...+

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วิธีคิด ที่ดีมาก ๆ


วิธีคิด ที่ดีมาก ๆ

• เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
• เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
• เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
• เวลาเจอนายจอมละเอียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)
• เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
• เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
• เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
• เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
• เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
• เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง
• เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
• เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
• เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง
• เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
• เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
• เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่า จงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
• เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบว่าที่ว่า 'มารไม่มีบารมีไม่เกิด'
• เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม 'ในวิกฤตย่อมมีโอกาส'
• เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
• เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์

ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มองหลวงปู่เณรคำ ในแง่การตลาด



ชื่อคนๆนี้ น่าจะเป็นเรื่องทางศาสนา แต่เนื่องจาก เรื่อง "การหาเงิน" นี่เก่งมาก ลองมองในแง่การตลาดมั่ง
ตามอ่านจาก pantip ได้ประเด็นสำคัญๆนี้.....

* พระ .. อาชีพที่ลงทุนน้อย แต่รวยสุดๆ
-ใช้อะไรในการทำการตลาด ถึงทำให้ดังและมีคนศรัทธาได้ขนาดนี้
-สร้าง Story ว่าระลึกชาติได้หรือ  คนอื่นก็ทำกันทั้งนั้นไม่เห็นดัง
- การนับอายุมาต่อจนเป็นหลวงปู่ ?
- ใช้การสร้างข่าวแบบปากต่อปากหรือ ?
- จุด impact คืออะไร  มีเหมือนเจมจิรายุมั้ย เรื่องเดียวดัง ?
- เกิดมีคนอยากรวยทางลัดแบบหลวงปู่เณรคำ ก็ไม่ใช่จะทำได้ทุกคน

มีทีมงานเป็นมืออาชีพ
ทีมพีอาร์ปั้นข่าว ยกยอ+ทีมมาเก็ตติ้ง+ทีมหน้าม้า+ทีมการตลาด  อยู่คนเดียวโดดๆ แล้วดัง ไม่เคยเห็น ส่วนใหญ่จะดังเพราะมี พวกทีมงานมืออาชีพแบบ นี้ทั้งนั้น
อยู่ที่ว่า ทีมพีอาร์+หน้าม้า เก่งในการปั้นเรื่อง ให้คนเชื่อได้แค่ไหน 

"การหลอกลวงบนความงมงาย" ของคน

มีจุดเริ่มที่การระลึกชาติ ความสามารถส่วนตัวในการเล่าเรื่อง และการแต่งเรื่องมาเล่าแต่ละครั้ง เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้เกิดความน่าเลื่อมใสในตัวบุคคล
อ้างอิงกับพุทธประวัติ เรื่องจริง 80 เรื่อง ปาฏิหารย์อีก 20 ให้สนุกน่าเลื่อมใส แล้วปากต่อปาก ก็จะนำไปสู่การขยายผล

.


บทวิเคราะห์กลุ่มการเมืองไทยฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทย ..(ชาวหน้ากากขาวและอื่นๆ)



- ข่าวการปรับครม.ก็สร้างสีสัน แต่หน้ากากขาว-ความหวังเดียว ณนาทีนี้ ทำงัยไปงัย น่าต้องหยิบมาถกกันให้เข้าใจ
- จุดเด่นที่นกมยังไม่กล้ามายุ่งกับขบวนการ หน้ากากขาว ก็คือมาด้วยใจจริงๆและเชื่อว่าถ้าเปิดตัว นักการเมือง มายุ่งคนหายทันที ยังเป็นพลังบริสุทธิ์
- แต่ไม่มีแกนนำก็จะขับเคลื่อนไม่หนักแน่น คนจะนำต้องมีการแสดงออกที่ชัดเจนและอย่างว่าต้องไม่ใช่แกนพธม-ปชป-หลากสี-สนามหลวง-พิทักษ์สยาม
- แกนนำพธมออกไม่ได้แน่นอนเป็นเหมือนก่อแก้วเลย ติดเงื่อนไขประกันตัวที่ศาล ดังนั้นอย่าถามว่าทำไมพธมไม่ขยับแต่วันสุดท้ายออกแน่ให้จบ
- นี่คือสิ่งที่กลุ่มพธมไม่สามารถทำงานร่วมปชปเพราะเป็นรัฐบาลวางหมากบีบพธมจนหมดตัวเดินแล้วตอนนี้เป็นงัย มาพูดว่าพธมรับเงินเลยไม่มา

- แม่ยกแฟนคลับปชปอย่ารังเกียจการถูกต่อว่าเลยครับ เพราะคดีที่พธมโดนและประกันตัวมานี่มันมากจริงๆแค่คดีก่อการร้ายสากลที่สุเทพปล่อยออกมาก็อ่วมแล้ว

- ปชปรู้ดีว่าทำอะไรไว้หวังพึ่งพธมไม่ได้เพราะตัวเองก็ป่วนจนแตกกันกระจุย เลยออกมาพูดเองว่าตอนนี้ต้องสู้นอกสภาบนถนน กลืนน้ำลายตัวเอง
- คนกลัวปชปบริหารก็ไม่น้อย ปีครึ่งที่เป็นรัฐบาลเห็นมาแล้วดีกว่าปูนิ่มหน่อย แต่ที่เป็นปัญหาก็ไม่แตะจริงๆ
- สนามหลวงก็ยังไม่มีพลัง กลางคืนยังตีกันเอง หัวร้างข้างแตกเย็บแผลกันหลายรอบ แล้วจะเอาคนเพิ่มได้อย่างไร การรวมตัวยังหลวมมากเลย หลากสี-หมอตุลย์ ก็อ่อนและยังแถมไม่ตัดสินใจเอง มีอะไรโทรถามก่อน คุณไม่ใช่ตัวจริง คนข้างหลังก็ไม่แสดงตัว
-พิทักษ์สยามก็ไม่มีทีมงาน ครั้งที่แล้วชุดหมอตุลย์เข้าไปร่วมไปไม่ถูกเลยแถมมีข่าวรับเงินล้างหนี้บอลอีก จบข่าว รอท่านประสงค์ว่างัยต่อ
- วันนี้นาทีนี้มีแต่ขบวนการหน้ากากขาวอย่างเดียวที่จะเคลื่อนขบวนได้ แต่ถอดหน้ากากไม่ได้ จึงต้องนำเสนอการมีส่วนร่วม ตั้งเครือข่าย

วิเคราะห์โดย @SunnyAsia

The Ten Faces of Innovation



The Ten Faces of Innovation

คุณสมบัติของผู้สรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้ง 10 ประเภท จากหนังสือ “The Ten Faces of Innovation” ซึ่งเขียนโดย ทอม เคลลีย์ ผู้จัดการทั่วไปของ IDEO Product Development บริษัทดีไซน์ชั้นนำที่ได้กล่าวขวัญไปทั่วโลก ทอมได้กล่าวไว้ว่า “นวัตกรรมเป็นเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตทุกองค์กร เป็นเครื่องมือสำหรับการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของทั้งองค์กร” มีคุณสมบัติทั้ง 10 ประเภทนี้เป็นอย่างไร

คุณสมบัติเพื่อการเรียนรู้
องค์กรและบุคลากรต่างก็จำเป็นต้องแสวงหาแหล่งข้อมูลใหม่ๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ตนเองก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จมากเพียงใดก็ไม่สามารถสร้างความพึงพอใจได้อย่างสมบูรณ์ เพราะโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้เป็นเครื่องเตือนไม่ให้องค์กรยึดติดอยู่กับสิ่งที่ “รู้แล้ว” มากจนเกินไปนัก
1. นักมนุษยวิทยา Anthropologist
คือผู้ที่ป้อนความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ ให้แก่องค์กร ด้วยการลงพื้นที่สังเกตุพฤติกรรมทางกายภาพและความรู้สึกต่อผลิตภัณฑ์ บริการ และสถานที่เช่น เจน กู๊ดดอลล์ ผู้ที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับลิงชิมแปนซี ด้วยตัวเอง

2. นักทดลอง Experimenter
คือผู้ที่นำแนวความคิดใหม่มาสร้างเป็นต้นแบบและเรียนรู้มันจากการทดลองผิดลองถูก จนกว่าจะประสบความสำเร็จ เช่น ธอมัส เอดิสัน เป็นนักประดิษฐ์และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งประดิษฐ์อุปกรณ์ที่สำคัญต่างๆ มากมาย อาทิ หลอดไฟ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า

3.นักผสมผสาน Cross – Pollinator
เป็นผู้ที่คอยศึกษา สำรวจดูวิธีการทำธุรกิจประเภทอื่นๆ รวมทั้งวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปจากองค์กร เพื่อจะนำความรู้ใหม่ๆ ที่ค้นพบมาดัดแปลงใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร เป็นคนที่มุ่งสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดและมีมุมมองแตกต่างจากผู้อื่นเช่น สองพี่น้องตระกูลไร้ท์ ออร์วิลล์ และวิลเบอร์ ไร้ท์ ผู้ที่คิดค้นเครื่องบินได้สำเร็จเป็นลำแรกของโลก



คุณสมบัติเพื่อการจัดการ
คุณสมบัติสำหรับผู้มีหน้าที่จัดการ ต้องรอบรู้ว่าองค์กรมีกระบวนการที่จะผลักดันความคิดออกมาเป็นชิ้นเป็นงานอย่างไร และมีอุปสรรคอะไรบ้าง ซึ่งต้องแข่งกับเวลา ต้องเอาใจใส่ และต้องคำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่ด้วย คนที่เหมาะสมกับหน้าที่จัดการนี้ต้องเข้าใจกระบวนการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรได้อย่างดี

4.นักแก้ปัญหาฟันฝ่าอุปสรรค Hurdler
คือผู้ที่รู้ว่าบนเส้นทางของการสร้างนวัตกรรมนั้นย่อมเจอกับอุปสรรคเสมอ แต่นั่นจะเป็นการสร้างสติปัญญาให้กับเขา เพื่อให้ชนะอุปสรรค หรือเสนอผลงานออกมาให้ดีกว่าที่ใครๆ คาดคิด เช่น ชาร์ลส์ ลินเบอร์ก ที่ขับเครื่องบินข้ามแอตแลนติกคนเดียวโดยไม่หยุดพัก ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
5.นักประสานงาน Collaborator
เป็นผู้ที่นำกลุ่มยอดฝีมือหลายๆ กลุ่มมารวมกันเพื่อสร้างสรรค์ความร่วมมือใหม่ๆ ที่สามารถแก้ปัญหาได้หลากหลายและค้นพบหนทางแก้ปัญหาใหม่ๆ ที่ต้องอาศัยการร่วมมือข้ามสายงาน โดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลางในการประสานงาน ธอมัส เอดิสัน ได้ชื่อว่าเป็นนักประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา และเป็นปรมาจารย์นักประสานงาน เพราะเขาสามารถกระตุ้นให้กำลังใจและสามารถสร้างทีมที่เต็มไปด้วยคนเก่งๆ ซึ่งสร้างสรรค์ประดิษฐ์กรรมใหม่ๆและนวัตกรรมออกมานับไม่ถ้วน

6.ผู้กำกับ Director
ไม่ได้มีหน้าที่แค่รวบรวมความคิดและบุคลากรดีๆ ได้ด้วยกันเท่านั้น แต่ต้องเป็นผู้ที่สามารถจุดประกายความคิดสร้างสรรคที่มีอยู่ในตัวของพวกเขาให้โดดเด่นขึ้นมาได้ด้วย เช่น สตีเว่น สปีลเบิร์ก ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังของฮอลลีวูด และ สตีฟ จ๊อบส์ CEO ของบริษัท Apple ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นเครื่องแรกของโลก





คุณสมบัติเพื่อการสร้าง
คุณสมบัติเพื่อการสร้างเป็นการประยุกต์ใช้ความที่ได้จากกลุ่มที่มีหน้าที่เรียนรู้ และใช้ช่องทางที่จะทำให้เป็นจริงจากกลุ่มที่มีหน้าที่จัดการ เพื่อสร้างนวัตกรรมให้เกิดกับบุคคลที่ทำหน้าที่เพื่อการสร้างเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก

7. สถาปนิกผู้คร่ำหวอด Experience Architect
เป็นผู้ใช้ประสบการณ์การออกแบบ โดยมองให้ลึกกว่าสภาพการใช้งานปกติเพื่อโยงไปสู่ความต้องการของลูกค้า พวกเขามุ่งมั่นสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้แก่ลูกค้า ใส่ความรู้สึกลงไปในงาน เช่น ฟิลลิปเป้ สตาร์ค นักออกแบบชื่อดังชาวฝรั่งเศสผู้ที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์

8. นักจัดฉาก Set Designer
คือผู้ที่สร้างสรรค์สถานที่ให้สมาชิกในทีมงานสร้างนวัตกรรม และสามารถทำงานได้อย่างดีที่สุด โดยปรับแต่งสภาพแวดล้อมให้กลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการโน้มน้าวความสนใจของผู้ สร้างเวทีและจัดฉากที่เหมาะสมและเอื้อต่อการทำงาน เพื่อให้ทีมคิดค้นนวัตกรรมขององค์กรทำงานได้อย่างดีที่สุด เช่น จอร์จ ลูคาส ผู้กำกับชื่อดัง และเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมและสร้างเทคนิคพิเศษในภาพยนต์มากกว่าสามทศวรรษ กับบริษัทอินดัสเตรียลไลท์แอนด์เมจิก

9. ผู้ดูแล Caregiver
เปรียบเหมือนผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งมีความห่วงใยลูกค้ามากกว่าการให้บริการตามหน้าที่ปกติ ผู้ดูแลที่ดีจะคาดหมายได้ล่วงหน้าว่าลูกค้าต้องการอะไรและพร้อมที่จะดูแลพวกเขา ผู้ดูแลที่ดีจะช่วยกระจายความสามารถและความเชื่อมั่นไปทั่วองค์กร เช่น ระบบ “บริการแสนสบาย” ด้วยเครือข่ายอุปกรณ์รวมสายการบินลุฟฮันซ่า ซึ่งได้รับรางวัล Red Dot Awards ของประเทศเยอรมนี

10.นักเล่าเรื่อง Storyteller
คือผู้สร้างขวัญกำลังใจคนภายในองค์กรและบอกเล่าเรื่องราวให้บุคคลภายนอกได้รับรู้ การเล่าเรื่องเป็นการสื่อสารเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมเฉพาะขององค์กรให้เข้มแข็งขึ้น สามารถสร้างความน่าเชื่อถือ ช่วยทำให้สมาชิกในทีมผูกพันกัน เช่น เช็กสเปียร์ กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษที่ยิ่งใหญ่ของโลก

ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

30 วิธีเรียกความสุขให้ตนเอง


30 วิธีเรียกความสุขให้ตนเอง
1.นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้มีความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง
2.ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเขาต้องยิ้มกลับมาทุกครั้งแน่
3.ลองปลูกต้นไม้เองสักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้
4.หลับตานิ่งๆสักสามนาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้า มันช่างยากเหลือเกิน
5.ระหว่างแปรงฟัน ฮัมแพลงด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นสองเท่า
6.เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาดธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย
7.ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหน ก็ต้องการให้หวีอย่างทนุถนอมเหมือนกันหมด
8.การขึ้นลงบันใดสูงๆ แบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันใดขั้นที่เท่าไร
9.คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวย/หล่อมากๆทันที ที่คุณถามเขาว่า "ช่วยพาข้ามถนนไหมคะ/ครับ?"
10.เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอ ทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่หย่อนลงกระป๋องหรอก
11.ควรหัดพูดคำว่า "ไม่เป็นไร"ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า "จะเอายังไง"
12.ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนก่อน
13.สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้จึงควรเล่าให้มันฟัง
14.อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรดในปัจจุบัน
15.เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง ความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ
16.ปล่อยให้น้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้งแล้ว แทบดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องให้
17.ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆ จะทำให้เรายิ้มได้เสมอ เมื่อไปหยิบมาเล่นอีกครั้ง
18.ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้ อย่างน้อยสามข้อก่อน
19.ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆ ก็ดูเหมือนมันมีเยอะเอง
20.ซาลาเปา 1 ลูกกินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คน ถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง
21.เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ดีกว่า ให้คนที่ได้เยอะ จนจำชื่อคนที่ให้ไม่ได้
22.ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกก็จะดีขึ้น
23.แอบรักใครสักคน ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรัก มันเป็นอย่างไร
24.ถึงจะไม่ออกไปไหน แต่ไม่ได้หมายความว่า จะแต่งตัวสวยๆ หล่อๆที่บ้านไม่ได้
25.ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน
26.ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนใสได้ ทำไมคุณจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้
27.พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม มันอาจจะไม่สนุก แต่ก็มีประโยชน์แฝงอยู่
28.วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย
29.แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่าน ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว
30.ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท

อย่าท้อที่จะอ่านนะครับ 30 ข้อสำหรับการสร้างความสุขให้ตนเอง
จาก อ.มงคล กริชติทายาวุธ

ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ


ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ

คำตอบง่ายมาก เพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยน จนกระทั่งมันกลายเป็นขยะหรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจ เวลามีอะไรมากระทบหรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปน ความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่

ทำไมเราจึงปล่อยให้ใจเป็น "ถังขยะ" ล่ะ

คำตอบก็คือ เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอกว่าเราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเอง หรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้าง ถ้าเราไม่หมั่นสำรวจ บางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้ อะไรบ้าง ที่เป็นขยะหัวใจ

1. ความไม่พอใจ
มีหลายเรื่องเลยนะในชีวิตที่เราไม่พึงพอใจ ถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพ สิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเอง ไม่พอใจคนอื่นเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเอง เพราะธรรมชาติของคน ย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเอง ย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อนและได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง
ขณะเดียวกันเราต่างก็รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีเกิน มีขาด จนกว่าจะค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ฉะนั้น เราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง
ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้ว ความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์กว่าการจับผิดกั น แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ

2. ความผิดหวัง
2 สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนัก คือ หวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีตจะย้อนกลับมา กับหวังว่าอนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการ อดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม ดีที่สุดคือใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติ ให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาสและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้และวันข้างหน้า ดีกว่าอดีตที่เคยเป็น
ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมด แต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร กระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจ และปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะ รกอารมณ์

3. ความอิจฉาริษยา
ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุด ก็คือความอิจฉาริษยาคนอื่น โดยไม่ทันเฉลียวว่า ทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตาม ความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วย เพราะการจะรู้สึกอิจฉาหรือริษยาใครนั้น ย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดีหรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน
จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่าการที่คนอื่นได้ดีหรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดี ควรยินดีกับเขา และปรับเปลี่ยนโน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขา มีจนเราอิจฉา

4. ความยึดมั่นถือมั่น
ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อรุงรังให้ใจได้เป็นอย่างดีอีก ประการหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น คิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉัน ตำแหน่งของฉัน ฯลฯ จนไม่สามารถปล่อยวางสิ่งนอกตัวเหล่านั้นลงได้
ส่วนใหญ่พบว่าจิตจะปรุงแต่งไปเอง ว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้ พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจ และปรุงแต่งจิตเพิ่มเข้าไปว่าฉันนี้แสนทุกข์ระทม

ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหม ว่าอะไรๆ ในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้น แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้ แท้ก็เป็นแค่ของยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตาย ต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไป สิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศสรรเสริญทั้งปวง

5. ความกลัว
ใจหลายคน รุงรังไปด้วยความกลัว กลัวเขาจะไม่รัก กลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่า กลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ

กลัวไปทำไม เรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้า กลัวจนประสาทเสีย
จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคนและทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น และจงขจัดความกลัวออกไปจากใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรี เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม

6. ความอยาก
จง "อยาก" ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุน และกำลังสติปัญญาของตัวเอง อย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่าย แล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต
ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับ รถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉยๆ ก็นิ่งอยู่กับที่ แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิต ฉะนั้น ใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยาก ขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้
ทำอย่างไรให้ใจสะอาด
เริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนัก แล้วอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่อยู่กับเรา เป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วย นั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง เท่ากับการเทขยะทิ้ง การอยู่กับปัจจุบัน เท่ากับการปิดฝาถังขยะ ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆ ให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีก เพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน
ใจ แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของมันเอง แต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่างๆ มาปะพอก จนใจนั้นหมดสภาพ ฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลาย แล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจ เต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง

ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กระผมจะบวชและได้กำหนดวันเวลาให้ญาติผู้อาวุโสไปนิมนต์พระอุปัชฌาย์เป็นที่เรียบร้อย

ปุจฉา - ถามท่านครับ... กระผมจะบวชและได้กำหนดวันเวลาให้ญาติผู้อาวุโสไปนิมนต์พระอุปัชฌาย์เป็นที่เรียบร้อย พร้อมทั้งได้บอกเชิญผู้มาร่วมงานแล้วด้วย แต่หลังจากนั้นก่อนที่กระผมจะบวชได้ทราบข้อกล่าวหาว่าท่าน "พระอุปัชฌาย์ต้องอาบัติปาราชิก" ซึ่งกระผมเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จประการใด จะบอกเปลี่ยนวันก็ไม่ได้ จะบอกเปลี่ยนพระอุปัชฌาย์ก็กระไรอยู่ จึงกลายเป็นข้อกังวลใจแก่กระผมอยู่มากเลยทีเดียว กระผมจึงเรียนมาถามท่านเพื่อคลายปัญหาสงสัยนี้ครับว่า ถ้าบวชไปแล้วกระผมจะเป็นพระที่สมบูรณ์หรือเปล่าครับ.....ขอบคุณครับ

พระไพศาล วิสาโล - แม้ว่าอุปัชฌาย์จะต้องอาบัติปาราชิก แต่หากว่าพระที่นั่งเป็นองค์คณะ หรือพระที่นั่งอยู่ในหัตถบาสของการอุปสมบท (คือพระคู่สวดและพระอันดับ) เป็นพระปกติ (คือไม่ต้องอาบัติปาราชิก)อย่างน้อย ๕ รูป ก็ถือว่าผู้ที่อุปสมบทนั้น เป็นพระบริบูรณ์ ทั้งนี้ เพราะในการทำวินัยกรรม เช่น การอุปสมบท ความเป็นใหญ่ อยู่ที่พระปกติ ๕ รูปเป็นอย่างน้อย หาได้อยู่ที่อุปัชฌาย์ไม่ อย่างไรก็ตามถ้าพระที่นั่งอยู่ในหัตถบาตนั้นเป็นพระปกติไม่ ถึง ๕ รูป การอุปสมบทนั้นก็ไม่ถูกต้อง ควรทำการอุปสมบทใหม่ ในทางปฏิบัติก็คือไปบวชที่วัดใหม่ซึ่งมั่นใจได้ว่าพระที่ นั่งเป็นองค์คณะ เป็นพระปกติ

ที่มา http://www.facebook.com/visalo?fref=ts

ข้อคิดดี ๆ เพื่อชีวิตคนทำงาน


ข้อคิดดี ๆ เพื่อชีวิตคนทำงาน
ชีวิตของการทำงานย่อมมีทั้งเรื่องไม่สบายใจ ปัญหาการทำงานต่างๆ ที่ทำให้คุณคิดมาก วันนี้เราเอาข้อคิดดีๆ ที่อ่านแล้วอาจจะทำให้คุณรู้สึกมีกำลังใจในการทำงานมากขึ้นค่ะ

1. จงพิจารณาความเป็นไปได้ที่ว่าการชอบทำงานเกินเวลาจนเป็นนิสัยของคุณนั้นแสดง ถึงว่า คุณต้องการสำนักงานมากกว่าที่สำนักงานต้องการคุณ

2. อย่าทำงานเกินเวลาจนติดเป็นนิสัย เมื่อมันกลายเป็นนิสัยจะทำให้มันหมดคุณค่า

3. ปล่อยตัวตามสบายได้ แต่อย่าให้ถึงกับดูโทรมนัก

4. จงทำตัวให้ร่าเริงคอยช่วยเหลือและทำหน้าที่ให้ดีในการทำงานของคุณ คุณจะพบว่าไม่มีใครมาแข่งขันกับคุณ

5. อย่าได้ไว้เนื้อเชื่อใจว่าความสามารถ ความมีเสน่ห์ และจินตนาการ จะนำพาคุณขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดได้ คุณควรจะมีผมสีเทาและพุงป่องกลางอีกหน่อยด้วย

6. อย่าได้เป็นกังวลในเรื่องการปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ในสำนักงาน แต่เป็นกังวลกับการปล่อยให้ชีวิตของคุณเปล่าประโยชน์จะดีกว่า

7. อย่าโทษคอมพิวเตอร์สำหรับความผิดพลาดที่คุณทำขึ้นเอง

8. ลองคิดถึงเวลาที่คุณไม่มีเงินเดือนดูบ้าง

9. จงถือว่าสุขภาพคือทรัพย์สมบัติประการแรก

10. อย่าได้ก้มหน้าก้มตาทำงาน จนไม่เคยสังเกตเห็นนก ต้นไม้ ดอกไม้และปุยเมฆ

11. ในเวลาอาหารกลางวัน จงเลือกรับประทานอย่างฉลาด แต่ในบางครั้งจงรับประทานให้เต็มที่

12. เมื่อใดที่สำนักงานทำให้คุณรู้สึกเศร้าสร้อย จงนึกเสียว่านี่เป็นเกมกีฬาสำหรับคนที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ และอย่าได้นำมันกลับไปบ้านด้วย

13. จำไว้ว่ายังมีอะไร ๆ อีกมากในการทำงานและในชีวิตมากกว่าทำงานเพื่อให้มีชีวิตอยู่ หรือมีชีวิตอยู่เพื่อจะทำงาน

14. อย่าให้การทำงานของคุณ ทำลายชีวิตของคนข้างๆ คุณ

15. อย่าทำเป็นคนตรงต่อเวลา ไปถึงก่อนเวลาจะดีกว่า

16. อย่าได้หลอกตัวเองว่าการมีสิ่งของรกอยู่บนโต๊ะหมายถึงการมีงานมาก มันเพียงแต่หมายความว่าคุณยังไม่ได้ทำมันนั่นเอง

17. จัดเก็บโต็ะของคุณให้เรียบร้อย บุคคลส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จจะมีโต๊ะทำงานที่ว่างโล่ง

18. อย่าเป็นกังวลมากจนเกินไปว่าเพื่อนร่วมงานคิดอย่างไรกับคุณ เพราะส่วนใหญ่ในชีวิตของพวกเขาไม่ได้คิดถึงคุณเลย

19. จงร่ำรวยเงินสด

20. จงหาเวลาแทนที่จะรอให้มีเวลา

21. จงยิ้มไว้เสมอ

22. จำไว้เสมอว่า ถึงแม้ชีวิตการทำงานของคุณจะประสบความสำเร็จขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าชีวิตส่วนตัวของคุณล้มเหลว

นั่นแหละคือความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตคุณละ



ขอบคุณข้อมูลจาก board.dserver.org(n@t)

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปุ๋ยเร่งยาว-อวบ-กรอบสำหรับแตง/ ถั่วฝักยาว


ปุ๋ยเร่งยาว-อวบ-กรอบสำหรับแตง/ ถั่วฝักยาว ใช้แกนกล้วย 3กก. + กากน้ำตาล 1 กก. หมัก 14 วัน ผสมฮอร์โมนไข่+ปุ๋ยหน่อกล้วยอัตรา 2:2:2 ช้อนแกง +น้ำ 20 ลิตร
จาก SMS FarmerInfo by DTAC 25 มิ.ย.2556

มีไปทำไม



มีไปทำไม
มีเงินนับแสนล้าน แต่ใช้จริงวันละไม่ถึงร้อย
มีบ้านใหญ่โตอย่างกับวัง แต่อยู่กันแค่ 4 คน พ่อแม่ลูก
มีรถนับสิบสิบคัน แต่ใช้งานจริงแค่คันเดียว
มีเตียงใหญ่โตมโหฬาร แต่นอนเพียงแค่เต็มแผ่นหลัง
มีนาฬิกาแสนแพง แต่ไม่เคยทำอะไรตรงเวลา
มีเวลาอยู่ในโลกไม่ถึงร้อยปี แต่กลับแบ่งเวลาไปริษยาคนอื่น
มีกฏหมายนับพันมาตรา แต่มีอาชญากรอยู่เต็มเมือง
มี ส.ส. อยู่เต็มสภาพ แต่มาประชุมไม่เคยครบเลย
มีพ่อแม่อยู่ที่บ้าน แต่ไม่เคยปรนิบัติท่านเลย
มีอำนาจอยู่เต็มมือ แต่ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรเลย
มีภรรยาแสนดี แต่ไม่เคยแบ่งเวลาให้เธอเลย
มีลูกแสนน่ารัก แต่ไม่เคยโอบกอดลูกเลย
มีพระไตรปิฏกอยู่เต็มตู้ แต่ไม่เคยเปิดออกมาศึกษาเลย
มีวัดอยู่แทบทุกหมู่บ้าน แต่ศีลธรรมของสังคมแย่ลงทุกวัน
มีรองเท้าเป็นพันคู่ แต่ใส่จริงแค่วันละคู่
มีพี่น้องนับ สิบคน แต่แตกสามัคคีกันทุกคน
มีมือมีเท้าสมบูรณ์ แต่ไม่เคยลงแรงทำอะไรเลย
มีหูอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยฟังธรรมเลย
มีตาอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยมองหาสิ่งที่ดีเลย
มีเท้าอยู่สองข้าง แต่ไม่เคยเดินเข้าหาโอกาสเลย
มีปัญญาอยู่กับตัว แต่กลับใช้อารมณ์เป็นใหญ่
จะเห็นได้ว่าหลายสิ่ง แม้มีเราก็ไม่ได้ใช้ หลายสิ่ง แม้มีเราก็ไม่เห็นคุณค่า บทความนี้คงทำให้หลายคนฉุกคิดได้ว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่ “มี”

ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts

11 เหตุผลที่ไม่ควรเป็นมนุษย์เงินเดือน


11 เหตุผลที่ไม่ควรเป็นมนุษย์เงินเดือน
บันทึกเรื่องเล่าของคนที่ไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน
บทความก่อนหน้านี้ผมได้เขียนเกี่ยวกับ จุดเริ่มต้นของคนที่ไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน ซึ่งมาในบทความนี้ผมได้รวบรวมสิ่งที่ผมได้เจอมาในช่วงที่เคยเป็นมนุษย์เงินเดือน (มาสักพักหนึ่ง) ซึ่งเหตุผลเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจลาออกจากบริษัทนั่นเอง
เหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจลาออกจากการเป็นมนุษย์เงินเดือน
เงินไม่พอใช้ – การเกษียณ แล้วเงินไม่พอใช้ เอาง่ายๆ อย่างน้อยๆ ผมก็หวั่นกับ คุณพ่อและคุณแม่ ของผม ที่รับราชการครู อยู่นี่แหละ
ใช้เวลาทำงานเยอะเกินไป – ทำงานทั้งชีวิต (อายุ 22-60) ใช้เวลา ถึง 38 ปี แล้วค่อยกินเงินเก็บ มันออกจะใช้เวลานานไปหน่อย แล้วถ้าเงินเก็บไม่พอ ก็ต้องย้อนกลับไปดูหัวข้อก่อนหน้านี้แล้วล่ะ
นายจ้างได้ผลประโยชน์เต็มๆ – คนที่ได้จากประโยชน์จากมนุษย์เงินเดือนคือบริษัทเต็มๆ และเมื่อไหร่ก็ตามที่หมดความสำคัญแล้ว ทั้งผลงาน ทั้งบทบาท ก็ยุติลงที่นั่นแทบจะทันที
ทำงานไร้ประสิทธิภาพ – ทำงานเวลา 08.00 – 17.00 น. ไม่ใช่เรื่องที่ดี อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีช่วงเวลาหนึ่งล่ะ ที่มนุษย์เงินเดือน ต้องแอบเล่นเกมส์, ดูหนัง, ฟังเพลง หรือแม้แต่คุยเรื่อยเปื่อยกับเพื่อนร่วมงาน นั่นหมายถึง การทำงานให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ไม่จำเป็นต้องทำในช่วงเวลาของทุกๆวัน วันละ 8 ชั่วโมง เป็นแบบนี้ทุกๆเดือน
หนี้สิน – มนุษย์เงินเดือนมักจะหลวมตัว ผ่อนรถ, ผ่อนบ้าน, ผ่อนบัตรเครดิต สารพัดการผ่อน และการใช้ฟุ่มเฟือย ไม่ว่าจะเป็น การเที่ยวกับเพื่อนร่วมงาน, การซื้อโทรศัพท์ใหม่ หรือ ชุดใหม่ หรือ เครื่องประดับใหม่ เพื่อไม่ให้น้อยหน้าเพื่อนร่วมงาน และแน่นอน มันทำให้ลาออกไม่ได้ ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนไปใช้หนี้เขา
กับดักของการเลื่อนขั้น – มนุษย์เงินเดือน มักจะทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้เลื่อนขั้น ได้เป็นหัวหน้า แต่ประสบการณ์ที่น่ากลัวที่สุดที่ผมได้ยินมาก็คือ ตำแหน่งสูงๆของมนุษย์เงินเดือนนั้น ถ้าลูกไล่ออกแล้ว จะหางานได้ยากมาก เพราะค่าตัวสูงเกินที่บริษัทใหม่จะจ้างได้ และแน่นอน มีคนที่ผมรู้จักหลายๆคน หวั่นเรื่องการ Layoff หรือการปลดพนักงานอยู่ร่ำไป และผมได้มีประสบการณ์จากเพื่อนร่วมงาน ที่โดนปลดกลางอากาศ (หมายถึง การที่เจ้านายยื่นซองขาวหรือใบลาออก โดยเดินเอามาให้ที่โต๊ะทำงานกันเลยทีเดียว) น่ากลัวสุดๆ
ไม่มีเวลา – มนุษย์เงินเดือน มักจะทำทุกอย่างเพื่อเงิน เพื่อเอาเงินไปใช้จ่าย และแน่นอนครับ สิ่งที่ต้องแลกกับเงินคือ เวลาที่หายไปในการทำงาน แถมหลายๆคนก็หมดไปกับการทำ OT (Over Time) อีกด้วยซ้ำไป สิ่งที่ทำให้ผมปวดร้าวมากในข้อนี้ก็คือ เป็นประสบการณ์ตรงที่ทำให้ผมเกือบเสียแฟนไป 2-3 ครั้ง โดยมีปัญหาเรื่องการมีเวลาให้แก่กัน เป็นปัญหาที่รุนแรงมาก เพราะผมบ้างานมาก (อันที่จริงไม่อยากบ้างานขนาดนั้น แต่เจ้านายสั่งมา
ไม่เสร็จห้ามกลับ โว๊ะ! บ้าไปแล้วเจ้านาย)
สุขภาพร่างกายทรุดโทรม – มนุษย์เงินเดือนกว่าจะได้เงินนั้น ต้องเอาตัวเข้าแลก เพราะถ้าไม่ลงมือทำงานเอง ก็ไม่มีใครอยากจ่ายค่าจ้างหรอก แต่อันที่จริงแล้ว ยุคสมัยที่มีเทคโนโลยีและเครื่องอำนวยความสะดวกขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องลงมือทำเองทั้งหมดหรอก ขนาด Nike ยังจ้างคนจีนทำรองเท้าได้ แล้วทำไมเราจะจ้างบ้างไม่ได้ล่ะ เพราะงานทุกอย่างไม่จำเป็นต้องลุยเองเสมอไป
เพื่อเงินผมทนได้ – มนุษย์เงินเดือน มักจะตั้งหน้าตั้งตา รอเงินโบนัสออกเป็นก้อน ซึ่งสิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ การทำงานอย่างบ้าคลั่ง เพื่อให้ได้โบนัสก้อนโต (เพราะถ้าผลงานดี โบนัสก็จะเยอะตามไปด้วย) ไม่พ้นแม้กระทั่งผมเอง ซึ่งผลงานออกมาดีกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน เลยได้โบนัสเยอะกว่า แต่จริงๆแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก เพราะมันเหนื่อยมาก เผลอๆ เอาเงินที่ได้มานั้น ไปเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวจากอาการโหมงานหนักไปซะอย่างงั้น
ทำงานทั้งๆที่ไม่ชอบ – ร้อยทั้งร้อย ต้องมีบ้างล่ะที่มนุษย์เงินเดือน ทำงานในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบ เพราะมันเลือกไม่ได้นี่นา บริษัทไหนรับก็เอาหมดนั่นแหละดีกว่าตกงาน นี่ก็เป็นกับดักของมนุษย์เงินเดือน ที่มักจะติดกับทำงานที่ตัวเองไม่ได้ชอบ
เลือกเพื่อนร่วมงานไม่ได้ – มนุษย์เงินเดือน เลือกเพื่อนร่วมงานไม่ได้ อันนี้ยกเว้นว่า รอให้เพื่อนย้ายแพนกหรือรอให้เพื่อนมันลาออก เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะต้องทำเป็นประจำก็คือ ใส่หน้ากากเข้าหากัน และห้ามทะเลาะกัน เพราะไม่งั้น ทำงานด้วยกันลำบากแน่ และส่วนใหญ่ต้องเจอหน้ากันไปอีกนาน จะมีปัญหามองหน้ากันไม่ติดอีกด้วย
แล้วเหตุผลที่เพื่อนๆไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน มีอะไรกันบ้าง เล่าสู่กันฟังได้นะครับ
ที่มา http://www.asuradech.com/

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โรงเรียนของเด็กบางคน อาจจะเป็นใต้ทางด่วนในอินเดีย

โรงเรียนของเด็กบางคน อาจจะเป็นใต้ทางด่วนในอินเดีย
หากเราเป็นผู้มีความพร้อมในการศึกษาเล่าเรียน
โปรดรักษาโอกาสนั้นไว้ให้ดี...

" เด็กเอ๋ย เด็กน้อย
ความรู้ เรายังด้อย เร่งศึกษา
เมื่อเติบใหญ่ เราจะได้ มีวิชา
เป็นเครื่องหา เลี้ยงชีพ สำหรับตน

ได้ประโยชน์ หลายสถาน เพราะการเรียน
จงพากเพียร ไปเถิด จะเกิดผล
ถึงลำบาก ตรากตรำ ก็จำทน
เกิดเป็นคน ควรหมั่น ขยันเอย...."

หากทำได้เช่นนี้ ถือว่ามีความเคารพในการศึกษา
ตามหลักธรรมในมงคลชีวิต ๓๘ ประการ
www.facebook.com/ThanavuddhoStory

ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร ?


ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท
ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร ?

โจทย์ง่าย ๆ แค่นี้.. แต่.. คิดให้ดีก่อนตอบ
ก . 7 บาท
... ข . 2 บาท
ค . 1 บาท
ง . ไม่ต้องทอน ( ขอเหตุผลด้วยนะถ้าตอบข้อนี้ )

เมื่อได้คำตอบแล้ว
ไปดูกันว่าคำตอบข้อไหนตรงกับคำตอบในใจคุณ

ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า..
ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงินทอนเท่าไร ?

เด็กส่วนใหญ่ตอบว่า 7 บาท

แต่มีเด็ก 2 คนที่ตอบไม่เหมือนกับคนอื่น !

คนหนึ่งตอบว่า 2 บาท
อีกคนหนึ่งตอบว่า.. ไม่ต้องทอน

ครูถามเด็กคนแรกว่าทำไมถึงได้เงินทอน 2 บาท
คำตอบที่ได้ก็คือภาพในใจของเขาสำหรับเงิน 10 บาท
คือ เหรียญห้า 2 เหรียญ เมื่อซื้อของราคา 3 บาท
เขาก็ให้เหรียญห้า 1 เหรียญ ดังนั้น จึงได้เงินทอน 2 บาท

ครูถามเด็กคนที่สองว่าทำไมไม่เหลือเงินทอนเลย
คำตอบก็คือเด็กคนนี้คิดว่าในกระเป๋ามีเหรียญบาท 10 เหรียญ
เมื่อซื้อของราคา 3 บาท เขาก็ส่งเหรียญบาทให้ 3 เหรียญ
เพราะฉะนั้น คนขายจึงไม่ต้องทอนเงินให้เขา

โชคดีที่เป็นการถาม - ตอบในห้องเรียน
ลองนึกดูสิครับว่าถ้าโจทย์นี้เป็นข้อสอบที่มีคำตอบ
เป็น ก - ข - ค - ง เด็ก 2 คนนี้ก็คงไม่ได้คะแนน
จากคำตอบที่ผิดเพี้ยนจากคนส่วนใหญ่

การสร้างโจทย์ที่ ' เสมือนจริง ' จินตนาการของ ' ครู '
อาจถูกจำกัดเพียงแค่ ' ตัวเลข ' แต่สำหรับเด็ก
จินตนาการของเขาไร้กรอบ 10 บาท
จึงสามารถเปลี่ยนเป็นเหรียญสิบ เหรียญห้า หรือเหรียญบาท

เมืองไทยมีเหรียญ 2 บาท เราจึงได้คำตอบ
เพิ่มอีก 1 คำตอบ คือ ได้เงินทอน 1 บาทด้วย

โลกในห้องเรียนกับโลกของความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน
โลกในห้องเรียน ทุกคำถามส่วนใหญ่มีเพียง 1 คำตอบ
แต่โลกของความเป็นจริง
ทุกคำถามอาจมีคำตอบที่ถูกต้องได้เกิน 1 คำตอบ

อย่าตัดสินความผิดของคนๆนั้นเพียงแค่คำตอบของเรา

หากคิดว่าโพสต์นี้มีประโยชน์ !!
กรุณาเเบ่งปันให้สักคมรับรู้ (ไลค์เพจด้วยนะคะ) ~ ♡

© สมุดปกขาว •
® สำนักพิมพ์ CreativeGuru

ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

10 คำคม จาก 10 ภาษา

10 คำคม จาก 10 ภาษา
ภาษาจีน 每个人有自己的路要走
(เม่ยเกอะเริ่น โย่วจื้อจี๋เตอะลู้เย้าโจ่ว)
ความหมาย ทุกคนมีทางเดินเป็นของตัวเอง
ทุกๆ คนมีสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ฝัน และทางเลือกเป็นของตัวเอง สิ่งหนึ่งที่เราชอบ อาจเป็นสิ่งที่อีกคนเกลียด หรือสิ่งหนึ่งที่เราฝัน อาจเป็นสิ่งที่อีกคนมีอยู่แล้วและไม่จำเป็นต้องไขว่ค ว้า เพราะฉะนั้นขอให้ภูมิใจกับทางเดินของตัวเอง เพราะนั่นคือสิ่งที่แสดงถึงความเป็นตัวเราได้ดีที่สุ ด


ภาษาอังกฤษ Life is what we make of it
(ไลฟ์ อิส วอท วี เมค ออฟ อิท)
ความหมาย ชีวิตคือสิ่งที่เราสร้างเอง
คนเรา ถึงแม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่สามารถเลือกสร้างชีวิตได้ ขวนขวายโอกาส และมีความพยายามได้สร้างชีวิตที่ดีให้เกิดขึ้น เพื่อพร้อมรับโอกาสดีๆ ที่อาจจะเข้ามาได้ทุกเวลา ความสำเร็จในชีวิตสร้างได้ด้วยตัวเองค่ะ


ภาษาญี่ปุ่น 天は人の上に人をつくらず 人の下に人をつくらず
(เทน วะ ฮิโตะโนอูเอะ นิ ฮิโตะโวะ ซึคุราซึ ฮิโตะโนะชิตะ นิ ฮิโตะโวะ ซึคุราซึ)
ความหมาย ฟ้ามิได้สร้างคนให้อยู่เหนือคน และมิได้สร้างคนให้อยู่ใต้คน
ประโยคนี้ ฟุคุซาวะ ยูคิชิ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเคโอเป็นผู้พูด ซึ่งหมายความว่า คนเราทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งแยกว่าสูงกว่าหรือต่ำกว่า เพราะฉะนั้นเราไม่ควรดูถูกผู้อื่น รวมถึงใครที่กำลังท้ออยู่ก็ห้ามคิดว่าตัวเองด้อยกว่า คนอื่น


ภาษาฝรั่งเศส Le génie est une longue patience
(เลอ เจนี เอ อูน ลง ปาซิยองซ์)
ความหมาย อัจฉริยภาพคือความอดทนอันยาวนาน
การที่คนๆ หนึ่งจะกลายเป็นคนเก่งที่ฉลาดรอบรู้ได้นั้นไม่ใช่เรื ่องง่ายๆ แน่นอนว่าพวกเขาต้องขยันแล้วก็ขยัน ซึ่งความ ขยันที่ทุ่มเทลงไปนั้น อาจจะทำให้พวกเขาบางคนพลาดสิ่งสนุกๆ ในชีวิต เช่น การเที่ยวเล่นกับเพื่อน การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ซึ่งต้องอดทนและข่มใจเพื่อให้ผ่านช่วงเวลานั้นไปได้


ภาษาเกาหลี 하늘에 별 따기
(ฮานึลเล พยอล ตากี)
ความหมาย เด็ดดาวบนท้องฟ้า
หมายถึงสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ นั่นเอง ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ต้องดูขีดความสามารถของเราด้วยว่าเรามีพลังพอที่จะทำ มั้ย แต่บางคนอาจเป็นพวกชอบลอง รู้ว่าไม่ได้ แต่ก็อยากลอง แต่ก็อย่าลืมว่า ถ้าเราเอาเวลาตรงนั้นไปมุ่งมั่นกับสิ่งที่มีโอกาสเป็ นไปได้ล่ะก็ คุ้มค่ากว่าเยอะเลย จริงมั้ย


ภาษาเยอรมัน Das Leben ist eine Reise
(ดาส เลเบน อิส อายเนอ ไรเซอ)
ความหมาย ชีวิตคือการเดินทาง
อาจจะตีความหมายได้ 2 แง่คือเริ่มเดินทางตั้งแต่เกิดจนตาย หรือเดินทางเพื่อไปหาเป้าหมายในชีวิต แต่ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในรูปแบบไหน เราก็ต้องเจอทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี และอุปสรรคที่เราเจอนั้นจะยิ่งทำให้เราภูมิใจและสามา รถยิ้มได้ทุกครั้งที่ย้อนมองกลับไปว่าเราเอาชนะมันได ้


ภาษาสเปน Cuando una puerta se cierra, otra se abre
(ก๊วนโด้ อู๊น่า ปูเอรฺต้า เซ เซียร่า โอ๊ตร้า เซ อาเบร่)
ความหมาย เมื่อประตูบานนึงถูกปิดลง อีกประตูก็จะเปิดขึ้น
เชื่อเถอะ ว่าถึงแม้ประตูบานนึงจะถูกปิดไป ก็ย่อมมีประตูอีกบานที่เปิดรับและฉายแสงส่องสว่างให้ อย่างดี หนทางไม่ได้มืดมนเสมอไป ถ้าเราเจอเรื่องแย่เรื่องหนึ่ง ลองมองรอบตัวดีๆ นะคะ สิ่งดีๆ อาจจะยืนรออยู่อีกมุมก็ได้


ภาษาเวียดนาม Ai cũng phải chết một lần
(อาย กุ๊ง ฝาย เจ๊ท โหมด เหลิ่น)
ความหมาย คน เราตายได้แค่ครั้งเดียว
คนเราเกิด ครั้งเดียว ตายครั้งเดียว ถ้าตายนั่นหมายถึงการสิ้นสุดของชีวิตที่ไม่สามารถทำ อะไรต่อไปได้อีก เพราะฉะนั้นลองคิดให้ดีนะคะว่าชีวิตตลอดเวลาสิบกว่าป ีหรือยี่สิบปีได้ใช้ทำอะไรที่มันคุ้มค่าบ้างแล้วหรือ เปล่า เพราะอนาคตคือสิ่งที่เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไ รขึ้น รวมถึงเราไม่มีทางรู้เลยว่าวันไหนคือวันสุดท้ายของชี วิตเรา


ภาษาอิตาเลียน Non fare il passo più lungo della gamba
(นน ฟาเร่ อิล ปั๊สโซ่ ปิ๊ว ลุงโก้ เดลลา กัมบ้า)
ความหมาย อย่าก้าวเท้ายาวกว่าความยาวของขา
ในการ ก้าวนั้น ควรก้าวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ที่สำคัญคืออย่ารีบก้าวยาวมากไป เพราะแทนที่จะถึงจุดหมายไว เราอาจจะต้องลื่นล้มเสีย เวลาเจ็บตัวฟรีๆ เพราะฉะนั้นควรประมาณความยาวของขาและแรง พลังของตัวเองให้ดีว่ามีมากเท่าไหน ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม


ภาษาดัทช์ Waar een wil is, is een weg
(วาร์ เอิ่นวิลอีส อีสเอิ่นเว็ก)
ความหมาย ถ้า ไม่ท้อถอยซะก่อน หนทางสำเร็จก็ไม่ไปไหน
ประโยคนี้ เป็นประโยคที่ผู้ใหญ่เอาไว้ปลอบใจเด็กหรือค นที่อายุน้อยกว่าในเวลาที่ท้อและต้องการกำลังใจ หรืออาจจะแปลง่ายๆ ว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

25 วิธีมีความสุข


25 วิธีมีความสุข
คิดใหม่ ใช้ชีวิตราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย คนที่ป่วยหนักหรือเผชิญกับอุบัติเหตุใกล้ตาย เห็นโศกนาฏกรรมหรือสูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักมักมีมุมมองชีวิตที่ต่างออกไป หลายคนบอกว่าจะไม่ปล่อยเวลาให้สายเกินไปอีกแล้ว จะท่องเที่ยวไปในโลกกว้างหรือติดต่อพบปะเพื่อนฝูง เราทุกคนก็ควรตระหนักว่าอาจไม่มี "พรุ่งนี้" ก็ได้


มองในแง่มุมอื่นบ้าง ลองคิดว่าคุณอยากให้คนอื่นจดจำคุณในด้านใด หรือหากวันหนึ่งต้องเล่าเรื่องชีวิตตนเองให้หลานๆ ฟัง คุณจะเล่าอะไร คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนทุกสัปดาห์และถูบ้านทุกวันหรือ แล้วที่คุณพลาดการแสดงละครของลูกที่โรงเรียนเมื่อปีที่แล้วเพราะติดประชุมเล่า ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อมองย้อนกลับไป

อย่าให้เรื่องเล็กน้อยกวนใจ ไม่คุ้มหรอกที่จะหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากคนขับรถคันข้างๆ ไม่ยอมให้คุณเบียดเข้าเลนก็ยิ้มและโบกมือให้เขาไปเลย แล้วจะหงุดหงิดไปทำไมหากพลาดรถเที่ยวเช้า หากาแฟดื่มขณะนั่งรอคันต่อไปดีกว่า

จดบันทึก เขียนเล่าถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณทุกวัน การจดบันทึกยังช่วยแก้ปัญหาและขจัดเรื่องไม่ดีที่รกสมองออกไปได้ด้วย ลองเริ่มเขียนตั้งแต่วันนี้ รับรองได้ผลแน่

ทำงานยากให้เสร็จ ลงมือได้แล้วอย่าผัดวันประกันพรุ่ง โอ้เอ้ไปก็มีแต่ทำให้หนักใจเหนื่อยกาย ไหนๆ งานนี้ก็ต้องทำโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ก็น่าจะทำให้เสร็จแทนที่จะมัวกังวลและคิดจนรกสมอง

เลิกทำตัวจำเจ ชีวิตคงหน้าเบื่อหากทำอะไรซ้ำซากทุกวันทุกสัปดาห์ เราน่าจะมีเรื่องแปลกใหม่มาทำให้หัวใจกระชุ่มกระชวยบ้าง ถ้าเอาแต่นอนตื่นสายทุกวันอาทิตย์ก็น่าจะลุกขึ้นมาแต่เช้าไปกินอาหารอร่อยๆ นอกบ้าน หรือไปตลาดแล้วจ่ายกับข้าวมาทำอาหารมื้ออร่อยกินกันที่บ้าน

อย่าเปรียบตัวเองกับคนอื่น ใครจะมีสระว่ายน้ำ เครื่องเสียงแพงๆ รุ่นล่าสุด หรือรถหรูใหม่เอี่ยมไม่ต้องสนใจ หากดูให้ดีๆ คุณอาจพบว่าคนพวกนี้ต้องทำงานสัปดาห์ละเจ็ดวัน ไม่มีเวลาเจอหน้าคนในบ้านหรือเพื่อนฝูง หรืออาจต้องผ่อนหนี้สินไปอีกหลายสิบปี แล้วชีวิตอย่างนี้ดีจริงหรือ

กำจัดข้าวของรกในบ้าน เสื้อผ้าที่ไม่เคยใส่มาเป็นปี เครื่องครัวที่ตั้งอยู่ตรงนั้นจนน้ำมันจับเป็นคราบหนา ไหนจะของเล่น หนังสือเก่า และเครื่องเรือน ยกไปบริจาคเถิด นอกจากจะได้บุญแล้ว ชั้นวางของและห้องต่างๆ ในบ้านจะโล่งและเป็นระเบียบมากขึ้น

รู้จักเอ่ยคำว่า "ไม่" ไม่ต้องลงมือทำเองทุกเรื่องเพราะชีวิตคุณก็วุ่นวายพออยู่แล้ว ไหนจะต้องทำเรื่องโน้น สะสางเรื่องนี้ ปล่อยให้สมองมีที่ว่างเพื่อคิดหรือทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง

รดน้ำต้นรัก รักคู่ครองของคุณอย่างที่เขาเป็น ที่คุณคิดว่าเขาเปลี่ยนไปนั้นเป็นความจริงหรือ (คิดให้ดีก่อนตอบ) ของทุกอย่างเมื่อใช้งานไปได้ระยะหนึ่งก็ต้องบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมเป็นธรรมดา ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาก็เช่นกัน ต้องมีการดูแลใส่ใจกันบ้าง

อย่าให้ความคุ้นเคยกลายเป็นไม่ไว้หน้า หากคุณให้เกียรติเพื่อนหรือผู้อื่น คู่ครองหรือคนในครอบครัวคุณก็ควรได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน และคุณเองก็ควรได้เกียรติจากคนในครอบครัวเช่นกัน

มอบความรักให้ครอบครัวและเพื่อนๆ อย่าเขินที่จะบอกคนเหล่านี้ว่าคุณรักพวกเขาตรงไหน เมื่อเขาทำอะไรดีๆ ให้ก็กล่าวคำชื่นชมบ้าง คำชมเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยทำร้ายใคร

อย่ารับปรับทุกข์ทุกเรื่อง หากปัญหาของเพื่อนเริ่มมีผลกระทบต่อตัวคุณ ก็ไม่ต้องฝืนทำตัวเป็นเสาหลักให้เขาพิงอยู่เรื่อยไป ให้เพื่อนหัดแก้ปัญหาและก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง
ติดต่อเพื่อนเก่า คุณอาจขาดการติดต่อกับเพื่อนไปนาน แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะโทรศัพท์ ส่งอีเมล์ หรือเขียนจดหมายถึงเขา และนานแค่ไหนแล้วที่คุณไม่ได้คุยกับป้า ท่านอยากได้ยินเสียงคุณจะแย่แล้ว
บำรุงอารมณ์ด้วยสีเขียว ดอกไม้สดจากสวน หรือตื่นแต่เช้าไปตลาดซื้อดอกไม้ ผักผลไม้ราคาไม่แพงมาแต่งบ้านให้สดใส คุณเคยมีสวนกระถางในบ้านไม่ใช่หรือ นำกลับมาอีกครั้ง แล้วบ้านคุณจะชุ่มชื่นมีชีวิตชีวาแน่นอน
ไปทะเลกันดีกว่า ทิวทัศน์กว้างไกล สายลม เกลียวคลื่น สองเท้าเปลือยเปล่าย่ำบนผืนทราย และแสงแดดระยับ ไม่มีอะไรทำให้จิตใจเริงรื่นชื่นบานได้ดีกว่านี้อีกแล้ว
สร้างสรรค์ผลงาน จะเป็นภาพเขียน งานปั้น เย็บปักถักร้อย อบขนม จัดสวน หรืออะไรก็ได้
สูดอากาศบริสุทธิ์ ออกไปข้างนอกหรือเปิดหน้าต่างกว้างๆ สูดหายใจให้เต็มปอด คุณจะรู้สึกว่าอากาศเสียถูกขับออกจากตัว

ออกไปเดินเล่น การออกกำลังเบาๆ จะช่วยเติมชีวิตชีวาให้คุณทั้งร่างกายและจิตใจตั้งแต่เดินเล่นครั้งแรกเลยทีเดียว การออกกำลังสม่ำเสมอจะทำให้คุณกระปรี้กระเปร่าและรู้สึกดีขึ้นทุกวัน

ดูหนังตลกและหัวเราะให้สบายใจ ร้านให้เช่าวิดีโอมีหนังเบาสมองให้เลือกมากมาย จะเป็นหนังไทยหรือฝรั่งไม่สำคัญ ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาบ้าง

ย้ายเครื่องเรือนและของแต่งบ้าน หรืออาจทาสีห้องและผนังใหม่ด้วย รับรองว่าบรรยากาศที่ได้คุ้มค่าไม่แพ้วันหยุดเลยทีเดียว

รอคอยสิ่งดีๆ เช่นวันหยุดพักร้อน ออกไปเที่ยวกับเพื่อนฝูง หรือแม้แต่ไปนวดแผนโบราณ

ชวนเพื่อนมากินมื้อค่ำ จัดห้องและโต๊ะอาหารที่บ้านให้แปลกไปจากเดิม เสิร์ฟเครื่องดื่มค็อกเทลหรือแชมเปญ เปิดเพลงเสริมบรรยากาศ สนุกกับการเตรียมอาหาร ทุกคนจะปลาบปลื้มหากเห็นว่าคุณทุ่มสุดฝีมือ แล้วค่ำคืนนั้นก็จะครึกครื้น

ยิ้มไว้ ยิ้มเป็นโรคติดต่อ ไม่เชื่อก็ลองยิ้มดูสิ

ทำให้คนอื่นมีความสุขบ้าง ทำเพื่อตัวเองมามากแล้วก็น่าจะทำเพื่อคนอื่นบ้าง เริ่มจากอดกลั้นไม่บีบแตรไล่รถที่วิ่งเหมือนเต่าคลาน หรืออาสาช่วยงานกุศล เพียงเท่านี้ การใช้ชีวิตให้สุดคุ้มก็ไม่ยากอย่างที่คิด

ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พลอยประจำของคนวันพุธกลางคืน^.*

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=345008682268315&set=a.201772366591948.28151.201769793258872&type=1&theater
พลอยประจำของคนวันพุธกลางคืน^.*
พลอยประจำวันเกิด แก้วไพฑูรย์
สีพลอยที่เสริมบริวาร คนรักใคร่ เขียวอ่อน, หมอก เมฆ, พลอยสีขุ่น
สีพลอยที่เสริมอายุ น้ำเงิน, ฟ้า,ไพลิน
สีพลอยที่เสริมอำนาจ แดงสด, ส้ม,ทับทิม
สีพลอยที่เสริมร่ำรวย ขาว, ขาวนวล,เพชร, ไข่มุก
สีพลอยที่เสริมขยัน เขียว, เขียวสด,มรกต, หยก

การกระทำของหัวหน้าคุณ เข้าข่ายมุสาวาท(โกหก)


ปุจฉา - ขอเรียนถามว่า หัวหน้าของหนูเป็นผู้อำนวยการฝ่ายบุคคล ได้ให้หนูทำเรื่องเบิกผลิตภัณฑ์ของบริษัทโดยบอกว่าจะไปให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของบริษัท แต่จริงแล้วเขาได้เอาไปให้สมาชิกในครอบครัว เขาทำเช่นนี้บ่อยครั้ง

บริษัทให้แต่ละแผนกทำงบประมาณเบิกผลิตภัณฑ์เพื่อแจกให้แก่พันธมิตรทางธุรกิจของบริษัท หนูจะบาปหรือไม่ที่มีส่วนในกระบวนการเบิกผลิตภัณฑ์ แต่หนูมิได้เอาผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมาเป็นของตนแต่อย่างใด

การกระทำของหัวหน้าของหนูถือเป็นการผิดศีลการลักทรัพย์หรือไม่ค่ะ ศีลที่ว่า "ข้าจะไม่ลักขโมยไม่ฉ้อโกงไม่เอาของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของเสียก่อน" หัวหน้าหนูเขาอาจตีความว่าโดยตำแหน่งเขาได้ทำงบประมาณสำหรับเบิกผลิตภัณฑ์ของบริษัทไว้สำหรับแจกให้ผู้เกี่ยวข้อง จึงมิได้เป็นการกระทำโดยพละการจึงไม่ผิดแม้ว่าจะยักยอกไปแจกคนในครอบครัวเพื่อนฝูงของเขา หากกระทำดังกล่าวของเขาเป็นบาป หนูจะบอกเขาอย่างไรดีคะ หนูก็ทุกข์ใจที่เป็นผู้ร่วมกระทำบาปโดยหน้าที่ของหนูคือเป็นเลขาของเขา ก็ทำตามที่เขาสั่งค่ะ

พระไพศาล วิสาโล - การกระทำของหัวหน้าคุณ เข้าข่ายมุสาวาท(โกหก)และอทินนาทาน(ลักขโมย) อีกทั้งยังผิดกฎระเบียบของบริษัทด้วย เขาเองก็ย่อมรู้ดีว่าการกระทำของตนนั้นไม่ถูกต้องทั้งทางโลก และทางธรรม

ตามหลักแล้ว ในฐานะที่คุณเป็นพนักงานบริษัทและเลขาของเขา คุณควรตักเตือนเขาว่าการกระทำเช่นนั้นไม่ถูกต้อง แม้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องธรรม ก็ผิดระเบียบของบริษัทอยู่แล้ว เข้าข่ายทุจริตหรือยักยอกทรัพย์ของบริษัท (หากคนในบริษัทหรือผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทำอย่างเดียวกับ เขาบ้างเขาย่อมไม่พอใจอย่างแน่นอน) หากมีคนรู้ความจริง เขาอาจเดือดร้อนได้ในอนาคต จึงไม่ควรเสี่ยงทำผิดเพียงเพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยเท่านั้น หากคุณตักเตือนเขาด้วยความ หวังดี เขาอาจฟังคุณแม้จะไม่พอใจก็ตาม อย่างไรก็ตามคุณจะสามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่ หรือทำอย่างไร ก็อยู่ที่ดุลพินิจของคุณด้วย

ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

*** Update เปลี่ยนสถานที่จัดงาน *** เพ็ญภาวนา - Full Moon Meditation Night

*** Update เปลี่ยนสถานที่จัดงาน ***

เพ็ญภาวนา - Full Moon Meditation Night
จากที่แจ้งไว้เดิม ว่าเป็นที่หอจดหมายเหตุฯ
เปลี่ยนเป็นที่ "สวนปทุมวนานุรักษ์" (ที่เดิม)

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

งานเพ็ญภาวนา ปฏิบัติบูชาญาณสังวร
FULL MOON MEDITATION NIGHT
อาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2556

ฟังธรรมและนำภาวนา โดย พระไพศาล วิสาโล
ฟังเสวนา จาก คุณรสนา โตสิตระกูล, อ. ประมวล เพ็งจันทร์
ฟังดนตรีมีธรรม จาก คุณพจนาถ พจนาพิทักษ์

::: กำหนดการ :::

๑๖.๓๐ – ๑๗.๓๐ น. ผู้เข้าร่วมงานลงทะเบียน รับของที่ระลึก

๑๗.๓๐. – ๑๘.๓๐ น. ดนตรีมีธรรม โดย คุณเอก พจนาถ พจนาพิทักษ์ นัก ร้อง กวี นักเขียน และนักแต่งเพลง ผู้ร่วมแต่งและร้องเพลงประกอบรายการสารคดีชุด ทุ่งแสงตะวัน ทางช่อง ๓ และเป็นเจ้าของเสียงร้องและบทเพลงประกอบในรายการ คนค้นฅน ทางช่อง ๙

๑๘.๓๐ - ๑๙.๓๐ น. เสวนาธรรมร่วมสมัย "เดินทางโลกบนรอยเท้าธรรม" โดย

- คุณรสนา โตสิตระกูล ผู้แปล เดิน วิถีแห่งสติ [Walking Meditation] ของท่าน ติช นัท ฮันห์ และ

- อ.ประมวล เพ็งจันทร์ อดีตอาจารย์ภาควิชาปรัชญาฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้เขียนหนังสือ “เดินสู่อสระภาพ เล่าเรื่องราวการออกเดิน ๖๖ วันเดินจากเชียงใหม่กลับบ้านเกิดที่เกาะสมุย

- ดำเนินรายการโดย คุณนงลักษณ์ สุขใจเจริญกิจ พิธีกรรายการ "บ้านเธอก็บ้านฉัน" ไทยพีบีเอส

๑๙.๓๐ - ๒๐.๓๐ น. สวดมนต์-นั่งสมาธิ

๒๐.๓๐ - ๒๑.๓๐ น. ธรรมบรรยายปฎิบัติบูชา ญาณสังวร โดย พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสแห่งวัดป่าสุคะโต ผู้เผยแผ่ศาสนาผ่านสื่อหลายรูปแบบ ไปพร้อม ๆ กับการช่วยเหลือผู้คน และที่สำคัญพระไพศาล คือภิกษุผู้เป็นนักเขียนที่มีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องในแนวคิดสันติวิธี

* ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญเจ้าภาพร่วมจัดงาน : มูลนิธิโกมล คีมทองมูลนิธิสุขภาพไทย และ เครือข่ายพุทธิกา

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ๐๘๖-๓๑๑-๐๙๐๐ (เฉพาะเวลา ๐๙.๐๐ - ๑๗.๐๐ น.)

กรุณาแจ้งการเปลี่ยนแปลงนี้ ให้เพื่อน ๆ ได้ทราบโดยทั่วถึงกันด้วยครับ ขอขอบพระคุณ

รายละเอียดเพิ่มเติม อ่านได้จาก http://www.bia.or.th/new/index.php/site_content/40-news/568--qq

การที่เราต้องทำงานร่วมกับคนที่มีทัศนคติที่แตกต่างจากเราค่อนข้างมาก

ปุจฉา - นมัสการพระคุณเจ้าค่ะ การที่เราต้องทำงานร่วมกับคนที่มีทัศนคติที่แตกต่างจากเราค่อนข้างมาก จนทำให้เรารู้สึกไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยแต่ทำไม่ได้ เราควรทำอย่างไรดีคะ เพื่อที่จะเป็นการรักษาใจของเราไม่ให้ตกต่ำลง

เป็นครูสอนหนังสือค่ะ สิ่งที่ดิฉันมุ่งหวังไว้คือ สอนเด็กๆให้รู้ในสิ่งที่เค้าจะ "ต้องรู้" ไม่ใช่เพื่อเอาไปสอบ แต่เพื่อนำไปใช้ในชีวิตเค้า แต่เพื่อนร่วมงาน กลับมีทัศนคติที่ว่า สอนเพื่อให้เด็กทำข้อสอบได้ จึงสอนเพียงผิวเผิน ออกข้อสอบแบบไม่ลึกในเนื้อหา ...(และจริงๆ เค้าก็ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เค้าต้องสอน) แถมเป็นคนที่ไม่ยอมรับในความผิดของตัวเอง ไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น มีอะไรเถียงตลอด ถือว่ามีวุฒิการศึกษาสูงกว่าเรา (เค้าเพิ่งจบป.โท)

เราควรทำใจอย่างไรดีคะ เพื่อไม่ให้จิตใจของเราตกต่ำไปกับคนแบบนี้ สงสารเด็กๆ ด้วยบวกกับนิสัยของตัวเองที่เป็นคนที่ไม่ชอบอะไรจะไม่ยุ่งกับสิ่งนั้น ใครๆ ก็หาว่าดิฉันผิดที่ไม่คุยกับเค้าด้วย ...

พระไพศาล วิสาโล - คุณควรทำหน้าที่ของคุณให้ดีที่สุด อย่าเสียเวลาและอารมณ์ไปกับเพื่อนของคุณเลย ในเมื่อเขายืนยันจะสอนแบบของ เขา ก็ต้องปล่อยเขาไป อย่าหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงเขา คุณควรจดจ่อใส่ใจกับงานในส่วนของตนเองให้เต็มที่ ถ้าคุณทำอย่างนี้ได้ เด็กก็จะได้ประโยชน์จากการสอนของคุณอย่างแน่นอน พยายามรักษาใจของคุณให้ดี ถ้าคุณสอนอย่างมีความสุข เด็กก็จะเรียนอย่างมีความสุข

สิ่งที่ครูสามารถให้แก่เด็กได้นั้น ไม่ใช่ความรู้หรือข้อมูลเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ฉันทะ หรือความใฝ่รู้และรักเรียน รวมทั้งคุณธรรมความดี ความรับผิดชอบ ไม่ว่าในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียน คุณสามารถให้สิ่งดี ๆ แก่เด็ก โดยไม่ต้องสอน แต่ด้วยการกระตุ้นการเรียนของเด็กด้วย ขอให้ตระหนักว่า การเรียนรู้ของเด็กสำคัญกว่าการสอนของครู

ที่มา http://www.facebook.com/visalo?fref=ts

“กัมบัตเตะ” แปลว่าขอให้มีความเพียร ขอให้สู้ต่อไป


ชาวญี่ปุ่นนั้นเมื่อลูกจะลาพ่อแม่ ศิษย์จะลาอาจารย์ พ่อแม่กับอาจารย์จะให้พรด้วยการพูดว่า “กัมบัตเตะ” แปลว่าขอให้มีความเพียร ขอให้สู้ต่อไป

อาตมาเคยไปเดินธุดงค์ในญี่ปุ่น 7-8 วัน เดินไปเมืองนากาโน่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดโอลิมปิก ในเมืองนากาโน่มีวัดวัดหนึ่งที่รัชกาลที่ 5 เคยถวายพระพุทธรูป ระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร ไม่ไกลนัก แต่อากาศหนาวจัด การเดินธุดงค์นี้เป็นที่สนใจของผู้สื่อข่าวท้องถิ่น มีคนมาถ่ายทำโทรทัศน์และลงหนังสือพิมพ์ คนในท้องถิ่นก็คงทราบข่าว

เมื่อใกล้ถึงเมืองนากาโน่ มีรถคันหนึ่งแล่นผ่านมา แล้วเด็กในรถก็เปิดกระจกและโผล่หัวออกมา ตะโกนคำว่า “กัมบัตเตะ” มาที่พวกเรา ถ้าเป็นคนไทยเราก็บอกว่าขอให้โชคดี แต่เด็กคนนี้บอกว่าสู้ต่อไป ใกล้จะถึงแล้ว คำว่า “กัมบัตเตะ” นี้เป็นคำสามัญมาก เหมือนคำว่า "โชคดี" ของคนไทย ไม่ใช่ว่าคนญี่ปุ่นจะไม่เชื่อเรื่องโชค เพราะคนญี่ปุ่นเองก็นิยมไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาเชื่อเรื่องของความเพียรมากกว่า เป็นหลักใหญ่และเป็นวัฒนธรรมของเขาเลย ในแง่นี้ชาวญี่ปุ่นจึงทำตามกฏแห่งกรรมได้ถูกต้องมากกว่าคนไทยเสียอีก

พระไพศาล วิสาโล

ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การที่เราให้อภัยเขาเเล้ว เเต่ไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย

ปุจฉา - กราบนมัสการครับ กระผมมีเรื่องอยากถามว่า การที่เราให้อภัยเขาเเล้ว เเต่ไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย ไม่อยากเเม้เเต่มองเขา เรายังให้อภัยไม่หมดหรือเปล่าครับ กระผมควรทำอย่างไรดีครับ

พระไพศาล วิสาโล - คุณยังมีความรู้สึกเกลียดชังหรือขุ่นเคืองใจ จึงไม่อยากมองหน้าเขา หรือคบค้าสมาคมกับเขา หากคุณอยากให้อภัยเขาอย่างแท้จริง ก็ต้องตระหนักว่าความรู้สึกดังกล่าวมีประโยชน์ต่อคุณหรือไม่ ทำให้คุณสุขหรือทุกข์

ความโกรธเกลียดนั้น ไม่ว่าเกิดกับใคร ก็เท่ากับทำให้คนนั้นมีอำนาจเหนือคุณ เช่น เวลาเห็นหน้าเขาก็กระอักกระอ่วนใจ อยากเดินหนีไปอีกทางหนึ่ง ความสุขและอิสรภาพทางใจที่ควรมี ก็หดหายไปเพราะความรู้สึกดังกล่าว

ยิ่งเห็นโทษของความรู้สึกดังกล่าวมากเท่าไร คุณยิ่งเห็นความจำเป็นของการให้อภัยเขา เพราะเป็นวิธีเดียวที่จะลบล้างความรู้สึกดังกล่าวออกไปจากใจได้ (ไม่ใช่การพยายามลืมหรือการกดข่มความรู้สึกนั้น)

การให้อภัยเกิดขึ้นได้หลายวิธี นอกจากการแผ่เมตตาหรือความปรารถนาดีให้แก่เขาแล้ว การเห็นชัดถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับเขา ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ก็จะทำให้คุณมีความเห็นใจเขามากขึ้นและเกลียดชังน้อยลง การใคร่ครวญจนเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงทำกับคุณเช่นนั้น ช่วยให้คุณถือโทษโกรธเคืองเขาน้อยลง (ถ้ามีคนมาเดินชนคุณ แล้วคุณรู้ว่าเขากำลังเมาเหล้า หรือคลุ้มคลั่งเพราะเพิ่งเสียลูกน้อย คุณคงโกรธเขาไม่ลง) การเห็นความดีของเขาที่เคยทำกับคุณ หรือทำกับคนที่คุณรัก ก็ช่วยให้คุณรู้สึกดีกับเขามากขึ้น

ขอเชิญร่วมงาน เพ็ญภาวนา ปฏิบัติบูชา ญาณสังวร ครั้งที่ 6


ขอเชิญร่วมงาน เพ็ญภาวนา ปฏิบัติบูชา ญาณสังวร ครั้งที่ 6
Full Moon Meditation Night
วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2556
** ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ สวนรถไฟ **
แผนที่ http://www.bia.or.th/new/map/Map-BIA.jpg

[ กำหนดการ ]

17.00 – 17.30 น. ผู้เข้าร่วมงานลงทะเบียน รับของที่ระลึก

17.30 – 18.30 น. ดนตรีมีธรรม โดย คุณเอก พจนาถ พจนาพิทักษ์ นัก ร้อง กวี นักเขียน และนักแต่งเพลง ผู้ร่วมแต่งและร้องเพลงประกอบรายการสารคดีชุด ทุ่งแสงตะวัน ทางช่อง 3 และเป็นเจ้าของเสียงร้องและบทเพลงประกอบในรายการ คนค้นฅน ทางช่อง 9

18.30 - 19.30 น. เสวนาธรรมร่วมสมัย "เดินทางโลกบนรอยเท้าธรรม"

- คุณรสนา โตสิตระกูล ผู้แปล เดิน วิถีแห่งสติ [Walking Meditation] ของท่าน ติช นัท ฮันห์

- อ.ประมวล เพ็งจันทร์ อดีตอาจารย์ภาควิชาปรัชญาฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้เขียนหนังสือ “เดินสู่อสระภาพ เล่าเรื่องราวการออกเดิน 66 วันเดิน 1,000 กิโลเมตร จากเชียงใหม่กลับบ้านเกิดที่เกาะสมุย

ดำเนินรายการโดย คุณนงลักษณ์ สุขใจเจริญกิจ พิธีกรรายการ "บ้านเธอก็บ้านฉัน" ไทยพีบีเอส

19.30 – 20.30 น. สวดมนต์-นั่งสมาธิ

20.30 – 21.30 น. ธรรมบรรยายปฎิบัติบูชา ญาณสังวร โดย พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต พระนักคิด นักเขียน นักเผยแผ่พุทธศาสนาผ่านสื่อหลายรูปแบบ ผ่านกิจกรรมจิตอาสา และการอบรมการเผชิญความตายอย่างสงบ

ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญเจ้าภาพร่วมจัดงาน : มูลนิธิโกมล คีมทอง มูลนิธิสุขภาพไทยและเครือข่ายพุทธิกา

ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สิ่งที่ไม่อาจกำหนดได้ 5 อย่าง


#################

อายุ ความเจ็บไข้ กาลเวลาที่เราจะตาย สถานที่ที่เราจะตาย คติที่เราจะไป 5 อย่างนี้เราไม่อาจกำหนดได้...

แต่อายุที่ยาวนานยังไม่สำคัญเท่ากับว่าเราอยู่ดีแค่ไหน เวลาที่เหลืออยู่นี้เราจะใช้อย่างไร

แม้ไม่รู้ว่าความเจ็บไข้ของเราจะเป็นอยางไร แต่เมื่อร่างกายจิตใจยังแข็งแรงสมบูรณ์ดี พึงตั้งหน้าทำความเพียร ประกอบการงานหน้าที่ให้ดีที่สุด

เราไม่รู้ว่าจะตายเวลาใด เราอาจตายได้ทุกเมื่อ ฉะนั้นเราต้องไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทจิตใจก็ไม่หวั่นไหวกับความไม่แน่นอนของกาลเวลาที่เราจะตาย

แม้ไม่รู้ว่าเราจะตายที่ใด แต่เมื่อรู้ว่าความตายมาถึงเราก็ไม่ต้องหลีกเลี่ยง หากระวังจิตใจของเราให้ดี ตายที่ไหนก็ไม่เป็นปัญหา

แม้ไม่รู้ว่าคติที่เราจะไปจะเป็นอย่างไร แต่เราแน่ใจได้ว่า ผู้ทำดีย่อมมีสุคติเป็นที่หมาย ผู้ทำชั่วย่อมมีทุคติเป็นที่หมาย

เรียบเรียงจาก "มรณสติกถา พุทธกาษิตเพื่อพิจาณาความตาย" โดยพระดุษฎี เมธังกุโร

"เอาบุญมาฝากทุกๆคน"


ปุจฉา - เดี๋ยวนี้บ่อยครั้งที่คนรู้จักไปทำบุญแล้วเอามาโพสต์ว่า "เอาบุญมาฝากทุกๆคน" กราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า..."บุญ" นี่เอามาฝากกันได้เหรอครับ เพราะได้ยินมาว่าใครทำคนนั้นก็ได้ แล้วการ "เอาบุญมาฝากทุกคน" ฟังคล้ายกับการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย และเปรตวิญญาณที่ไม่สามารถทำบุญเองได้ การโพสต์เช่นนี้จะเป็นการเหมาะสมหรือไม่ครับ

พระไพศาล วิสาโล - บุญนั้นเอามาฝากไม่ได้หรอก ใครทำคนนั้นก็ได้ แต่ก็สามารถอุทิศส่วนบุญให้ได้ ซึ่งก็มักใช้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น อย่างไรก็ตามอาตมาเข้าใจว่าผู้ที่เช่นนั้นนอกจากปรารถนาให้เพื่อน ๆ ได้ร่วมอนุโมทนาในบุญที่เขาหรือเธอทำแล้ว (การอนุโมทนาชนิดนี้เป็นบุญชนิดหนึ่งเรียกว่าปัตตานุโมทนามัย) ยังแสดงถึงน้ำใจหรือเมตตาที่ มีต่อผู้ฟัง เพราะถือว่าบุญเป็นสิ่งประเสริฐกว่าสิ่งอื่น ดังนั้นเอาอะไรมาฝากก็ไม่ดีเท่ากับเอาบุญมาฝาก แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว บุญจะฝากไม่ได้ก็ตาม

จะว่าไปนี้ก็ไม่ต่างจากการอวยพรให้แก่ผู้อื่นมีความสุข ความเจริญ หรือมีอายุยืนนาน ที่ว่าไม่ต่างกันก็เพราะผู้พูดนั้นย่อมไม่สามารถดลบันดาลให้ผู้ฟังมีสภาวะที่ดีงามดังว่าได้ สภาวะดังกล่าวถ้าอยากได้ต้องทำเอง ไม่มีใครสามารถ “อวย” หรือ “อำนวย”ให้ได้ คนพูดเองก็รู้ แต่ที่พูดเช่นนั้นก็เพื่อแสดงความปรารถนาดีต่อผู้อื่น มองในแง่หนึ่งก็เหมือนกับการอวดตัวว่ามีอำนาจดลบันดาลได้ แต่ก็คงไม่มีใครคิดแบบนั้น เพราะเป็นปิยวาจาที่น่าฟัง อีกทั้งเป็นธรรมเนียมของยุคสมัยไปแล้ว ถ้ามองว่าการพูดว่า “เอาบุญมาฝาก”เป็นการแสดงน้ำใจ หรือธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด

ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การมีสิ่งที่น่าพึงพอใจคือสาเหตุแห่งทุกข์

การมีสิ่งที่น่าพึงพอใจคือสาเหตุแห่งทุกข์ เพราะเมื่อได้มาแล้วก็ต้องมีจากพราก เป็นธรรมดาของโลก ถ้าไปยึดในความมีหรือยึดติดถือมั่นในสิ่งที่มีแล้วก็เตรียมใจทุกข์ได้เลย

มีอะไรก็ตาม ถ้าไม่อยากทุกข์ ก็อย่าไปยึดมั่นในสิ่งนั้น คือมีโดยใจไม่ได้เข้าไปยึดครอง พูดอีกอย่างหนึ่ง ให้เรา "มีเหมือนกับไม่มี"

- พระไพศาล วิสาโล

ความพยายามเป็นของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นของตถตา


ความพยายามเป็นของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นของตถตา

เวลาทำงาน ให้ทำให้เต็มที่ อย่าสนใจเรื่องความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลว คนบางคนไม่กล้าทำความดี เพราะกลัวว่าทำแล้วจะไม่สำเร็จ

การทำกิจการใด ๆ ควรเพียรทำเหตุให้ดี อย่ากังวลถึงผลมากเกินไป ให้พิจารณาว่าเหตุดีไหม เจตนาดีไหม วิธีการดีไหม ถูกธรรมะไหม ถ้าถูกธรรมะ มีเจตนาดี ทำด้วยฉันทะ ไม่ได้ทำด้วยกิเลส ก็สมควรทำ ส่วนความสำเร็จ ยกให้เป็นเรื่องของตถตาไป

พระไพศาล วิสาโล

ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สอบถามเรื่องการที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัด กับการที่เราพยายามนำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันพยายามมีสติรู้

Aor Palasin – กราบนมัสการค่ะ สอบถามเรื่องการที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัด กับการที่เราพยายามนำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันพยายามมีสติรู้ ปฏิบัติตามที่ได้เรียนรู้มา อาจจะยังไม่ได้ถือศีลถึง ๘ ข้อ เหมือนตอนที่ไปถือบวชที่วัดการได้บุญจะต่างกันไหมค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ

พระไพศาล วิสาโล - การถือศีล ๘ ไม่ว่าที่วัดหรือที่บ้านย่อมได้บุญกว่าถือศีล ๕ ตรงที่ฝึกตนให้พอใจกับชีวิตที่เรียบง่าย ไม่หลงใหลเพลิดเพลินในกาม นอกเหนือจากการไม่เบียดเบียนผู้อื่น (ขณะที่ศีล ๕ เน้นแค่การไม่เบียดเบียนผู้อื่น) ถ้าคุณอยู่วัดโดยถือศีล ๕ ย่อมได้บุญน้อยกว่าอยู่บ้านแต่ถือศีล ๘

อย่างไรก็ตามบุญจะมากหรือน้อยยังขึ้นอยู่กับท่าทีในการ รักษาศีลด้วย เช่น ถ้าถือศีล ๘ แล้วหลงตัว เกิดมานะ ดูถูกคนถือศีล ๕ ย่อมได้บุญน้อย หรือถือศีล ๘ โดยมุ่งหวังคำสรรเสริญหรือแม้แต่มุ่งหวังว่าจะไปเกิดในสวรรค์ ถือว่าเป็นสีลัพพตปรามาสอย่างหนึ่ง ย่อมได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๕ ที่มุ่งลดละกิเลสหรือความเห็นแก่ตัว

การที่ิเราพูดด้วยเหตุผล กับการที่คนอื่นท่านนั้นพูดด้วยความคิด


Akkachai Saengarun - กราบนมัสการครับท่านพระอาจารย์ผมไม่เข้าใจปัญหาอยู่ข้อหนึ่งว่า การที่ิเราพูดด้วยเหตุผล กับการที่คนอื่นท่านนั้นพูดด้วยความคิด แล้วระหว่างความคิดกับเหตุผลอะไรจะถูกต้องครับ «ความคิดนั้นคือตามใจตัวเองครับ»

พระไพศาล วิสาโล - ที่จริงเหตุผลก็มาจากความคิด และส่วนใหญ่ก็เป็นความคิดอย่างหนึ่ง แต่เหตุผลที่คุณพูดถึงในที่นี้คงหมายถึง ข้อมูลหรือข้อเท็จจริง ถ้าความคิดนั้น คุณหมายถึงการคิดเอาเอง หรือคิดตามใจกิเลส มันจะถูกต้องไปได้อย่างไร ในแง่นี้การใช้เหตุผลย่อมถูกต้องมากกว่า

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าเหตุผลทั้งหลายจะดีเสมอไป เหตุผลบางอย่างก็ไม่ใช่หรือไม่ได้อิง ข้อมูลหรือข้อเท็จจริง แต่มาจากกิเลสหรือความเห็นแก่ตัว เช่น คนที่ทุจริต ขายยาบ้า ก็ล้วนมีเหตุผลทั้งนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงเหตุผลที่เกิดจากการคิดเอาเอง เช่น คนที่ทำร้ายคู่ครองเพราะระแวงว่าเขามีชู้ จะว่าเขามีเหตุผลก็ไม่ผิดแต่เป็นเหตุผลที่มาจากการปรุง แต่งหรือคิดเอาเอง มองในแง่นี้เหตุผลกับความคิดก็ไม่ได้ต่างกันเลย

ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ผู้ชายร้องไห้



ผู้ชายร้องไห้

“ ถ้าไม่นับเด็กผู้ชาย วัยกระเตาะ .. คุณเคยเห็นผู้ชายร้องไห้สักกี่ครั้งในชีวิต..? “
คงเห็นกันได้ไม่บ่อยครั้งนัก…
สังคมเป็นตัวบ่งชี้ให้ผู้ชายถูกเลี้ยงดูให้โตมาพร้อมกับความเข้มแข็ง
ไม่ว่าจะมาจากภายในหรือแค่ภายนอกก็ตาม
“ ลูกผู้ชาย เค้าไม่ร้องไห้กัน “
เรามักจะได้ยินมันเสมอๆ ทั้งที่ผู้ชายเองก็รู้สึกได้เท่าๆ กับผู้หญิง ..
แต่เวลาผู้หญิงร้องไห้ กับ ผู้ชายร้องไห้ มันให้ความรู้สึกที่แย่ต่างกัน ...
แต่ถ้ามีคนถามว่า ผู้ชายที่ร้องไห้เนี่ยมันดูอ่อนแอ มากไหม….
คงตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า …
“ผู้ชายที่ร้องไห้ และ ยอมรับตัวเองว่าร้องไห้ เป็นผู้ชายที่น่านับถือ ที่สุด
เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้หลอกลวงความรู้สึกของตัวเอง …”
แล้วสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายเนี่ย มันมีเหตุผลจากอะไรบ้าง ???????

วันนี้ ฉันทำให้ผู้ชายคนนึงยืนร้องไห้ อยู่ตรงหน้า
ทั้งที่ชีวิตทั้งชิวิตไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้เห็นน้ำตาจากผู้ชายคนนี้ ..
ไม่ว่าชีวิตที่ผ่านมาจะสาหัสสากรรณ์ขนาดไหน
“ฮีโร่ในดวงใจ” ผู้ชายที่มีความอดทน และ เข้มแข็งที่สุด ในสายตาฉัน…
ผู้ชายที่สอนให้ฉันอดทน เข้มแข็ง และไม่ยอมแพ้ก็อะไรง่ายๆ
สอนให้ฉันรู้จักดูแลตัวเอง และเอาชนะสายตาดูถูกของใครต่อใคร ….
ผู้ชายที่ไม่เคยมีแววตาอ่อนโยน หรือคำปลอบประโลมใดๆ ในยามที่ฉันรู้สึกท้อแท้จนไม่อยากจะทำอะไร
แต่ผู้ชายคนนี้มักมีคำพูดที่ทำให้ฉันได้คิด และลุกขึ้นมาสู้ด้วยตัวของตัวเองเสมอ…
ผู้ชายกระด้างไร้หัวจิตหัวใจ ในสายตาฉันเมื่อวันก่อน…
วันนี้ฉันทำให้เค้ายืนร้องไห้อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อายใคร…
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงรู้สึกแปลกใจกับภาพที่เห็น..
แต่วันนี้ฉันกลับรู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้ผู้ชายคนนี้ต้องร้องไห้…
ฉันร้องไห้ไปกับผู้ชายตรงหน้า..
ผู้ชายที่ก่อนหน้านี้ฉันคิดเสมอว่า เค้าไม่เคยรัก ไม่เคยห่วงฉันสักนิด
แต่วันนี้เค้าร้องไห้ ร้องไห้เพื่อฉัน…

หลายต่อหลายครั้งที่ฉันร้องไห้เพียงลำพัง กับคำพูด กับการกระทำที่เค้าแสดงออกให้เห็น …
เค้าไม่เคยใส่ใจในความเป็นไป หรือความรู้สึกของฉันสักครั้ง
และด้วยเหตุผลนี้หละมั้งที่ทำให้ฉันเองรู้สึกห่างไกลจากเค้า
ทั้งที่เรายังอยู่บ้านเดียวกัน แต่ต่างคนก็ต่างอยู่ ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ..
เค้าทำงาน ฉันก็เรียน ..
และพยายามอย่างที่สุดที่จะทำงานไปด้วยเพื่อช่วยเหลือตัวเอง และจะได้รบกวนผู้ชายคนนี้ให้น้อยที่สุด ….
อีก 20 นาทีข้างหน้าฉันต้องเข้าห้องผ่าตัด เพื่อผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ซึ่งการผ่าตัดครั้งนี้แพทย์รับประกันไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง ภายหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง ..
ฉันอาจจะหาย หรือฉันอาจจะพิการ เป็นอัมพฤก อัมพาต
ตาข้างซ้ายที่มองไม่เห็นเมื่อไม่กี่วันมานี้อาจจะปิดสนิทตลอดไป
หรือฉันอาจต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิททรา ถ้าการผ่าตัดครั้งนี้ล้มเหลว….
ผู้ชายคนเดิม ยืนอยู่ตรงหน้า ถามฉันทั้งน้ำตาว่า
“ทำไมลูก ทำไมไม่ยอมบอกพ่อก่อนหน้านี้ ทำไมไม่บอกพ่อสักคำ ”
ถ้าเป็นเมื่อ 6 ปีก่อนฉันคงตอบด้วยความรู้สึกอยากจะเอาชนะว่า
“ไม่คิดว่ามันจะสำคัญอะไรกับใคร”
แต่วันนี้ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันโตขึ้น ฉันได้คิด
ฉันได้พิจารณาถึงเหตุ และผลของการกระทำของผู้ชายคนนี้….
เมื่อ 6 ปีก่อน ฉันแอบเห็นพ่อคุยกับรูปภาพของแม่ในห้องพระ
ในคืนวันที่ฉันรับพระราชทานปริญญาบัตร พ่อบอกกับแม่ว่า …
“วันนี้เป็นวันที่พ่อเป็นสุขที่สุด ลูกเรามีงานดีๆ ทำ เรียนจบและรับปริญญาอย่างที่พ่อหวัง
พ่อหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งกับสิ่งที่ผ่านมา “
พ่อนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ก่อนที่จะสวดมนต์ไหว้พระอย่างเคย
ฉันแอบเห็นรอยยิ้มจางๆ ของพ่อในเช้าอีกวันที่ฉันเอาใบปริญญาบัตรที่พ่วงด้วยเกียรตินิยมของฉัน
ไปให้พ่อแทนของขวัญวันเกิดของพ่อ พ่อให้สร้อยและร๊อกเกตที่ทำจากทองคำขาวให้ฉันเส้นนึง ..
ข้างในเป็นรูปของพ่อกับแม่ ฉันไม่เคยถอดมันออกจากคอฉันเลยนับจากวันที่พ่อสวมมันให้กับมือของพ่อเอง …
วันนั้นเป็นวันที่ฉันได้พูดคุยกับพ่อได้นานที่สุด พ่อให้ข้อคิดดีๆ มากมายกับฉัน
และที่สำคัญพ่อทำให้ฉันรู้สึกว่าพ่อเองก็รู้สึกว่าฉันเป็นลูกพ่อเหมือนกัน ….

หลังจากวันนั้นฉันพยายามที่จะเรียนรู้ผู้ชายคนนี้มากขึ้น พยายามเข้าใจการกระทำ
และเหตุผลถึงบางครั้งจะเป็นเหตุผลที่ฉันคิดขึ้นเพื่อปลอบใจตัวเอง ฉันพยายามอย่างที่สุดที่แบ่งเบาภาระที่ผู้ชายคนนี้แบกมาทั้งชีวิตให้มากที่ สุดเท่าที่ลูกอย่างฉันจะทำได้ ฉันยอมรับว่าหลายปีที่ผ่านมาฉันทำงานอย่างหนัก ฉันเหนื่อย เหนื่อยมาก
เพื่อแลกกับความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้นของคนในบ้าน …
แต่ฉันเองก็ภูมิใจเสมอกับสิ่งที่ตัวเองทำให้ผู้ชายคนนี้
ภาพของการต่อสู้ชีวิตของผู้ชายคนนี้มักจะทำให้ฉันมีกำลังใจเสมอๆ
เวลาที่ตัวเองกำลังจะล้ม หรือ กำลังร้องไห้ …..

แต่แล้ววันนึงฉันก็พบว่า ก้อนเนื้องอกในสมองของฉัน มันเริ่มทำให้ฉันดำเนินชีวิตแบบปกติไม่ได้เสียแล้ว..
ฉันต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนที่สุดตามคำแนะนำของแพทย์….
ฉันตัดสินใจบอกพ่อในคืนวันก่อนผ่าตัดหลังจากเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาเป็นปี
พ่อตามมาที่โรงพยาบาล แล้วเข้าไปคุยกับหมออยู่ประมาณ 15 นาทีแล้วกลับเข้าดูฉันในห้องพัก ..
พ่อเงียบ เงียบมาก เงียบเสียจนฉันเดาไม่ออกว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่
พ่อเอาแต่นั่งนิ่งๆ อยู่ข้างๆ เตียงฉัน นั่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเช้า…
พ่อมองดูนาฬิกาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วที่สุดก็ลุกมายืนข้างๆ เตียงฉัน มองหน้าฉัน
พูดพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย
“ทำไมลูก ทำไมไม่ยอมบอกพ่อก่อนหน้านี้ ทำไมไม่บอกพ่อสักคำ ”
ฉันขอโทษผู้ชายตรงหน้าทั้งน้ำตา …
และอธิบายถึงสิ่งที่ฉันคิดให้เค้าฟัง …
ฉันคิดไปสารพัดตั้งแต่ วันแรกที่ฉันทราบจากหมอว่าฉันเป็นโรคนี้
ระหว่างการที่ฉันพูดกับการที่ฉันเงียบ อย่างไหนที่จะทำให้พ่อเจ็บปวดน้อยที่สุด
แล้วฉันก็เลือกที่จะเงียบ และเก็บเรื่องนี้ไว้เพียงคนเดียว
ฉันกลัวจะทำให้พ่อเป็นห่วง เป็นกังวล ไปกับเรื่องราวของตัวเอง
และไม่อยากให้พ่อมาเป็นทุกข์ ไม่สบายใจ หรือลำบากเพื่อฉันอีกแล้ว
หลังจากที่รู้ฉันก็พยายามแล้วที่จะหาทางรักษามัน แต่พระเจ้าไม่เข้าข้างฉัน
ฉันจึงต้องทำให้พ่อเป็นทุกข์อยู่อย่างนี้ …

ฉันจำได้ในสิ่งที่พ่อบอกพ่อสอน พ่อสอนให้ฉันเข้มแข็ง สอนให้ฉันสู้ สอนให้ฉันไม่ยอมแพ้
และวันนี้ เวลานี้ฉันก็กำลังต่อสู้กับโรคบ้าๆ นี่ด้วยความหวังว่าฉันจะต้องหาย เพื่อกลับมาดูแลพ่อ
เพื่อให้พ่อได้อยู่อย่างสบายกว่าทุกวันนี้ พ่อเหนื่อยมาพอแล้ว เหนื่อยมาทั้งชีวิตก็ว่าได้
ฉันอยากเห็นพ่อเป็นสุข และสบายกว่านี้ ฉันจึงทำทุกอย่าง อดทน และเข้มแข็ง
และนี่ก็คงจะเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งที่จะพิสูจน์ความตั้งใจจริงของฉัน…..
พ่อกอดฉัน พร้อมพูดทั้งน้ำตาว่า ..
” พ่อขอโทษ ที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับรู้สึกหรือความเป็นไป ของลูกเลย
พ่อคิดเสมอว่าลูกเป็นคนเก่ง ลูกเข้มแข็ง และลูกก็เอาตัวรอดได้ในสังคมทุกวันนี้
ขณะที่น้องของลูกไม่เหมือนลูก น้องยังเป็นเด็กไม่รู้จักโต พ่อถึงห่วงน้อง ดูแลน้อง
จนบางครั้งก็ดูเหมือนพ่อเป็นห่วงลูกน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่พ่อก็รักลูกนะ
พ่อรู้ว่าลูกทำทุกอย่างเพื่อน้องเพื่อพ่อ หลายต่อหลายครั้งที่พ่อทำให้ลูกร้องไห้
แต่พ่ออยากให้ลูกรู้ว่าพ่อต้องการให้ลูกเข้มแข็ง เป็นที่พึ่งของน้องเพราะพ่อไม่รู้ว่า
พ่อเองจะอยู่กับลูกไปได้นานแค่ไหน แต่จำไว้นะลูก ว่า พ่อรักลูก ไม่ได้น้อยไปกว่าน้องเลย “
“ขอบคุณค่ะพ่อ หนูก็รักพ่อ รักที่สุด”
เรากอดกันทั้งน้ำตา ฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างที่สุด
ฉันจำได้ว่าพ่อไม่เคยกอดฉันเลยนับจากวันที่แม่จากไปเมื่อ 18 ปีก่อน
ไม่ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน
ฉันรู้แต่ว่าวินาทีนี้ฉันต้องสู้ ต้องเข้มแข็ง ฉันจะเป็นอะไรไปไม่ได้
ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อผู้ชายที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้า “ผู้ชายที่ฉันรักที่สุด”

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ขอบคุณบทความจาก http://thaistory.exteen.com/

ลองถามตัวเองว่า แต่ละวันเราเสียเวลาและพลังงานไปกับการคร่ำครวญ

ลองถามตัวเองว่า แต่ละวันเราเสียเวลาและพลังงานไปกับการคร่ำครวญ หรือวิตกกังวลมากมายเพียงใด บางเรื่องเกิดขึ้นนานแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ป่วยการที่จะนึกถึง ขณะที่บางเรื่องก็ยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่เรากลับตีโพยตีพายไปล่วงหน้าแล้ว แม้แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ก็เถอะ ลองตั้งสติและมองให้รอบด้านอาจพบว่า มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหนักหนาเลย เป็นแต่ไม่ตรงกับความคาดหวังของเราเท่านั้น ลองปล่อยวางความคาดหวังนั้น ก็จะพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เหลือบ่ากว่าแรง อีกทั้งอาจมีแง่ดีบางอย่างที่ไม่เคยนึกมาก่อนก็ได้ ที่สำคัญก็คือ อย่ามัวจดจ่อปักใจอยู่กับสิ่งแย่ ๆ ที่เกิดขึ้น จนลืมว่าชีวิตนี้ยังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมายที่รอการชื่นชมจากเรา

- พระไพศาล วิสาโล

เราเกิดมาอย่างเดียวดายและเปลือยเปล่า


เราเกิดมาอย่างเดียวดายและเปลือยเปล่า ขณะที่ชีวิตดำเนินไป เราได้ผ่านพบความผันแปรทุกรูปแบบ อยากได้ใคร่มี ได้มา เสียไป เป็นทุกข์ ร่ำไห้ เพียรพยายาม

...แต่แล้วเราก็ตาย และตายเพียงลำพังเท่านั้น ไม่ว่าเราจะเป็นเศรษฐีหรือยาจก มีชื่อเสียงหรือไม่เป็นที่รู้จัก ความตายเป็นผู้เลิศในการสร้างความเท่าเทียมให้กับทุกชีวิต ในสุสาน ศพทุกร่างล้วนเหมือนกัน

จากหนังสือ "สู่ความตายอย่างสงบ" โดย ชักดุด ตุลกู รินโปเช

ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

“10 สัญญาณที่บอกว่าคุณหรือเขากำลังใกล้ตาย”


สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่าน..
“10 สัญญาณที่บอกว่าคุณหรือเขากำลังใกล้ตาย”

สัญญาณข้ามภพ ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ถึงวันตายของตนเองได้ แต่ทั้งแพทย์และพยาบาลผู้ที่มีประสบการณ์กับคนไข้ที่ใกล้ตายเกือบจะทุกวันสามารถบอกถึงอาการของคนไข้ที่เริ่มหมดอายุขัยได้ อาการดังกล่าวเหล่านี้ เป็นอาการของวัยที่เสื่อมสภาพ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องมีอาการทั้งหมดดังที่จะกล่าวถึงนี้ แต่อาจจะมีอาการดังกล่าวรวมกัน 4-5 ข้อ ดังจะกล่า...วต่อไปนี

1.เบื่ออาหาร ร่างกายของคนเราต้องการพลังงานเพื่อขับเคลื่อนต่อไป หากมีใครปฏิเสธอาหาร หรือน้ำ หรือทานอาหารได้ในปริมาณน้อย เช่น กินแค่ข้าวต้มถ้วยเล็กๆ ไม่ยอมทานเนื้อสัตว์ แม้ว่าจะเป็นอาหารโปรดที่เคยชอบทานก็ไม่อยากแตะ นั่นหมายถึง อาการของความตายเริ่มเข้ามาเยือนแล้ว คนส่วนใหญ่ที่ร่างกายเสื่อมสภาพ มักมีปัญหาเรื่องการกลืนอาหาร วิธีช่วยอาจทำได้โดย อย่าบังคับให้ทานอาหาร แม้ว่าผู้ดูแลอาจรู้สึกเครียดที่ญาติ หรือคุณพ่อ คุณแม่ไม่สามารถทานอาหารได้ แต่ใช้วิธีเสริมกำลังใจ หรือให้ทานไอศกรีม หรือจิบน้ำ หรือน้ำแข็ง ใช้ผ้าอุ่นๆ เช็ดบริเวณริมฝีปาก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นและผ่อนคลาย

2.เหนื่อยง่ายและต้องการนอนมากกว่าปกติ คนไข้ที่เริ่มนอนในเวลากลางวันและกลางคืนเป็นเวลานาน มีการไหลเวียนของโลหิตน้อยลง และปฏิเสธไม่ทานอาหารและน้ำ และเริ่มขาดน้ำ ไม่สามารถตื่นและทำกิจกรรมได้ตามปกติ เริ่มเหนื่อย อ่อนเพลีย และเลื่อนลอย วิธีช่วยอาจทำได้โดย ให้นอนและหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนที่ทำให้ตื่น เมื่อคนไข้อยู่ในภาวะไม่รู้สึกตัว หรือโคม่าให้พูดคุยเหมือนคนไข้ได้ยินถึงแม้ว่าคนไข้จะไม่มีอาการตอบสนองก็ตาม

3.ร่างกายอ่อนแอไม่อยากเคลื่อนไหว เมื่อร่างกายเริ่มปฏิเสธอาหารทำให้ขาดพลังงานและนำไปสู่ความอ่อนแอ แทบไม่อยากจะยกศีรษะในขณะที่นอนและมีปัญหาการดื่มน้ำจากหลอด วิธีช่วยอาจทำได้โดย ทำให้คนไข้นอนในท่าที่สะดวกสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

4.สับสนและหลงลืม นอกจากอวัยวะเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว สมองที่เคยทำงานได้อย่างดีก็เริ่มจำอะไรไม่ค่อยได้ ความทรงจำที่เหลือคือความฝังใจที่สดชื่นหรือขมขื่นในอดีต คนไข้อาจจำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน จำชื่อคนอื่นไม่ได้ อาจพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเหลวไหล สับสนเรื่องเวลา หรือจำไม่ได้ว่าทานอาหารหรือยัง วิธีช่วย อาจทำได้โดยช่วยเตือนความจำด้วยความใจเย็น และพูดกับคนไข้ด้วยเสียงอ่อนโยน และบอกชื่อของตัวเองให้คนไข้ทุกครั้งที่พบกัน เพื่อคนไข้จะจำได้

5.หายใจลำบาก การหายใจเข้าออกไม่สม่ำเสมอติดขัด และยากลำบาก เวลาหายใจสามารถได้ยินเสียงดังและหายใจเข้าลึก มีอาการหอบ หรือมีการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ หยุดหายใจประมาณ 5 วินาที หรือนานถึง 1 นาที ก่อนจะหายใจแรงและลึกอีกครั้งและค่อยๆ หายไปอีก บางครั้งหายใจเข้าออกดังครืดคราด วิธีช่วย อาจทำได้โดย เตือนผู้เฝ้าไข้ให้ระวังและใส่ใจสังเกตอาการเหล่านี้ โดยพยายามให้คนไข้อยู่ในท่าที่สบายที่สุด นั่งในที่ที่สบาย หรือตั้งศีรษะให้อยู่ในที่ผ่อนคลาย หายใจสะดวก เช็ดริมฝีปากด้วยผ้าเปียก หรือทาลิปมันเพื่อช่วยให้ริมฝีปากสดชื่น หากมีเสมหะมากให้ขับออกโดยธรรมชาติ ในกรณีที่ไม่มีเครื่องดูดเสมหะ การใช้เครื่องช่วยหายใจอาจช่วยได้

6.ไม่เข้าสังคม เมื่อร่างกายเริ่มหมดสภาพ ผู้ที่ใกล้ตายจะหมดความสนใจกับสิ่งรอบตัว บางครั้งอาจพูดน้อยลง บ่นพึมพำ สมองทำงานไม่ฉับไว ไม่ตอบสนองต่อคำถาม หรืออาจจะเดินหนีไป ก่อนที่อาการไม่สุงสิงกับผู้คนจะเริ่มขึ้น บางครั้งคนที่ใกล้ตายอาจจะทำให้คุณประหลาดใจโดยแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ทำให้เราตื่นตกใจได้ สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นไม่ถึงชั่วโมงหรืออาจทั้งวันก็ได้ วิธีช่วย อาจทำได้โดย ใช้เราเฝ้าสังเกตอาการเหล่านี้ และใช้วิธีสัมผัส ลูบเบาๆ ที่แขน พูดคุย เมื่อคนไข้เริ่มจำได้ถึงความหลังเก่าๆ ให้รีบตอบสนองทางบวกทันที เพราะความจำเหล่านี้อาจจะหายไปในพริบตา

7.การเปลี่ยนแปลงเรื่องการถ่ายปัสสาวะ ในขณะที่ผู้ป่วยไม่สนใจเรื่องการทานอาหารและการดื่ม ทำให้การขับถ่ายน้อยลงด้วย ความดันเลือดต่ำ เป็นขั้นตอนหนึ่งของผู้ที่กำลังสูญเสียชีวิต เมื่อถึงจุดนี้อาจไม่มีอะไรที่จะช่วยได้ และอาจมีอาการอย่างอื่นที่พอสังเกตเห็นด้วยเช่น ไตเริ่มไม่ทำงาน ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ เมื่อเป็นสีน้ำตาล แดงหรือสีชา การสูญเสียการควบคุมปัสสาวะอาจเป็นอาการสุดท้ายของผู้ที่กำลังจะตาย วิธีช่วย อาจทำได้โดย บางครั้ง ทางการแพทย์อาจตัดสินใจใช้การช่วยระบายของเสียออกจากร่างกาย ถึงแม้ว่าอาจจะยังไม่ถึงชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต แต่การมีไตที่ไม่ทำงานจะทำให้โลหิตเป็นพิษและอาจส่งผลให้เข้าสู่โคม่าก่อนเสียชีวิต

8.บวมที่เท้าและตามข้อต่อ เมื่อไตไม่สามารถฟอกเลือดได้ จะทำให้ไปสะสมในอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น หัวใจ โดยเฉพาะข้อต่อและขา อาจเป็นบริเวณมือ หน้าและเท้ามีอาการบวมน้ำได้ วิธีช่วย อาจทำได้โดย เมื่อถึงขั้นนี้ปกติจะไม่มีการช่วยเหลืออะไรเป็นพิเศษ เพราะอาการบวมไม่เป็นสาเหตุของโรค แต่เป็นเพราะอาการชรา และการเสื่อมสภาพของร่างกาย

9.มือและเท้าเย็น หนึ่งชั่วโมงหรือ 2-3 นาทีก่อนเสียชีวิต ผู้ป่วยมักมีอาการมือและเท้าเย็นเนื่องจากเลือดไม่ไปเลี้ยงตามปลายประสาท ดังนั้น นิ้วมือ นิ้วเท้าจะเย็น เล็บอาจมีสีจาง หรือสีน้ำเงิน วิธีช่วย อาจทำได้โดย ห่มผ้าห่มอุ่นๆ ให้คนไข้เพื่อให้สบายตัวขึ้น

10.เส้นโลหิตดำเป็นลายพร้อย หรือกระด่างกระดำ ผิวหนังมีรอยดวง ด่างดำ ซีดหรือมีแต้มสีแดง สีน้ำเงินขึ้นเป็นจุดๆ เป็นอาการของผู้ที่จะเสียชีวิต สิ่งนี้เป็นผลจากการไหลเวียนหิตที่ล้มเหลว อาจปรากฏให้เห็นก่อนตามบริเวณเท้า สัญญาณของผู้ใกล้เสียชีวิตแต่ละคนนั้น อาจมีขั้นตอนที่แตกต่างกันไป สิ่งที่เขียนข้างบนนี้เป็นเพียงการให้ความรู้กับผู้อ่านในการสังเกตทั้งผู้ป่วยและคนชราที่อยู่ใกล้ตัวท่าน ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่าน ดูแลผู้ที่กำลังจะสูญเสียชีวิตด้วยความรัก ความเมตตาและความอดทนจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตเขา เพื่อที่คุณจะไม่ต้องมารู้สึกเสียใจในภายหลัง

“10 สัญญาณที่บอกว่าคุณหรือเขากำลังใกล้ตาย” /ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ ข้อมูลอ้างอิงhttp://www.caring.com/ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=564012236966081&set=a.333880736645900.83594.333708609996446&type=1&theater ขอบคุณข้อมูลนี้รับมาจาก คุณรศนา ศ.

จำเป็นหรือไม่ครับ ที่ต้องไปปฏิบัติธรรมกรรมฐานตามสำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ

Pithai Saiyawong - กราบนมัสการถามพระอาจารย์ไพศาล วิสาโลครับ จำเป็นหรือไม่ครับ ที่ต้องไปปฏิบัติธรรมกรรมฐานตามสำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ

พระไพศาล วิสาโล - ไม่จำเป็น การปฏิบัติกรรมฐานนั้นทำที่ไหนก็ได้ ทำที่บ้านหรือทำคนเดียวก็ได้ ขอให้รู้วิธีปฏิบัติก็พอ แต่ที่คนจำนวนมากไปทำกรรมฐานในสำนักต่าง ๆ ก็เพราะมีครูบาอาจารย์ที่จะให้คำแนะนำ รวมทั้งมีความสงบสงัด เป็นสัปปายะ หรือเพราะมีบรรยากาศและกิจวัตรที่เอื้อต่อการภาวนา

รู้สึกว่ามันขัดกับเรื่องกฎแห่งกรรม


Alice Christon - กราบนมัสการหลวงพ่อครับ คือผมมีปัญหาไม่เข้าใจในธรรมะข้อหนึ่งที่เคยได้ยินได้ฟังหลวงพ่อที่เคารพนับถืออย่างยิ่งท่านหนึ่งได้เคยเทศน์ไว้ว่า พระพุทธเจ้าท่านเคยได้ตรัสไว้ว่า

"ผู้ใดกล่าวว่า ผู้ใดทำกรรมอย่างไรต้องรับผลอย่างนั้น การใช้ชีวิตประเสริฐในปัจจุบันจะเป็นไปไม่ได้ เป็นอันเห็นว่าไม่มีช่องทางในการพ้นทุกข์ แต่ถ้าผู้ใดกล่าวว่า กรรมคือเจตนา เป็นที่ตั้งของเวทนา การใช้ชีวิตประเสริฐในปัจจุบันจึงจะเป็นไปได้ เป็นอันเห็นว่ามีช่องทางแห่งการพ้นทุกข์"

โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันขัดกับเรื่องกฎแห่งกรรมที่คนทั่วไปรวมถึงตัวผมเองด้วยเชื่อกันอยู่ ขอหลวงพ่อได้โปรดเมตตาช่วยให้ความรู้แก่ผมทีครับว่า ที่จริงแล้ว เรื่องของกรรมมันเป็นอย่างไรกันแน่ครับ กราบนมัสการหลวงพ่อครับ

พระไพศาล วิสาโล - ผู้ใดทำกรรมอย่างไร ต้องรับผลอย่างนั้นก็จริง แต่แม้จะเป็นกรรมเลว ก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อดำเนินชีวิตอันประเสริฐใน ปัจจุบันได้ อดีตเป็น อย่างไรก็ช่าง แต่ปัจจุบันก็เป็นโอกาสที่เราสามารถกลับตัวกลับใจหรือทำความดีได้ คนเราสามารถทำความดีได้ทุกเวลาแม้อดีตจะเคยทำชั่วมามากมายก็ตาม องคุลีมาลเป็นตัวอย่างของคน ที่กลับตัวกลับใจ จากฆาตกรกลายเป็นพระอรหันต์ เข้า ทำนอง “ต้นคด ปลายตรง”

กฎแห่งกรรมนั้น ให้ความสำคัญกับอดีตน้อยมาก จุดเน้นอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันคือโอกาสเดียวเท่านั้นที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต เราไปในทางที่ดีได้ ดังนั้นจึงควรทำปัจจุบัน ให้ดีที่สุด อย่าเสียเวลาอาลัยอดีตหรือพะวงกับอนาคต

ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

45 ข้อคิดดีๆ เพื่อสิ่งดีๆในชีวิต



1.อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตัวเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน

2.ดูแลบิดา มารดาให้ดี มีโอกาสรีบทำซะก่อนจะไม่มีท่าน

3.เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย

4.ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง

5.สิ่งที่แข็งที่สุด เอาชนะได้ด้วยสิ่งที่อ่อนที่สุด

6.เมื่อประตูบานหนึ่งปิด อีกบานหนึ่งก็เปิด แต่บ่อยครั้งที่เรามัวแต่จ้องประตูบานที่ปิด จนไม่ทันเห็นว่ามีอีกบานเปิดอยู่

7.กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุณเอง

8.อารมณ์ ขันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ช่วยรักษาสิ่งอื่นได้ เพราะทันทีที่เกิดอารมณ์ขัน ความรำคาญและความขุ่นข้องจะจางหายไป กลับกลายเป็นความแจ่มใสของจิตใจเข้ามาแทนที่

9.อย่ากลัว ที่จะนั่งหยุดพัก เพื่อคิด

10. 1 นาทีที่คุณโกรธ เท่ากับว่าคุณได้สูญเสีย 60 วินาทีแห่งความสงบในจิตใจไปแล้ว

11.หนทางเดียวที่จะรักษาภาพพจน์ได้คือการซื่อสัตย์ตลอดเวลา

12.Oxygen สำคัญต่อปอดฉันใด ความหวังก็เป็นฉันนั้นต่อความหมายของชีวิต

14.ความอดทน คือ เพื่อสนิทของสติปัญญา

15.ในธรรมชาติไม่มีสิ่งใดดีพร้อม แต่ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบในตัวเอง ต้นไม้อาจบิดเบี้ยวโค้งงออย่างประหลาด แต่ก็ยังคงความงดงาม

16.มักพูดกันว่า กาลเวลาเปลี่ยนทุกสิ่ง แต่จริงๆแล้ว คุณต้องเปลี่ยนทุกสิ่งด้วยตนเอง

17.จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร ที่ทำอยู่มีผลดีผลเสีย

มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์

18.อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า

19.อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์เพียงผ่านๆ อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง

20.รู้จักแบ่งเวลาและหน้าที่ ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง

21.อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันได้

22.อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา แต่คุณสามารถทำมันใหม่ หรือเรียนรู้จากมันได้

23.ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น คนไม่ผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไร

24.อย่าเห็นแก่ตัว จงเป็นฝ่ายให้มากกว่ารับ

25.คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้จักที่จะพูด

26.คุณซื้อนาฬิกาได้ แต่คุณซื้อเวลาไม่ได้ ตอนนี้มีใครคอยคุณอยู่หรือเปล่า? ถ้ามีก็กลับไปหาซะ

27.อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีที่สุด

28.ปริศนาในเกมคุณแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุณแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปก็อยู่ในตัวคุณเอง?

29.มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนลงในหนังสือ ลองค้าคว้าดูเองแล้วจะรู้

30.ลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากคันธนู อันตรายน้อยกว่าหอกที่แทงมาจากข้างหลัง

31.ตัวคุณมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุณรู้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า?

32.หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง เราลืมอดีตไม่ได้แต่เราเลิกคิดได้

33.บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ “เลวร้าย” เสมอไป

34.สิ่งที่คุณปล่อยผ่านๆไปในชีวิต หรือเรื่องที่คุณเห็นว่าไม่สำคัญ ลองกลับมาดูแลตรงนั้นบ้างก็ดี

35.ไม่มีมิตรถาวร และศัตรูที่แท้จริง

36.จงทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพื่อตัวเราเอง คนที่เรารัก และคนที่อยู่รอบกายเรา

37.เมื่อคิดจะทำอะไร หากคิดมากไป แล้วเมื่อใดจะได้ลงมือทำ

38.อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านไป โดยที่ยังไม่พยายาม

39.หากอยากประสบความสำเร็จ จงทำงานที่ตัวเองถนัด อย่าหวังพึ่งพาผู้อื่น

40.งานหนักเพียงใด หากทำด้วยใจและความสุข เราแทบจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลย

41.จิตจะสงบได้อย่างไร หากมัวแต่ใส่ใจคำพูดของคนอื่น

42.มองโลกในแง่ดี ชีวิตจะมีความสุข

43.ทำอะไรจงทำให้ดี เพราะจะไม่มีคำว่าเสียใจในสิ่งที่ทำ

44.ความกตัญญู คือ คุณค่าของคนที่น่านับถือ

45.จงทำตัวให้มีประโยชน์ต่อสังคมและแผ่นดิน

ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts

การให้...ช่วยลดทอนความโลภ

การให้...ช่วยลดทอนความโลภ บรรเทาความเห็นแก่ตัว หากสิ่งที่ให้นั้นเป็นทรัพย์หรือวัตถุ ก็ช่วยให้เราละความยึดติดถือมั่นใน “ตัวกู ของกู”

ธรรมดาคนเราย่อมหวงแหนในทรัพย์สมบัติเพราะสำคัญมั่นหมายว่าของเหล่านั้นเป็น “ของกู” ความสำคัญมั่นหมายดังกล่าวเป็นที่มาแห่งความทุกข์ทั้งปวง เพราะสวนทางกับความจริง ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง และไม่มีอะไรที่จะอยู่กับเราได้ตลอด หากมันไม่จากเราไป เราเองแหละที่จะเป็นฝ่ายจากมันไป

ที่สำคัญก็คือ ทันทีที่เรายึดมั่นว่ามันเป็นของเรา เราต่างหากที่กลายเป็นของมันทันที คือตกเป็นทาสของมัน จนอาจป่วยหรือตายเพราะมันได้ (เช่น เส้นเลือดในสมองแตกหรือหัวใจวายเมื่อบ้านถูกยึดเงินถูกโกง) หากไม่ตายเพราะมัน ในยามใกล้ตายก็อาจกระสับกระส่ายเพราะยังหวงแหนอาลัยในทรัพย์เหล่านั้น สุดท้ายก็อาจไปสู่ทุคติได้

พระไพศาล วิสาโล

แตงโมหวานฉ่ำได้ทุกฤดู


แตงโมหวานฉ่ำได้ทุกฤดู ทุกสายพันธุ์ หากใช้ปุ๋ยหมักเศษอาหาร+ขี้ไก่ 1:1 ส่วน ผสมไว้ 1 คืน ก่อนกรองน้ำไปใช้รดแตงโมในอัตรา 10cc ต่อน้ำ 100ลิตร
จาก SMS Farmer Info  by DTAC - 6 มิย 2556 - 15.14 น.

การที่คุณไม่สามารถเอาศพเขาขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่ความผิดบาป แต่อย่างใด


Piyanate Fa-Bluesky - กราบนมัสการพระอาจารย์ค่ะ หนูมีปัญหาที่ทำให้หนูมีความทุกข์มากในตอนนี้ ขอกราบเรียนถามและขอคำแนะนำจากพระอาจารย์ค่ะ ที่บ้านหนูเป็นครอบครัวที่รักแมวมาก คุณแม่หนูเลี้ยงแมวเหมือนเลี้ยงลูก ล่าสุดสองวันมานี้ แมวหนึ่งในสี่ตัวที่เลี้ยงไว้ หนีออกไปเที่ยวเล่นนอกหมู่บ้าน กว่าจะหาตัวเจอก็เจอเค้าจมน้ำตายไปแล้วค่ะ หนูและคุณพ่อคุณแม่เสียใจมาก แต่หนูไม่สามารถนำศพเค้าขึ้นมาฝังได้ เพราะคูน้ำค่อนข้างชัน คันดินข้างคูน้ำค่อนข้างแคบ เดินไปไม่ได้เลย ข้างล่างก็เป็นดินโคลน ทางเดียวที่จะลงไปเอาได้ ก็คือลุยน้ำลงไป ซึ่งค่อนข้างลงลำบากมาก และไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่ในน้ำบ้าง เพราะแถวนั้นค่อนข้างรก หนูอยากกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า การที่หนูไม่ได้นำศพเค้าขึ้นมา ปล่อยไว้แบบนั้น จะถือเป็นการทำผิดต่อเค้า ทำให้ดวงวิญญาณเค้าอยู่แต่ตรงนั้นมั๊ยคะ หนูไปทำบุญให้แล้ว จุดธูปเรียกแล้ว เพราะไม่ทราบจะทำยังไง แต่หนูก็เห็นภาพเค้าแช่อยู่ในน้ำตลอดเลยค่ะ หรือหนูควรจะต้องพยายามหาคนจ้างเพื่อนำศพเค้าขึ้นมาให้เป็นพิธีรีตรองจะดีกว่าคะ แต่คุณแม่หนูกลัวว่าเห็นศพเค้าเปื่อยยุ่ย จะยิ่งเสียใจ ทำใจไม่ได้นะคะ ถึงจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หนูทุกข์ใจมากจริงๆค่ะ กราบขอคำแนะนำจากพระอาจารย์ด้วยค่ะ
พระไพศาล วิสาโล - การที่ลูกแมวตายในลักษณะนั้น ไม่ใช่ความผิดของคุณ และการที่คุณไม่สามารถเอาศพเขาขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่ความผิดบาป แต่อย่างใด เพราะเหตุปัจจัยไม่อำนวยให้ทำเช่นนั้น แต่การที่คุณเห็นลูกแมวตัวน้ำแช่อยู่ในน้ำตลอดเวลา เกิดจากความรู้สึกผิดในใจคุณ ตราบใดที่ความรู้สึกผิดนี้ยังอยู่ ก็ทำให้คุณไม่มีความสุข การทำบุญเช่น ใส่บาตร ถวายสังฆทาน แล้วอุทิศส่วนบุญให้เขานั้น อาจช่วยคลายความรู้สึกผิดนี้ได้ แต่ถ้ายังไม่หาย ก็เป็นเพราะคุณยังรู้สึกผิดบาปอยู่ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ความผิดบาปของคุณแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามถ้าคุณยังทำใจ ไม่ได้จริง ๆ การจ้างคนมาเก็บศพลูกแมวมาเพื่อทำพิธีทางศาสนา น่าจะช่วยคุณได้


ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

7 เรื่องต่อไปนี้ แม้คุณจะไม่ชอบ แต่ยังไงก็จะเกิดขึ้น

7 เรื่องต่อไปนี้ แม้คุณจะไม่ชอบ แต่ยังไงก็จะเกิดขึ้น บางเรื่องคุณอาจจะเจอแล้ว หรือไม่ก็ต้องเจอไม่วันใดก็วันหนึ่งนี่แหละ…จะดีกว่าไหม ถ้าคุณได้รู้และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะเจอ แถมยังช่วยให้เข้าใจสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้ดียิ่งขึ้น…
1. เพื่อนจะเข้ามาและจากไปเสมอในชีวิตของคุณ…
สังเกตสิคนที่เคยคุย เคยเที่ยวเล่นกันในช่วงเวลาหนึ่ง พอย้ายที่เรียน
เปลี่ยนที่ทำงาน ต้องแยกกันไป ก็จะกลายเป็นเพื่อนเก่าที่ค่อยๆ ห่างไป ขณะเดียวกันเพื่อนใหม่ก็จะเข้ามาแทน มีน้อยที่จะยังติดต่อกันตลอด เช่นเดียวกับเพื่อนที่คุณสนิทในตอนนี้ ก็อาจจะหายไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจึงไม่ควรยึดติดกับใคร เพราะต่างก็ต้องมีทางเดินของตัวเอง คอยเปิดใจรับมิตรภาพใหม่ๆ ดีกว่า เพราะมีผู้คนที่น่าสนใจอีกมากให้คุณได้รู้จักในทุกๆ ที่
2. สิ่งต่างๆ จะไม่เป็นอย่างที่คุณอยากให้เป็นเสมอ…
คุณมักไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ดันได้ในสิ่งที่ไม่ต้องการใช่ไหม? ไม่มี
ประโยชน์เลยที่จะเครียดหรือทุกข์ในเมื่อไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ แต่วิธีที่จะตอบสนองต่อสิ่งนั้นๆ คุณเปลี่ยนได้นะ
3. หลายคนรักคุณ แต่ส่วนมากจะไม่…
ไม่ว่าคุณจะมีชื่อเสียง ชอบทำการกุศล หรือเป็นแค่คนธรรมดา ก็จะมีคนรัก
คุณแน่ๆ แต่ยังไงก็ต้องมีคนที่ไม่ชอบคุณด้วยเช่นกัน เหตุผลน่ะเยอะแยะ ไม่ว่าจะอิจฉา หรือเพียงเพราะคุณไม่เหมือนเขา ถ้าพวกเขาจะเอาแต่พูดเรื่องคุณ นั่นก็เป็นปัญหาของพวกเขานะ ไม่ต้องใส่ใจจำไว้ว่าคุณดีในแบบของคุณและนับถือตัวเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนชอบคุณ
4. ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนชีวิตของคุณได้นอกจากตัวคุณเอง…
คนอื่นช่วยเหลือคุณก็ได้แค่ระดับหนึ่ง ชีวิตใครก็ต้องคนนั้นแหละที่ทำให้
เกิดการเปลี่ยนแปลง จงเรียนรู้ที่จะยืนด้วยสองเท้าของตัวเองโดยไม่ต้องใช้คนอื่นๆ เป็นไม้เท้าค้ำยันในชีวิต เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่กับคุณไปตลอด
5. ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้…
ไม่มีใครประสบความสำเร็จอย่างเดียวหรอก ยังไงก็ต้องล้มเหลวก่อน
นอกจากเรียนรู้จากบุคคลอื่นแล้ว ความล้มเหลวของคุณเองนี่แหละที่เป็นบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตที่จะสอนคุณใช้มันเป็นแรงผลักดันให้คุณประสบความสำเร็จ ดีกว่าจมปลักไม่ไปไหน
6. อาจไม่มีพรุ่งนี้…
เราไม่มีทางรู้ว่าเหตุการณ์ใดๆ จะเกิดขึ้น รถชน หัวใจวาย หรือแม้แต่โลกจะ
แตก มันเป็นไปได้หมด เผชิญหน้ากับมันซะ ยังไงวันหนึ่งก็ต้องเป็นวันสุดท้ายของเรา เพราะฉะนั้นในแต่ละวันทำให้ดีที่สุด ดูแลคนที่คุณแคร์ให้มาก ไม่ต้องกังวลกับเรื่องเล็กน้อย และใช้เวลาทำในสิ่งที่คุณชอบด้วย
7. ใครๆ ก็มีมากกว่าคุณ…
พอมองไปก็จะเห็นแต่คนที่มีอะไรมากกว่าตัวเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงิน
ตำแหน่ง หรือเพื่อน แต่รู้ไว้อย่างเพียงเพราะเขามี “มากกว่า” ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีความสุขกว่านะ อ่านประวัติบุคคลที่มีชื่อเสียงดู พวกเขาน่ะสนุกกับกระบวนการในการได้เงินมากกว่าตัวเงินซะอีก จงโฟกัสไปในสิ่งที่คุณรักดีกว่า เพราะมันจะตามมาด้วยความสุขที่มากกว่า
ชีวิตก็อย่างนี้แหละ ถ้าเข้าใจและยอมรับมัน คุณก็จะสนุกกับการใช้ชีวิต…

“พวกเขา”... ไม่ได้อยู่คนเดียว

https://www.facebook.com/pages/Life-is-sharing-by-หมอก้อย/283647418370082#!/photo.php?fbid=475970179137804&set=a.283684078366416.60435.283647418370082&type=1&theater



พื้นที่ชายแดนภาคใต้ ห่างไกลเพียงระยะทาง ...
ทว่าแสนชิดใกล้เสมอเหมือนในความมีเลือดเนื้อจิตใจ…
ในโรงเรียนมีแววตาของเด็ก ๆ ที่เป็นจริงเป็นจัง ...
ทั้งความหวังและการรอคอย

บนถนนหรือซอกเมืองนั้นเล่า
โกหกกันไปก็เท่านั้น …
มากด้วยความหวาดหวั่นและดวงใจบาดเจ็บ

ต่อเลยเข้ามาถึงในบ้านเรือนของพวกเขา …
อาจคล้ายความสงบเป็นเรื่องห่างไกลจากการรับรู้

ยิ่งในวันที่พวกเขา "โดดเดี่ยว" ขึ้นเรื่อย ๆ

เกือบอาทิตย์ที่นั่น
ขอบคุณใครหลายคนที่กำลังสร้าง "สะพาน"
ที่มันทอดยาวมานาน สั่นคลอน และพังทลายลง

สะพานที่ต้องใช้เพียง “ความรัก” ของคนเราด้วยกัน

หักร้างถางถากพื้นที่รกร้างอันเปลี่ยวเหงา
สุ่มเสี่ยง และหวาดระแวง




ขอบคุณ : เครือข่ายช่างภาพชายแดนใต้
(Deep South Photographers)
ที่ชักชวนลงไปตระเวนทั่ว 3 จังหวัดชายแดนใต้

**(ปล. ขอบคุณความเรียงสั้นๆ ของเพื่อนเล
- ฐากูร โกมารกุล ณ นคร ที่มันช่างเข้ากับภาพเซ็ตนี้ได้ดี)

คนที่เคยบวชเรียนและฝึกการมีศีล ปัญญา บารมี จะฝึกการเบื่อหน่ายและตัดสิ่งต่างๆ

ปุจฉา - กราบนมัสการค่ะพระอาจารย์ จริงหรือไม่ค่ะ คนที่เคยบวชเรียนและฝึกการมีศีล ปัญญา บารมี จะฝึกการเบื่อหน่ายและตัดสิ่งต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากแฟนดิฉันเค้าเคยบวชเรียน และศึกษาพระพุทธศาสนาฝึกสมาธิตลอดเวลา และมีเป้าหมายต้องการจะบวชตลอดชีวิตในอีกห้าปีข้างหน้าค่ะ ตอนนี้เค้าบอกเลิกดิฉันค่ะ สาเหตุเพราะแฟนเก่าดิฉันรังควานเค้า เค้าเลยคิดถอยหนี พร้อมให้เหตุผลว่ายังงัยเค้าก็จะบวช ดังนั้นเค้าเลยรู้สึกเบื่อการครองเรือนมากยิ่งขึ้น

แต่สำหรับดิฉันพยายามเข้าใจในสิ่งที่เค้าต้องการ เพียงแค่อยากคอยดูแลเค้า เคียงข้างเค้าในระหว่างก่อนบวชนี้ ถือว่าดิชั้นผิดมั้ยค่ะ แต่เค้ากลับมองว่าดิชั้นจะเป็นตัวขัดขวางการบวชเป็นพระของเค้า ดิฉันจะบาปมั้ยค่ะ และดิชั้นควรทำอย่างไรดีค่ะ เพราะใจหนึ่งอยากรั้งเพื่อคอยเคียงข้างจนกว่าเค้าจะบวช แต่ใจหนึ่งกลัวบาปตามที่เค้าว่าค่ะ รบกวนพระอาจารย์ตอบด้วยนะเจ้าค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

พระไพศาล วิสาโล - ความห่วงใยเอาใจใส่ ปรารถนาที่จะดูแลช่วยเหลือผู้อื่นนั้น เรียกว่าเมตตาเป็นสิ่งที่ดี หากคุณปฏิบัติต่อเขาด้วยความรู้สึกดังกล่าว ก็ไม่ควรรู้สึกผิดแต่ประการใด ยิ่งคุณอยากส่งเสริมให้เขาทำสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จ อันได้แก่การบวชเพื่อเข้าถึงภาวะชีวิตที่ดีงาม ก็ยิ่งน่าอนุโมทนา แต่ก็ควรสอบถามเขาด้วยว่า การที่คุณอยู่เคียงข้างเพื่อเกื้อกูลเขานั้น จะสร้างปัญหาให้แก่เขาไหม คุณจะได้รู้ว่าช่วยเหลือเขาเท่าไรจึงจะพอดี

ที่มา http://www.facebook.com/visalo?fref=ts

อิฐ 2 ก้อน -


อิฐ 2 ก้อน -
" ..อย่าให้ความผิดพลาดของ “อิฐที่ไม่ดี” เพียง “2 ก้อน”
ทำให้เราต้องทำลายกำแพงดีๆ จนพัง.."
อาจารย์พรหม หรือพระวิสิทธิสังวรเถร
วัดป่าพิญาณใกล้เมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย

ช่วงก่อตั้งวัดป่าโพธิญาณเมื่อปี 2526 พระอาจารย์พรหมเล่าว่าหลังจากซื้อที่ดินแล้ว
เงินก็แทนไม่เหลือ ต้องสร้างวัดด้วยมือของตัวเอง ตั้งแต่ผสมปูน จนถึงการก่อกำแพงอิฐ
ท่านเล่าว่าตอนที่ลงมือทำก็รู้สึกว่าได้ทำอย่างประณีตที่สุด จนกระทั่งกำแพงอิฐเสร็จสิ้นลง
แต่พอถอยออกมายืนดู ก็พบว่าก่ออิฐพลาดไป 2 ก้อน อิฐกำแพงเรียงเรียบสวน
แต่มีอยู่ 2 ก้อนที่เอียงๆ พระอาจารย์พรหมขอเจ้าอาวาสทุบกำแพงทิ้งเพื่อก่อใหม่
แต่เจ้าอาวาสไม่ยอม

จากนั้นเป็นต้นมาทุกครั้งที่พระอาจารย์พรหมพาแขกเยี่ยมวัด
ท่านจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่พาแขกเดินผ่านกำแพงบริเวณนี้
เพราะอาจที่ก่ออิฐผิดพลาดไป 2 ก้อน

จนกระทั่งวันหนึ่ง พระอาจารย์พรหมกำลังเดินกับผู้มาเยี่ยมวัดคนหนึ่ง
เขาเห็นกำแพงอิฐนี้แล้วก็เปรยขึ้นมาว่า “กำแพงนี้สวยดี”
พระอาจารย์พรหมถามด้วยอารมณ์ขันว่า
“คุณลืมแว่นสายตาไว้ในรถหรือเปล่า คุณไม่เห็นหรือว่ามีอิฐ 2 ก้อนที่ก่อผิดพลาด
จนกำแพงดูไม่ดี”

แต่แล้วผู้มาเยี่ยมชมคนนี้ก็เอ่ยประโยคที่ทำให้พระอาจารย์พรหมเปลี่ยนแปลง
ทัศนคติทั้งหมดที่เคยมีต่อกำแพงนี้ พร้อมกับเปลี่ยนแง่มุมที่มีต่อชีวิต

ผู้เยี่ยมชมคนนี้นบอกว่า “ผมเห็นอิฐที่วางไม่ดีสองก้อนนั้น
แต่ผมก็ได้เห็นด้วยว่ามีอิฐอีก 998 ก้อนที่ก่อไว้อย่างสวยงาม”

"นับเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนที่อาตมาสามารถมองเห็นอิฐก้อนอื่น ๆ บนกำแพงนั้น
นอกเหนือจากเจ้า 2 ก้อนที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นอิฐที่อยู่ด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้าย
และด้านขวาของเจ้าอิฐ 2 ก้อนนั้นล้วนแต่เป็นอิฐที่ก่อไว้อย่างดีไม่มีที่ติ
ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนอิฐที่ดีมีมากกว่าเจ้าอิฐไม่ดี 2 ก้อนนั้น”

ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา สายตาของพระอาจารย์พรหมเฝ้ามองแต่อิฐ 2 ก้อนนั้น
ท่านยอมรับว่าสายตาของท่านมืดบอดต่อสิ่งอื่นๆ ท่านอยากทลายกำแพง
เพราะมองเห็นแต่อิฐ 2 ก้อนที่ผิดพลาด แต่ทันทีที่ความรู้สึกเปิดกว้าง
มองเห็นอิฐก้อนดีๆ จำนวนมากบนกำแพงนี้ กำแพงเดิมที่อยากทลายก็กลับงดงามขึ้นมาทันที “ใช่...กำแพงนี้สวยดี” พระอาจารย์พรหมหันไปบอกกับผู้มาเยี่ยมคนนั้น

จนถึงวันนี้ พระอาจารย์พรหมก็นึกไม่ออกแล้วว่าอิฐก้อนที่ผิดพลาด 2 ก้อนนั้น
อยู่ตรงส่วนไหนของกำแพง ทัศนคติในการมองโลกที่เปลี่ยนแปลง
ทำให้ อิฐ 2 ก้อนนั้นเลือนหายจากความทรงจำ

พระอาจารย์พรหมเปรียบเปรยว่าคู่ชีวิตที่ตัดสัมพันธ์หรือหย่าร้างกันก็เพราะ
ทั้งคู่เพ่งมองแต่ “อิฐที่ไม่ดี 2 ก้อน” ในตัวคู่ชีวิตของเขา

คนที่คิดท้อแท้ อยากฆ่าตัวตายก็เพราะเรามองเห็นแต่ “อิฐ 2 ก้อน” ในตัวเราเอง
ทั้งที่ในความเป็นจริง นอกจาก “อิฐ 2 ก้อน” ที่ผิดพลาดแล้ว ยังมี “อิฐก้อนที่ดี”
และ “อิฐก้อนที่ดีจนไม่มีที่ติ” มากมายอยู่ในตัวเรา เพียงแต่เรามองไม่เห็นเท่านั้น

ท่านอาจารย์พรหมเตือนสติว่า
" ..อย่าให้ความผิดพลาดของ “อิฐที่ไม่ดี” เพียง “2 ก้อน”
ทำให้เราต้องทำลายกำแพงดีๆ จนพัง..
โดย: แบ่งปัน กำลังใจ

ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts

ปัญหาหลายๆอย่างในเมืองไทย มันมีต้นตอมาจาก...



บอกก่อนว่าไม่ได้เป็นเสื้อสีไหน แต่คดีนี้มีมูลว่าจัดฉาก จากตัวละครที่เมเนเจอร์ตามที่เมเนเจอร์กล่าวถึง และรูปการณ์ทั้งจากตัวคดีเอง และจากการที่สื่ออื่น(นอกจากเมเนเจอร์)ไม่ได้มีการเจาะลึก เหมือนจงใจทำให้คดีจบเร็ว และไม่มีการคลางแคลงใจ

คิดว่าที่จัดฉากออกมาแนวฆ่าชิงทรัพย์ เพราะว่าถ้าอุ้มหาย ไม่พบศพไม่สามารถจับคนร้ายได้ กรรมก็จะตกอยู่ที่รัฐบาลกับตำรวจเหมือนคดีทนายสมชาย และชิปปิ้งหมู แต่ถ้าจัดฉากแบบฆ่าชิงทรัพย์ จับคนร้ายได้ ทุกอย่างก็จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง ผู้ต้องหาซึ่งเคยติดคุกมาแล้ว ก็คงไม่มีปัญหาการใช้ชีวิตในคุก เงินก็ได้ ติดคุกจริงๆก็คงไม่กี่ปี แล้วเดี้ยวก็อาจมีลดโทษ อภัยโทษอีก พอเรื่องเงียบก็อาจโดนเก็บ หรือหายสาปสูญ

ประเด็นสำคัญของคดี คือตำรวจที่ทำคดี การเร่งปิดคดี หลักฐานสำคัญอย่างตัว server กล้องก็ไม่มีการตามหา และการที่ช่วงเวลาการเกิดเหตุประจวบเหมาะกับการที่นายกไม่อยู่เมืองไทย เหมือนไม่ต้องการรับความกดดัน และอื่นๆอีก

ในส่วนของ พตท ชัดชัยนั้น ตอนที่ยังสู้คดีในคุก ก็ใช้ชีวิตหรูหรา มีห้องส่วนตัว ทุกคนเกรงใจ ซึ่งแค่มีเงินอย่างเดียวมันทำไม่ได้ ต้องมีอำนาจหรือมีแบคด้วย ซึ่งน่าจะรู้ๆกันอยู่

เชื่อว่ามีเป็นการวางแผนฆ่าโดยมีคนอีกกลุ่มอยู่เบื้องหลังแน่นอน แต่คำถามคือจากใคร ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่าเป็นอดีตนายกคนหนึ่ง หรืออาจจะเป็นคนข้างตัวจัดการเอง เพราะปัญหาส่วนตัวกับเอกยุทธ หรือคนที่ต้องการเอาหน้าสร้างผลงานกับนายใหญ่

แต่อย่างไรก็ตาม คดีนี้คงจบตามที่ตำรวจสรุป และไม่มีการสืบอะไรต่อแล้ว คงแค่รอดูว่าศาลจะตัดสินยังไงกับ 3 ผู้ต้องหา และชะตากรรมของพวกเค้าในอีก 5-10 ปีจากนี้ ว่าจะหายสาปสูญ หรือตายด้วยอุบัติเหตุ หรือฆ่าตัวตาย

สรุป ปัญหาหลายๆอย่างในเมืองไทย มันมีต้นตอมาจากรัฐบาล คนที่อยู่ในอำนาจรัฐ ประชาชนควรจะรวมตัว กดดันให้แก้กฏหมาย ลดขนาด และลดอำนาจของรัฐบาลและตำรวจทหาร เพื่มการตรวจสอบ เพิ่มบทลงโทษ เพราะจริงๆรัฐบาล ข้าราชการทุกคน คือลูกจ้างของประชาชน เราจ้างเขาเพื่อมาดูแลเรา ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ทำให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม ทำไมเราต้องให้อำนาจเขากดขี่ข่มเหง และสร้างความไม่เท่าเทียมกัน? แต่อย่างว่า คงเป็นไปได้ยากที่จะเกิด และผมก็คิดว่า คงไม่ได้เห็นสิ่งนั้นก่อนตายแน่ๆ
2 Cents

เชื่อขนมกินได้เลย งานนี้ไม่ช้า....

เชื่อขนมกินได้เลย งานนี้ไม่ช้า บอลแขวนคอตายในคุก พยานหลักฐานก็สาวไม่ถึงใครสักคน เพราะจัดฉากตั้งแต่ตั้งใจให้เกิดภาพในวงจรปิดว่ามีเพียง บอล คนเดียวทั้งเรื่อง และการจงใจนำสื่อไปร่วมขุดค้นหาศพนั้นถ้าำไม่แน่จริงว่าจะพบก็คงไม่มืสื่อไปทำข่าวได้แน่ แต่นี่ทำเหมือเป็นการนำเสนอหลักฐานมัด บอลเพียงคนเดียว ตั้งแต่เริ่มภาพจากกล้องตอนถอยรถตู้ ภาพการชับเข็คและเงิน การชี้จุดฝังศพ ทรัพย์สิน(ของผู้ตาย)ที่พบในตัวรถ-ก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไมถ้ามีความรู้กระทั่งต้องถอดเสื้อผ้าศพออกให้หมดจะได้ยืนยันศพไม่ได้ แต่กลับเก็บหลักฐานไว้ใกล้ตัวเพื่อพยายามบ่งชี้ว่าฉันเป็นคนฆ่า ในขณะที่นักอ่านข่าวฟรีทีวีหลายช่องก็พยายามนำเสนอข่าวไปในเชิงว่าผู้ตายมีประวัติหลบหนีคดีแชร์มาก่อน ไม่พูดถึงความขัดแย้งเรื่อง ว.5โฟร์ซีซั่นเล่ย
เมื่อหลักฐานทุกอย่างมุ่งเน้นไปที่ บอล เชื่อได้เลยว่า ถ้าบอลไม่บอกว่ามีใครบ้างนอกจากนี้ ก็ถือได้ว่าบอลฆ่าตัวตายเอง เพราะต้องมีการเก็บพยานเบ็ดเสร็จแน่นอน
สรุป ข่าวพาดหัวในวันต่อมา พบบอลเครียดแขวนคอคายในห้องขัง
คดีสรุปจบง่ายๆ เหมือนหลายๆคดี
อำมหิต จงใจจัดฉากสร้างหลักฐาน

เปิดปมที่น่าสะพรึงกลัว...ตำรวจ หน.ชุดสืบคดีเอกยุทธ เป็นจำเลยอุ้มฆ่าทนายสมชาย




รายงานการเมือง
โดย แสงตะวัน

คดีฆาตกรรม เอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดังที่ต้องเรียกว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับระบอบทักษิณมายาวนานหลายปี ทำให้สังคมไทยเข้าสุ่ยุคแห่งความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจต่อการทำหน้าที่ของตำรวจรุนแรงหนักหน่วงยิ่งขึ้น

หรืออาจจะเรียกได้ว่า สีกากีในใจคนไทยนั้นแทบจะไม่ต่างอะไรกับ “โจรในเครื่องแบบ”พ่วงด้วยวลี “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ก็ยิ่งซ้ำเติมวิกฤตศรัทธาต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ตกต่ำดิ่งเหวมากขึ้นไปอีก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวิธีบริหารจากพี่ชายนักโทษมาถึงน้องสาวหุ่นเชิด ที่สร้างรัฐตำรวจขึ้นมาค้ำจุนอำนาจตัวเองไม่แตกต่างจากกัน จนทำให้เกิดภาพโรงพักสีแดงที่จังหวัดสุรินทร์มาแล้ว

ในภาวะที่ตำรวจเลือกข้างยืนอยู่กับผู้มีอำนาจมากกว่าประชาชน คำแถลงของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ที่เข้ามาทำคดีนี้จึงไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับสังคมได้ว่า คำสารภาพของคนขับรถเอกยุทธ จะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นหรือเป็นพล็อตที่ถูกสร้างขึ้นโดยทีมอุ้มฆ่าตัวจริงที่แต่งตัวไม่ต่างจากตำรวจ!

ประเด็นที่น่าสนใจในคดีนี้ คือ มีตัวละครที่มีความเชื่อมโยงกับคดีอุ้มฆ่าทนายสมชาย นีละไพจิตร โผล่เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแต่ว่าคราวนี้มาในบทบาทที่แตกต่างไปจากเดิม คือ จากผู้ต้องหาคดีอุ้มฆ่า กลายเป็นตำรวจที่เข้าจับกุมตัว “บอล” คนขับรถเอกยุทธ ได้เป็นชุดแรก

เป็นการจับกุมที่มีความหมายมากที่สุด เพราะในการจับตัว “บอล” นั้น ปรากฏพยานหลักฐานชั้นต้นมากมายจากจุดเริ่มต้นในการคลี่คลายคดีนี้ ซึ่งคนที่เข้าไปพบสิ่งเหล่านี้ก่อนใครคือ

“พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน” ผู้กำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี

พูดชื่อเท่านี้อาจจะยังงงๆ จับต้นชนปลายไม่ได้ แต่ถ้าบอกว่าชื่อเดิมของ พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ คือ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน 1 ใน 5 ผู้ต้องหาคดีอุ้มฆ่าทนายสมชาย นีละไพจิตร ที่หายตัวไปเมื่อปี 2547 ในยุคที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็อาจทำให้ต่อจิ๊กซอว์กันได้รวดเร็วขึ้น

แม้ว่าในคดีของทนายสมชาย พ.ต.ท.ชัดชัย ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ผู้ต้องหานั้น ผลคำพิพากษาจะออกมาว่าไม่มีความผิด แต่ก็มีเงื่อนงำหลายอย่างที่ระบุว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของทนายสมชาย

ผู้ที่ถูกฟ้องคดีในขณะนั้น ประกอบด้วย พ.ต.ต.เงิน ทองสุก, พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์, จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง, ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน ตำรวจกองปราบปราม เป็นจำเลยที่ 1-5 ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ และข่มขืนใจผู้อื่น โดยใช้กำลังประทุษร้าย แต่สุดท้ายศาลลงโทษจำคุก 3 ปี เฉพาะ พ.ต.ต.เงิน และยกฟ้อง พ.ต.ท.สินชัย จ.ส.ต.ชัยเวง ส.ต.อ.รันดร และ พ.ต.ท.ชัดชัย

ในปัจจุบัน ไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่ได้ชื่อว่าเคยเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาและจำเลยคดีอุ้มฆ่าทนายสมชายจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในคดีอุ้มฆ่า เอกยุทธ อัญชันบุตร และเป็นตำรวจชุดแรกที่ได้ตัวคนขับรถของเอกยุทธ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการคลี่คลายคดีนี้เสียด้วย

ตามรายงานข่าวระบุว่า ชุดของ พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผกก.ดส. นำลูกน้องรวบตัว “บอล” ได้แถวสมุทรสาคร หลังจากที่ขับรถโฟล์คตู้ของเอกยุทธขึ้นมาจากภาคใต้ และมีความคืบหน้าในการสืบสวนอย่างรวดเร็ว โดยพบหลักฐานรองเท้าหนังเปื้อนโคลน เงินสด 6.5 หมื่นบาท นาฬิกาข้อมือ กระเป๋าสตางค์ แหวนทองคำขาวของนายเอกยุทธ ฯลฯ

ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ขณะที่ ผบช.น.นำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าวนั้น คนขับรถเอกยุทธปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายไปของนายเอกยุทธ แต่คล้อยหลังเพียงไม่นาน เมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ฟันธงว่าเอกยุทธถูกคนขับรถฆาตกรรมเพื่อชิงทรัพย์ รูปคดีก็ออกมาตามปากของ ร.ต.อ.เฉลิม ราวกับวาจาพระร่วง

เงินห้าล้านอาจเป็นหนึ่งในมูลเหตุที่สร้างแรงจูงใจให้คนเกิดความโลภจนฆ่ากันได้ แต่คำถามคือการฆาตกรรมเอกยุทธครั้งนี้ ไม่มีทางที่คนขับรถจะทำเองโดยลำพัง เพราะต้องมีการวางแผนอย่างดี ก่อนที่จะมีการเอาตัวเอกยุทธไป รวมถึงรอบคอบขนาดแกะฮาร์ดดิสก์ของกล้องวงจรปิดที่บ้านเอกยุทธไปด้วย

วิธีคิด-รูปแบบการจัดการ บ่งบอกว่าไม่ใช่มือสมัครเล่น แต่น่าจะเป็นทีมอุ้มฆ่ามืออาชีพที่ผ่านงานมัจจุราชมาแล้วอย่างโชกโชน และมีฝีมือระดับพระกาฬเหมือนทีมอุ้มฆ่าทนายสมชาย ที่สามารถพรากเอาชีวิตและลมหายใจทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนไปได้อย่างไร้ร่องรอย จนถึงวันนี้ก็ยังหาศพไม่พบแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานถึง 9 ปี

การที่ พ.ต.ท.ชัดชัย หรือ พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เข้ามามีส่วนคลี่คลายคดีนี้ได้อย่างเหลือเชื่อ เพราะโดยหน้าที่แล้วคือเป็นผู้กำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี แต่กลับได้รับความไว้วางใจให้มาเป็นหนึ่งในทีมสอบสวนที่ตั้งโดย พล.ต.ท.คำรณวิทย์

ว่ากันว่า นอกจาก พ.ต.อ.นภันต์วุฒิจะเปรียบเสมือนมือขวาของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์แล้ว ยังเป็นคนที่มีฝีมือหาตัวจับยาก ถึงขนาดในแวดวงมือสืบสวนเคยพูดกันว่า โชคดีที่เขาเป็นตำรวจเพราะถ้าเขาเป็นโจร ตำรวจคงจับตัวได้ยาก!

คดีฆาตกรรมเอกยุทธในยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เกิดขึ้นหลังความฉาว ว.5โฟร์ซีซั่นส์ ชั้น 7 ตามมาด้วยวลี “น้ำทะเลกระฉอกที่มัลดีฟส์” และการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการฟอกเงินของนักการเมืองใหญ่ในอังกฤษ

ล้วนเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะทำให้คนไทยเชื่ออย่างสนิทใจว่า เอกยุทธ จะตายน้ำตื้นเพียงเพราะถูกฆ่าชิงทรัพย์ โดยคนขับรถอายุ 25 ปี ซึ่งหลังจากเปิดปากปฏิเสธต่อหน้าสื่อมวลชนในครั้งแรก จนป่านนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้พูดอะไรกับสาธารณะชนอีกเลย

ก่อนจะมีการพบศพเอกยุทธเมื่อวานนี้ (12 มิ.ย.) ปรากฏข่าวความคืบหน้าออกมาก่อนวันหนึ่งว่าคนร้ายสารภาพแล้ว รู้จุดฝังศพ กำลังไปหาศพนั้นก็ล้วนแต่ออกมาจากปากของตำรวจทั้งสิ้น ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือตำรวจสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาตามติดมาได้อีกหลายคนอย่างรวดเร็ว และให้ไปชี้จุดฝังศพ แต่สองคนที่บอกร่วมทีมฝังด้วยกัน ดันชี้จุดฝังคนละที่!

ไม่แน่ว่าคดีลึกลับซ่อนเงื่อนเช่นนี้ จะไม่มีเพียงแค่ ร.ต.อ.เฉลิมที่รู้ดีเท่านั้น แต่คนข้างกายอย่าง พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง หรือเรียกง่ายๆ ว่า เป็นเลขาฯ ของ ร.ต.อ.เฉลิม ก็น่าจะเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้ดี เพราะมีความเชี่ยวชาญ ชำนาญเกี่ยวกับคดีอุ้มฆ่า ในฐานะนายตำรวจมือปราบเก่ามาก่อน

ประวัติของ พล.ต.อ.ภาณูพงศ์ เรียกว่าไม่ธรรมดา เมื่อครั้งติดยศร้อยตำรวจโท ที่ สน.เตาปูน เคยเป็นหัวหน้าสายสืบที่ร่วมปราบจอมโจรชื่อดังแห่งยุค คือ ตี๋ใหญ่ มาแล้ว จากนั้นจึงได้เลื่อนยศและพื้นที่นครบาลเหนือ

คดีลือลั่นที่ทำให้คนจดจำชื่อ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ได้คือ ในขณะติดยศ พล.ต.ต.เป็นหัวหน้าชุดตำรวจที่วิสามัญฆาตกรรมนักโทษชาวพม่าที่แหกเรือนจำมหาชัยเสียชีวิตทั้งหมด 9 คนมาแล้ว ผ่านการถ่ายทอดสดโดยช่อง 9 มาแล้ว

แวดวงตำรวจมือปราบที่คร่ำหวอดอยู่กับคดีวิสามัญฆาตกรรม ดูเหมือนว่าจะเป็นโลกแคบ เพราะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ในอดีตก็โด่งดังมาจากการกุดหัว “โจ ด่านช้าง” แห่งสุพรรณบุรี ส่วน พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ ที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เรียกใช้ใกล้ชิดเพื่อเชื่อฝีมือนั้น ในขณะที่ใช้ชื่อ พ.ต.ท.ชัดชัย ก็เคยเป็นมือเป็นไม้ให้กับ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ด้วยเช่นเดียวกัน

ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่า เรื่อง “อุ้มฆ่า” จะวนมาเจอตัวละครเดิมอีกครั้ง บนความโชคร้ายของ เอกยุทธ อัญชันบุตร และความน่าสะพรึงกลัวของสังคมไทยในยุคบ้านป่าเมืองเถื่อน

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000071100

รักษาโรคขี้ขาวในไก่พื้นเมือง


รักษาโรคขี้ขาวในไก่พื้นเมือง นำรำข้าว 1 กก.+น้ำมันหมู 200 ซีซี เติมน้ำพอปั้นเป็นก้อนได้ ให้ไก่กิน 3 วัน จะดีขึ้นหรือกินทุกวัน ช่วยป้องกันโรค
จาก SMS Farmer Info  by DTAC - 7 มิย 2556 - 15.14 น.

มีความทุกข์ไม่สามารถตัดสินใจได้


ปุจฉา - กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ ดิฉันมีความทุกข์ไม่สามารถตัดสินใจได้ขอความกรุณาชี้แนะดิฉันด้วยค่ะ ขณะนี้แม่อายุ ๘๔ ย่าง ๘๕ ปีเป็นโรคซึมเศร้าไม่ยอมทานอาหาร จ้างคนมาดูแลอยู่ได้ 2-3 เดือนก็ลาออก เปลี่ยนจนจำไม่ได้ ทุกวันนี้มีน้องชายอยู่เป็นเพื่อนแต่แม่ไม่ยอมให้อาบน้ำให้ ดิฉันอยากจะลาออกมาดูแลเองแต่อีกใจก็อยากจะทำงานจนเกษียณเพราะจะได้สายสะพายช่วงนี้ก็เลยเครียด ขอให้ท่านช่วยชี้ทางด้วยค่ะ

พระไพศาล วิสาโล - แม่ของคุณอายุมากแล้ว มี เวลาอยู่ในโลกนี้ไม่นาน ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ จึงเป็นโอกาสทองที่คุณจะได้ตอบแทนบุญคุณของท่านอย่างเต็มที่ หากคุณละเลยโอกาสนี้ไป คุณอาจเสียใจและรู้สึกผิดไปอีกนาน ถึงตอนนั้นสายสะพายที่คุณได้มาก็ไม่สามารถเยียวยาจิตใจของคุณได้ สิ่งท่านมอบให้แก่คุณด้วยความรักและเสียสละตลอดชีวิตนั้น มีคุณค่ามากกว่าสายสะพายหลายร้อยหลายพันเท่า ดังนั้นจึงอย่าให้สายสะพาย เพียงเส้นเดียวเหนี่ยวรั้งฉุดดึงไม่ให้คุณทำสิ่งที่ประเสริฐเลย อาตมาเชื่อว่าหากคุณได้ ทุ่มเทดูแลท่านจนจากไปอย่างสงบ คุณ จะภาคภูมิใจในความเป็นลูก และไม่เสียดายสายสะพายที่หลุดลอยไปเลย
ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เลือกลูกจ้างอย่างไร? ให้ทำงานให้เถ้าแก่



ความหนักใจของเถ้าแก่ หรือเจ้าของธุรกิจนั้น ไม่ใช่เพียงแต่ การขาย การทำยอด การบริการลูกค้า การผลิตสินค้า หรือบริการให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแล้วปัญหาที่หนักอึ้งของเจ้าของธุรกิจ อีกอย่างที่ไม่อาจมองข้ามได้ นั่นคือ การบริหารการจัดการพนักงาน หรือลูกจ้างไม่ว่าธุรกิจจะเล็ก หรือใหญ่เพียงใด ปัญหานี้มันพร้อมที่จะเข้ามาอยู่กับพวกท่านตลอดเวลา หากจะมองให้เป็นทฤษฎีหลักการ “พนักงาน-ลูกจ้าง”นั่นแหละ จะเป็นตัวช่วยเสริมให้ธุรกิจทั้งหลายแหล่ อยู่รอด นอกเหนือจากความเก่งฉกาจของตัวเจ้าของธุรกิจเอง
พนักงานนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่เถ้าแก่ทั้งหลาย ไม่อาจมองข้ามได้ สินค้าจะมีคุณภาพดีอย่างไร!!! หากลูกจ้างมั่วแต่ผลิตของเสียออกมา ก็ไม่รอด อาหารจะอร่อยอย่างไร!!! แต่พนักงานบริการหน้าร้าน หน้าหงิกงอไม่มีจิตใจบริการ ลูกค้าก็จะค่อยๆ หนีหมด ของดีอย่างไร!!! ถ้าพนักงานขาย ไม่ขยันนำเสนอ ออกหาลูกค้า ยอดขายก็จะไม่ถึงไหน ไม่ว่าธุรกิจจะเล็กหรือใหญ่ สิ่งนี้คือสัจธรรมดังนั้น นักบริหารทรัพย์กรมนุษย์ ผู้บริหารและเจ้าของกิจการ จะต้องมีการคัดสรรคนก่อนเข้าทำงานให้ดี มีการพัฒนาพวกเขาอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง และที่สำคัญต้องมีการจ่ายผลตอบแทน หรือดูแลการเจริญเติบโตของพวกเขาเหล่านี้ให้โตไปพร้อมกับกิจการของเรา
ลูกจ้างมืออาชีพเหล่านี้ ไม่ว่าจะตำแหน่งเล็ก ตำแหน่งใหญ่ ผมขอเรียกว่ามืออาชีพ เพราะเขาจะต้องทำงานรับเงินเดือน เป็นอาชีพหลักไม่ใช่อาชีพรอง ดังนั้น คำนี้น่าจะเหมาะสม และฟังดูดีมืออาชีพเหล่านี้ เหล่าเถ้าแก่ทั้งหลายต้องหาให้เจอ ถึงแม้จะยากสักปานใด ก็ต้องพยายามหาให้เจอ ต้องหาให้เจอ!!! แล้วลักษณะที่ว่า มันเป็นอย่างไรหากจะใช้ศัพท์ให้ดูดีหน่อยก็ต้องบอกว่า คนเหล่านี้มีคุณลักษณะหรือ Competency อย่างไร และมีแนวทางในการ มองอย่างไร ถึงจะบอกว่าใช่ล่ะ ขอแจกแจ้งได้ดังนี้ครับ
1.ต้องเป็นคนมุ่งมั่น Result Oriented เน้นผลลัพธ์ของการทำงาน ประเภทไม่เสร็จไม่กลับบ้าน สู้จนถึงที่สุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คนเหล่านี้เมื่อได้รับมอบหมายงานมาแล้ว ไม่ต้องห่วง เขาจะขวนขวาย เรียนรู้ สอบถาม แก้ไขปัญหา ให้งานออกมาให้ดีที่สุด แล้วมองอย่างไรล่ะถึงจะรู้แรกๆอาจจะดูยาก แต่ทำงานไปปี สองปี ดูออกครับ ก็เป็นคนที่ทำงานให้เราได้ดีที่สุดไงครับ ทำงานเก่ง ทำงานจริง ไม่ใช่ประจบ สอพลอ ไปวันๆรู้ไม่จริง เก่งแต่ Present ไม่ใช่มืออาชีพแน่นอน
2.ต้องเป็นคนรักการเรียนรู้ พัฒนาตนเอง Continuous Learning คนพวกนี้ชอบการเรียนรู้ เห็นอะไรเป็นการเรียนไปหมด แต่ไม่ใช่เรียนอย่างเดียว ไม่ทำงานนะ ต้องดูให้ออก การเรียนรู้ไม่ใช่แค่ในห้องเรียน แต่เป็นการเรียนรู้ทุกอย่าง เช่นทำงานผิด เรียนรู้ และแก้ไข ทำงานสำเร็จ เรียนรู้และถ่ายทอดงานมีอุปสรรคเรียนรู้และปรับปรุง ซึ่งส่วนใหญ่ลักษณะแบบนี้ จะมาพร้อมกับข้อ1 คือมุ่งผลสำเร็จของงานด้วย ข้อสังเกตง่ายๆครับ คนพวกนี้ ชอบที่จะเสนอปรับปรุงงานของตนเองให้ดีขึ้นตลอดเวลา การรักการเรียนรู้นี้แหละครับ จะเป็นจุดเริ่มตนของการทำงานให้องค์กรพัฒนา!!!
3.ต้องเป็นคนมองโลกในแง่บวก Positive Thinking การมองโลกในแง่ดี จะทำให้ทุกอย่างสวยงาม ดีไปหมด คนกลุ่มนี้จะเป็นคนสนุกสนาน พร้อมเผชิญปัญหา ไม่ว่าอุปสรรคจะหนักขนาดไหน เขาจะเชื่อว่าทุกอย่างแก้ไขได้ ข้อจำกัดต่างๆ ที่มีอยู่ในบริษัทของเรา เขาก็จะรับได้ และก็จะช่วยส่งเสริมให้คนอื่นคิดบวกไปด้วย ลองคนหาดูครับมีคนแบบนี้มาก หรือน้อยในองค์กรของเรา
4.ต้องเป็นคนซื่อสัตย์ มีคุณธรรม Honesty สิ่งนี้เป็นสุดยอดคนครับหากเก่งทุกอย่าง แต่ไม่ซื่อสัตย์ ไม่มีคุณธรรม อย่าเลี้ยงไว้ครับ หนักองค์กรเปล่าๆความซื่อสัตย์และมีคุณธรรม ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นการพูด การเขียน หรือดูผลงานอย่างเดียว ต้องสังเกตพฤติกรรม เช่นการตรงต่อเวลา ไม่มีนอก-มีใน ในการทำงาน ไม่ประพฤติผิดศีลธรรม ไม่โกง ไม่เอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน องค์กร ลูกค้า สังคม ประเทศชาติ ถือว่ามีคุณธรรมครับ
จากที่เล่ามาทั้งหมดพนักงานลูกจ้าง มืออาชีพ ที่เราต้องหาให้เจอ ต้องพยายามให้มีทั้งหมด 4 ด้านเลยนะครับ คือต้องเก่งงาน รักการเรียนรู้พร้อมพัฒนาตนเอง พัฒนางานและเป็นคนมองโลกในแง่ดี ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นผู้ให้ ในที่สุด ส่วนสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือความซื่อสัตย์ครับ แบบไม่ต้องมีคำบรรยายเพิ่มเติม เมื่อหาพวกเขาเจอแล้ว เราก็ต้องพร้อมดูแล และพัฒนาให้เขาเข้มแข็ง ให้เขามั่นใจในองค์กรและเขาจะการเป็นกำลังหลักของเราได้ในที่สุด ผลลัพธ์สุดท้าย ก็คือ เราจะได้ไม่ต้องเครียดมากกับการดูแลพนักงานลูกจ้างเพราะพวกเราเหล่าเถ้าแก่ มีเรื่องให้เครียดมากมายกว่านี้อีกเยอะแยะครับ… โอกาสต่อไป ผมจะนำเสนอว่า เมื่อเราค้นหาเขาเจอแล้ว เราจะมีวิธีการดูแล รักษา และพัฒนาเขาอย่างไร เพื่อให้เป็นกลจักรสำคัญ ในการดำเนินธุรกิจ ของเราต่อไป….สวัสดีครับ….
“การรักการเรียนรู้นี่แหละครับ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้องค์กรพัฒนา”

ที่มา http://www.facebook.com/people.khon?fref=ts

ปัญหาฟันเหลืองแก้ได้ด้วยเรื่องกล้วยๆ


ปัญหาฟันเหลืองแก้ได้ด้วยเรื่องกล้วยๆ แค่เพียงนำเปลือกกล้วยสุกด้านในมาขัดฟันนาน 5 นาที แล้วบ้วนปากจากนั้นทำซ้ำอีกครั้งหนึ่ง รับรองผลในทันที
จาก SMS Farmer Info  by DTAC - 8 มิย 2556 - 15.14 น.

วิธีไม่ให้โกรธลูกง่าย


ปุจฉา - กราบนมัสการพระอาจารย์ ขอได้โปรดเมตตาช่วยชี้ แนะวิธีไม่ให้โกรธลูกง่าย ตนเองเกิดอารมณ์โกรธง่าย เวลาที่ลูกๆทำสิ่งง่ายๆไม่ได้ หรือเวลาที่ลูกเอาแต่เล่นในเวลาที่ไม่ควรเล่น เข้าใจดีว่าเขายังเป็นเด็กจึงรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่เผลอแสดงอารมณ์โกรธออกไปแล้ว และหลายครั้งก็มีการทำโทษลูกด้วย พยายามและตั้งใจที่จะไม่โกรธง่าย แต่ก็ไม่สามารถระงับได้ไม่ทราบจะทำเช่นไรดี ขอกราบพระอาจารย์ช่วย
เมตตาชี้แนะทางสว่างให้แม่ที่โง่เขลาคนนี้ด้วยค่ะ

พระไพศาล วิสาโล - คุณควรสำรวจตัวเองว่า อะไรทำให้คุณโกรธง่าย ความโกรธที่แสดงต่อลูกนั้นอาจเป็นปลายเหตุ คุณอาจหงุดหงิดฉุนเฉียวเพราะสิ่งอื่นมาก่อนแล้วก็ได้ เช่น คุณอาจเหนื่อยจากงานบ้านที่มากมาย เครียดจากที่ทำงาน หรือมีปัญหากับสามีเป็นต้น ในกรณีเช่นนั้นคุณควรจัดการแก้ที่ต้นเหตุเสียก่อน หากคุณแก้ไขบรรเทาได้ ความหงุดหงิดจะมีน้อยลง ช่วยให้มีความอดกลั้นต่อลูกได้มากขึ้น

แต่ไม่ว่าความหงุดหงิดจะเกิดจากอะไรก็ตาม ความยับยั้งชั่งใจเป็นสิ่งจำเป็นมากในการเลี้ยงดูลูก เพราะถ้าคุณระบายอารมณ์ใส่เขา นอกจากความทุกข์จะเกิดกับคุณและลูกแล้ว มันอาจส่งผลต่อนิสัยและพฤติกรรมของลูกคุณและก่อปัญหาในระยะยาว ดังนั้นจึงอยากแนะนำให้คุณตั้งสติให้ดี เวลา ลูกทำอะไรไม่ถูกใจหรือไม่ถูกต้อง หากรู้สึกโมโห ให้ลองหายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ สัก ๕-๑๐ ครั้ง ระหว่างนั้นก็น้อมจิตอยู่ที่ลมหายใจ อย่าเพิ่งนึกถึงอะไรทั้งสิ้น ลมหายใจที่มีสติกำกับจะช่วยดับความรุ่มร้อนในใจคุณ

จากนั้นก็ให้คุณคุยกับลูกดี ๆ ใช้เหตุผลกับเขา ชี้แจงว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ขณะเดียวกันก็บอกให้เขารู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไรที่เห็นเขาทำเช่นนั้น และอยากให้เขาทำอะไร การพูดคุยทำนองนี้น่าจะช่วยให้เขาได้คิดและมีสติหรือระมัด ระวังตัวมากขึ้น ไม่ทำตามใจตัวเอง

หากคุณอยากสอนให้ลูกไม่ทำตามอารมณ์ของตน คุณก็ต้องเริ่มต้นด้วยการไม่ทำตามอารมณ์ของตน เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูก

-- คำถามคล้ายกัน (repost) --

ปุจฉา - ทำไมโยมถึงไม่สามารถเมตตากับลูกที่โยมรักได้คะ รู้สึกแย่มากที่แสดงอาการที่ไม่ดี ยิ่งได้เจริญสติก็ยิ่งเห็นความไม่ดี จะทำอย่างไรให้เมตตากับลูก ๆ ได้อย่างแท้จริงหรือข้อธรรมใดให้สติแก่โยมบางไหมค่ะ

พระไพศาล วิสาโล - ปัญหาของคุณคือมีเมตตาหรือรักลูกมากเกินไป หาใช่ขาดเมตตาต่อลูกไม่ เป็นเพราะคุณรักลูกมากจึงยึดมั่นถือมั่นอยากให้ลูกดีอย่างที่คุณต้องการ แต่เมื่อลูกไม่เป็นไปดังใจหวัง คุณจึงไม่พอใจ บ่อยเข้าก็กลายเป็นความโกรธ จะว่าไปแล้ว สิ่งที่คุณขาดไปก็คือ "อุเบกขา" ต่างหาก หากลูกไม่เป็นดั่งใจควรทำใจเสียบ้าง อย่าจ้ำจี้จ้ำไชหรือบังคับเขามากนัก ควรให้โอกาสเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง หรือได้เป็นตัวเองบ้าง ขณะเดียวกันก็คอยระมัดระวังอย่าให้เมตตาของคุณ กลายเป็นสิเนหะ อย่างหลังนั้นเป็นความรักที่มุ่งตอบสนองกิเลสของตน ไม่ใช่เป็นความรักที่บริสุทธิ์ใจ

การพยายามทำให้ลูกเป็นไปดั่งใจตนนั้น จะว่าไปก็คือการทำด้วยความยึดมั่นในตัวกูของกูนั่นเอง คือ ยึดมั่นว่าเขาเป็น “ลูกของกู” และต้องเป็นตาม “ความคิดของกู” ดังนั้นเวลามีปฏิสัมพันธ์กับลูก จึงควรมีสติเท่าทัน “ตัวกูของกู”ที่คอยผุดขึ้นมา ขณะเดียวกันก็ให้นึกถึงความรู้สึกของลูกบ้าง อย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางอย่างเดียว

ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo