโฆษณาแนวคิดเมื่อไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นใคร” แต่เธอยังกัดฟันสู้ต่อ แล้วปี 2545 เธอก็ระดมทุนได้ถึง 600,000 เหรียญไต้หวัน (ราว 620,000 บาท) ในเวลาเพียงสองชั่วโมงที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งของไทเปในวันผู้ป่วยโรคเรื้อนสากล
ชางบอกว่า “ครอบครัวส่วนใหญ่อาศัยลูกๆ เป็นแรงงาน ทุกครอบครัวมีลูกอย่างน้อยห้าคน โรงเรียนจึงเป็นการลงทุนระยะยาวเกินไปสำหรับหลายครอบครัว” เธอยอมรับว่าหลังภาคเรียนแรกผ่านไป นักเรียน 48 คนที่รับเข้ามาเรียนมัธยมเมื่อปีที่แล้วเหลืออยู่เพียง 26 คนเท่านั้น
สุขอนามัยคือปัญหาอีกอย่างและสภาพที่พบทั่วไปในเด็กคือ ทั้งเหา เหลือบไร และกลิ่นตัว เจ้าหน้าที่ต้องสอนให้เด็กรู้จักอนามัยพื้นฐาน ภาวะขาดแคลนน้ำและไฟฟ้าซึ่งเอาแน่นอนไม่ได้นั้นยังเป็นปัญหาอยู่ แต่ก็ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ปัญหาท้าทายใหญ่หลวงที่สุดสำหรับชางก็คือการรับมือกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งหลายปีมานี้พยายามขัดขวางความอุตสาหะของเธอทุกครั้ง ทัศนคติของพวกเขาเปลี่ยนไปหลังจากเธอได้รับหลายรางวัลรวมทั้งการที่สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของรัฐบาลจีนประกาศยกย่องให้เธอเป็นหนึ่งใน “บุคคลน่าประทับใจ” ที่สุดแห่งปี 2554 โดยถือเป็นชาวไต้หวันคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้
เมื่อถามว่าเคยมีสักครั้งไหมที่เธอคิดจะยอมแพ้ ชางตอบตรงๆ ว่า “ตลอดเวลาเลยล่ะ!” แล้วเสริมว่า แต่เธอก็เป็นคนประเภทที่หลังเช็ดน้ำตาแล้วจะคิดถึงก้าวต่อไปโดยใช้เหตุผล
ตลอดเวลาที่ผ่านมาครอบครัวของชางกลายเป็นเรื่องรองจากมูลนิธิของเธอ แต่คน ในครอบครัวก็คอยให้กำลังใจ ช่วงหยุดเรียน ลูกชายวัยรุ่นทั้งสองตามเธอไปยังหมู่บ้านแห่งนั้นเพื่อทำงานเป็นอาสาสมัคร สามีซึ่งทีแรกคิดว่าไม่มีทางที่ภรรยาตัวเองซึ่งเคยชินกับชีวิตสุขสบายจะอยู่ได้ในสถานที่ไม่มีน้ำไฟใช้ ก็สนับสนุนการตัดสินใจของเธอเสมอมา
ทุกอย่างที่ชางทำในไต้อิงปันสะท้อนถึงปรัชญาสองประการของเธอ ประการแรก คือ ตระหนักว่าวันหนึ่งการศึกษาจะทำลายคำสาปเรื่องโรคเรื้อนได้ หาใช่เงินทองไม่ เธอกล่าวว่า “การช่วยเหลือคนเหล่านี้ไม่ใช่แค่ให้เงิน เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร”
“ฉันเชื่อว่าตราบใดที่เราให้การศึกษาที่ดีแก่เด็กฉลาดๆ เหล่านี้ พร้อมกับให้ความรักเขามากๆ ทุกคนก็สามารถใช้ชีวิตปกติและเป็นกำลังหลักของสังคมได้”
ปรัชญาประการที่สองของเธอคือ เรื่องการใช้ประโยชน์จากพลังความคิดเห็นของสาธารณชน
“ฉันไม่ตรงเข้าไปพูดกับใครหรอกว่า ‘ดูซิว่าคนพวกนี้จนแค่ไหน บริจาคเงินให้เราหน่อย’ ไม่หรอก ฉันต้องบอกให้ผู้คนรับรู้สถานการณ์ของพวกเขา บอกว่าทำไมพวกเขาถึงต้องสลัดโรคนี้ให้พ้น ฉันต้องอธิบายถึงจิตใจอันเป็นกุศล อธิบายว่าเป้าหมายสุดยอดของมันคืออะไร”
สำหรับชาง เป้าหมายสูงสุดนั้นคือ สร้างพลังผ่านความคิดเห็นของสาธารณชนให้ได้มากพอจะกดดันให้รัฐบาลสร้างความเปลี่ยน แปลงอย่างแท้จริง
เธอบอกว่า “เป้าหมายของฉันชัดมาก มูลนิธิเล็กๆ นี้อยู่มาได้นานหลายปีเพราะมีความหมายและเป้าประสงค์อย่างแท้จริง”
ทุกวันนี้ชางใช้เวลาประมาณปีละแปดเดือนในจีนไปบรรยายและร่วมงานต่างๆ โดยแบ่งสรรเวลาระหว่างไต้อิงปัน ชิงเตา และส่วนอื่นๆ ของประเทศ ปกติเธอจะบินกลับไทเปทุกสองหรือสามสัปดาห์
ชางกำลังวางแผนจะลดบทบาทจากการเป็นบุคคลแถวหน้าในอีกสองปีต่อจากนี้ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าโครงการของเธออยู่ในขั้นสมบูรณ์เต็มที่แล้ว เธอรู้ว่าตัวเองไม่อาจช่วยเด็กทุกคนได้ เธอจึงตั้งใจเสมอมาว่าจะทำให้ไต้อิงปันเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่นๆทำ ตาม
ตอนนี้หมู่บ้านอื่นๆ อีก 16 แห่งในเหลียงซานตั้งสถานศึกษาของตัวเองกันแล้ว ก้าวต่อไปคือตั้งมูลนิธิในจีนและดึงรัฐบาลจีนให้
มีส่วนร่วมด้วยมากขึ้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชางต้องหลั่งน้ำตานับครั้งไม่ถ้วนอันเกิดจากความรู้สึกโกรธ คับข้อง หัวใจสลาย และสิ้นหวัง แต่ที่เกิดจากความภาคภูมิใจและความสุขก็มีเหมือนกัน สุดท้ายมันก็เกี่ยวเนื่องกับเด็กๆ เสมอ บอร์ดติดภาพถ่ายใบหน้านักเรียนที่ไต้อิงปันทุกคนแขวนอยู่ในสำนักงานของชางเสมือนเครื่องเตือนใจให้นึกเสมอว่าเหตุใดการดิ้นรนต่อสู้นี้จึงคุ้มค่า
เธอบอกว่า “ฉันอยากสอนให้เด็กด้อยโอกาสพวกนี้รู้จักรักชีวิต เพราะชีวิตช่างแตกต่างหลากหลาย และมีความเป็นไปได้มากมายเหลือเกิน
“ถึงพวกเขาจะไม่มีทางร่ำรวย แต่เขาก็ยังเป็นสุขและอิ่มเอมใจได้ ความรู้สึกที่ฉันมีต่อพวกเขาก็ง่ายๆ เหมือนความรักอันไร้เงื่อนไขของแม่ ฉันไม่ต้องการให้พวกเขาตอบแทนอะไร แค่อยากให้พวกเขามีชีวิตที่ดีเท่านั้น”
--

การเลือกคู่ครอง : พระอาจารย์จรัญ




ขอเจริญพร คนเราเดี๋ยวนี้ การเลือกคู่ครอง
ตามยุคใหม่สมัยใหม่ เขาไม่ค่อยเลือก
เจอเช้าได้เย็น เจอเย็นได้เช้า
ไม่มีหลักคุณธรรมไร้เหตุผลมาก
เมื่อสมัยก่อนนานมาแล้วนั้น
ปู่ย่า ตายาย เข้าวัดมีหลักธรรม
เลือกคู่ครองแสนจะยาก
ก็ขอเจริญพรว่า การจะมีเหย้ามีเรือน
จะปลูกเรือน ตามใจผู้อยู่ ปลูกอู่ตามใจผู้นอน ก็จริง
แต่ต้องมีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
เรียกว่า ครองเรือนครองรัก จะเลือกตรงไหน
คนเราส่วนมากก็ขอเจริญพร พี่น้องชาวพุทธศาสนิก
เข้าใจผิดกันเยอะ
การจะมีครอบมีครัวนี้แสนจะยาก
สำหรับคนมีคุณธรรมไม่ไร้คุณภาพ
อันนี้ต้องพูดให้ยาวนิดหนึ่ง
เพราะว่าบางคนเลือกไม่ดีเลย
เอาแต่ความถูกใจ ความถูกต้องไม่มี
คนเราจึงอยู่เย็นเป็นสุขไม่ได้
ในเมื่ออยู่เย็นเป็นสุขไม่ได้แล้ว
หย่าร้างกันมากมาย หลากหลายกันด้วยไม่ดี ไร้คุณธรรม

เพราะฉะนั้นการเลือกคู่ของคนโบราณนั้น
เอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นหลัก
หลักการเลือกคู่นี้มีอยู่ ๖ ประการ
๑. รูปสวย
๒. รวยทรัพย์
๓. นับวิชา
๔. มีมารยาท
๕. เป็นชาติผู้ดี
๖. มีศีลธรรม

อันนี้เป็นวิชาเลือกคู่ ใครสอน พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอน
คำว่ารวยทรัพย์ ไม่ได้หมายความว่ามีเงินทอง
หมายความว่า มีอริยทรัพย์ ทรัพย์ภายใน
และมีทรัพย์ภายนอก นี่เขาเรียกรูปสวย รวยทรัพย์
รูปสวย เขาสวยด้วยอะไร สวยด้วยรูปธรรม
สวยด้วยนามธรรม สวยนอกสวยใน
สวยจิต สวยใจ รวยทรัพย์
คือ อริยทรัพย์ภายในมีไหม
คุณสมบัติมีไหม และทรัพย์ภายนอกมีไหม
มีวิชาไหม นับวิชาไหม
มีวิชาความรู้ดี เป็นชาติผู้ดี ไหม
มีมารยาท ชาติผู้ดี มีศีลธรรม ๖ ประการ
อันนี้เป็นวิธีเลือกคู่
แต่ไม่ใช่หมายความว่าไปหาหมอดู
เดี๋ยวนี้ขอเจริญพรแทนเหลือเกิน
แม่ไม่ดี เอาวันเดือนปี ผู้ชาย เอาวันเดือนปี ผู้หญิง
เอาไปดูตรงกันไหม วันได้เดือนถึง เป็นเนื้อคู่กัน
แต่งงานกัน ผิดหวังน่าเสียดาย

จุดมุ่งหมาย ข้อที่สอง จะดูตรงไหน
ขอเจริญพร จิตใจเข้ากันได้ไหม นี่ข้อ ๒
นอกเหนือดูจาก ๖ ข้อ คุ้นเคยกันไหม
รู้นิสัยใจคอกันไหม มีความรู้เสมอหน้าเสมอตากันไหม
แล้วอัธยาศัย วิสัยทัศน์ กว้างไกลไหม
มีมนุษยสัมพันธ์ หรือเปล่า และมีเมตตาหรือเปล่า
และคนนั้นมีกตัญญูกตเวทิตาธรรม ต่อ คุณพ่อ คุณแม่ ไหม
ถ้าหากอันนั้นเข้ากันได้
อาตมาคิดว่าอันนั้นแหละเป็นการเลือกคู่ ที่ถูกต้อง
แล้วการเป็นเนื้อคู่ที่ถูกต้อง
การจะฝังหลักปลูกเรือนเสนจะยาก
ต้องหลายอย่างหลายประการถึงจะมีความสุข
นี่อาตมาพูดเป็นตอนแรกก่อน
ว่าเลือกคู่ต้องมี ๖ ประการ
ข้อ ๒ ต้องจิตใจเข้ากันได้ มีความรู้เทียมกัน
อัธยาศัยคล้ายคลึงกัน และเกรดเดียวกัน สเปคเดียวกัน
นี่เลือกอันนี้ก่อน คนเรานี่ เลือกคู่แล้ว จะอยู่เย็นเป็นสุข
ต้องมีเรือนนอก เรือนใน เรือนใจ อันนี้เป็นข้อต่อไป
ไม่ใช่เอาอันนี้เป็นข้อแรก
การเลือกคู่นะ มี ๖ ประการ
และ ข้อ ๒ จิตใจเข้ากันได้ ไหม
และข้อต่อไป ปลูกเรือนแล้ว จะอยู่เย็นเป็นสุขหรือไม่
เป็นข้อต่อไป
๑. เรือนนอก
๒. เรือนใน
โบราณท่านว่าไว้ เรือนใน คือ อะไร เรือนในนี่สำคัญ
ที่แม่บ้านการเรือน เรือนผมสะอาด
เรือนผมต้องสะอาดอย่าสกปรก
๒. เรือนนอน
๓. เรือนครัว นี่เรือนข้างใน ในบ้านในเรือน
สร้างอารมณ์ให้ดี ตั้งแต่เช้ามาจนถึงบัดนี้
อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปเยอะ ในเรือน ในหัวใจ
อย่าหละหลวม เหลาะแหละ เหลวไหล
เอาตราชั่งขึ้นมาดู เอาตราชูขึ้นมาชั่ง
วัดแล้ว วัดเล่า เฝ้าแต่วัด เป็นเรือในสำคัญมาก
เรือนในคืออะไร คือ จิตใจ
จิตใจ เป็นธรรมชาติ คิด อ่านอารมณ์
รับรู้อารมณ์ไว้ได้เป็นเวลานานเหมือนเทปบันทึกเสียง
ถ้าทำใจให้สบาย ทำใจให้เป็นปรกติแล้ว
จะเรียกเงินก็ไหลนอง จะเรียกทองก็ไหลมา
บ้านนั้นจะมีแต่ความสุขความเจริญ มีแต่ความอดทน
เหมือนบ้านมีเสาเรือน แน่นหนา
นี่แหละในหลักของพระพุทธศาสนา
มีสติปัญญา ศีลแปลว่าสะอาด
สมาธิแปลว่าข้างใน มั่นคงถาวร
ปัญญาแปลว่าแก้ไขปัญหาได้ ก็ขอเจริญพรอย่างนี้ถูกต้องแล้ว

ที่มา : http://www.jarun.org
[url=http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15980]::
__________________
http://www.wimutti.net
"จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ"
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล

จี้ปล้นและข่มขืน : ภัยสังคมที่อาจเพิ่มขึ้นในปี 56 โดย สามารถ มังสัง




 ในปี 2555 เกือบทุกวันจะมีข่าวอาชญากรรมจี้ปล้น ข่มขืน ไม่ข่าวใดก็ข่าวหนึ่ง หรือในบางวันครบทั้ง 3 ข่าว และทุกครั้งที่มีข่าวทำนองนี้ออกมา ก็มักจะมีมูลเหตุจูงใจให้ผู้กระทำผิดจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
     
        1. ติดยาเสพติด ไม่มีเงินซื้อยาจึงต้องจี้ปล้นเพื่อเอาเงินมาซื้อยา และแทบทุกครั้งถ้าเหยื่อขัดขืนก็จะถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บ และบางรายถึงกับเสียชีวิตเพื่อแลกกับเงินและทรัพย์สินซึ่งมีมูลค่าไม่กี่พันบาท ดังเช่นกรณีของพ่อค้าขายลูกชิ้นปิ้ง เป็นต้น
     
        2. ติดการพนัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพนันฟุตบอล ซึ่งนิยมเล่นกันอย่างแพร่หลายในหมู่เด็กวัยรุ่น
     
        ในทำนองเดียวกันกับยาเสพติด เมื่อติดการพนันและในคราใดเล่นแพ้ไม่มีเงินก็จะออกล่าเหยื่อด้วยการจี้ปล้น และคนที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่จะเป็นหญิง ซึ่งทำงานกลางคืนและกลับบ้านดึก ประกอบกับต้องเดินทางผ่านที่เปลี่ยว เช่น ต้องเข้าซอยลึกและมืด ไม่มีคนสัญจรไปมาบ่อยนัก หรือไม่ก็คนขับแท็กซี่
     
        แต่ถ้าเป็นประเภทหัวสูง และชอบเล่นได้เสียครั้งละมากๆ ก็อาจประกอบอาชญากรรมซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น ปล้นธนาคาร ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น
     
        ไม่ว่าจะจี้ปล้นรายเล็กหรือรายใหญ่ ล้วนแล้วแต่มีเหตุจูงใจประการเดียวคือ ต้องการเงินมาใช้หนี้พนัน
     
        3. นอกจากประเภทหนึ่งและสองแล้ว อาชญากรรมในประเทศไทยในขณะนี้ อาชญากรรมประเภทฆ่าข่มขืนโดยไม่มุ่งทรัพย์สิน และชิงทรัพย์ ข่มขืนแล้วฆ่า
     
        ผู้ประกอบอาชญากรรมประเภทนี้มีมูลเหตุจูงใจหลายประการรวมกัน แต่ส่วนใหญ่จะเน้นข่มขืน ส่วนจะฆ่าหรือไม่ฆ่า ประสงค์ต่อทรัพย์ด้วยหรือไม่เป็นประเด็นรองลงไป
     
        ดังนั้น อาชญากรประเภทนี้มูลเหตุขึ้นอยู่กับความผิดปกติทางด้านจิตใจ หรือเป็นคนปกติแต่ในขณะประกอบความผิดถูกครอบงำหรือถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเสพติด มีตั้งแต่สุราไปจนถึงสารกระตุ้นและสื่อลามกต่างๆ ทำให้ขาดสติความยั้งคิด และกระทำลงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ดังกรณีที่วัยรุ่นฆ่าสาวใหญ่และจุดไฟเผา เป็นต้น
     
        4. ความยากจนและต้องการเงินมาเลี้ยงปากท้องเพื่อบรรเทาความหิวโหย อาชญากรประเภทนี้เรียกได้ว่า อาชญากรจำเป็น มิใช่ผู้ร้ายโดยสันดาน ถ้าวันใดปากท้องอิ่มด้วยรายได้บริสุทธิ์อันเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองได้ก็จะเลิกเป็นอาชญากรได้ ซึ่งผิดกับ 3 ประเภทแรก ถึงแม้ปากท้องจะอิ่ม ถ้ายังไม่เลิกเหตุอันเป็นสิ่งจูงใจให้กระทำผิดได้ ก็จะยังคงเป็นอาชญากรเข้าคุกออกคุกเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติในชีวิตพวกเขา
     
        ทำไมจึงบอกว่าอาชญากรรมประเภทจี้ปล้นและฆ่าข่มขืนจะมากขึ้นในปี 2556 ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วอาชญากรรมประเภทนี้เกิดขึ้นและมีเป็นอยู่ในสังคมมนุษย์มานานแล้ว จะเห็นได้จากการที่ทุกศาสนามีข้อห้ามเกี่ยวกับเรื่องที่ว่านี้
     
        เพื่อให้มองเห็นภาพรวมของอาชญากรรม 3 ประเภทดังกล่าวในอดีตที่ผ่านมา และเป็นพื้นฐานการวิเคราะห์ว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน และด้วยเหตุอันใด ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านได้รู้เกี่ยวกับสถิติเกิดอาชญากรรม และผลของการปราบปราม ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้นำมาเปิดเผยและกลายเป็นข่าวหน้า 1 ของสื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับดังต่อไปนี้
     
        ในรอบ 11 เดือนของปี 2555 เทียบกับปี 2554 ห้วงเวลาเดียวกัน พบว่ากลุ่มคดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีเกี่ยวกับประทุษร้ายต่อร่างกายและเพศ คดีฆ่าผู้อื่น และคดีลักทรัพย์ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
     
        1. คดีประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย และเพศได้รับแจ้ง 23,324 คดี จับกุม 10,376 คดี เทียบกับปี 2554 ได้รับแจ้ง 23,488 คดี จับกุม 8,388 คดี ลดลง 146 คดี
     
        2. คดีฆ่าผู้อื่น 3,045 คดี จับกุม 164 คดี เปรียบเทียบกับปี 2554 ลดลง 24 คดี
     
        3. คดีลักทรัพย์จับกุมมากที่สุด 8,275 คดี และชลบุรีเป็นพื้นที่ที่เกิดคดีมากที่สุด”
     
        จากตัวอย่างคร่าวๆ ข้างบนดังกล่าว จะเห็นว่าในแต่ละปีมีคดีเกิดขึ้นเป็นอันมาก และการจับกุมก็สามารถดำเนินการได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2554
     
        แต่เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ บอกเพียงการจับกุมแต่ไม่ลงรายละเอียดถึงกระบวนการเอาผิดว่ามีผลเป็นอย่างไร เป็นต้นว่า มีหลักฐานพอฟ้องกี่ราย และฟ้องแล้วยกฟ้องกี่ราย และเหลือกี่รายที่ได้รับโทษตามกฎหมาย
     
        ดังนั้น การแถลงผลงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในครั้งนี้ถือได้ว่ายังไม่สมบูรณ์พอที่จะบอกได้ว่าเป็นผล เพราะในความเป็นจริงมีอยู่ไม่น้อยที่ตำรวจจับแพะ และต้องปล่อยไปในชั้นอัยการและศาล เนื่องจากมีพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
     
        ด้วยเหตุนี้ ในปี 2556 ถ้าจะให้ประชาชนเชื่อถือ และศรัทธาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะต้องป้องกันมิให้เกิดอาชญากรรม หรือเกิดแล้วจะต้องรีบดำเนินการจับกุมมาลงโทษให้เร็วที่สุด และจะต้องไม่เป็นแพะรับบาปด้วย
     
        แต่การจะทำได้ถึงขั้นนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องมีข้อมูลในเชิงลึกเกี่ยวกับประชากรในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา และภูเก็ต เป็นต้น และการจะมีข้อมูลละเอียดในทำนองนี้ได้ จะต้องทำการสำรวจประชากรในทุกพื้นที่ และจัดทำบัญชีประชากรโดยแบ่งตามคุณสมบัติ 3 ประการเป็นอย่างน้อย คือ
     
        1. สถานภาพในครอบครัว เริ่มตั้งแต่รายได้ การศึกษา และพฤติกรรมระหว่างสมาชิกในครอบครัว
     
        2. การศึกษา และอาชีพหลักที่แต่ละคนในครอบครัวมีอยู่ และเป็นอยู่มากน้อยเป็นอย่างไร เพื่อจะได้นำมาศึกษาหาแนวโน้มในการจะเป็นอาชญากรมากหรือน้อยเพียงไร
     
        3. พฤติกรรมที่ล่อแหลมต่อการเป็นอาชญากร เช่น ติดยาเสพติด และติดการพนัน เป็นต้น
     
        เมื่อมีข้อมูล 3 ประการนี้แล้วก็เชื่อได้ว่าจะเป็นการง่ายต่อการสืบหาตัวผู้กระทำผิด โดยเบื้องต้นมุ่งไปที่บุคคลในสังคมซึ่งมีแนวโน้มการเป็นอาชญากรก่อน และเมื่อไม่พบก็ขยายวงออกไป
     
        เพียงแค่นี้ก็เชื่อว่าคงจะทำให้การควบคุมและปราบปรามทำได้ง่ายขึ้น
     
        ส่วนประเด็นว่าในปี 2556 จะเกิดอาชญากรรมประเภทที่ว่ามามากหรือน้อยเมื่อเทียบกับปี 2555 บอกได้เลยว่ามากกว่าแน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจอันเป็นเหตุจูงใจให้คนทำผิดมากขึ้น ซึ่งโดยสรุปมีอยู่ใน 2 ประเด็นหลัก คือ
     
        1. ปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจถดถอย และชะลอการขยายตัวอันเนื่องมาจากการขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ และผู้ประกอบการเลิกกิจการหรือย้ายฐานการผลิต
     
        2. ปัญหาการครอบงำของวัตถุนิยมที่เพิ่มมากขึ้น และทำให้ผู้คนในสังคมเป็นทาสวัตถุ และไล่ล่าความต้องการเพิ่มขึ้นจึงต้องกลายเป็นอาชญากร

ต้องเสียดินแดนไทยก่อน จึงสวาปามบ่อน้ำมันได้!


ต้องเสียดินแดนไทยก่อน จึงสวาปามบ่อน้ำมันได้!

โดย ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชั

     ผู้มีอำนาจไทยขายชาติกลุ่มหนึ่ง จงใจทำชาติไทยเสียดินแดนให้เขมร!
     
       โดยแอบสมคบกับเผด็จการเขมรฮุนเซน เข้ายึดครองผืนดินไทยอย่างหน้าด้านๆ โดยทหารเขมรไม่ต้องสู้รบ ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ!!
     
       แผนชั่วนี้..หวังเลี่ยงการถูกคนไทยประณามว่า เป็นผู้นำไทยขายชาติเพื่อแลกกับ ผลประโยชน์จากบ่อน้ำมันเข้ากระเป๋าส่วนตัวครับ!!!
     
       คนไทยชั่วสุดๆ ระดับหัวโจก เป็นมหาเศรษฐีและนักการเมืองขี้โกง ที่ไม่รักชาติ-ไม่ซื่อสัตย์สุจริต-ไม่รู้ถูก-ผิด-ชั่ว-ดี-ควร-ไม่ควร ฯลฯ
     
       เฮ้อ..สุดจะหาคำด่าใดๆ ในโลกหล้า ที่สาสมกับความชั่วช้าสามานย์ของไอ้คนแดนไกลที่ปัจจุบันยังคงเป็น “นายกฯ สมาคมคนโครตชั่ว” ตัวจริงเสียงจริง เพราะ “นายกฯ สมาคมคนโครตชั่ว” ตามกฎหมายนั้น เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไร้สมอง
     
       ผู้นำไทยที่ทำชั่วจนไทยอาจเสียดินแดนให้เขมร ใช้วิธี..เรื่องควรทำ-เสือกไม่ทำ เรื่องไม่ควรทำ-เสือกทำ ส่วนคนพวกนี้ได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง ท่านผู้อ่านคิดเองก็แล้วกัน!
     
       หนึ่ง-ดินแดนไทย-เขมรด้านอีสานนั้น ไทยกับฝรั่งเศสที่ยึดครองเขมรเห็นตรงกันว่า ให้ยึดสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน ตัวปราสาทพระวิหารที่อยู่เหนือสันปันน้ำ จึงเป็นของชาติไทยมาแต่โบราณ โดยเขมรไม่เคยโต้แย้งเลย
     
       สอง-หลังฝรั่งเศสผละจากการยึดครองเขมร แต่ยังคงความสัมพันธ์ที่ดีกับเขมรเป็นพิเศษ เมื่อเจ้าสีหนุยื่นเรื่องเข้าศาลโลกด้วยข้ออ้างว่า ตัวปราสาทกับแผ่นดินแถวนั้น-เป็นของเขมร ผู้รู้คนไทยหลายคนได้คัดค้านต่อต้าน ไม่ให้ไทยไปสู้กับเขมรในศาลโลก
     
       โดยเปิดโปงว่า..ศาลโลกเป็นศาลการเมือง ที่ประเทศมหาอำนาจคุมเสียงข้างมากไว้ จึงบงการแพ้-ชนะได้ และฝรั่งเศสก็ช่วย “ล็อบบี้” ให้เขมรเต็มที่ ไทยที่ไปสู้กับเขมรในศาลโลก-แพ้แน่
     
       จริงตามคาด-ศาลโลกตัดสินให้เขมรได้ตัวปราสาทไป โดยอ้างกฎหมายปิดปากที่ไทยไม่เคยปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน แม้ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินอยุติธรรมของศาลโลก และรัฐบาลไทยยังสงวนสิทธิ์ขอทวงคืนตัวปราสาทฯ ในอนาคต ไทยได้ล้อมรั้วรอบตัวปราสาทฯ เจ้าสีหนุจึงต้องปีนหน้าผาขึ้นไปยังตัวปราสาทฯ เขมรไม่เคยคัดค้านเรื่องนี้มานานถึง 50 ปีเศษ
     
       สาม-ไม่ทราบเหตุผลใดที่จู่ๆ รัฐบาลนายชวน หลีกภัย จึงเซ็น MOU 2543 กับรัฐบาลเขมร และยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ทั้งๆ ที่ไทยใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 5 หมื่น ตามหลักสากลมาตลอด ทำให้ดินแดนของชาติไทยคนเดียว กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับเขมรทันที ใครในรัฐบาลยุคนั้นได้ประโยชน์อะไรหรือไม่..สิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้?
     
       เขมรละเมิด MOU 2543 ตลอด โดยส่งกำลังทหารเข้ามายึดครองดินแดนไทย บริเวณรอบตัวปราสาทฯ โดยรัฐบาลและทหารไทยไม่ได้ทำอะไรเลย ทหารเขมรจึงตั้งหมู่บ้าน-ตลาด-วัด ในแผ่นดินไทยมาจนทุกวันนี้
     
       สี่-เมื่อ “เหลี่ยม” หันมาทำธุรกิจพลังงาน และยึดอำนาจรัฐได้ด้วยเงิน จึงมีการเซ็น MOU 2544 และมีการวางแผนลับกับพวกว่า ถ้าเขมรได้ครองผืนดินไทย ตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน น้ำมันใต้ทะเลจะตกอยู่ในมือเขมรถึง 3 ใน 4 ส่วน เพราะแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 5 หมื่นนั้น น้ำมันส่วนใหญ่จะเป็นของชาติไทยครับ
     
       ถ้าน้ำมันส่วนใหญ่อยู่ในดินแดนไทย นักการเมืองชั่วไทย-เขมรฮุนเซน-บริษัทน้ำมันอเมริกา จะเอาเปรียบชาติไทยมากเกินควรไม่ได้ เพราะรัฐบาลไทยจะปิดปากสื่อและประชาชน เยี่ยงเผด็จการฮุนเซนทำกับชาวเขมรไม่ได้อย่างแน่นอน การซื้อตัวเผด็จการฮุนเซนให้ทำชั่วจึงง่ายกว่า
     
       แผนขึ้นทะเบียนตัวปราสาทฯ กับที่ดิน 4.6 ตร.กม. เป็นมรดกโลกของเขมรแต่เพียงผู้เดียวกับยูเนสโก จึงเป็นแผนการเมืองชั่วที่มีบ่อน้ำมันซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง โดยมีผู้นำไทยขายชาติบางคนกับเขมรฮุนเซน และบริษัทน้ำมันตะวันตกสมคบกันครับ
     
       โดยอเมริกาจ้างและรัฐบาลไทยใช้ให้ไส้ศึกคนไทย ที่ทำงานในกระทรวงต่างประเทศ และผู้นำกองทัพบางคนสนับสนุนแผนนี้อย่างแยบยลทุกวิธีการ!
     
       น่าคิดไหมว่า..ทำไมตัวปราสาทฯ เป็นของเขมร แต่ผืนดินรอบตัวปราสาทฯ ที่เป็นของไทย ทำไมเขมรจึงไม่ให้ชาติไทยร่วมเป็นเจ้าของมรดกโลกล่ะ?
     
       และทำไมรัฐบาลเครือข่ายเหลี่ยมจึงยอมเขมร โดยไปเซ็นยอมรับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ที่ผนวกเอาดินแดนไทย 4.6 ตร.กม.ไว้ด้วย?
     
       ห้า-เมื่อหล่อได้เป็นรัฐบาลแทนเหลี่ยม หล่อยังปล่อยให้เขมรยึดดินแดนไทยต่อ เมื่อทหารเขมรจับ 2 คนไทยในแผ่นดินไทย รัฐบาลหล่อกลับระบุว่า คนไทย 2 คนล้ำแดนเขมร เมื่อทหารเขมรยิงถล่มใส่ชาติไทยเพื่อใช้เป็นข้ออ้างยื่นร้องไปที่ศาลโลก รัฐบาลหล่อก็ยังไปยอมรับศาลการเมืองนี้อีกครั้ง ทั้งๆ ที่ไทยไม่ได้เป็นสมาชิกศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2505 แล้ว
     
       หก-เมื่อ “หล่อ” ยอมรับศาลโลก รัฐบาล “สวยกลวง” ของเหลี่ยมก็สวมตอต่อ จนศาลโลกจะตัดสินคดีนี้ ด้วยวาจาในวันที่ 15-19 เมษายน 2556 นี้แล้ว
     
       1 มกราคม 2556 รัฐมนตรีฯ “ปึ้งไส้อั่ว” ขี้ข้าเหลี่ยม ได้บอกให้คนไทยทำใจว่า คดีนี้มีแต่เจ๊ากับเจ๊ง เจ๊า-คือตัวปราสาทฯ เป็นของเขมร ดินแดนรอบตัวปราสาทฯ เป็นของไทย เจ๊ง-ตัวปราสาทฯ และดินแดนไทยตกเป็นของเขมร ตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน!
     
       เฮ้อ..นักการเมืองไทยไม่มีใครรักชาติเหมือนฮุนเซนเลย ฮุนเซนกล้าส่งทหารเขมรมายึดดินแดนไทย ที่มีกองทัพเหนือกว่าทั้งกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์
     
       ฮุนเซนไม่กลัวกองทัพไทย เพราะฮุนเซนซื้อนักการเมืองใหญ่ไทยด้วยบ่อน้ำมันได้ และนักการเมืองใหญ่ขี้โกงของไทย ก็ซื้อนายทหารใหญ่บางคนในกองทัพได้ไงล่ะครับ
     
       งานนี้..ไทยจึงต้องเสียดินแดนให้เขมรก่อน เพื่อคนไทยขายชาติบางคน จะได้สวาปามบ่อน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชาไงล่ะครับ!

บริการซ่อมรถ ฟรี 24 ชม.




ชาวกรุงซึ้งน้ำใจรถเสียช่วยฟรี 24 ชม. รถ เสียกลางกรุงไม่ต้องตกใจ กด 1137
เรียกใช้บริการช่างซ่อมอาสาได้ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง ตาม โครงการ ช่วยป้องกัน ทั้งโจรในคราบพลเมืองดีและ
ภัยสุภาพสตรีที่รถเกิดเสียกลางทาง

คนยังเรียกใช้น้อย เพราะ ส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก วอนรัฐช่วยส่งเสริมสนับสนุน ขณะที่ ผู้ คนในสังคมต่างดิ้นรนเอาตัวรอด
ส่งผลให้ผู้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น เสีย สละต่อผู้อื่นน้อยลง และ ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของคนอื่น

แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนหนึ่งแม้จะไม่มากนัก แต่ก็พร้อมจะ ทำงานที่เสียสละช่วยเหลือ
คนอื่น โดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน อย่างกลุ่มคน ในโครงการ ' ปันน้ำใจช่วยเหลือรถจอดเสียกลางทาง '
นายกฤตวิทย์ ศรี พสุธา เจ้า ของโครงการ ' ปันน้ำใจช่วย เหลือรถจอดเสียกลางทาง ' กล่าว ถึงที่มาโครงการนี้ ว่า

เห็นข่าวผู้หญิงรถเสียในเวลากลางคืนและเกิดปัญหา อาชญากรรมตามมาโดยพวกมิจฉาชีพคอยทำร้ายชิงทรัพย์
รวม ไป ถึง ทำตัวเป็นพลเมืองดีในคราบโจรแล้ว น่า เป็นห่วง
นอกจากนี้จากการสำรวจดู ยัง พบว่า มีรถเก่าจอดเสียอยู่ข้างทางไกลบ้านและไม่มีใครดูแล
จึงได้หารือกับ พล.ต.ต.ภาณุ เกิด ลาภผล ผบก.จร. เพื่อหาทางแก้ไขให้ประชาชนมีที่พึ่ง เพราะเชื่อว่าในสังคมไทยยังมีคนดี
อยู่อีกจำนวนมาก

บทสรุปที่ได้ คือ ให้ ตำรวจแต่ละท้องที่จัดหาอู่ซ่อมรถ
จัดซื้อรถลากรถยกไว้ให้บริการ โดยมีตำรวจโครงการพระราชดำริ
มาร่วมด้วยช่วยกัน ปรากฏ ว่าเจ้าของอู่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดย ไม่คิดค่าแรง และ บอกว่า ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
เพราะต้องการช่วยประชาชนอยู่แล้ว แต่ไม่มีโอกาส นายกฤตวิทย์ กล่าว ว่า เพื่อสร้างความเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ จึง กำหนดให้
เจ้าหน้าที่ ที่ ออกให้บริการต้องติดบัตรใส่ชุดฟอร์ม และ ไม่รับค่าตอบแทน
เพราะทุกคนทำด้วยใจรัก ' บริษัทได้ทำประกันอุบัติเหตุให้เป็นค่าตอบแทน 1 ปี ถึงขณะนี้ การช่วยเหลือยังน้อยอยู่
เดือนหนึ่งประมาณ 50-60 ราย เฉลี่ยวันละ 4-5 ราย แต่ ในช่วงคืนฝนตก จะ มีคนเรียกใช้มากถึงวันละ 10 ราย '

ผู้ริเริ่มโครงการนี้กล่าวและยอมรับว่า โครงการ ' ปันน้ำใจช่วย เหลือ รถจอดเสียกลางทาง ' ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เนื่อง จากประชาชนที่ใช้รถใช้ถนน ยังไม่ทราบว่า
มีโครงการนี้ หากมีการประชาสัมพันธ์มากกว่าที่เป็นอยู่ เชื่อ ว่าจะมีคนที่เดือดร้อนขอใช้บริการมากกว่านี้ และน่าจะมีอู่ซ่อมรถยนต์มาร่วมช่วยเหลือมากขึ้น

' ถ้าผู้ใช้รถ ไม่ ฟัง จส. 100 จะไม่รู้ว่ามีโครงการนี้ อย่าง ไรก็ดี ยังมีประชาชนส่วนหนึ่งยังไม่เชื่อใจว่าจะช่วยเหลือ
จริงหรือเปล่า หวัง อะไรหรือไม่ ถ้า ทำอย่างโปร่งใส คน จะเชื่อใจและใช้บริการมากขึ้นเราก็พร้อมจะขยายขอบข่ายการ ช่วยเหลือ ออก ไป

เพราะโครงการนี้ตั้งเป้าใช้งบไว้ 4 ล้านบาท แต่ ทำจริงๆใช้เงินเพียง 1.69 ล้านบาทเท่านั้น ' นา ยกฤตวิทย์ กล่าว และย้ำว่า คน ที่ต้องการความช่วยเหลือจากรถเสีย
กดโทรศัพท์แจ้งเรื่องได้ที่ 1137
--

"เมาะ (ป้า) เลี้ยงลูกหลายคนได้ ทำไมลูกๆ เลี้ยงเมาะไม่ได้"





จากข้อมูลสถิติประชากรไทย พบว่า ผู้สูงอายุไทยมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 8.11 ใน ปี พ.ศ. 2538 เป็นร้อยละ 10.17 ในปี พ.ศ. 25481 แม้ว่าจะเพิ่มเป็นอัตราที่ไม่สูงมาก แต่ เนื่องจากจำนวนประชากรไทยมีจำนวนมากถึง 65 ล้านคน ทำให้ประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ปัญหาการดูแลผู้สูงอายุอย่างไม่เหมาะสมเป็นปัญหาแอบแฝงและมีแนวโน้ม เพิ่มตามจำนวนประชากรสูงอายุ. ในประเทศอังกฤษพบประมาณร้อยละ 4 ของประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปี2 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้สูงอายุหลายประการ เช่น ควบคุมโรค เบาหวานและความดันโลหิตสูงไม่ได้ เกิดโรคซึมเศร้าแอบแฝงในกลุ่มผู้สูงอายุ เกิดความพิการทุพพลภาพซ้ำซ้อน และอัตราการตายของผู้ป่วยสูงอายุเพิ่มสูงขึ้นก่อนเวลาอันควร.3

อย่างไรก็ตามพบว่า สถานพยาบาลรายงานปัญหาสุขภาพครอบครัวชนิดนี้น้อยกว่าความเป็นจริง ทั้งนี้เนื่องมาจากบุคลากรขาดความตระหนัก ขาดความรู้ในการวินิจฉัยปัญหา รวมทั้งผู้ป่วยขาดโอกาสที่จะบอกว่าตนเองไม่ได้รับการดูแลจากคนในครอบครัว. บุคลากรทางการแพทย์จึงควรเรียนรู้วิธีการประเมินและการดูแลปัญหาสุขภาพครอบครัวรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมปัจจุบัน เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตแก่ผู้ป่วยสูงอายุของไทยให้ดีขึ้น.

กรณีศึกษา
หญิงหม้าย อายุ 66 ปี ศาสนาอิสลาม ที่อยู่ชุมชนแออัดในกรุงเทพมหานคร สิทธิประกันสุขภาพโรงพยาบาลรามาธิบดี.

อาการสำคัญ ไม่มาตรวจตามนัด 1 เดือน เพื่อนบ้านต้องมารับยาแทน.

ประวัติปัจจุบัน 4 ปีก่อน ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ซีกซ้าย ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย ทำกายภาพบำบัดจนกลับมาเดินได้ หลังจากนั้นมาติดตามรักษาโรคความดันโลหิตสูงอย่างสม่ำเสมอ.

2 ปีก่อน สายตามัวลง แพทย์วินิจฉัยโรคต้อกระจกและนัดผ่าตัด แต่ผู้ป่วยไม่มาตามนัด ทีมเยี่ยมบ้านพบสาเหตุว่า ผู้ป่วยและครอบครัวกลัวว่าผ่าตัดแล้วตาจะบอด จึงทำความเข้าใจกับผู้ป่วยและครอบครัว. ผู้ป่วยต้องการกลับมารักษาดวงตาให้มองเห็นเพื่อจะได้ช่วยเหลือตนเอง ทีมเยี่ยมบ้านอำนวยความสะดวกในการนัดตรวจแผนกตาให้ แต่ผู้ป่วยก็ยังไม่มาตรวจตามนัด ต่อมาเริ่มมีภาวะความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ และเริ่มกินยาไม่สม่ำเสมอ.

ทีมเยี่ยมบ้านจึงไปติดตามอีกครั้งหนึ่ง พบว่า ในบ้านเป็นห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ มีกลิ่นอับ อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง ไปไหนมาไหนเองไม่ได้ เพราะสายตามัวมากขึ้น อาศัยการเกาะและคลานอยู่ในบ้านเพราะกลัวหกล้ม มองไม่เห็นฉลากยา จึงอาศัยการจดจำสีของเม็ดยาแทน มีปัสสาวะเล็ดบ่อย จนต้องเปลี่ยนผ้าถุงวันละ 4-5 ผืน ทำให้ไม่สามารถละหมาดได้เพราะเนื้อตัวไม่สะอาด ลูกสาวซื้อข้าวมาให้ผู้ป่วยแบ่งกินวันละ 2 มื้อเอาเอง กลางวันต้องอยู่บ้านคนเดียว.

ประวัติครอบครัว มีบุตรทั้งหมด 8 คน แต่ละคนแยกย้ายไปมีครอบครัวของตนเอง ปัจจุบันอาศัยอยู่กับลูกสาวอายุ 48 ปี ที่เป็นโสด และหลานชายอายุ 16 ปี ที่ถูกให้ออกจากโรงเรียนเพราะมีปัญหากับเพื่อน ยังไม่ได้ทำงาน.
ครอบครัวมีปัญหาการเงิน ต้องเสียค่าเช่าค่าน้ำค่าไฟเกือบพันบาทต่อเดือน ลูกสาวเป็นคนหารายได้หลัก โดยรับจ้างซักผ้ารายวัน ลูกสาวมีประวัติเป็นโรคความดันโลหิตสูง กินยาไม่สม่ำเสมอเพราะคิดว่าไม่มีอาการผิดปกติ.
ผู้ป่วยมาติดตามการรักษาที่โรงพยาบาลเองไม่ได้ ต้องขอร้องให้ลูกสาวพามา แต่ลูกสาวมักไม่สนใจ จึงต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน (ผู้ป่วยน้ำตาไหล) "เมาะ (ป้า) เลี้ยงลูกหลายคนได้ ทำไมลูกเลี้ยงเมาะไม่ได้."
ผู้ป่วยคิดว่าตนเองเป็นภาระของครอบครัว เพราะลูกสาวมักพูดกับหลานว่า ต้องเหนื่อยหาเงิน มาเลี้ยงคนทั้งบ้าน ครั้นจะไปอาศัยอยู่กับลูกคนอื่นๆ ก็กลัวจะเป็นภาระของคนอื่นอีก เคยคิดจะฆ่าตัวตายโดยฝากเพื่อนบ้านซื้อยาเบื่อหนูมาให้ แต่กลัวผิดต่อคำสอนของพระอัลเลาะห์ หากขอพรได้ ก็อยากให้ตามองเห็น จะได้มีงานทำและมีเงินไว้ใช้เอง.


ผลการตรวจร่างกายที่บ้าน ผู้ป่วยนุ่งผ้าถุงเก่าๆ สีซีด เสื้อคอกระเช้าตัวเล็กเมื่อเทียบกับขนาดตัว และมีกลิ่นปัสสาวะ ความดันโลหิต 200/110 มม.ปรอท ชีพจร 86/นาทีสม่ำเสมอ หายใจ 24 ครั้ง/นาที ค่าดัชนีมวลกาย 30 กก./ม.2 วัดสายตาสองข้างได้ 4/200 มีต้อกระจกขุ่นขาวทั้งสองตา จนมองเห็นใบหน้าคนไม่ชัดในระยะ 1 เมตร เข่า 2 ข้างมีรอยด้านแข็ง ผิดรูปเล็กน้อย ยังคงจำลูกหลานและทีมเยี่ยมบ้านได้ทุกคน.

ผลการตรวจเลือดที่บ้าน ระดับน้ำตาลก่อนอาหารเช้า 164 มก./ดล.

วิเคราะห์ปัญหาสุขภาพองค์รวม
ผู้ป่วยสูงอายุรายนี้แสดงออกซึ่งพฤติกรรมไม่ให้ความร่วมมือในการมาติดตามนัด (Poor compliance or adherence to appointment) และส่งผลให้การควบคุมโรคประจำตัวไม่ดี (Poor-controlled hypertension, additional diabetes mellitus)แต่เมื่อติดตามเยี่ยมบ้านจึงพบสาเหตุว่า ผู้ป่วยมีความพิการที่ทำให้เกิดความยากลำบากและทุกข์ทรมานในการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงไม่สามารถเข้าถึงสถานพยาบาลโดยไม่พึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่น. ปัญหาหลักจึงไม่ได้อยู่ที่ผู้ป่วยดื้อหรือไม่เชื่อฟัง แต่เป็นเรื่องของปัญหาสุขภาพครอบครัว คือ ปัญหาการดูแลผู้ป่วยสูงอายุอย่างไม่เหมาะสม (Elder mistreatment).

หากเฝ้าระวังแต่แรกจะพบว่า ผู้ป่วยรายนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะดังกล่าวเนื่องจาก มีความเจ็บป่วยเรื้อรัง มีความพิการ ขาดรายได้ ช่วยเหลือตนเองภายในบ้านไม่ได้ และมีลูกสาวที่เป็นผู้ดูแลหลักเพียงคนเดียว จึงมีความเสี่ยงที่จะรู้สึกเหนื่อยล้าในการดูแลผู้ป่วย (Caregiver burden) อีกทั้งมีโรคประจำตัว ที่ยังไม่ได้รับการรักษา มีภาระหน้าที่ต้องหารายได้ (Breadwinner) เพียงคนเดียวของบ้าน.

สรุปปัญหาสุขภาพแบบองค์รวม
1. Aging woman with poor-controlled chronic diseases and disability.
2. Homebound patient [Difficult access to medical services].
3. Psychological problems : Depression, Suicidal idea, self valueless.
4. Poor spiritual health : ไม่สามารถทำละหมาดได้.
5. Elderly mistreatment : Verbal abuse [or Psychological abuse], Neglect, Financial exploitation, Violation of rights.
6. Caregiver burden.
7. Financial problems : Poverty.
8. Inner-city health problem : poor housing, poor urban community, lack of community resources, and lack of community pride.


ปัญหาการดูแลผู้สูงอายุอย่างไม่เหมาะสม (Elderly mistreatment)4
คือ การกระทำหรือการละเว้นกระทำ ที่ส่งผลให้เกิดอันตรายหรือความเสี่ยง ต่อสุขภาพของผู้สูงอายุ มีทั้งที่เกิดจากการจงใจหรือไม่จงใจ ส่วนใหญ่เกิดจากสมาชิกในครอบครัวที่เป็นคนใกล้ชิดของผู้สูงอายุ.

ประเภทการดูแลผู้ป่วยสูงอายุอย่างไม่เหมาะสม4

1. การทำร้ายร่างกาย (Physical abuse) คือ การกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายแก่กาย เจ็บปวด บาดแผล ความพิการ เช่น ผลักให้ล้ม หยิก เขย่าตัว กระแทกกระทั้น.

2. การเพิกเฉยละเลย ทอดทิ้ง (Physical neglect) คือ ผู้ดูแลไม่ดูแลให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจวัตรประจำวันขั้นพื้นฐานได้ตามสมควร หรือสามารถ ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดแก่ตนเองได้อย่างเหมาะสม หรือจัดหาข้าวของเครื่องใช้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตได้ ไม่พามาหาหมอเมื่อเจ็บป่วย.

3. การทำร้ายจิตใจ (Psychological abuse) คือ การกระทำที่ทารุณจิตใจ เช่น ประชดประชัน กระทบกระเทียบเปรียบเปรย ด่าว่า ทำให้รู้สึกว่าไร้ค่า พูดลับหลัง อาจเป็นการกระทำด้วยวาจา (verbal abuse) หรืออวจนะภาษาก็ได้ (Emotional abuse) เช่น กิริยาปรายหางตา มองเหยียดหยาม ทำท่าเบื่อหน่ายรำคาญ เป็นต้น.

4. การโกงเงินผู้สูงอายุ (Financial exploitation) คือ การนำเงินผู้สูงอายุไปใช้อย่างไม่เหมาะสม เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น แทนที่จะใช้เพื่อประโยชน์ของผู้สูงอายุเอง เช่น ขอยืมเงินหรือขอเงินโดยไม่คืน การเอาทรัพย์สินของผู้สูงอายุไปจำนำหรือขายโดยไม่ได้รับความยินยอมพร้อมใจ.

5. การละเมิดสิทธิมนุษยชน (Violation of rights) คือ การกระทำที่เพิกเฉย ไม่เคารพต่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ จำกัดอิสรภาพ ทำลายข้าวของ ทรัพย์สินของผู้สูงอายุ ประจานให้ได้อายในที่สาธารณะ การไม่ถามความสมัครใจของผู้สูงอายุเพราะถือว่าแก่แล้ว ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียง เพราะชราภาพ ป่วยหรือพิการแล้วจึงไม่ต้องออกความเห็นก็ได้ เป็นต้น.

อุปสรรคที่ทำให้แพทย์ตรวจไม่พบ4
1. ไม่ได้รับการเรียนรู้และฝึกฝนให้ตระหนักความสำคัญของปัญหา.
2. มีอคติต่อความสูงวัย (Ageism) เช่น คิดว่าแก่แล้วก็สมควรพิการทุพพลภาพ ไม่สามารถช่วยเหลือ อะไรได้ เป็นมนุษย์ที่ไม่มีคุณค่า.
3. อาการแสดงไม่ชัดเจน เช่น ความสะอาดของร่างกายทั่วไป ความผอมแห้ง เป็นต้น.
4. ไม่เชื่อใจในประวัติที่ผู้สูงอายุเล่า ไม่อยากตัดสินว่าญาติดูแลไม่ดี.
5. ผู้ป่วยสูงอายุมักไม่ได้มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลด้วยตนเอง ส่วนใหญ่มักมีญาติมารับยาแทน. หรือ หากมาโรงพยาบาลได้ก็มักต้องมีผู้ดูแลติดตามมาด้วย จึงไม่กล้าเล่าให้แพทย์รับรู้.
6. ผู้สูงอายุขอร้องไม่ให้บันทึกหรือรายงานถึงปัญหาดังกล่าว เพราะไม่ต้องการโทษหรือประจานลูกหลานของตนเอง.
7. กลัวที่จะเผชิญหน้ากับลูกหลานที่ดูแลผู้สูงอายุไม่ดี เพราะไม่มีความชำนาญว่าจะทำอะไรเขาได้
8. กลัวว่าจะเป็นการเข้าไปแทรกแซงเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องครอบครัวผู้อื่น.

ปัจจัยเสี่ยง4

- ปัจจัยที่ตัวผู้สูงอายุ ได้แก่ สูงอายุมากขึ้น ความจำเสื่อม ความเจ็บป่วยที่มีความพิการมากจน ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ การศึกษาต่ำ ติดเหล้า ติดยา มีปัญหาทางจิต มีปัญหาพฤติกรรมหรือนิสัยส่วนตัว.

- ปัจจัยที่ตัวผู้ดูแล ได้แก่ มีโรคทางกายหรือมีความพิการ มีปัญหาทางจิตใจ มีความเครียดส่วนตัว มีนิสัยชอบใช้ความรุนแรง ติดสารเสพติดหรือติดเหล้า ถูกบังคับให้มารับหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุ ขาดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการดูแล ความสัมพันธ์เดิมกับผู้สูงอายุไม่ดีอยู่แล้ว.

- ปัจจัยครอบครัว ได้แก่ มีประวัติความรุนแรงแบบอื่นในครอบครัว (Domestic violence) กำลังมีปัญหาครอบครัวด้านอื่นอยู่ด้วย (เช่น การหย่าร้าง การเจ็บป่วยของสมาชิกอื่น ความขัดแย้งเรื่องทรัพย์สินมรดก เป็นต้น) มีการย้ายถิ่นฐานที่อยู่บ่อยครั้ง แยกตัวจากชุมชน ไม่มีรากเหง้าในชุมชน มีปัญหาการเงิน รายได้น้อย ตกงาน มีหนี้สิน.

- ปัจจัยในชุมชน ได้แก่ ขาดการช่วยเหลือกันภายในชุมชน อยู่ในสภาพสังคมที่ไม่ให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ เช่น สังคมในเขตเมืองใหญ่ที่ต่างคนต่างอยู่และเร่งรีบหาเงิน ขาดแหล่งสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ชุมชนขาดการพัฒนาทางจิตสังคม เป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้รับการยอมรับว่าเท่าเทียมกันในสังคมใหญ่ เป็นต้น.

แนวทางความช่วยเหลือ
1. ตั้งใจและใส่ใจฟังเรื่องราวจากมุมมองของผู้ป่วยสูงอายุ โดยไม่ติดใจสงสัย เพราะเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในส่วนของเขา เขารู้สึกว่าถูกทรมาน เป็นทุกข์จากสภาพดังกล่าว.
2. ประเมินความปลอดภัยแก่ผู้สูงอายุก่อนเสมอ.
3. ซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมทั้งตรวจทางห้องปฏิบัติการเท่าที่จำเป็น เพื่อประเมินสภาพโรคของผู้ป่วยสูงอายุ.
4. หากญาติมาด้วย ให้สังเกตปฏิกิริยาระหว่างญาติกับผู้ป่วยก่อน อย่าไกล่เกลี่ยหรือกลบเกลื่อนความขัดแย้งระหว่างคนสองฝ่ายในทันที.
5. ประเมินความต้องการของทั้งผู้ป่วยสูงอายุและญาติว่าต่างฝ่ายต่างต้องการอะไร ทำอย่างไรจึงจะอยู่กันได้อย่างมีความสุขขึ้น.
6. ขออนุญาตไปเยี่ยมบ้านเพื่อหาหนทางให้ผู้สูงอายุช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้นที่บ้าน จะได้เป็นภาระกับญาติน้อยลง อย่าทำให้ญาติรู้สึกว่าไปจับผิดที่เขาไม่ดูแลผู้สูงอายุ.
7. เมื่อไปเยี่ยมบ้าน ให้ประเมินการใช้ชีวิตด้วยตนเองของผู้ป่วยสูงอายุที่บ้าน ความเสี่ยงอันตราย ต่างๆ โอกาสในการฟื้นฟูสภาพที่บ้าน เช่น พื้นที่ออกกำลังกาย หรือทำกายภาพบำบัด.
8. ปรึกษาทีมสหวิชาชีพเพื่อร่วมกันหาทางช่วยเหลือสุขภาพองค์รวม เช่น แพทย์ หาทางควบคุมอาการ ไม่ให้ลุกลามหรือเป็นที่น่ารำคาญแก่คนใกล้ชิด ปรับตำรับยาให้ใช้ง่ายไม่ยุ่งยาก. พยาบาล เยียวยาสภาพจิตใจ สภาพบาดแผล ความไม่สุขกายสุขใจต่างๆ. นักสังคมสงเคราะห์ ช่วยครอบครัวหาทางออก แก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยตนเองได้ในระยะยาว ประสานกับผู้นำชุมชนเพื่อดูแลสมาชิกชุมชนเดียวกัน. นักกายภาพบำบัด ออกแบบท่าทางการฟื้นสภาพผู้ป่วย ที่เหมาะสมกับสภาพบ้านและการใช้ชีวิต เป็นต้น.
9. นัดหมายติดตามดูแลครอบครัวอย่างต่อเนื่อง ปรับเป้าหมายเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป อาจนัดพบกันที่บ้านหรือสถานพยาบาลที่สะดวกกับทุกฝ่าย.
10. สนับสนุนส่งเสริมให้ครอบครัวและผู้ป่วยมีทักษะการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์และปัญหารอบตัวได้ดีขึ้น จึงจะส่งผลต่อสุขภาพผู้ป่วยสูงอายุในระยะยาว.

บทสรุป
ผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลอย่างไม่เหมาะสมในสังคมไทยเป็นปัญหาสุขภาพในสังคมยุคใหม่ที่บุคลากร ทางการแพทย์ต้องตระหนักและให้ความสนใจมากขึ้น ต้องสามารถคัดกรองได้แต่เนิ่นๆ เพื่อลดปัญหาต่างๆที่จะเกิดตามมา ทั้งนี้ต้องไม่แยกซ่อมสุขภาพเป็นรายคน แต่ต้องมองภาพรวมของบ้านนั้นๆ ว่าทำอย่างไรทุกคนในบ้านจึงจะมีความสุขขึ้น ไม่ใช่ให้ทุกข์หนักกับใครคนเดียว. การเฝ้าระวังภาวะการดูแลผู้ป่วยสูงอายุอย่างไม่เหมาะสมจึงควรเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ แม้ว่าระบบอำนวยความสะดวกต่างๆ ยังไม่สมบูรณ์ ดังสุภาษิตจีน5 ที่ว่า "การเดินทางพันลี้ ต้องเริ่มต้นด้วย การก้าวทีละก้าวเสมอ".

เอกสารอ้างอิง
1. การคาดประมาณประชากรของประเทศไทย 2533-2563. กรุงเทพฯ : กองวางแผนทรัพยากรมนุษย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2538.
2. Ogg J, Bennett G. Elder abuse in Britain. BMJ 1992;305(6860):998-9.
3. Lachs MS, Williams CS, OžBrien S, Pillemer KA, Charlson ME. The mortality of elder mistreatment. JAMA 1998;280(5):428-32.
4. Swagerty DLJ, Takahashi PY, Evans JM. Elder mistreatment. Am Fam Physician. 1999;59(10): 2804-8.
5. White B. Improving chronic disease care in the real world : a step-by-step approach. Fam Pract Manag 1999;6(9):38-43.

พิชิต สุขสบาย พ.บ.
แพทย์ประจำบ้านชั้นปีที่ 2
สายพิณ หัตถีรัตน์ พ.บ., ว.ว. (เวชปฏิบัติทั่วไป), อ.ว.(เวชศาสตร์ครอบครัว) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 272-011
วารสารคลินิก เล่มที่: 272
เดือน/ปี: สิงหาคม 2007
คอลัมน์: คู่มือหมอครอบครัว
นักเขียนหมอชาวบ้าน: นพ.พิชิต สุขสบาย, ผศ.พญ.สายพิณ หัตถีรัตน์

บทพากย์รามเกียรติ์ ตอน เอราวัณ





ผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ที่มาของเรื่อง ได้เค้าโครงเรื่องมาจาก “รามายณะ” ของอินเดีย

ความมุ่งหมาย ให้เห็นโทษของความลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสจะนำมาซึ่งความประมาท

อันเป็นเหตุแห่งหายนะ เช่น พระลักษมณ์และไพร่พลวานรที่มัวแต่เพ่งดูเทวดา

(แปลง) อย่างเพลิดเพลิน จนต้องศรของอินทรชิตในที่สุด

เนื้อหาของเรื่อง พรรณนาถึงความยิ่งใหญ่ งดงามของกระบวนทัพของอินทรชิตซึ่งแปลงตัวเป็น

พระอินทร์ ช้างเอราวัณและเหล่าเทวดา

ลักษณะคำประพันธ์ กาพย์ฉบัง ๑๖

- ๑ บทมี ๓ วรรค แบ่งเป็นวรรคแรก ๖ คำ วรรคสอง ๔ คำและวรรคสาม ๖ คำ

- ใน ๑ บท มีสัมผัสบังคับ ๑ แห่ง คือ

คำสุดท้ายของวรรคแรกสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคสอง

- มีสัมผัสระหว่างบทอยู่ที่คำสุดท้ายของบทแรกกับคำสุดท้ายของวรรคแรกของบทต่อไป

แผนผัง

บทที่ ๑ 000000 0000 สัมผัสบังคับระหว่างวรรค

000000 สัมผัสระหว่างบท

บทที่ ๒ 000000 0000 สัมผัสบังคับระหว่างวรรค

000000



บทพากย์เอราวัณ

๏ อินทรชิตบิดเบือนกายิน_________เหมือนองค์อมรินทร์
ทรงคชเอราวัณ
๏ ช้างนิมิตฤทธิแรงแข็งขัน________เผือกผ่องผิวพรรณ
สีสังข์สะอาดโอฬาร์
๏ สามสิบสามเศียรโสภา_________เศียรหนึ่งเจ็ดงา

ดั่งเพชรรัตน์รูจี
๏ งาหนึ่งเจ็ดโบกขรณี ___________สระหนึ่งย่อมมี
เจ็ดกออุบลบันดาล
๏ กอหนึ่งเจ็ดดอกดวงมาลย์_______ดอกหนึ่งแบ่งบาน
มีกลีบได้เจ็ดกลีบผกา
๏ กลีบหนึ่งมีเทพธิดา____________เจ็ดองค์โสภา
แน่งน้อยลำเพานงพาล
๏ นางหนึ่งย่อมมีบริวาร__________อีกเจ็ดเยาวมาลย์
ล้วนรูปนิรมิตมายา
๏ จับระบำรำร่ายส่ายหา__________ชำเลืองหางตา
ทำทีดังเทพอัปสร
๏ มีวิมานแก้วงามบวร___________ทุกเกศกุญชร
ดังเวไชยันต์อมรินทร์
๏ เครื่องประดับเก้าแก้วโกมิน______ซองหางกระวิน
สร้อยสายชนักถักทอง
๏ ตาข่ายเพชรรัตน์ร้อยกรอง_______ผ้าทิพย์ปกตระพอง
ห้อยพู่ทุกหูคชสาร
๏ โลทันสารถีขุนมาร_____________เป็นเทพบุตรควาญ
ขับท้ายที่นั่งช้างทรง
๏ บรรดาโยธาจัตุรงค์____________เปลี่ยนแปลงกายคง
เป็นเทพไทเทวัญ
๏ ทัพหน้าอารักขไพรสัณฑ์_________ทัพหลังสุบรรณ
กินนรนาคนาคา
๏ ปีกซ้ายฤาษิตวิทยา____________คนธรรพ์ปีกขวา
ตั้งตามตำรับทัพชัย
๏ ล้วนถืออาวุธเกรียงไกร__________โตมรศรชัย
พระขรรค์คทาถ้วนตน
๏ ลอยฟ้ามาในเวหน_____________รีบเร่งรี้พล
มาถึงสมรภูมิชัย ฯ
ถอดคำประพันธ์

บทที่ ๑ อินทรชิตแปลงกายเหมือนพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

บทที่ ๒ ช้างเอราวัณ (แปลง) เป็นช้างเผือกที่มีรูปร่างใหญ่โตแข็งแรง

บทที่ ๓ (ช้างเอราวัณ) มีเศียรที่งดงาม ๓๓ เศียรและเศียรหนึ่งมีงาอยู่ ๗ งาซึ่งงดงามมาก

บทที่ ๔ งาหนึ่งงามีสระบัวอยู่ ๗ สระ และสระบัวหนึ่งสระมีบัวอยู่ ๗ กอ

บทที่ ๕ กอบัวหนึ่งกอมีดอกบัวอยู่ ๗ ดอก และบัวหนึ่งดอกมีกลีบบัวอยู่ ๗ กลีบ

บทที่ ๖ บัว ๑ กลีบมีเทพธิดาผู้อ่อนเยาวว์และงดงามอยู่ ๗ องค์

บทที่ ๗ เทพธิดาองค์หนึ่งมีบริวาร ๗ ตนล้วนแต่เป็นยักษ์แปลงมาทั้งสิ้น

บทที่ ๘ นางบริวารร่ายรำและชายตาทำท่าทางงดงามราวกับนางฟ้า

บทที่ ๙ ที่เศียรทุกเศียรของช้างเอราวัณมีวิมานแก้วที่งดงามราวกับวิมานเวไชยันต์ของ

พระอินทร์

บทที่ ๑๐ ช้างเอราวัณ (แปลง) ประดับด้วยแก้วเก้าระการ เช่น โกเมนที่ซองหางและ

กระวิน ส่วนที่สายชนักเป็นสร้อยที่ถักด้วยทอง

บทที่ ๑๑ มีตาข่ายร้อยด้วยเพชรสำหรับตกแต่งที่เศียรช้าง มีผ้าทิพปกที่ตระพองของช้าง

และมีผู้ห้อยที่หูทุกหูของช้าง

บทที่ ๑๒ ยักษ์แปลงเป็นโลทันสารถีของพระอินทร์มีหน้าที่บังคับท้ายช้างพระที่นั่งของ

พระอินทร์

บทที่ ๑๓ บรรดาทหารของกองทัพยักษ์ต่างแปลงเป็นเทวดา

บทที่ ๑๔ ทัพหน้าแปลงเป็นเทพารักษ์ ทัพหลังแปลงเป็นครุฑ กินนรและนาค

บทที่ ๑๕ ปีกซ้ายแปลงเป็นฤาษีและวิทยาธร ปีกขวาแปลงเป็นคนธรรพ์ กองทัพจัดตั้ง

ตามตำราพิชัยสงคราม

บทที่ ๑๖ เทวดา (แปลง) ทุกองค์ล้วนถืออาวุธต่าง ๆ เช่น โตมร ศร พระขรรค์และคทา

บทที่ ๑๗ เทวดา (แปลง) ทุกองค์รีบเหาะมายังสนามรบ

แปลรวม


อินทรชิตแปลงกายเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ
ช้างเอราวัณอัน (การุณราช) เนรมิตขึ้นนั้นก็ทรงเรี่ยวแรงแกร่งกล้าน่าเกรงขาม ผิวพรรณสีเผือกผ่องประดุจสังข์อันเกลี้ยงเกลา
มี ๓๓ หัว หัวหนึ่งมี ๗ งา เปล่งประกายเรืองรองประดุจเพชรรัตน์
งา หนึ่งนั้นมีสระโบกขรณี ๗ สระ สระหนึ่งมีดอกบัว ๗ กอ กอหนึ่งมี ๗ ดอก แต่ละดอกครั้นบานแล้วนับได้ ๗ กลีบ แต่ละกลีบมีเทพธิดาที่สวยงามแน่งน้อยน่ารัก ๗ นาง แต่ละนางนั้นยังมีเทพธิดาบริวารอีก ๗ นาง ล้วนเป็นรูปอันมารนิรมิตขึ้นทั้งสิ้น ทั้งยังร่ายรำชม้ายชายตาทำทีดังนางฟ้าจริงๆ
อีก ทั้งทุกหัวของช้างยังมีวิมานอันงดงาม ประดุจปราสาทเวไชยันต์ของท้าวอมรินทร์ เครื่องประดับอันมี ซองหาง กระวิน สายชนัก ล้วนถักร้อยด้วยสร้อยทอง ประดับโกมินล้อมแก้วนพเก้า ผ้าทิพย์ปกตระพองก็ร้อยประดับด้วยเพชร มีสายสร้อยห้อยเป็นพู่ลงทั่วทุกหูช้าง
ขุนมารโลทันซึ่งเป็นสารถีของอินทรชิตก็แปลงเป็นควาญท้ายช้าง
ทัพทั้ง ๔ เหล่า ต่างแปลงกายเป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์ มีอารักขเทวดาและรุกขเทวดา (เทพารักษ์) เป็นทัพหน้า ครุฑ กินนร นาค เป็นทัพหลัง พวกฤาษีและวิทยาธร เป็นปีกซ้าย มีคนธรรพ์เป็นปีกขวา ตั้งทัพตามตำรับพิชัยสงคราม ถืออาวุธเกรียงไกรคือ หอก ธนู ดาบ กระบอง ครบมือ
แล้วเหาะเหินมาบนฟากฟ้า เคลื่อนพลเข้าสู่สมรภูมิ ฯ

ที่มา

http://www.oknation.net/blog/ThaiTeacher/2009/11/17/entry-1

เข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอล ผู้บริโภคต้องเตรียมตัวอย่างไร



เขียนโดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค  


สัญญาณแบบอนาลอก เป็นสัญญาณโทรทัศน์ที่จะหมดยุคภายใน 4-5 ปีนี้ เนื่องจากประเทศไทยเราจะก้าวเข้ามาสู่ยุคโทรทัศน์แบบดิจิตอล ซึ่งผู้บริโภคที่มีความรู้ในเรื่องเทคนิคอย่างค่อนข้างจำกัดนั้น สมควรที่จะต้องหาความรู้พื้นฐาน ตลอดจนการเตรียมการในการที่จะรับสัญญาณแบบใหม่นี้


ความรู้พื้นฐานที่ผู้บริโภคควรมีไว้กับตัวนั้น ผมนำมาจากความรู้ของคณะทำงานในการเตรียมตัวการเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลของเยอรมัน เนื่องจากประเทศเยอรมนีได้ก้าวเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลก่อนเราไปล่วงหน้าหลายปี องค์ความรู้ในด้านการเตรียมความพร้อมทั้งในส่วนผู้ให้บริการ หน่วยงานกำกับดูแล และผู้บริโภค ประเทศเขาสามารถทำได้และทำร่วมกันได้เป็นอย่างดี เราสามารถขอหยิบยืมองค์ความรู้ของเขามาประยุกต์ใช้ในบ้านเราได้ ก็จะทำให้การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีเป็นไปได้อย่างราบรื่น และเป็นภาระกับผู้บริโภคได้อย่างน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น

ตอนนี้เรามี คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ครบถ้วนสมบูรณ์แบบแล้ว และเป็นความคาดหวังใหม่ของสังคม โดยเฉพาะในส่วนของผู้บริโภค ที่ไม่ต้องการการถูกเอารัดเอาเปรียบจากภาคธุรกิจเหมือนอย่างในอดีตที่ผ่านมา นอกจากการควบคุมกิจการในด้านนี้แล้ว ภารกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การให้ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นกับผู้บริโภค เพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลที่จะเดินเข้ามาหาเราในเร็วๆ นี้


การเตรียมความพร้อมในยุคของทีวีดิจิตอลนั้น สำหรับผู้บริโภคที่มีโทรทัศน์ที่รับสัญญาณผ่านเสาอากาศ ก็ต้องจัดหา อุปกรณ์ตัวแปลงสัญญาณที่เราเรียกว่า Set-Top-Box ที่จะแปลงสัญญาณจากอนาลอกมาเป็นดิจิตอล สำหรับทีวีที่มีจุดเชื่อมต่อเป็นแบบ สการ์ต (Scart) เวลาที่เราเลือกซื้อ Set Top Box นั้น ก็จะต้องพิจารณาดูว่า มีจุดเชื่อมต่อสำหรับ การต่อผ่านแผ่น สการ์ตหรือไม่ดังรูปที่ 1


ถ้าทีวีที่ไม่มีแผ่นสการ์ต แต่มีจุดเชื่อมต่อเป็น coaxial cable ก็ต้องเลือก Set-Top-Box ที่มีตัวรับตัวเสียบดังรูปที่ 2
ในกรณีที่มีการเชื่อมต่อกับเครื่องเล่นดีวีดี หรือแอมปลิฟายเออร์ การเลือกซื้อ Set – Top- Box ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า มีจุดที่สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง แผ่นสการ์ต และจุดเชื่อมต่อแบบโคแอกเซียลดังรูปที่ 3



บทสรุป


ผู้บริโภคต้องเตรียมการสำรวจอุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เครื่องเล่นอิเลคทรอนิกส์ ที่มีอยู่แล้วในบ้าน เช่น โทรทัศน์ เครื่องเล่นวีดีโอ เครื่องเล่นดีวีดี และแอมปลิฟายเออร์ ว่า มีจุดเชื่อมต่อกี่จุด และมีจุดเชื่อมต่อเป็นแบบใดแล้ว ผู้บริโภคก็ควรจะเลือกอุปกรณ์ Set Top Box ที่เหมาะสมสามารถที่จะต่อเชื่อมเข้ากับเครื่องเล่นอิเลคทรอนิกส์ ที่มีอยู่แล้ว โดยดูจากจุดเชื่อมต่อของ Set top box ว่าจะมีจุดเชื่อมต่อให้หลายจุดและเพียงพอหรือไม่ ก่อนที่จะพิจารณาต่อในเรื่องคุณภาพของสัญญาณ และราคา


ในส่วนของ กสทช. ควรต้องกำหนดมาตรฐานอุปกรณ์ Set Top Box ที่จะนำมาเสนอขายในท้องตลาด โดยกำหนดให้อุปกรณ์นั้นรองรับกับอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่มีอยู่ในครัวเรือนและที่ขายในตลาดบ้านเรา โดยเฉพาะการกำหนดจำนวนและประเภทของจุดเชื่อมต่อขั้นต่ำ ที่จะต้องมีจำนวนเพียงพอ เพื่อให้ผู้บริโภคไม่ต้องรับภาระมากเกินไปในการจัดหาอุปกรณ์เสริมและสายสัญญาณต่างๆ ที่จะต้องใช้ในการรับสัญญาณระบบดิจิตอลที่ได้เริ่มมีการทดลองออกอากาศกันบ้างแล้ว







รูปที่ 1 การเชื่อมต่อระหว่างเสารับสัญญาณและอุปกรณ์ Set Top Box ที่เป็นแบบแผ่นสการ์ต





รูปที่ 2 การเชื่อมต่อระหว่างเสารับสัญญาณและอุปกรณ์ Set Top Box ที่เป็นแบบสายโคแอกเซียล






รูปที่ 3 การเชื่อมต่อระหว่างเสารับสัญญาณและอุปกรณ์ Set Top Box ที่เป็นทั้งแบบสายสการ์ตและสายแบบโคแอกเซียล



แหล่งข้อมูลอ้างอิง
www.ueberallfernsehen.de

"ชรากถา" ข้อคิด ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช


ข้อคิด ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช

วันนี้เอาข้อคิดของท่านอาจารย์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ตอนอายุได้ 74 ปี
เขียนลงในงานเขียนชื่อ "ชรากถา" เกี่ยวกับ ความแก่ มาฝาก

"ความแตกต่างของคนหนุ่มกับคนแก่ แตกต่างกันตรงที่ คนหนุ่มนั้นไม่เคยแก่
แต่คนแก่นั้นเคยหนุ่มมาแล้ว"
"(แต่) ผมอาจจะมีอะไรพิเศษอยู่บ้าง ก็ตรงที่ผม
ไม่ติดใจในความเป็นหนุ่ม เมื่อยังหนุ่มก็หนุ่มเต็มที่
ครั้นเมื่อความหนุ่มผ่านพ้นไปก็ไม่อาลัยเสียดาย
ยอมรับว่าชราและความแก่เต็มที่เช่นเดียวกับที่เคยหนุ่มเต็มที่

...... (เมื่อคิดได้อย่างนี้)
ใจคอมันก็เบิกบานเหมือนกับเมื่อยังหนุ่มเต็มที่
....และเมื่อรู้ว่าตัวแก่ก็ยอมรับว่าแก่ แล้วก็อยู่มันไปตามเรื่อง
แบบคนแก่

ไม่ตั้งกฎเกณฑ์จู้จี้กับคนอื่นหรือกับตนเอง และไม่เรียกร้องอะไรจากคนอื่น
ไม่กะเกณฑ์ให้คนอื่นต้องมาสนใจหรือคอยเอาใจ ...
เพราะกฎเกณฑ์ต่างๆที่ตั้งเอาไว้ให้ตนเองปฎิบัติ
หรือกิจกรรมอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายนั้น พอแก่ต่อไปอีก
มันก็จะปฏิบัติไม่ได้ เพราะแก่เกินไป ...
เมื่อปฏิบัติไม่ได้ก็จะเป็นกังวล หงุดหงิด และขมขื่น
เพิ่มน้ำหนักแห่งทุกข์ให้กับตนเอง

ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่งที่คนแก่จะทำเรื่องเหล่านั้นให้เกิดขึ้นมา ...
ผมจึงอยากเป็นคนแก่ที่อยู่ตามสบาย ยอมรับความแก่อย่างไม่เป็นกังวล
ความแก่นั้นทำให้ผมนุ่มนวลละมุนละไมกว่าแต่ก่อน
เหมือนผลไม้สุกคาต้น หมดความแข็งกระด้าง
มุทะลุดุดันที่เคยมีมา หมดรสเปรี้ยว รสฝาด และหมดยาง ..."

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

ฟังย้อนหลังรายการวิทยุ Plearn Plearn Chiang Mai by Nickie English Tutor 17 มค 2556


รายการ Plearn Plearn Chiang Mai by Nickie English Tutor ทางสถานีวิทยุออนไลน์ คนเมืองเรดิโอ - เชียงใหม่  6 - 7 p.m. 17 Jan 2013 เรื่องธนาคารพาณิชย์ของไทย ทยอยเปิดสาขาในประเทศเพื่อนบ้าน ASEAN ภาค 2 ภาษา ไทย-อังกฤษ



วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

แรปเปอร์อเมริกันทวิตภาพส.ค.ส.ในหลวง

         แรปเปอร์อเมริกันทวิตภาพส.ค.ส.ในหลวง “@SnoopDogg:with the dogs. this Dogg sayn happy new year to the king of thailand http://ow.ly/i/1nlE4 

         คอร์โดซาร์ คาลวิน โบรดัส จูเนียร์ (อังกฤษ: Cordozar Calvin Broadus, Jr.)[1] เกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1971 หรือเป็นที่รู้จักในนามว่า สนูป ด็อกก์ (Snoop Dogg)(ก่อนหน้านี้คือ สนูป ด็อกกี้ ด็อกก์) เป็นแร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน นักร้อง โปรดิวเซอร์เพลง นักแสดง

      รู้จักศิลปิน สนูป ด็อกก์ (Snoop Dogg)





คำพระ - โกศล อนุสิม


คำพระ - โกศล อนุสิม

ผมแต่งงานที่กรุงเทพฯ แล้วก็กลับบ้านที่นาจะหลวย อุบลราชธานี ไปขอพรจากรพที่วัดข้างบ้าน ซึ่งสมัยอยู่ที่บ้านผมไปกินนอนที่วัดกับเพื่อนที่เป็นสังกะลีอยู่บ่อยๆ

ผมกับเมียเอาดอกไม้ธูปเทียนไปหาหลวงพ่อเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นเจ้าคณะอำเภอด้วย หิ้วน้ำไปด้วยถังหนึ่งเพื่อสำหรับหลวงพ่อทำน้ำมนต์รดให้เป็นศิริมงคล

หลวงพ่อให้พรสั้นๆ เป็นแนวปฏิบัติสำหรับใช้ชีวิตคู่ว่า

"เป็นผู้ชายก็ให้รู้จักทำเป็นหัวหนวกบ้าง เป็นผู้หญิงก็ให้รู้จักทำเป็นตาบอดบ้าง แค่นี้ก็จะอยู่กันได้ด้วยดี"

ผมกับเมียก็อยู่กันด้วยดีจนอยู่ในช่วงปีที่ ๒๑ แล้ว

ผมคิดว่าทุกๆคนกับทุกๆเรื่องราว ถ้าทำอย่างที่หลวงพ่อสอนได้ คนทั้งหลายก็จะอยู่กันได้ด้วยดี

ปัจจุบันนี้คนต่างก็ตาดีเกินไป เห็นทุกเรื่อง หูดีเกินไป ได้ยินทุกเรื่อง จึงมีแต่ความวุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่

ต่อเรื่องราวความเป็นไปของโลก ผมจึงทำตาให้บอด ทำหูให้หนวก มากขึ้นในปัจจุบันนี้

'' กับดักหนู ''


เรื่องให้แง่คิด...ฝากถึงคนเป็นกลางทั้งหลาย..ที่ขอทำมาหากินไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง..ผู้ที่ยอมรับ '' โกงได้แต่ขอให้แบ่ง..'' >>


'' กับดักหนู ''

..หนูตัวหนึ่งแอบมองลอดรอยแตกของกำแพง เพื่อดูว่าชาวนากับภรรยาของเขาแกะห่ออะไร..

“จะเป็นอาหารอะไรหนอ..” เจ้าหนูสงสัย


มันแทบล้มทั้งยืน เมื่อรู้ว่าสิ่งนั้นคือ.. ‘กับดักหนู’

..มันจึงวิ่งหัวซุกหัวซุนไปที่ทุ่งนา แล้วส่งเสียงร้องเตือน “มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! “

แม่ไก่ร้องกุ๊กๆ และคุ้ยเขี่ยไปมา มันผงกหัวขึ้นแล้วพูดว่า..

“คุณหนู นี่คงเป็นเรื่องเศร้าสำหรับเธอ แต่มันไม่มีผลอะไรกับฉันหรอกนะ อย่ากวนใจกันเลย..”

เจ้าหนูวิ่งไปหาหมูและบอกแก่มัน.. “ มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! “

หมูเห็นอกเห็นใจ แต่ก็พูดว่า..

“ ฉันขอโทษนะคุณหนู แต่ฉันคงทำได้แค่สวดมนต์เท่านั้น ไม่ต้องห่วงฉันจะสวดมนต์ให้เธอด้วย..”

เจ้าหนูวิ่งไปหาวัว และพูดว่า..“ มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! มีกับดักหนูอยู่ในบ้าน! “
วัวตอบว่า.. “ โธ่! คุณหนู ฉันก็เสียใจด้วยนะ แต่มันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉันนี่”

ดังนั้น เจ้าหนูจึงกลับเข้าบ้าน นอนลงและเศร้าใจเหลือเกินที่จะต้องเผชิญหน้ากับกับดักหนูเพียงลำพัง..
....................
....................
กลางดึกคืนนั้น เสียงๆ หนึ่งดังก้องไปทั้งบ้าน –ฟังเหมือนเสียงกับดักหนูได้จับเหยื่อของมันแล้ว..

ภรรยาของชาวนารีบรุดไปดูว่าอะไรที่ถูกจับ ในความมืดนั้นเธอไม่เห็นว่ามีงูพิษถูกกับดักนั้นหนีบหางเอาไว้..

งูกัดภรรยาของชาวนา ชาวนาจึงรีบพาเธอไปส่งโรงพยาบาล ตอนกลับบ้านเธอมีไข้สูง..

ใครๆ ก็รู้ว่าเราต้องพยาบาลคนป่วยด้วยซุปไก่ ดังนั้นชาวนาจึงหยิบขวานเดินไปที่ทุ่งเพื่อทำหาวัตถุดิบหลักของซุป..

แต่อาการป่วยของภรรยาก็ยังไม่ดีขึ้น เพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านต่างมาเยี่ยมดูใจ เพื่อเลี้ยงอาหารพวกเขา ชาวนาจึงฆ่าหมูซะ..

ภรรยาของชาวนาก็ยังไม่หาย ในที่สุดเธอก็ตายลง ผู้คนมากมายต่างมางานศพของเธอ..ชาวนาจึงฆ่าวัวเพื่อให้ได้เนื้อมากพอมาเลี้ยงแขก เจ้าหนูมองลอดรอยแตกของกำแพงด้วยความเสียใจสุดแสน..
..........................
..........................
คราวหน้า หากคุณรู้ว่าใครสักคนกำลังเผชิญปัญหาและคิดว่าไม่เกี่ยวกับคุณสักหน่อย..

..จำไว้นะว่า เมื่อพวกเราคนใดคนหนึ่งถูกคุกคาม.. เราทุกคนต่างตกอยู่ในอันตราย..!!

..เพราะทุกคนล้วนเกี่ยวพันกันอยู่ในการเดินทาง..ที่เรียกว่า ‘ชีวิต’

..เราต้องคอยเฝ้าดูแลกันและกัน และพยายามให้กำลังใจอีกคนเข้าไว้..

..จงบอกต่อข้อความนี้ให้แก่คนที่เคยช่วยคุณและบอกให้เขารู้ว่าเขาสำคัญต่อคุณขนาดไหน..

..จำไว้เถอะ.. เราแต่ละคนก็คือด้ายเส้นสำคัญ..บนผืนพรมของผู้อื่น..

..นั่นเป็นเหตุผลที่ชีวิตของเราถูกถักทอเข้าไว้ด้วยกันไงล่ะ..
........................
........................

/ ที่มา http://www.kwamru.com/88
..................................................



http://www.youtube.com/watch?v=LC503tF1eJ0

ทำชอล์คไล่มด


ทำชอล์คไล่มด ใช้เปลือกไข่ตากแห้งบดร่อนเอาผงดินสอพองตำละเอียด ปุนปลาสเตอร์อย่างละส่วน ผสมกันเติมนำเล็กน้อย หยอดใส่หลอดกาแฟตากแดด
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 13 ม.ค.2556

สูตรไข่เจียวสมุนไพร


สูตรไข่เจียวสมุนไพร นำไข่ไก่ 1-2 ฟอง ตีผสมกับเมล็ดสะแกนาบดละเอียด 10 เม็ด ปรุงรสแล้วนำไปทอดให้เด็กวัย 3-5 ขวบ กิน ถ่ายพยาธิได้อย่างดี
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 12 ม.ค.2556

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

สูตรอาหารไก่ไข่ ลดต้นทุน


สูตรอาหารไก่ไข่ ลดต้นทุน ปลายข้าว 2 กก. รำละเอียด 2 กก. อาหารไก่ 1 กก.คลุกเคล้าแล้วนำไปให้ไก่กิน อัตราอาหาร 0.5 กก./ไก่ 1 ตัง
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 11 ม.ค.2556

การล้างทะลายปาล์มก่อนเพาะเห็ดฟาง


การล้างทะลายปาล์มก่อนเพาะเห็ดฟางด้วยน้ำหมักจากเศษเห็ด 5 กก.+ กากน้ำตาล 1.5 กก. + น้ำมะพร้าว 1.5 กก. นาน 7 วัน ใช้ 30CC/น้ำ 30 ลิตร ช่วยดับกลิ่นได้ดี
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 8 ม.ค.2556

การเลือกซื้อเนื้อเป็ด


การเลือกซื้อเนื้อเป็ดควรเลือกซื้อที่อ้วน สังเกตปากและตีน ถ้าเป็นสีเหลืองเป็นเป็ดอ่อน หากเป็นเป็ดแก่ตีนมีสีดำ เนื้อจะเหนียวและมีกลิ่นสาบมาก
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 6 ม.ค.2556

นำเส้นมะละกอที่ใช้ตำส้ม


เพียงคุณแม่บ้านนำเส้นมะละกอที่ใช้ตำส้มตำ แช่ในน้ำพอท่วม บีบน้ำมะนาวตามลงไป คลุกเคล้าแล้วพักไว้ ช่วยให้เส้นกรอบน่าทานยิ่งขึ้น
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 5 ม.ค.2556

เนื้อสัตว์แช่แข็งที่ผ่านการละลายแล้ว


เนื้อสัตว์แช่แข็งที่ผ่านการละลายแล้ว ไม่ควรนำไปแช่แข็งอีก เพราะคุณค่าทางโภชนาการลดลง และเนื้อจะปนเปื้อนจุลินทรีย์ระหว่างการละลายน้ำแข็ง
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 5 ม.ค.2556

วิธีฝึกปลากดคังให้กินอาหารบนผิวน้ำ


วิธีฝึกปลากดคังให้กินอาหารบนผิวน้ำ ปล่อยปลาดุก 5 ตัวในกระชัง เมื่อให้อาหาร ปลาดุกจะว่ายขึ้นมากินผิวน้ำ ปลากดคังจะว่ายขึ้นมากินตาม
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 14 ม.ค.2556

นำผ้าแบบซับน้ำ ตัดเป็นไส้ตะเกียง


นำผ้าแบบซับน้ำ ตัดเป็นไส้ตะเกียง สอดรูก้นกระถางที่หนุนสูง แล้วปล่อยอีกด้านในภาชนะใส่น้ำใต้กระถาง ตัวช่วยให้น้ำพืช กรณีไม่อยู่บ้านหลายวัน
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 14 ม.ค.2556

การใช้น้ำมันละหุ่งอัตรา


การใช้น้ำมันละหุ่งอัตรา 5cc คลุกกับเมล็ดธัญพืช 1 กก. ช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืช
ในโรงเก็บเข้าทำลายเมล็ดพันธุ์ได้นาน 6 เดือน
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 15 ม.ค.2556

เพียงนำด่างทับทิ


เพียงนำด่างทับทิม 1/2 กก. แบ่งใสผ้า 4 ห่อ และใช้หินถ่วงไว้ ผูก 4 มุมของกระชังปลา เปลี่ยนห่อผ้าทุก 7-10 วัน ช่วยป้องกันเชื้อโรคในน้ำที่พัดมา
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 16 ม.ค.2556

การปอกส้มโอ


การปอกส้มโอ ควรระวังไม่ให้น้ำมันในเปลือกสัมผัสเนื้อ เพราะจะเสียรสชาติ เทคนิคง่ายๆ ได้รสอร่อย คือ ฝานเปลือกสีเขียว แล้วลอกเนื้อเยื่อสีขาว
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 6 ม.ค.2556

เคล็ดลับเพิ่มขนาดดอกและผลผลิตเห็ด


เคล็ดลับเพิ่มขนาดดอกและผลผลิตเห็ด คือ นำขี้ม้า 1 ส่วน + เปลือกถั่วแช่น้ำ 7 วัน 3 ส่วน หมักแบบกลับกองนาน 7 วัน แล้วผสมกับวัสดุเพาะอัตรา 1 กก./120 กก.
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 7 ม.ค.2556

การกระตุ้นดอกเห็ดหอมด้วยระบบน้ำสปริงเกอร์


การกระตุ้นดอกเห็ดหอมด้วยระบบน้ำสปริงเกอร์ คือ ให้น้ำ 1 ชม. เว้น 2 ชม.ใน 4 วันแรกตลอดวัน ให้คว่ำหน้าก้อนเห็ดลงในวันที่ 3 และหยุดการให้น้ำในวันที่ 5
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 10 ม.ค.2556

สภาพอากาศแห้งและมีแสงแดดจัด


สภาพอากาศแห้งและมีแสงแดดจัด ทำให้น้ำระเหยไปจากดินได้มาก ควรคลุมบริเวณแปลงปลูกด้วยใบไม้ ฟางข้าวหรือหญ้าแห้ง เพื่อสงวนความชื้นในดิน
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 9 ม.ค.2556

รักษาแผลในไก่ชน


รักษาแผลในไก่ชน เพียงนำน้ำผึ้งชันโรงทาที่แผล แผลจพแห้งและรัดเนื้อได้ดีขึ้น ทาติดต่อกันจนกว่าแผลจะหาย ช่วยให้ไก่ชนกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
จาก SMSFarmerINfo by DTAC - 9 ม.ค.2556

เพลง รางวัลของครู... เป็นคนดีให้ได้นั่นคือรางวัลของครู


 เพลง รางวัลของครู... เป็นคนดีให้ได้นั่นคือรางวัลของครู


ในชีวิต พบเจอสัมผัสกับเพื่อนๆที่มีพฤติกรรมเกเร ไม่ดีมาก็เยอะ
และวันนี้ เพื่อนเหล่านั้น กลับตัวเป็นคนดี ดีกว่าคนที่ดีๆในสมัยเรียนซะอีก
ต้องถือว่า มีครูที่คอยดูแลดี ครูที่เข้าใจ และเอาใจใส่เพื่อนๆที่เกเร ไม่ดีเหล่านั้น



ศิลปินปาน ธนพร เพลง รางวัลของครู

"ขอคารวะจิตใจ" คุณครูทุกท่านใน พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ทุกท่าน


ปาเจราจริยา โหนติ คุณุตตรานุสาสกาข้าฯขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์ผู้กอปรเกิดประโยชน์ศึกษาทั้งท่านผู้ประสาทวิชา "สุขสัน วันครู"


สุริยะใส @Suriyasai
วันครูปีนี้ "ขอคารวะจิตใจ" คุณครูทุกท่านใน พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ทุกท่านครับ

"ข้าพเจ้าขอกราบไหว้คุณครูอาจารย์เหล่านั้นด้วยความเคารพ.."ด้วยบทเพลงไหว้ครู ซึ้งๆ ของ ศุ บุญเลี้ยง



นอกจากคำว่า "รัก" ที่หาคำอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้แล้ว ยังมีคำว่า "ครู" อีกคำนึงด้ว

นอกจากคำว่า "รัก" ที่หาคำอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้แล้ว ยังมีคำว่า "ครู" อีกคำนึงด้วย โฆษณาดีๆเนื่องในโอกาสวันครู จาก 7-ELEVEN ครับ




พระคุณของครู ไม่มีวันเกษียณ


ครูสมยศ โดนยิง
... การเป็นครูอาชีวะ ต้องใช้ชีวิตอยู่ถึง 3 ที่ โรงเรียน โรงพัก และก็โรงพยาบาล คุณครูสมยศ ข้าราชการเกษียณ โฆษณาวันครู สุดซึ้ง ปี 2556...ครูสมยศ โดนยิง




วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

ทำบุญต่อสังคม "


ทำบุญต่อสังคม "

การทำบุญต่อสังคม ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะเรามักจะมองข้ามสังคมหรือส่วนรวมไป การทำบุญต่อสังคมเช่นว่า นอกจากการรักษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อมให้เป็นประโยชน์ถึงลูกถึงหลานของเราแล้ว ต้องรู้จักเอาใจใส่เรื่องสาธารณสมบัติด้วย สมบัติของส่วนรวมมีหลายอย่างที่เป็นรูปธรรมเช่น แม่น้ำ ลำคลอง ภูเขา ทะเล หรือว่า เงินหลวง เงินราชการ

ส่วนที่เป็นนามธรรมเช่น วัฒนธรรม ประเพณี เหล่านี้เราต้องช่วยกันรักษาไว้ อะไรที่ทำให้วัฒนธรรม ประเพณี เสื่อมโทรม เราก็ต้องหาทางป้องกันแก้ไข หรือเวลามีการคอรัปชั่นขึ้นมาก็ต้องหาทางปกป้องคัดค้าน ไม่ให้มีการคอรัปชั่น อย่างที่ปีที่ผ่านมามีหลายท่านพยายามต่อต้านการทุจริตยา นี่ก็ถือว่าเป็นการช่วยรักษาสาธารณสมบัติ ก็เป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง

พระไพศาล วิสาโล


พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

" ไม่อยากเลี้ยงชีพด้วยการเปิดร้านเหล้า "


" ไม่อยากเลี้ยงชีพด้วยการเปิดร้านเหล้า "

นก ตำนาน - กราบนมัสการพระอาจารย์ โยมมีปัญหาข้อสงสัยและยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ โยมปฏิบัติธรรมและศึกษาธรรม จนรู้สึกเกิดหิริโอตัปปะขึ้นกับอาชีพที่ทำอยู่ โยมเปิดร้านขายเหล้ามีดนตรีเพื่อชีวิต โยมรู้สึกผิดและคิดหาทางออกให้กับตนเองเสมอ เคยหันไปขายกาแฟสดและขายเสื้อผ้าแต่ก็ขายไม่ค่อยดี ซึ่งโยมและสามีมีภาระที่ต้องดูแลครอบครัว โยมจะทำอย่างไรจะวางจิตอย่างไรดี ขอความเมตตาจากพระอาจารย์ตอบคำถามโยมด้วยค่ะ นมัสการค่ะ

พระไพศาล วิสาโล - การเปิดร้านขายเหล้า แม้จะทำให้คุณมีรายได้ดี แต่คงไม่ทำให้คุณมีความสุขใจ เพราะนอกจากจะสวนทางกับธรรมะที่คุณยึดถือแล้ว ยังอาจนำเรื่องทุกข์ร้อนให้คุณอีกมากมาย เช่น การทะเลาะวิวาทในหมู่ลูกค้าที่เมามาย หากถึงกับลงไม้ลงมือ ชกต่อย หรือทำร้ายกัน คุณคงมีเรื่องปวดหัวตามมาอีกมาก ยังไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกผิดที่มีส่วนทำให้เกิดเหตุร้ายดังกล่าว ใคร่ครวญดูแล้วคุณก็จะพบว่า มันไม่คุ้มกับรายได้จากเปิดร้านขายเหล้าเคล้าดนตรีเลย

หากการขายเสื้อผ้าและกาแฟสด ทำเงินให้คุณได้น้อยเพราะลูกค้าไม่มากพอ คุณลองขยับขยายเปลี่ยนไปค้าขายอย่างอื่นแทน แม้จะลำบากในช่วงแรก ๆ แต่หากคุณเพียรไม่หยุดและมองหาช่องทางใหม่ ๆ อยู่เสมอ รวมทั้งขยันปรับปรุงกิจการ เชื่อแน่ว่า กิจการจะกระเตื้องและไปได้ดี แม้จะไม่ดีเท่ากับการขายเหล้าเคล้าดนตรี แต่ก็น่าจะให้ความสุขใจแก่คุณ หรืออย่างน้อยก็ไม่ทำให้คุณเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง


พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

" สติหลุด "


" สติหลุด "

Waranuch Jaroensuk - กราบนมัสการพระอาจารย์เจ้าคะ ขณะนี้ภาวะจิตของลูกช่างวุ่นวายไม่นิ่งเลย รอบตัวมีแต่สิ่งเร้าก่อให้เกิดความทุกข์ใจ ก่อนหน้านี้หลายๆคราวลูกก็มีสติตามเท่าทัน หรือเผลอไปหน่อยก็ดึงจิตตามสติให้รู้กลับมาได้ แต่ครั้งนี้มันหนักมากจนเกิดภาวะซึมเศร้ามา 1 วันเต็มๆ วันนี้มีเรื่องใหม่มาเพิ่มอีก ลูกสติหลุดอีก มันแย่จัง ตอนนี้ กำลังพยายามที่จะวางในสิ่งที่คิดแล้วทำให้ทุกข์ แก้ปัญหาที่สามารถแก้ได้ก่อน ไปทีละเปราะ ให้รู้ตัวให้มีสติ คิดก่อนพูด พูดให้มีสาระถ้าจำเป็นต้องพูด ไม่ให้มีความขุ่นใจ... กราบนมัสการเจ้าค่ะ

พระไพศาล วิสาโล - คุณทำถูกต้องแล้ว ปัญหาจะมีมากมายกี่เรื่อง ก็ควรแก้ทีละเรื่อง ส่วนเรื่องอื่นก็วางเอาไว้ก่อน เหมือนกับเปิดลิ้นชักทีละอัน อย่าเปิดหลายอันพร้อมกัน หาไม่คุณจะสับสน ท้อแท้ และหนักอกหนักใจ จนรู้สึกสิ้นเรี่ยวแรง และอาจงอมืองอเท้า เลยไม่ได้ทำอะไรแม้แต่อย่างเดียว

แม้จะแก้ปัญหาทีละเรื่อง แต่มันอาจมีหลายปม ก็ต้องคลายทีละปม ระหว่างที่คลายปมนี้ ก็อย่าเพิ่งสนใจปมอื่น ทำทีละอย่าง ๆ โดยใจอยู่กับปัจจุบัน ในที่สุดก็จะแก้ปัญหาทั้งหลายได้หมด ข้อสำคัญคืออย่าท้อแท้ ตั้งสติ แล้วใช้ปัญญากับความเพียรอย่างเต็มที่ และอย่าลืมพักผ่อนนอนให้หลับด้วย ถึงเวลาทำ ก็ทำเต็มที่ แต่เมื่อถึงเวลาพัก ก็ปล่อยวางได้ ไม่กังวล

พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo