...+

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เกร็ดชีวิต : ดี คม ลึกซึ้ง น่าสนใจ


 เกร็ดชีวิต : ดี คม ลึกซึ้ง น่าสนใจ

Everybody wants to do something to help, but nobody wants to be the first.

ทุกคนต้องการทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือคนอื่น แต่ไม่มีใครเลยที่อยากจะช่วยเป็นคนแรก




No iron chain, or outward force of any kind, can ever compel the soul of a person to believe or to disbelieve.

ไม่มีห่วงโซ่ หรือพลังภายนอกชนิดใด ที่สามารถฉุดลากนำพาจิตใจของคนคนหนึ่ง ให้เชื่อหรือไม่เชื่ออะไรได้



There is no future in any job. The future lies in the man who holds the job.

ไม่มีอนาคตในงานใดๆ ทั้งนั้น อนาคตอยู่ในตัวผู้ทำงานต่างหาก

- George W. Crane



You haven’t lost your smile at all, it’s right under your nose. You just forgot it was there.

คุณไม่ได้สูญเสียรอยยิ้มไปหรอก มันก็ยังอยู่ใต้จมูกของคุณ แค่คุณลืมว่ามันอยู่ตรงนั้นต่างหาก





The most common way people give up their power is by thinking they don’t have any.

วิธีที่คนเราใช้กันบ่อยที่สุดในการยอมละทิ้งพลังของตนเอง คือการคิดว่าพวกเขาไม่มีพลังใดๆ นั่นเอง

- Alice walker





People rarely succeed unless they have fun in what they are doing.

คนจะหาความสำเร็จได้ยาก ถ้าหากพวกเขาไม่สนุกในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่

- Dale Carnegie



Life is 10% what happens to you and 90% how you respond to it.

ชีวิตประกอบด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน 10 เปอร์เซ็นต์ และอีก 90 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ท่านโต้ตอบกับมันอย่างไร

-Lou Holtz





When you’re bound with love you’re a happy prisoner.

เมื่อคุณถูกพันธนาการด้วยรัก คุณจะเป็นนักโทษที่มีความสุขที่สุด





I hated every minute of training but I said, ‘ Don’t quit. Suffer now and live the rest of your life as a champion.’

ผมเกลียดทุกๆ นาทีของการฝึกซ้อม แต่ผมจะบอกกับตัวเองว่า ‘อย่าหยุด อดทนตอนนี้ และใช้ชีวิตที่เหลือ ในฐานะของผู้ชนะ’

Muhammad Ali



You don’t understand anything until you learn it more than one way.

คุณจะไม่มีทางเข้าใจอะไรเลยจนกว่าคุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นมากกว่าด้านเดียว

Marvin Minsky





Feelings are much like waves, we can’t stop them from coming but we can choose which one to surf.

ความรู้สึกนั้นคล้ายกับคลื่นเป็นอย่างมาก เราไม่อาจจะหยุดคลื่นที่ซัดมาหาเราได้ แต่เราสามารถที่จะเลือกโต้คลื่นลูกใดได้-

Jonatan Martensson



You can’t by love, but you can pay heavily for it.

ท่านไม่อาจซื้อความรักได้ แต่ท่านย่อมจะจ่ายอย่างหนักเพื่อความรักได้

-Henny Youngman




Nothing is interesting if you’re not interested.

ไม่มีอะไรที่น่าสนใจถ้าหากเราไม่ได้สนใจ

ศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก


ศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก

ทันทีที่กระสุนปริศนาทะลุผ่านศีรษะ ร่างของเขาล้มฟุบลงทันที แต่ก่อนสติจะดับวูบ เขาก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยโทรศัพท์ พอจับใจความได้ว่า... ตัวเขาคง ไม่รอด!!

• นาทีชีวิต กับการใช้ชีวิต
ที่เหลืออยู่

แต่เหมือนปาฏิหาริย์ หมอสามารถยื้อชีวิตเขาไว้ได้ และแม้จะต้องนอนอยู่ในห้องไอซียูนานนับเดือน ต้องทำการผ่าตัดสมองถึง 6 ครั้ง แต่ช่วงนาทีที่เส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตายอยู่ใกล้กันแค่ชั่วพริบตานี่เองที่ทำให้ ‘ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ’ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกด้าน ตระหนักว่า ชีวิตนี้สั้นนัก และเขาขอใช้เวลาที่เหลืออยู่ทำความดีเพื่อช่วยเหลือผู้คน ทดแทนคุณแผ่นดิน

อันเป็นที่มาของการเปิดศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก บริการแก่ผู้ป่วยที่ยากไร้โดย ไม่คิดค่าใช้จ่าย ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลบ้านแพ้ว(องค์การมหาชน) และ ‘บริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด’

“ตอนที่ผมถูกลอบทำร้าย ผมก็ได้ยินเสียงคนคุยโทรศัพท์ว่าผมถูกยิง ปลาย สายคงถามว่า ผมเป็นยังไงบ้าง ทางนี้บอกเลยว่า คิดว่าอาจจะไม่เกินครึ่งชั่วโมงแต่หลังจากนั้นผมต้องนอนอยู่ห้องไอซียู 45 วัน เข้ารับการผ่าตัดที่ศีรษะถึง 6 ครั้ง ผมคิดว่ามันคงเป็นเวรกรรม

แต่เหตุการณ์ครั้งนี้มันทำให้เราได้คิดนะ คือมีอยู่วันหนึ่งช่วงที่ผมอยู่ระหว่าง การฟื้นฟู พยาบาลพาเดินออกไปทำกายภาพบำบัด ตอนขาไปผมยกมือไหว้อาม่าเตียงข้างๆ แต่พอกลับเข้ามาปรากฏว่าอาม่าเสียชีวิตไปแล้ว ทำให้เราเห็นว่า ชีวิตของมนุษย์มันนิดเดียวเอง

แล้วตอนอยู่ไอซียูก็มีคนเสียชีวิตทุกวัน เราก็รู้สึกว่า เอ๊ะ..เมื่อไรจะถึงเตียงเรา ก็เลยเริ่มตระหนักว่า เงินไม่สามารถซื้อชีวิตคนได้ ผมเลยคิดว่าหลังจากรอดตาย ชีวิตที่เหลือจะลงไปช่วยพี่น้อง ประชาชนที่ยากไร้ในแผ่นดินนี้”

• แรงบันดาลใจ จาก “ในหลวง”
เปิดศูนย์รักษาผู้ป่วยต้อกระจก

นักธุรกิจหนุ่มเล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาตั้งใจอุทิศตน เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ที่มีปัญหาด้านดวงตา ว่า

“แรงบันดาลใจอย่างหนึ่งของผมมาจากการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือตั้งแต่โตมาเราก็เห็นภาพพระองค์ท่านเสด็จไปช่วยเหลือประชาชนที่ยากไร้ในชนบทมาตลอด

สมัยหนุ่มๆผมเคยเดินตามหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ซึ่งท่านพูดเสมอว่า ทุกข์ของชาวนาคือทุกข์ของแผ่นดิน ทุกข์ของแผ่นดินคือทุกข์ของพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ทรงเหนื่อยยากเพื่อพวกเรามามาก

ผมจึงอยากเดินตามรอยพระบาทขององค์ท่าน ช่วยเหลือคนที่เขาด้อยโอกาสเท่าที่เราจะทำได้ ซึ่งปณิธานตรงนี้ทำให้เรามีกำลังใจขึ้นมาว่า เราจะต้องเดินให้ได้ ต้องอดทน เพราะมีสิ่งสำคัญรอเราอยู่ และก็มาตกผลึกว่า จะเปิดศูนย์รักษาผู้ป่วยต้อกระจก เพราะบ้านเรามีคนที่เป็นโรคนี้เยอะ”

• ปณิธานอันแน่วแน่
ดำเนินรอยตามพระราชดำริ

หลังจากนั้นธานินทร์จึงไปปรึกษากับ นพ.วิทิต อรรณเวชกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านแพ้วในขณะนั้น ว่าเขาอยากจะเปิดศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก โดยไม่คิดค่ารักษา ซึ่งคุณหมอวิทิตย้ำว่า จะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล

แต่ธานินทร์ก็ไม่ลังเลใจที่จะนำเงินเก็บ ที่สั่งสมทั้งชีวิตมาใช้ทำโครงการนี้ ด้วยมองว่า การช่วยให้คนคนหนึ่งกลับมามอง เห็นได้เป็นปกติอีกครั้งนั้น เป็นสิ่งที่มิอาจประเมินค่าได้

เขาจึงได้สั่งซื้ออุปกรณ์การผ่าตัดดวงตาจากต่างประเทศ และสั่งซื้อรถห้องผ่าตัดเคลื่อนที่หลายสิบล้านบาท และโชคดีที่ได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลบ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร จัดทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญออกทำการรักษาผู้ป่วยในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้มากมาย และภายหลังธานินทร์ได้เปิดเป็นศูนย์ผ่าตัดผู้ป่วยต้อกระจกที่กรุงเทพฯ โดยใช้ชื่อว่าโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) ซึ่งตั้งอยู่ที่สุขุมวิท ซอย 24

ในละปีที่นี่สามารถให้การรักษาผู้ป่วย ได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย โดยนอกจากจะรักษาฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีที่พัก และอาหารไว้บริการผู้ป่วยที่มาจากต่างจังหวัด รวมทั้งแจกแว่นตาและเครื่องใช้จำเป็นให้ผู้ป่วยนำติดตัวกลับบ้านอีกด้วย

และไม่เพียงแต่จะรับผู้ป่วยในเท่านั้น ศูนย์แห่งนี้ยังให้บริการเชิงรุกโดยจัดรถผ่าตัดเคลื่อนที่ออกไปให้บริการแก่ผู้ป่วยต้อกระจกในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปได้อย่างทั่วถึง เพราะธานินทร์ มองว่ายังมีผู้ป่วยอีกจำนวนไม่น้อยที่อดมื้อกินมื้อ ไม่มีแม้กระทั่งค่ารถที่จะเดินมารับการรักษา หรือเป็นผู้สูงอายุที่ไม่ใครดูแล ทำให้ไม่สามารถเดินทางมาผ่าตัดที่ศูนย์ในกรุงเทพฯได้

“ต้องเข้าใจว่า คนที่ยากจนเนี่ยะเขาจนจริงๆนะ จะกินให้ครบ 3 มื้อยังลำบาก หรือบางคนลูกหลานมาทำงานกรุงเทพฯ อยู่กันสองคนตายาย ไม่มีใครพามารักษา เราเลยต้องออกไปหาพวกเขา ก็ไปมาเกือบทั่วประเทศแล้ว ไปถึงเชียงราย ด้านที่ติดกับพม่า ไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปหมด โดยเราจัดรถไปรับผู้ป่วยเข้ามาผ่าตัดที่ศูนย์ในกรุงเทพฯ มาถึงที่โรงพยาบาลเราก็จัดอาหารการกินให้ มีที่พักให้ฟรีหมด รักษาเสร็จ ตอนเช้าเปิดดวงตา แจกแว่นตา แจกเสื้อ แจกอะไรเสร็จ ให้เขารับประทานอาหาร แล้วก็เอารถกลับไปส่งถึงบ้านเลย

โดยในระหว่างเดินทางเราทำประกันชีวิตให้ด้วย พอเขาถอดรองเท้าเข้าบ้านปุ๊บ ถือว่าภารกิจของเราเสร็จ อีกหนึ่งอาทิตย์เรากลับไปตรวจอีกที แล้วอีกหนึ่งเดือนก็กลับไปตรวจซ้ำ เพื่อให้แน่ใจว่าดวงตาเขาเป็นปกติจริงๆ

ตอนแรกก่อนลงไป เราจะส่งทีมสำรวจไปก่อน ดูว่าจุดนั้นมีผู้ป่วยมากน้อยเพียงใด แล้วก็ประสานกับหน่วยงานในพื้นที่ให้แจ้งกับชาวบ้านว่า เราจะลงไปรับผู้ป่วยวันไหน

แต่บางกรณีที่สามารถผ่าตัดในพื้นที่ได้ ก็ทำในพื้นที่เลย โดยเราจะประสานกับโรงพยาบาลในพื้นที่ ขอใช้สถานที่เพื่อทำการผ่าตัด ซึ่งแพทย์ส่วนหนึ่งก็จะเป็นทีมของเราที่ไปจากกรุงเทพฯ อีกส่วนก็จะเป็นแพทย์จากโรงพยาบาลในพื้นที่หรือในจังหวัดใกล้เคียง แต่เครื่องไม้เครื่องมือเรามีพร้อมอยู่แล้ว

ปณิธานของเราคือการดำเนินรอยตามพระราชดำริขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา จะเห็นว่า พระองค์ไม่ได้รอให้พสกนิกร ที่เดือดร้อนเดินทางมาหาพระองค์นะ แต่พระองค์เสด็จออกไปหาประชาชน พระองค์เป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเราเป็นใครล่ะ” ธานินทร์เล่าถึงการช่วยเหลือผู้ป่วย ที่ได้ทำตลอดหลายปีที่ผ่านมา

• ทุกวันและทุกวินาที
จะทำความดีเพื่อแผ่นดิน

เนื่องจากการผ่าตัดให้แก่ผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกแต่ละราย ต้องมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่ารายละ 5,000-6,000 บาท ทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้มีค่าใช้จ่ายเฉพาะในส่วนของการรักษาสูงถึงปีละ 60 ล้านบาท ทำให้หลายคนสงสัยว่า อะไรที่ทำให้นักธุรกิจหนุ่มอย่างธานินทร์ทุ่มเทเงินทองมหาศาลเพื่อทำโครงการนี้

และไม่เพียงแต่กำลังเงินเท่านั้น เขายังทุ่มเททั้งแรงกายและเวลาในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากไร้อย่างเต็มที่ ชนิดที่เรียกได้ว่า งานที่โรงพยาลบาลบ้านแพ้วเป็นงานหลัก ส่วนการทำธุรกิจส่งออกเป็นงานรอง

“ตอนที่ผมเริ่มทำโครงการนี้ใหม่ๆ ทุกคนมักจะถามว่า คุณเอาเงินมาจากไหน ผมอยากบอกว่า เงินที่ผมได้มานั้นไม่ใช่ของผม ไม่ใช่ของใคร แต่เป็นเงินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ เพราะแบงก์ทุกใบ มีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่าน

ถามว่าวันนี้ผมพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ไหม โอโห...ทุกวันนี้ผมดีใจมากที่ได้อยู่ในแผ่นดินนี้ ผมดีใจมากที่ได้กินข้าวจากแผ่นดินนี้ ผมต้องกตัญญูต่อชาวนาที่ปลูกข้าวให้ผมกิน การที่ผมพาทีมแพทย์ออกไป รักษาดวงตาให้กับประชาชนในชนบทนั้น มันเท่ากับแค่เสี้ยวของบุญคุณที่เขามีต่อผม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเสียเงินเสียทองไปเท่าไรในการช่วยเหลือคนจนในแผ่นดินนี้ ผมไม่เคยเสียดาย

เราดำเนินรอยตามเศรษฐกิจพอเพียง วันนี้ผมพอแล้วกับทรัพย์สินเงินทอง มันปลื้มนะเวลาที่เราสามารถช่วยให้คนที่ดวง ตามืดมัว กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง

มีอยู่เคสหนึ่งเป็นคุณครู อายุ 82 แล้ว อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ท่านดีใจมาก ท่านบอกว่ารอมา 6 ปีแล้ว ได้แต่อุ้มหลาน แต่ไม่เคยเห็นหน้า วันนี้ได้เห็นหลานแล้ว...

คือสิ่งที่เราทำ มันมีคุณค่ามากมาย มหาศาล จนไม่สามารถตราลงในเอกสารใดๆได้ผมไม่ได้ต้องการชื่อเสียงหรือคะแนนนิยมอะไร เพราะผมไม่ใช่นักการเมือง ผมไม่ได้อยู่ในสภาผู้แทนราษฎร แต่ผมอยู่ในสภาประชาชน ผมเป็นคนที่อยู่ใต้เบื้องพระยุคลบาทขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะฉะนั้นทุกวันและทุกวินาที ผมจะทำความดีเพื่อแผ่นดิน” ธานินทร์กล่าวด้วยประกายตาแห่งความปลื้มปีติ

• พระเจ้าในดวงใจ คือ
‘พระเจ้าแผ่นดิน’

ธานินทร์เป็นคนไทยอีกคนหนึ่งที่รักและเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันเป็นอย่างมาก เมื่อก้าวเข้าไปในสำนักงานของเขา จะเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของแต่ละพระองค์เรียงรายอยู่บนฝาผนัง

นอกจากนั้นเขายังเปลี่ยนชื่อถนนส่วนบุคคล ซึ่งเป็นถนนของเขาเอง จาก ‘ถนนพระพรหมพานิช’ เป็น ‘ถนนเรารักในหลวง’ เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย

“ที่ผมเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ถนนเรารักในหลวง’ เพราะผมอยากให้ทุกคนตระหนักว่า แผ่นดินนี้เป็นของพระเจ้าแผ่นดิน พระเมตตาของพระองค์ทำให้คนไทยอยู่ เย็นเป็นสุข จะเห็นว่า ประเทศไทยมีคน หลายเชื้อชาติ หลายศาสนา แต่ในหลวงของเราดูแลพสกนิกรของพระองค์ท่านเท่าเทียมกันหมด ไม่แยกสีไม่มีเหล่า

ดังนั้น คนไทยไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด แต่เรามีพระเจ้าองค์เดียวกันคือ ‘พระเจ้าแผ่นดิน’ เป็นพระเจ้าที่เราเห็นได้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ ‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช’ พระองค์ทรงเป็น พระเจ้าที่ลงมาช่วยเหลือประชาชน โดยที่เราไม่ต้องอธิษฐานหรืออ้อนวอนร้องขอ

เพราะฉะนั้นผมคิดว่า สิ่งเดียวที่เราจะตอบแทนพระองค์ได้ก็คือ การช่วยแบ่ง เบาภาระของพระองค์ท่าน ในการช่วยเหลือ คนไทยที่ยังลำบากยากจนและด้อยโอกาส” ธานินทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่น

ผู้ที่ประสงค์จะผ่าต้อกระจกฟรี! ติดต่อไปยังโรงพยาบาลบ้านแพ้ว หรือบริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด อาคารพระมหากรุณาธิคุณ เลขที่ 98 ซอยสุขุมวิท 24 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม. 10110 สอบถามรายระเอียด โทร.0-2262-9454-5,0-2261-8213-7 เวลาทำการจันทร์-วันศุกร์ 08.00-17.00 น.

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 135 มีนาคม 2555 โดย วิบูลย์ สุขใจ)

ดาบเด็ดเดี่ยว (ฉบับแก้ไข)


 ดาบเด็ดเดี่ยว (ฉบับแก้ไข)

ในร้อยเจ็ดสิบสามดาบที่ผ่านไป มุซาชิยังแกร่งเกินกว่าจะล้ม ผู้คนในสำนักดาบเทพเกียวไคยังคงล้มๆๆแล้วก็ล้ม
ต่อหนึ่งการตวัดดาบของมุซาชื ดาบที่ไร้ผู้ต่อต้าน ดาบที่ทำงานด้วยความตั้งใจปราศจากความโกรธแค้น เกลียดชัง
ดาบที่ต้องการพิสูจน์ความเป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้า
ล้มๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆแล้วก็ล้ม
ฝูงอีกาบินว่อนรอเก็บศพ ร่างกายของมุซาชิล้าเกินกว่าจะรับ สำหรับคนธรรมดา
สุดยอดนักดาบในแผ่นดินล้วนล้มลงภายใต้คมดาบแห่งมุซาชิจนหมดในเบื้องหน้า
แล้วมุซาชิก็อ่อนระทวยแทบจะล้มลงหมดสติ
แต่ในความคิดถามตนเองว่า"เป็นหนึ่งไร้ผู้ต่อต้านในใต้หล้าจริงหรือ"
ก่อนที่มุซาชิจะล้มลง เสียงท่านนักบวชเคนชินดังก้องหู "เจ้าจะเอาชัยชนะไปทำไมมุซาชิ" แล้วดาบในมือก็สะบัดออกไปเป็นครั้งที่สองร้อยยี่สิบ นักดาบเบื้องหน้าล้มลงสองคน ดาบไม่หยุดมุซาชิแทงออกไปข้างหลัง ซามูไรด้านหลังไม่ทันออกเสียง เพราะมีดาบเสียคอหอยตาเหลือกล้มลง อีกสามคนเบื้องหน้า เสียงดาบคมแหวแอากาศ เลือดสาดกระเซ็น ล้มลงดุจใบไม้ร่วง "แฮ่กๆๆ"เสียงลมหายใจและเสียงที่ออกจากลำคอมุซาชิแสดงว่าเต็มกลืน แล้วความอ่อนล้ามันก็เกินฝืน มุซาชิเข่าอ่อนล้มลง หลังจากได้ล้างนักดาบแห่งสำนักดาบเทพเกียวไคทั้งหมดสองร้อยยี่สิบสิบสี่คน

อีการุมล้อมมุซาชิ อย่างระมัดระวัง พร้อมซามูไรอีกสี่คน กวัดแกว่งดาบไปมา "ถ้ามันตายภายใต้ดาบข้า ข้าก็จะเป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้า" ซามูไรคนหนึ่งร้องตระโกนออกมา พร้อมกับวิ่งเข้าไปจะฟันมุซาชิ แต่จะด้วยความคุ้นชินของมุซาชิหรืออย่างไร ดาบในมือของเขาตวัดออกไปยาวผ่านอากาศเสียงดังเฟี๊ยวด้วยความเร็วและแรง เลือดกระฉูดออกจากคอของซามูไรผู้พุ่งเขาไป และขาดใจล้มลงตายแทบจะไม่รู้ตัว มุซาชิถาโถมเข้าหาซามูไรที่เหลือ พร้อมกับตวัดาบสองครั้งและฟันออกไปหนึ่งครั้ง "สวบๆๆ"เสียงดาบโดนร่างกายผู้คนอย่างหนักแน่น.......แล้วที่เหลือก็ล้มลงแบบไม่คาดคิดว่าตนเองจะหมดลมหายใจเร็วปานนั้น

ลูกธนูดอกหนึ่งวิ่งเข้ามาสู่หน้าขามุซาชิ เจ็บแปล๊บแล้วล้มลง ด้วยกายที่อ่อนแรง
แล้วลูกธนูอีกนับสิบดอกก็วิ่งมายังร่างของเขาดุจห่าฝน ดาบในมือแกว่งออก ลูกธนูล้วนถูกปัดออก
"แฮ่กๆๆ"เสียงหอบหายใจของมุซาชิดังปิดหูตนเอง
พลันลูกธนูอีกสิบดอกพุ่งใส่ ดาบในมือของเขาตวัดอีกครา ปัดได้หมดเช่นกัน
"ย้าก"เสียงคนกระโดลงจากิงไม้ "สวบ"ดาบของมุซาชิแทงออก ย่อมมีคนล้มลง
"สวบๆๆๆๆ"สิ้นเสียง ชายชุดดำห้าคนล้มลง "ฉั๊ว" คนล้มลงพร้อมคอหลุดจากบ่า เลือดสาดกระเซ็น
สติของมุซาชิยังเหนียวแน่นกับการต่อสู้ มือที่กำดาบยังแน่นเหมือนทุ่มเททุกพื้นที่ของใจไว้ในกำมือนั้น
"ฉั๊วๆๆ"ร่างชายสามคนล้มลงพร้อมกับคอที่หลุดจากบ่า
"ปึ๊ก"ดาบของมุซาชิแทงทะลุหลังร่างชายชุดดำข้างหน้าอย่างประชิดตัวตรง
โดนตรงลิ้นปรึ่ ตาเหลือกดาบหลุดมือ แล้วโดนผลักล้มลง
"ฟิ้ว"เลือดของชายชุดดำสาดออกจากคอไปตามแรงสะบัดดาบของมุซาชิ แล้วก็ล้มลง


"มุซาชิ............ด้วยความที่เจ้าใช้ดาบฆ่าคนโดยปราศจากความแค้น โกรธ ไม่พอใจ รัก
เจ้าได้บรรลุการเป็นเทพแห่งดาบแล้ว เพราะดาบกับเจ้าคือหนึ่งเดียวกัน หากผู้ใดโดนด้านแหลมหรือคมแห่งดาบย่อมตกตาย
แม้จะเป็นด้านสันดาบก็หนาวเหน็บเจ็บเจียนตาย เจ้าบรรลุแล้ว โดยไม่มีรังสีอำมหิต
 แต่เจ้าก็ยังดิ้นรนเื่พื่อไปสู่หนทางแห่งหนึ่งในใต้หล้าไร้ผู้ต่อต้าน น่าเสียดาย..........ใจเจ้า" เสียงนักบวชเคนชินดังก้องหูมุซาชิ

อยู่กับคนที่ศีลไม่เท่ากัน


อยู่กับคนที่ศีลไม่เท่ากัน


งดงาม
rngodngam@gmail.com




ในสังคมเราย่อมจะมีทั้งคนดีและคนไม่ดีเป็นเรื่องธรรมดานะครับ
เราเองก็ย่อมจะต้องได้พบปะและคบหากับคนที่ศีลไม่เท่ากันเป็นธรรมดาเช่นกัน
หากว่าเราสามารถเลือกได้แล้ว ถามว่าเราควรจะคบหาสมาคมกับคนที่มีศีลอย่างไร?
ในคำถามนี้ ขอให้เราลองพิจารณา “เสวิตัพพสูตร” ซึ่งสอนเรื่องบุคคลที่ควรคบและไม่ควรคบ
(จากพระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต ปุคคลวรรค)
โดยพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสอนว่า
สำหรับบุคคลที่เป็นผู้ต่ำต้อยโดยศีล โดยสมาธิ โดยปัญญานั้น
เราไม่ควรสมาคม ไม่ควรคบหา ไม่ควรเข้าใกล้ เว้นแต่เอ็นดู หรืออนุเคราะห์
สำหรับบุคคลที่เป็นผู้เสมอกันโดยศีล โดยสมาธิ โดยปัญญา
เราควรสมาคม ควรคบหา ควรเข้าใกล้
เพราะเมื่อเราทั้งหลายมีศีล สมาธิ หรือปัญญาเสมอกันแล้ว
เราก็จักพูดกันในเรื่องศีล สมาธิ หรือปัญญาได้ราบรื่น
และการสนทนาในเรื่องเหล่านี้ย่อมเป็นไปเพื่อความผาสุกแก่พวกเรา

สำหรับบุคคลที่เป็นผู้ยิ่งโดยศีล โดยสมาธิ โดยปัญญากว่าเรานั้น
เราควรสักการะเคารพแล้วจึงสมาคม จึงควรคบหา จึงควรเข้าใกล้
เพราะเราจะได้ทำกองศีลที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์บ้าง
จะได้ทำกองสมาธิที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์บ้าง
จะได้ทำกองปัญญาที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์บ้าง

กล่าวโดยย่อก็คือว่า คนผู้คบคนทราม (ในด้านศีล สมาธิ และปัญญา) ย่อมเสื่อม
ส่วนคนผู้คบคนเสมอกัน (ในด้านศีล สมาธิ และปัญญา) ไม่เสื่อมในกาลไหน ๆ
ผู้คบคนที่ประเสริฐกว่า (ในด้านศีล สมาธิ และปัญญา) ย่อมเจริญเร็ว
เพราะฉะนั้น เราจึงควรคบคนที่ยิ่งกว่าตน (ในด้านศีล สมาธิ และปัญญา)

ถามว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ใดเป็นผู้มีศีล และปัญญายิ่งกว่าเรา?
ใน “ชฏิลสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค)
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสอนว่า
“ศีล” พึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ก็ศีลนั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน
ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้
ผู้มีปัญญา จึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้
“ปัญญา” พึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ก็ปัญญานั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน
ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้สนใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่สนใจก็ไม่รู้
ผู้มีปัญญา จึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้

บางท่านอาจจะบอกว่า ในปัจจุบันนี้หาผู้ที่ประเสริฐในศีล สมาธิ และปัญญาได้ยากมาก ๆ
แล้วเราจะไปคบหากับบุคคลเหล่านั้นได้อย่างไร
ผมขอแนะนำว่าหากเราหารอบ ๆ ตัว หรือหาใกล้ ๆ ตัวไม่พบแล้ว
ก็ให้นึกถึงครูบาอาจารย์ก็ได้ครับ โดยเราก็พยายามคบหากับครูบาอาจารย์เข้าไว้
การที่ “คบหา” กับครูบาอาจารย์นี้ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเดินทางไปอยู่ใกล้ ๆ ท่าน
แต่หมายถึงว่าเราสนใจอ่าน ฟัง หรือศึกษาคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์
และนำคำสอนของท่านมาประพฤติปฏิบัติอยู่เป็นนิจ
(คำว่า “ครูบาอาจารย์” ในที่นี้ หมายรวมถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลายด้วย)

ถามว่าการที่สนใจศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนเช่นนี้ เราจะเรียกว่า “คบหา” ได้ไหม?
เราก็ลองนึกถึงสภาพที่เราคบหากับเพื่อนสักคนหนึ่งนะครับ เราทำอะไรกันบ้าง
เช่น เราคุยให้เพื่อนฟัง เพื่อนคุยให้เราฟัง เราแนะนำเพื่อน เพื่อนแนะนำเรา
เราให้ของเพื่อน เพื่อนให้ของเรา เราและเพื่อนทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ
ในกรณีนี้ เราฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์แนะนำเรา
ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดธรรมะให้แก่เรา เราปฏิบัติธรรมตามคำสอนของครูบาอาจารย์ ฯลฯ
ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวผมแล้ว ก็เรียกว่า “คบหา” ได้แล้วล่ะครับ
เพียงแต่ว่าเราคบหาท่านในฐานะที่เราเป็นศิษย์ หรือผู้ดำเนินรอยตามเท่านั้น

อย่างไรก็ดี กรณีก็ไม่ได้แปลว่าเราจะคบหากับผู้ที่มีศีลด้อยกว่าเราไม่ได้นะครับ
โดยใน “เสวิตัพพสูตร” สอนว่าเราคบหากับผู้ที่มีศีลด้อยกว่าได้ในกรณีที่เอ็นดูหรืออนุเคราะห์
กล่าวคือเราอนุเคราะห์ช่วยเหลือแนะนำผู้ที่มีศีลด้อยกว่านั้น

ในชีวิตจริงของเรานั้น เป็นไปได้ยากที่จะเลือกคบหาเฉพาะคนที่มีศีลยิ่งกว่าเราทุกคน
เพราะว่าเราก็ยังต้องอยู่พบปะ ติดต่อ อาศัย หรือทำงานกับคนอื่น ๆ ในสังคม
เราจึงย่อมจะพบปะ ติดต่อ อาศัย และทำงานร่วมกับผู้อื่นที่มีศีลแตกต่างกันไป
นอกจากนี้ เราต้องพบปะ ติดต่อ อาศัย หรือทำงานกับคนต่างศาสนาที่มีศีลต่างกันอีกด้วย
ในกรณีดังกล่าว เราจึงต้องระมัดระวังตนเองเป็นอย่างมาก
โดยเราพึงที่จะรักษาศีลของเรา แต่เราก็ต้องระวังว่าไม่ไปสร้างเรื่องทะเลาะกับคนอื่น ๆ

อย่างเช่น เราคบหากับเพื่อนต่างศาสนาคนหนึ่ง ซึ่งศาสนาเขาไม่ได้ห้ามการดื่มสุรา
แต่ศีลในศาสนาพุทธของเราห้ามการดื่มสุรา
เพื่อนคนนี้อาจจะชักชวนเราไปดื่มสุรากับเขา หรือต้องการให้เราซื้อสุราเป็นของขวัญให้เขา
โดยหากเราไปดื่มสุรากับเขา หรือซื้อสุราเป็นของขวัญให้เขา
เราไม่ได้ทำผิดตามหลักศาสนาของเขา แต่เราทำผิดศีลในศาสนาพุทธของเราเองได้

ถามว่าความเชื่อในศาสนาที่แตกต่างกัน จะทำให้เกิดอกุศลด้วยกันไหม?
อย่างเช่นคนที่นับถือศาสนาอื่นซึ่งไม่ได้ห้ามดื่มสุรากับชาวพุทธไปดื่มสุราด้วยกัน
คนศาสนาอื่นไม่ได้ผิดศีลตามศาสนาอื่น แต่ชาวพุทธผิดศีลตามศาสนาพุทธ
ถามว่าทั้ง ๒ คนนี้จะเกิดอกุศลด้วยกันไหม?
(อนึ่ง ผมใช้คำว่าเกิด “อกุศลด้วยกัน” นะครับ ไม่ได้ใช้คำว่า “อกุศลเหมือนกัน”)

ในกรณีนี้ เราลองพิจารณาว่าความเชื่อนั้นจะเปลี่ยนความจริงได้ไหม
สมมุติว่าเรามีความเชื่อว่ากินยาพิษแล้วไม่ตาย แต่จะทำให้สุขภาพดี
ถามว่าเรากินยาพิษลงไปเยอะเลย แล้วเราจะตายหรือจะมีสุขภาพดี
หรือเรามีความเชื่อว่าเราเอามือจุ่มลงในน้ำเดือดแล้วจะทำให้ผิวดี
ถามว่าเราเอามือจุ่มลงในน้ำเดือดแล้วจะทำให้มือเราพุพองเจ็บปวดหรือทำให้ผิวดี
หรือเรามีความเชื่อว่าการดื่มสุรามาก ๆ จะช่วยให้เราบรรลุธรรม
ถามว่าเราดื่มสุรามาก ๆ แล้ว เราจะยิ่งห่างไกลจากธรรม หรือจะทำให้บรรลุธรรม เป็นต้น
เราจะเห็นได้ว่าความเชื่อไม่สามารถเปลี่ยนข้อเท็จจริงไปได้
ในทำนองเดียวกัน แม้ว่าเราจะมีความเชื่อว่าสิ่งที่เราทำลงไปนี้ไม่เป็นอกุศลก็ตาม
แต่หากโดยสภาพแล้วมันเป็นอกุศล มันก็เป็นอกุศลครับ ไม่ได้เปลี่ยนความจริงไปได้

ทีนี้ หากเราจะไปเปลี่ยนแปลงคนอื่นให้มาถือศีลตามเรา ก็คงจะยากมาก ๆ
ดีไม่ดีก็จะทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องขัดแย้งกันหรือทะเลาะกันเพราะเรื่องความเชื่อทางศาสนา
ในทางกลับกัน หากเราจะไหลตามเขาไป โดยเราไปทำอะไรตามเขาทั้งหมด
ก็ย่อมจะเป็นการที่เราทำผิดศีล เป็นบาปอกุศลแต่ตัวเราเอง และพาตนเองไปอบายภูมิ

หากเราเปลี่ยนเขาไม่ได้ แต่เราก็ไม่ต้องการปล่อยตนเองให้ไหลตามเขาไป จะทำอย่างไร?
ในกรณีนี้ ขอแนะนำให้ศึกษากรณีของภริยาของพรานกุกกุฏมิตรเป็นตัวอย่างนะครับ
ภริยาของพรานกุกกุฏมิตรนั้นเป็นพระโสดาบัน
โดยสามีของนางคือพรานกุกกุฏมิตรนั้นประกอบอาชีพเป็นนายพรานล่าสัตว์
แต่ทั้ง ๒ คนก็อยู่ร่วมกันได้ โดยที่ภริยาของพรานกุกกุฏมิตรนั้นมิได้ทำผิดศีล
(เรื่องของพรานกุกกุฏมิตรอยู่ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท)

ตามเนื้อเรื่องนั้น ภริยาซึ่งเป็นพระโสดาบันอาศัยอยู่กับพรานป่า และได้รับคำสั่งของสามีอยู่เรื่อย ๆ
ว่า “หล่อนจงนำธนูมา นำลูกศรมา นำหอกมา นำหลาวมา นำข่ายมา”
นางก็ได้นำสิ่งเหล่านั้นไปให้แก่สามีของนาง
หลังจากนั้น พรานกุกกุฏมิตรได้ถือเครื่องประหารเหล่านั้นไปทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ต่าง ๆ

ต่อมาเรื่องดังกล่าวได้ทราบถึงเหล่าภิกษุ แล้วก็ได้มีพระภิกษุสงสัยว่า
แม้พระโสดาบันทั้งหลายยังทำปาณาติบาตอยู่หรือ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงอธิบายให้พระภิกษุเหล่านั้นเข้าใจว่า
พระโสดาบันย่อมไม่ทำปาณาติบาต
แต่ภริยาของพรานกุกกุฏมิตรได้ทำเช่นนั้นด้วยคิดว่า “เราจักทำตามคำสามี”
จิตของนางไม่มีเลยว่า สามีนั้นจงถือเอาเครื่องประหารนี้ไปทำปาณาติบาต
เมื่อแผลในฝ่ามือไม่มี ยาพิษนั้นก็ไม่อาจจะให้โทษแก่ผู้ถือยาพิษได้ ฉันใด
ชื่อว่าบาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาป แม้นางจะได้นำเครื่องประหารทั้งหลาย
มีธนูเป็นต้นออกให้แก่สามี เพราะไม่มีอกุศลเจตนา ฉันนั้นเหมือนกัน

หลังจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
“ถ้าแผลไม่พึงมีในฝ่ามือไซร้ บุคคลพึงนำยาพิษไปด้วยฝ่ามือได้
เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผล ฉันใด
บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำอยู่ ฉันนั้น”

ฉะนั้นแล้ว การที่ถือหรือส่งเครื่องประหารให้แก่ผู้อื่น ไม่ได้แปลว่าทำบาปอกุศลเสมอไป
ขึ้นอยู่กับเจตนาในจิตใจของเราเอง
ยกตัวอย่างเช่น เราส่งมีดเล่มหนึ่งให้กับเพื่อน เพื่อนคนนั้นอาจจะนำมีดเล่มนั้นไปหั่นผัก
ไปตัดเชือก ไปทำกับข้าว ฯลฯ หรือนำไปใช้ทำร้ายคนอื่นก็ได้
ปัญหาของเราอยู่ที่ว่าเราส่งมีดให้เพื่อนด้วยเจตนาอย่างไร
หากเราส่งมีดให้เพื่อนโดยมีอกุศลเจตนาแล้ว ก็ย่อมถือว่าเราทำบาปอกุศลแล้ว
แต่หากเราส่งมีดให้โดยไม่มีอกุศลเจตนาแล้ว อกุศลก็ย่อมไม่มีแก่เรา
ฉันใดฉันนั้นกับการที่เราต้องอยู่ร่วมกับผู้ที่มีศีลด้อยกว่านะครับ
เราพึงระมัดระวังจิตใจและเจตนาของเราให้ดี แล้วเราก็จะหลีกเลี่ยงไม่ทำอกุศลได้ครับ
ฟังดูเหมือนยาก แต่ไม่เกินวิสัยครับ เริ่มต้นด้วยการฝึกมีสติรู้ทันใจตนเองก่อน

ที่มา http://www.dlitemag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=926&Itemid=1

วิธีพูดเพื่อส่งคนใกล้ตายให้ไปดี


วิธีพูดเพื่อส่งคนใกล้ตายให้ไปดี


ถาม - คุณพ่อใกล้จะเสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็ง ถ้าอยากให้ท่านไปสบาย จะมีวิธีพูดให้ท่านฟังแล้วสบายใจได้อย่างไรคะ


เอาสูตรสำเร็จของพระพุทธเจ้าเลยก็แล้วกัน
ท่านให้เข้าไปไถ่ถาม ให้เข้าไปพูดคุย
เพื่อที่จะให้คนไข้คนป่วยที่ใกล้จะต้องจากไปนี่นะได้เกิดความสบายใจ
ได้เกิดการถอนจากอาการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง
คำว่าทำให้ถอนจากอาการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงคือทิศทาง
แต่วิธีการของแต่ละคน ก็อาจแตกต่างกันไปแล้วแต่รายละเอียด
ซึ่งเรารู้จักคุณพ่อมาว่าคุณพ่อยังห่วงอะไรบ้าง
คุณพ่อยังมีความยึดมั่นถือมั่นอะไรมากบ้าง
คุณพ่อยังคิดไม่ดีในเรื่องอะไรติดค้างอยู่บ้าง
ถ้าหากว่าเรารู้แล้วเราก็ค่อยๆ พูดทีละเปลาะๆ


ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านให้แนวทางไว้คร่าวๆ อย่างนี้
อาจจะเริ่มต้นถามว่า ยังห่วงอะไรอยู่บ้าง
ถ้าบอกว่า ยังห่วงลูก ยังห่วงหลาน
เราก็บอกท่านว่า เออ เดี๋ยวลูกเดี๋ยวหลานก็ตายตามไปเหมือนกัน
ไม่มีใครอยู่ตลอด ไม่มีใครที่จะน่าห่วงอยู่ในโลกนี้ไปอีกหลายๆ ร้อยปี
ทุกคนจะต้องสิ้นภาวะความน่าห่วงในโลกนี้ ไปตามกรรมของแต่ละคน


หรือถ้าหากว่าท่านยังห่วงสมบัติ
ท่านยังห่วงเรื่องของความได้เปรียบเสียเปรียบ ผลประโยชน์อะไรต่างๆ
เราก็พูดให้ฟังว่า เหล่านั้นก็ไม่มีใครสามารถที่จะครอบครองได้ตลอดไปเช่นกัน
ในที่สุดต่อให้ครอบครองได้อีกเป็นร้อยๆ พันๆ ปี
สิ่งของเหล่านั้นมันก็หมดค่าไปแล้ว


ถ้าหากว่าเราเห็นนะครับว่าท่านสามารถที่จะละหรือว่าถอน
จากความยึดมั่นถือมั่นอะไรที่มันหยาบๆ ได้แล้ว
เราก็ถือโอกาสพูดถึงที่คนตายอยากรู้มากที่สุดเลย
ก็คือ ตายแล้วจะไปไหน ตายแล้วจะเป็นยังไง
ขอให้เชื่อเถอะว่ามนุษย์ทุกคนนะต่อให้ปากแข็ง ต่อให้พูดกี่ครั้งกี่หนก็แล้วแต่ว่า
ฉันไม่เชื่อว่าชีวิตหน้ามี ฉันไม่เชื่อเรื่อง นรก สวรรค์
แต่พอใกล้ตายนะครับ มันไม่เหมือนตอนกำลังมีชีวิตนะ มันคนละเรื่องเลยนะ
ความรู้สึกมันจะอยากรู้ขึ้นมาว่า ตายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น


ให้เราถือโอกาสตรงนั้นนะพูด พูดในแบบที่พระพุทธเจ้าให้พูด
อันนี้ถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไกด์ (guide) นะครับ
ท่านบอกให้ระลึกถึงบุญ ระลึกถึงกุศลที่เคยทำมา
แล้วก็บอกว่าบุญกับกุศลที่ทำให้ใจสบาย ที่ทำให้ใจสว่างนั่นแหละ
เป็นเหตุให้เข้าถึงความสบายที่มันยิ่งกว่าในโลกมนุษย์นี้
ได้แก่ ความเป็นทิพย์ของสวรรค์
เราก็พูดให้ท่านฟังว่าสวรรค์มีชั้นไหนบ้าง สวรรค์มีชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง ชั้นที่สาม
จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี
ลองไปค้นหา ลองไปศึกษาดูว่าสวรรค์แต่ละชั้น
ท่านบรรยายสรรพคุณไว้ยังไง
เพื่อที่จะให้คนที่ใกล้จะต้องจากโลกนี้ไปได้ระลึก
ได้เอาจิตไปผูกอยู่กับสิ่งที่มันน่าสบายใจกว่า
สิ่งที่กำลังจะต้องจากไป โลกที่กำลังจะต้องจากไป


นอกจากเราจะบรรยายสรรพคุณสวรรค์วิมานอะไรต่างๆ แล้ว
สิ่งสำคัญก็คือเราต้องพูดถึงต้นเหตุให้สามารถเข้าถึงได้
ต้นเหตุนั้นก็คือ ก่อนอื่นเลยละความพอใจในโลกนี้เสีย
แล้วก็มีความพอใจ ทำความพอใจในบุญในกุศลที่เคยทำมา
ความพอใจในบุญในกุศลที่เคยทำมานั่นแหละ
จะเป็นตัวปรุงแต่งจิตให้เกิดความสว่างไสว
ปรุงแต่งจิตให้เกิดความเบิกบาน สำราญ
แล้วก็มีความพร้อมที่จะจากไปด้วยความสงบ ไม่ทุรนทุรายนะครับ


พูดกับท่าน อันนี้เป็นแค่หลักการคร่าวๆ
แต่ว่าเวลาคุณพูดจริงๆ คุณต้องสังเกตอาการของท่านเองด้วย
แล้วก็ตัวคุณเองจะต้องมีธรรมะ
ทั้งในแง่ของความรู้และในแง่ของความเย็น
นอกจากคุณจะบรรยายเรื่องของสวรรค์ ให้ท่านฟังได้แล้ว
ใจของคุณจะต้องมีความเย็นให้ท่านรู้สึก
มันเหมือนกับเปิดแอร์แล้วก็เปิดเพลงให้ฟัง
เปรียบเทียบนะ แอร์ก็คือใจของเรา
กระแสทางใจของเราที่มันมีความอ่อนโยน ที่มันมันมีความเยือกเย็น
ส่วนเสียงเพลงก็คือเสียงของธรรมะที่เราอ่าน หรือว่าเราพูดให้ท่านฟัง
อาจจะเอาคำพูดของพระอาจารย์ที่ไหนที่เราเคารพมาพูดให้ท่านฟังก็ได้
หรือว่าเอาซีดีเสียงของท่าน มาเปิดให้ท่านฟังก็ได้
ขอให้ท่านได้ฟังอะไรดีๆ นึกภาพตามได้ถึงสิ่งดีๆ ก็แล้วกันนะครับ


แล้วสำคัญอย่างหนึ่งคือจะต้องไม่แสดงความเศร้าโศกเสียใจให้ท่านเห็นนะ
เพราะอาการเศร้าโศกเสียใจจะเป็นพันธะ จะเป็นแรงยึด
ให้ท่านเกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ถ้าหากว่าอาลัยอาวรณ์ปุ๊บนี่
บางทีพูดมาตั้งยืดยาวนะ เสียเปล่าเลยนะครับ คือไม่มีประโยชน์เลย
เนื่องจากว่าอาการทางใจของคนใกล้ตาย
สิ่งสำคัญที่สุดคืออาการปล่อย คืออาการทิ้ง
คืออาการลอยตัวเหนือจากภาวะที่มันเป็นภาระเก่าๆ หรือว่าความรุ่มร้อนเก่าๆ
แม้กระทั่งลูกเมีย แม้กระทั่งบุคคลอันเป็นที่รัก ก็อย่าให้ท่านยึด
แต่ให้ท่านยึดเอาความดีความงาม
ให้ท่านนึกออกว่า ท่านเคยทำอะไรดีๆ มาไว้บ้าง
ถ้าหากว่าท่านนึกออกมากเท่าไหร่
นั่นก็ยิ่งประกันว่าท่านจะไปสบายได้มากขึ้นเท่านั้นนะครับ
 ที่มา http://www.dlitemag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=924&Itemid=1

นักเรียนที่...ถูกเฆี่ยน !!! เป็นประจำ


นักเรียนที่...ถูกเฆี่ยน !!! เป็นประจำ


ครูสมชายตั้งกติกาว่าถ้าใครมาสายจะถูกครูเฆี่ยน ปรากฏว่าสมเพียรมาสายทุกวัน แม้จะถูกครูเฆี่ยนทุกวัน ๆ ละสามที แต่สมเพียรก็ยังมาสายไม่หยุด ราวกับไม่รู้จักเข็ดหลาบ เขาทนถูกครูตีทุกวันจนเรียนจบ

๓๐ ปีต่อมา โรงเรียนต้องการทำป้ายโรงเรียนใหม่ให้สมศักดิ์ศรี ผู้อำนวยการจึงขอให้ครูสมชาย โทรไปหาลูกศิษย์คนนี้ ซึ่งตอนนั้นเป็นตำรวจคุ้มครองเหมืองหินอ่อน ครูสมชายรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เพราะมั่นใจว่าลูกศิษย์คนนี้ไม่มีวันลืมรอยไม้เรียวของครู แต่เมื่อออกปากขอความช่วยเหลือ เขากลับตอบทันทีว่า “ได้เลยครับ ไม่มีอะไรขัดข้อง” ครูสมชายถึงกับอึ้งไปเลย จากนั้นก็บอกความในใจว่า “ครูขอโทษนะที่สมัยเรียน ครูตีเธอทุกวันเลย” แต่เขาไม่โกรธครูเลย

แล้วเขาก็เล่าความจริงให้ฟังว่า ตอนนั้นเขาเป็นเด็กวัด ต้องตามหลวงพ่อไปบิณฑบาต หลวงพ่อท่านชรามากจึงเดินช้า กว่าเขาจะกลับถึงวัดและได้กินข้าวก้นบาตรก็ได้เวลาเรียนแล้ว แต่เขายังต้องเก็บข้าวไว้กินตอนเย็น ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็ไม่มีอะไรจะกิน เลยต้องมาสายทุกวัน

ครูสมชายเพิ่งถึงบางอ้อตอนนั้นเอง แล้วเขาก็พูดต่อว่า “ครูครับ ไม่ต้องเสียใจ ถ้าครูไม่เฆี่ยนผม ป่านนี้ผมเป็นโจรไปแล้ว ไม่ได้ใส่เครื่องแบบตำรวจอย่างนี้”

เวลาผ่านไปนานถึง ๓๐ ปี ครูสมชายถึงเพิ่งรู้ว่าลูกศิษย์คนนี้ไม่ได้เกกมะเหรกเกเร หากเพียงแต่ครูถามเขาสักคำว่าทำไมเขามาสายเป็นประจำ ก็คงจะไม่ลงโทษเขามากมายขนาดนั้น

ทางด้านสมเพียร แม้ชีวิตจะดูเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ลำบากยากแค้นแล้วยังไม่วายถูกครูเฆี่ยนทุกวันราวกับเป็นเด็กเหลือขอ แต่เขาก็ไม่ได้ก่นด่าชะตากรรม แต่ยังขอบคุณครู ที่ตีเขาจนได้ดี

น่าเสียดายที่คนที่เห็นความดีของเขานั้นมิใช่ผู้บังคับบัญชาชั้นสูง มิเช่นนั้นเขาคงมีชีวิตที่สุขสงบในบั้นปลาย


สมเพียร แซ่เจ่ง คนนี้ ต่อมาเปลี่ยนนามสกุลเป็น สมเพียร เอกสมญา คนเดียวกับ “จ่าเพียร” ของชาวบ้านที่บันนังสตา ซึ่งได้รับเลื่อนยศจาก พ.ต.อ. เป็น พล.ต.อ.
หลังจากที่ชีวิตเขาหาไม่แล้ว

[ ศูนย์พุทธธรรมพรหมวชิรญาณ ]

งานปฏิบัติบูชา “ญาณสังวร” พุทธศักราช ๒๕๕๖



งานปฏิบัติบูชา “ญาณสังวร” พุทธศักราช ๒๕๕๖
ภาวนาคืนเพ็ญ Full Moon Meditation Night
ฉลองพระชันษา ๑๐๐ ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ทุกคืนเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ตลอดปี ๒๕๕๖ สวนปทุมวนานุรักษ์ ระหว่างศูนย์การค้าสยามพารากอน และ เซ็นทรัลเวิลด์ ใจกลางกรุงเทพมหานคร




ด้วยปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ ถือเป็นปีสำคัญที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จะมีพระชนมายุครบ ๑๐๐ ปี ซึ่งถือเป็นโอกาสอันสำคัญยิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนและเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง เฉพาะอย่างยิ่งพระองค์ทรงได้รับการยอมรับจากสกลมหาสังฆะและมหาชนชาวพุทธทั่วทั้งโลกว่าเป็นเชษฐบิดรที่ทรงด้วยนานาคุณ ดังพระนามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดถวายตามพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระญาณสังวร หมายถึง สมเด็จพระผู้มีสังวรธรรม – ธรรมเป็นเครื่องระวังอันประกอบด้วยพระปรีชาญาณ มีปฏิปทา จริยวัตร ผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย ว่าทรงเป็น "พระผู้เจริญและสำรวมพร้อม" ควรที่ชาวพุทธไทยทั้งมวล จะได้ร่วมกันจัดกิจกรรมถวายสักการะปฏิบัติบูชาเฉลิมฉลองอย่างกว้างขวาง

ประกอบกับรัฐบาล คณะสงฆ์ มหาเถรสมาคม ตลอดจนภาคองค์กรชาวพุทธทั่วทั้งประเทศ ทั้งภาครัฐ เอกชน ชุมชนท้องถิ่น ประชาชนพลเมือง ได้มีการปรึกษาหารือกันแล้ว หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ในฐานะหนึ่งในองค์กรในพระบวรพุทธศาสนา และปรารภถึงพระเมตตาที่ทรงมีต่อท่านพุทธทาสภิกขุ และแบบอย่างความเคารพของท่านพุทธทาสภิกขุต่อสมเด็พระญาณสังวรเสมอมา

กอปรกับในโอกาสพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๕ ได้มีประสบการณ์ความร่วมมือกับร่วม ๑๐๐ ภาคีองค์ชาวพุทธ จัดกิจกรรมเฉลิมฉลองภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาแล้ว จึงเห็นดำริในการมีส่วนร่วมประสานภาคีองค์กรชาวพุทธจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองสนองงาน และถวายสักการะปฏิบัติบูชาขึ้น โดยจะจัดให้มีความเชื่อมโยงประสานสอดคล้องและเอื้ออำนวยรับส่งกระแสกับบรรดากิจกรรมต่าง ๆ ของคณะสงฆ์ รัฐบาลและนานาองค์กรเครือข่ายของพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะวัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และแนวกิจกรรมประกอบด้วย

1) เพื่อถวายสักการะอาจาริยบูชา ฉลองพระชันษา 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ที่จะบรรจบมาถึงในวันที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2556

2) เพื่อสนองและขยายงานธรรมในพระบวรพุทธศาสนา ผ่านงานธรรมขององค์สมเด็จญาณสังวร ฯ ด้วยการริเริ่มและพัฒนารูปแบบงานธรรมใหม่ ๆ สู่สังคม ตลอดจนกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ในทางธรรม

3) เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติบูชา "ญาณสังวร : สำรวมพร้อม" เฉลิมฉลอง ตามแบบอย่างและพระสมณศักดิ์พระราชทานแสนวิเศษว่า สมเด็จพระญาณสังวร ฯ

กิจกรรมพิเศษในครั้งนี้มีความพิเศษในหลายนัยยะ โดยเฉพาะจะเป็นการกลับฟื้นคืนค่าและความหมายแห่งคืนเพ็ญอันเป็นวันพระใหญ่ของชาวพุทธให้กลับคืนมาด้วยการปฏิบัติบูชา อันเป็นการบูชาที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญสูงสุด ครบสมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ และ ภาวนา พร้อมกับการพัฒนารูปแบบงานธรรมใหม่ ๆ ให้สมสมัย

"ภาวนาคืนเพ็ญ" หรือ Full Moon Meditation Night โดยจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกคืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงตลอดทั้งปี ที่สวนปทุมวนานุรักษ์ ระหว่างศูนย์การค้าสยามพารากอน และ เซ็นทรัลเวิลด์ ใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งนี้นัดแรก จัดในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนยี่ เสาร์ที่ ๒๖ มกราคม นี้ ถือเป็นนัดแรก ก่อนพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในคืนเพ็ญเดือน ๓ มาฆบูชา ตรงกับวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ศกนี้

 

กำหนดการ ครั้งที่ ๒ วันจันทร์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (วันมาฆบูชา)


๑๖.๓๐ – ๑๗.๐๐ น.

ผู้เข้าร่วมงานลงทะเบียน รับของที่ระลึก

๑๗.๐๐ – ๑๗.๔๕ น.

ดนตรีและบทกวีมีธรรมกับ “เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ และวงคันนายาว”

๑๘.๐๐ – ๑๘.๔๕ น.

เสวนา หัวข้อ “ปฏิบัติบูชา ญาณสังวร” ร่วมเสวนาโดย ...

ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีซีไรต์ เรื่อง “เพียงความเคลื่อนไหว” , ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์และกวีรัตนโกสินทร์
นพ.บัญชา พงษ์พานิช กรรมการและเลขานุการมูลนิธิ
หอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ ดำเนินรายการ
๑๙.๐๐ – ๑๙.๓๐ น.

สวดมนต์ทำวัตรเย็น และสวดบทโอวาทปาติโมกขคาถา
download หนังสือสวดมนต์

๑๙.๓๐ – ๑๙.๔๐ น.

ธรรมกถามาฆบูชา “ปฏิบัติบูชา ญาณสังวร” โดย สมเด็จพระวันรัต
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ, กรรมการมหาเถรสมาคม

๑๙.๔๕ – ๒๐.๓๐ น.

เวียนเทียนในวาระมาฆบูชา

๒๐.๓๐ – ๒๑.๓๐ น.

ธรรมบรรยายแล้วภาวนา โดย พระอนิลมาน ธมฺมสากิโย  ผู้สืบเชื้อสายศากยวงศ์, บรรพชาและอุปสมบทในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช, นักเรียนทุนพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร

สิ้นสุดกิจกรรม





การเดินทางและการเตรียมตัว

๑. สวนปทุมวนานุรักษ์ ตั้งอยู่บนถนนส่วนบุคคลที่เชื่อมระหว่างด้านหลังสยามพารากอนกับเซ็นทรัลเวิรด์ ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนวัดปทุมวนาราม (สวนฯ นี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวัดปทุมวนาราม และไม่สามารถเดินทะลุวัดมาได้)

การเดินทางด้วยรถยนต์- เนื่องจากไม่มีที่จอดรถรอบ ๆ สวนฯ สามารถจอดรถได้ที่พารากอนหรือเซ็นทรัลเวิลด์
การเดินทางด้วย BTS - ให้ลงสถานีสยาม จากนั้นให้เดินตัดผ่านศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยไปที่ชั้น G และออกที่ประตูหมายเลข ๖ จากนั้นข้ามถนนมาทางฝั่งโรงแรมสยามเคมปินสกี้ แล้วเดินทางทางขวามือประมาณ ๒๐๐ เมตร จะถึงสวนปทุมวนานุรักษ์

รถโดยสารประจำทาง - หากมาทางถนนพระราม ๑ ให้เดินผ่านศูนย์การค้าสยามพารากอน เช่นเดียวกับกรณีของ BTS หากมาทางถนนราชดำริ สามารถเดินเท้าเข้ามาที่ถนนด้านที่ติดกับอิเซตัน

๒. การแต่งกาย แต่งกายสุภาพ ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดขาว ผู้หญิงไม่ควรนุ่งสั้น เปิดไหล่ หรือเสื้อคอกว้าง เพื่อความเรียบร้อยระหว่างการก้มกราบและการนั่งปฏิบัติธรรม

๓. เตรียมผ้าคลุมไหล่ ยาทากันยุง

๔. หากท่านสามารถเตรียมเสื่อเล็ก ๆ หรือที่รองนั่งมาด้วยก็จะเป็นการดี เพราะอาจมีบริการได้ไม่เพียงพอ

๕. มีรถสุขาเคลื่อนที่ให้บริการด้านนอกสวนฯ



กำหนดวันจัดงานปฏิบัติบูชา “ญาณสังวร” ร่วมภาวนาคืนเพ็ญ Full Moon Meditation Night ตลอดปี พุทธศักราช ๒๕๕๖

เสาร์ ๒๖ ม.ค. ๕๖, จันทร์ ๒๕ ก.พ. (มาฆบูชา), อังคาร ๒๖ มี.ค., พฤหัสบดี ๒๕ เม.ย., ศุกร์ ๒๔ พ.ค. (วิสาขบูชา), อาทิตย์ ๒๓ มิ.ย., จันทร์ ๒๒ ก.ค. (อาสาฬหบูชา), พุธ ๒๑ ส.ค., พฤหัสบดี ๑๙ ก.ย., เสาร์ ๑๙ ต.ค. (ออกพรรษา), อาทิตย์ ๑๗ พ.ย.,  และ อังคาร ๑๗ ธ.ค.

http://www.bia.or.th/new/index.php/site_content/40-news/568--qq

"ที่นี่...เป็นพระของประชาชน"


"ที่นี่...เป็นพระของประชาชน"

คำถาม - ศาสนากิจและภารกิจมากมายที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ต้องปฏิบัติเป็นประจำ ทำไมพระองค์จึงทรงดูไม่เหนื่อย อีกทั้งพุทธศาสนิกชนที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าอย่าใกล้ชิดยังได้รับความเมตตาอย่างสม่ำเสมอ

ตอบ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเหนื่อยเหมือนคนชราทั่วไป แต่พระองค์ทรงนึกเสมอว่า เมื่อคนมาขอพึ่งพระองค์ พระองค์ก็ประทานเมตตาให้เสมอ เหมือนกับที่ทรงเคยรับสั่งว่า

"ที่นี่...เป็นพระของประชาชน"

ดังนั้น จึงทรงมีพลังให้กับผู้มาพึ่งพระเมตตาเสมอ

หมายเหตุ คำว่า "ที่นี่" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ หมายถึงตัวพระองค์เอง

-----------

มีเหตุการณ์น่าสนใจเรื่องหนึ่ง ในระยะแรก ๆ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงรับแขกที่ห้องรับแขกใต้กุฏิไม้หลังใหญ่ แต่ละวันจึงมีคนมากราบนมัสการจำนวนมาก ทรงสังเกตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งมานั่งอยู่กับแขกที่มาเฝ้าโดยไม่พูดไม่จาอะไร เมื่อกลุ่มผู้มาเฝ้ากลับ เขาก็กลับด้วย เป็นเช่นนั้นอยู่หลายวัน

จนวันหนึ่งเมื่อโอกาสอำนวย เพราะมีคนน้อย เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงถามเขาว่า "เออ! มีธุระอะไรหรือเปล่า" ชายหนุ่มคนนั้นจึงเล่าถวายว่า

เขาทำงานอยู่ท่าเรือแล้วตกงานเพราะภาวะวิกฤต IMF กลุ้มใจมากไม่รู้จะทำอย่างไร บางวันก็เดินโต๋เต๋อย่างล่องลอย วันหนึ่งผ่านมาทางวัดบวรนิเวศวิหาร เห็นคนเขาเดินเข้ามาทางนี้ ก็เลยเดินตามเขามา เห็นพวกคนเข้ามากราบนมัสการเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็เลยตามเข้ามานั่งอยู่ท้ายกลุ่ม มองดูพระพักตร์เจ้าพระคุณสมเด็จฯ แล้วรู้สึกสบายใจ จึงมานั่งอยู่หลายวัน แล้วต่อมาก็ได้งานทำ ก็มีเท่านี้ล่ะครับ เขาเล่าจบก็กราบลาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ

หลังจากชายหนุ่มคนนั้นกลับไปแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ทรงยิ้ม แล้วตรัสกับศิษย์ผู้สนองงานอยู่ขณะนั้นว่า

"เออ! ไม่ได้ทำอะไรก็ช่วยคนได้"

แล้วก็ทรงพระสรวลเบา ๆ

เรื่องเล็กสำคัญมาก


เรื่องเล็กสำคัญมาก



ถ้า จัดการกับเรื่องเล็กๆน้อยๆได้ดี คุณจะไม่ฟุ้งซ่านกับเรื่องหยุมหยิม และเมื่อใจเลิกฟุ้งซ่านหยุมหยิม ใจคุณจะโฟกัสกับการแก้ปัญหาใหญ่ๆได้เอง และมีความสงบตั้งมั่นเมื่อคิดฝึกสมาธิ


แต่ ในชีวิตคนส่วนใหญ่ มักมองว่าเรื่องเล็กไม่ต้องทำ หรือเอาไว้เป็นปัญหาให้คนอื่นจัดการ ของเราเอาแต่เรื่องหลักๆ เรื่องใหญ่ๆ เลยต้องมากลุ้มใจภายหลังกับเรื่องเล็กๆที่ค้างคาเป็นดินพอกหางหมู ปรุงแต่งจิตให้กลัดกลุ้มหยุมหยิม


สรุป คือเรื่องเล็กอาจสำคัญกว่าที่คิด ถ้ามันทำให้ชีวิตคุณเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านหยุมหยิมไม่หยุด ลองหาทางจัดการกับเรื่องเล็กต่างๆทีละเรื่อง ด้วยวิธีง่ายๆ และไม่คาดหวังว่าคนอื่นจะมาจัดการให้ หลังจากจัดการกับเรื่องหนึ่งๆเสร็จ ถ้าใจสงบลงเรื่อยๆ ให้ถือว่ามาถูกทาง และถ้าใจพร้อมจะรับมือกับเรื่องใหญ่ขึ้นโดยไม่ว้าวุ่น ให้ถือว่าชีวิตอยู่บนทางแห่งสมาธิครับ


ดังตฤณ
กุมภาพันธ์ ๕๖

-- ข้อคิดจากการตายของ ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร


--  ข้อคิดจากการตายของ ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร

เหตุการณ์จริง ที่เตือนสติ
แนะนำให้อ่านครับ ใช้เวลาไม่กี่นาที คุณได้กำไรชีวิตมากมายเลย อย่าลืมแชร์สิ่งดีๆเหล่านี้ให้แก่คนที่คุณรักนะครับ...ขอบคุณครับ (^_^)~
---------------------------------------
...ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก
คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก
เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน
ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร นะ
มาเรียนที่อเมริกา
เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส
ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน
ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู
ว่าสะอาดจริงมั้ย
กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย
ต้องให้ดีที่สุด
เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ
เขียนไว้สามแผน
แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
แกเสนอแผนที่สอง
แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม
ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย
แกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา
มีธุรกิจ
มีชื่อเสียงทุกอย่าง
แกมีทุกอย่าง
วันหนึ่งแกพักผ่อน
หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย
ลูกเมียไปขอพบ
บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต
วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง
ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป
ภรรยาพาเข้าโรงบาล
ตรวจพบมะเร็ง
พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย
จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด
แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้
แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล
แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน
บันทึกชีวิตแก
ก่อนจะเสียชีวิต
แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว
แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่
กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก

ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า
พ่อผมเคยบอกว่า ...
เกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ

1...ปริญญาใบที่หนึ่ง ....
"ปริญญาวิชาชีพ"
เราจะต้องทำมาหากินเป็น
กินอิ่ม นอนอุ่น พูดง่าย ๆ
ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้
อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง
แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ

2...แต่"ปริญญาวิชาชีวิต" ..
ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้
แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง
ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ
แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก
เพราะอะไร
เพราะทำงานจนป่วยตาย

ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง
บ้าน รถ
มอบมันให้กับลูกและภรรยา
แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา
สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้
สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย
เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย

...นี่คือปริญญาวิชาชีวิต ...
ธรรมะเราจะต้องมี
ถ้าเราไม่มีธรรมะ
เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง
ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี
ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว
อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ
แต่ละวันควรจะมี
ให้ดูแลตัวเอง ดูจิต
ดูใจตัวเอง
ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์
มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า
แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้
เกินไปหรือเปล่า
พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ
เพื่อที่ว่าอะไร
เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต
หนึ่งปริญญาวิชาชีพ
เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง
มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่
แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง
คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง
ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป
ทำอะไรให้พอดี
พอดีอยู่ดีมีสุข
อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว
อยากพักให้ได้พัก
อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ
ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง
อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด
และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี
เพราะอะไร
เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา

เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า..
ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด
บางคนก็ตอบเงิน
บางคนก็ตอบเพชร
บางคนก็ตอบทอง
บางคนก็ตอบอำนาจ
บางคนก็ตอบราชบัลลังก์

พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่
สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต..
สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ
และก็ชีวิตของเรา

หากบุญกุศลอันใดจะเกิดได้จากการเผยแพร่เรื่องราว ผู้บันทึกก็ขอให้กุศลผลบุญนี้ จงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเพื่อปัญญาของเพื่อนผู้ร่วมวัฏฏะทุกท่าน และขอให้ ดร.อนุวัฒน์ ไม่ว่าจะไปอยู่ภพไหนหนใดก็ขอให้มีปัญญาเท่าทันต้นเหตุแห่งทุกข์เช่นที่ท่าน ได้ถ่ายทอดเรื่องราวเตือนสติผู้อื่นไว้...
...ขอขอบพระคุณในข้อคิดดีดี...

อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น




หลวงปู่ชา สุภัทโท สอนคนที่ชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่นว่า ..

อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น
ภาวนามากๆ ดูตัวเองมากๆ
หลวงปู่บอกว่า ..
"ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90% ดูตัวเองแค่ 10%"
คือ คอยดูแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น
คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น

กลับเสียใหม่นะ
ดูคนอื่นเหลือไว้ 10%
ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น
คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร
เพื่อเอามาสอนตัวเองนั้นแหละ
ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90%
จึงเรียกว่าปฎิบัติธรรมอยู่

ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง
โบราณพูดว่า เรามักจะเห็น ความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา
ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม
มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย
เราต้องระวังความรูสึกนึกคิดของตัวเองให้มากๆ

เห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10
เห็นความผิดของตนเอง ให้คูณด้วย 10
จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม
เพราะเหตุนี้เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมากๆ
และตำหนิติเตียนตัวเองมากๆ
แต่ถึงอย่างไรๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั้นแหละ

พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฎิบัติของคนอื่น
ดูตัวเอง สนใจแก้ไขตัวเองนั้นแหละมากๆ
เช่น เข้าครัวเห็นเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ
แล้วเกิดอารมณ์ร้อนใจ ..

ยังไม่ต้องบอกเขาให้แก้ไขอะไรหรอก
รีบแก้ไข ระงับอารมณ์ร้อนใจของตัวเองเสียก่อน
เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็สักแต่ว่าใจเย็นๆ ไว้ก่อน
ความเห็น ความคิด ความรู้สึกก็ไม่แน่ใจ..
ไม่แน่..อาจจะถูกก็ได้ อาจจะผิดก็ได้
เราอาจจะเปลี่ยนความเห็นก็ได้
สักแต่ว่า.. สักแต่ว่า.. ใจเย็นๆ ไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูด

ดูใจเราก่อน สอนใจเราก่อน หัดปล่อยวางก่อน
เมื่อจิตสงบแล้ว เมื่อจิตปกติแล้ว
จึงค่อยพูด จึงค่อยออกความคิดเห็น
พูดด้วยเหตุ ด้วยผล ประกอบด้วยจิตเมตตากรุณา
ขณะมีอารมณ์อย่าเพิ่งพูด..
ทำให้เสียความรู้สึกของผู้อื่น
ทำให้เสียความรู้สึกของตนเอง
ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร
มักจะเสียประโยชน์ด้วยซ้ำไป

เพราะฉะนั้น อยู่ที่ไหน อยู่ที่วัด อยู่ที่บ้าน
ก็สงบๆ ๆ ไม่ต้องดูคนอื่นว่าเขาทำผิดๆ ๆ
ดูแต่ตัวเรา ระวังความรูสึก ระวังอารมณ์ของเรามากๆ
พยายามแก้ไข พัฒนาตัวเรา.. นั้นแหละ

เห็นอะไรชอบ ไม่ชอบ ปล่อยไว้ก่อน
เรื่องของคนอื่น พยายามอย่าให้เข้ามาที่จิตใจเรา
ถ้าไม่ระวัง ก็จะยุ่งแต่เรื่องของคนอื่นไปเรื่อยๆ
หาเรื่องอยู่อย่างนั้น
เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเป็นเรื่องของเราไปหมด
มีแต่ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ทั้งวัน
อารมณ์มาก จิตไม่ปกติ ไม่สบาย ทั้งวันๆ ก็หมดแรง

ระวังนะ
พยายามตามดูจิตของเรา
รักษาจิตของเราให้ปกติให้มาก
ใครจะเป็นอะไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี เรื่องของเขา
แม้เขาจะทำกับเรา ว่าเรา.. ก็เป็นเรื่องของเขา
อย่าเอามาเป็นอารมณ์
อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา

ดูใจเรานั้นแหละ
พัฒนาตัวเองนั้นแหละ
ทำใจเราให้ปกติ สบายๆ มากๆ
หัด-ฝึก ปล่อยวาง นั้นเอง
ไม่มีอะไรหรอก
ไม่มีอะไรสำคัญกว่ากการตามรักษาจิตของเรา
คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข..

มาฆบูชา


มาฆบูชา
         มาฆบูชา เป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นวันเกิดพระธรรม ถือว่าเป็นวันที่ พระพุทธเจ้า ได้ประกาศ หลักธรรม คำสั่งสอนของพระองค์ เพื่อให้พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่มาประชุมกันในวันนั้น นำไปเผยแผ่

           วั น"มาฆบูชา" เป็นวันบูชาพิเศษที่ต้องทำในวันเพ็ญเดือนมาฆะ หรือในวันที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
( ซึ่งโดยปกติทำกันในกลางเดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ เดือนแปดสองแปด ก็เลื่อนไปกลางเดือน ๔ )
ถือกันว่าเป็นวันสำคัญ เพราะวันนี้ เป็นวันคล้ายกับ วันประชุมกันเป็นพิเศษ แห่งพระอรหันตสาวก โดยมิได้มีการนัดหมาย ซึ่งเรียกว่า วันจาตุรงคสันนิบาต ซึ่งได้มีขึ้น ณ บริเวณเวฬุวันมหาวิหาร หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นเวลานับได้ ๙ เดือน           วันนี้เอง ที่พระพุทธองค์แสดง "โอวาทปาฎิโมกข์" ซึ่งถือกันว่า เป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
 
จาตุรงคสันนิบาต คือ การประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ คือ๑. วันนั้น เป็นวันมาฆปูรณมี คือวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือนมาฆะ จึงเรียกว่า มาฆบูชา
๒. พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย (สาเหตุของการชุมนุม)
๓. พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ ประเภทฉฬภิญญา คือ ได้อภิญญา ๖
๔. พระภิกษุ เหล่านั้น ทั้งหมด ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง (เอหิภิกฺขุอุปสมฺปทา)


  โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึง จุดหมาย หลักการ และวิธีการ ของพระพุทธศาสนาไว้อย่างครบถ้วน
๑. จุดหมายของพระพุทธศาสนา คือ พระนิพพาน (นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา)

๒. หลักการของพระพุทธศาสนา คือ ต้องมีความอดทน ในการฝึกตนเอง เพื่อบรรลุจุดหมาย (ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา) ต้องประกอบด้วย
     ก. ไม่ทำความชั่วโดยประการทั้งปวง ทั้งทางกาย วาจา และทางใจ (สพฺพปาปสฺส อรกณํ)
     ข. ทำความดีทั้งทางกาย วาจา และใจ (กุสลสฺสูปสมฺปทา) การไม่ทำความชั่วนั้น จะเรียกว่า เป็นคนดียังไม่ได้ การเป็นคนดี จะต้องทำความดี ทั้งทางกาย วาจา ใจ มิฉะนั้นแล้ว คนปัญญาอ่อน คนเป็นอัมพาต เป็นต้น ก็จะเป็นคนดีไปหมด
     ค. การชำระจิตใจให้สะอาด ผ่องใส สงบ (สจิตฺตปริโยทปนํ)

๓. วิธีการที่จะบรรลุจุดหมาย คือ ต้องฝึกอบรมตนแบบต่อเนื่อง ให้เกิดมรรคสามัคคี คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ** รวมพลังกัน เหมือนเชือก ๘ เกลียว หรือให้มี ศีล สมาธิ และปัญญา รวมพลังกัน เหมือนเชือก ๓ เกลียว พัฒนากาย วาจา ใจ ให้พูดดี ทำดี คิดดี ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือ ราคะ โมสะ โมหะ ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลส ตัณหา หรือความใคร่ ความอยากมี อยากเป็น แบบมืดบอด ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ที่มันเป็นไปไม่ได้ เช่น ไม่อยากเป็นคนเสื่อมลาภ, ยศ, สรรเสริญ, สุข เป็นต้น โดยอาศัยวิธีการดังต่อไปนี้.

     ก. ฝึกวาจา ระวังเสมอ มิให้กล่าวคำเท็จ คำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ (อนูปวาโท)
     ข. ฝึกกาย ระวังเสมอมิให้มีการฆ่า ทำลายชีวิต ตลอดจนถึงการเบียดเบียนทางกาย (อนูปฆาโต)
     ค. ละเว้นข้อที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสห้ามไว้ และทำตามข้อที่พระพุทธองค์อนุญาต (ปาฎิโมกฺเข จ สํวโร)
     ง. รู้จักประมาณในการบริโภค อาหาร ตลอดจน รู้จักประมาณในการใช้สอยปัจจัย ๔ (มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺสมึ)
     จ. ฝึกตนอย่างจริงจัง ในที่ที่สงัดจากสิ่งรบกวน (ปนฺตนฺ จ สยนาสนํ)
     ฉ. ภาวนาอยู่เสมอ คือ พัฒนาตนเองให้พ้นจากอำนาจของกิเลสตัณหา การภาวนา หมายถึง การใช้ทั้งสมาธิ และวิปัสสนา แก้ปัญหา หรือจัดการกับกิเลส (อธิจิตฺเต จ อาโยโค) เป็นการตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ มิให้จิตใจเศร้าหมอง ให้จิตใจผ่องใสอยู่เสมอ (สจิตฺตปริโยทปนํ)

          จุดหมาย หลักการ และวิธีการ ที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศไว้จะเป็นไปด้วยดี และบรรลุวัตถุประสงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมายไว้นั้น พระองค์ได้ย้ำเตือนไว้ว่า จะต้องปฏิบัติตนให้เป็นอย่างบรรพชิต และเป็นอย่างสมณะ คือ เว้นจากความชั่วทุกประการ และเป็นผู้ปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่าง เพื่อระงับบาปอกุศล ได้แก่ ผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นอริยบุคคล ทั้งไม่เบียดเบียนและไม่ก่อให้เกิดความเดือนร้อนแก่คนที่ประพฤติดี ปฏิบัติชอบทั้งหลาย (น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต)


  หมายเหตุ
** อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ
สัมมาวาจา การพูดจาชอบ
สัมมากัมมันตะ การทำงานชอบ
สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตชอบ
สัมมาวายามะ ความพากเพียรชอบ
สัมมาสติ ความระลึกชอบ
สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ
 
อภิญญา ๖
อภิญญา คือความรู้อันยอดยิ่งมี ๖ ประการได้แก่
๑.แสดงฤทธิ์ได้ (อิทธิวิธิ)
๒.หูทิพย์ (ทิพยโสต)
๓.รู้จักกำหนดใจผู้อื่น (เจโตปริยญาณ)
๔.ระลึกชาติได้ (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ)
๕.ตาทิพย์ (ทิพยจักษุ)
๖.ทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป-คือญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย (อาสวักขยญาณ)

สาเหตุของการชุมนุม
คงเนื่องมาจากภิกษุเหล่านั้นล้วนเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนและในวันเพ็ญเดือนมาฆะ
เป็นวันที่ทางศาสนาพราณ์ได้ประกอบพิธีศิวาราตรี คือ การลอยบาปในแม่น้ำคงคา และประกอบพิธีสักการบูชาพระเป็นเจ้าในเทวสถาน เมื่อถึงวันนั้น พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าซึ่งเคยประกอบพิธีดังกล่าวจึงต่างพากันไปเฝ้าพระพุทธองค์
 
กลับหน้าแรก

http://www.learntripitaka.com/History/MakhaBucha.html

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

E-book เอกสารฝึกอบรม การผลิตปุ๋ยชีวภาพหมัก (ลุงพงศ์)


เอกสารฝึกอบรม การผลิตปุ๋ยชีวภาพหมัก
โครงการคิดดีทำดีชีวีมีสุข เศรษฐกิจพอเพียงชุมชนเมือง
โดย แหล่งเรียนรู้ เชียงใหม่รักสงบ
เศรษฐพงศ์ มณีผ่อง (ลุงพงศ์)




วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

E-book เอกสารฝึกอบรม การแปรรูปถนอมอาหาร เมนูอาหารเพือสุขภาพ


เอกสารฝึกอบรม การแปรรูปถนอมอาหาร
เมนูอาหารเพือสุขภาพ
มหัศจรรย์สมุนไพรในชีวิตประจำวัน
โครงการคิดดีทำดีชีวีมีสุข เศรษฐกิจพอเพียงชุมชนเมือง
โดย แหล่งเรียนรู้ เชียงใหม่รักสงบ
เศรษฐพงศ์ มณีผ่อง (ลุงพงศ์)



วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เรื่องราวของ “ภาคิณ”


http://www.facebook.com/photo.php?fbid=482699665122192&set=a.337782036280623.78887.336655413059952&type=1&theater
" ไปไม่เป็นเลยค่ะตอนนี้ รพ.ที่ตรวจพลาดก็ไม่รับผิดชอบ_คนไข้พร้อม_สเต็มเซลล์พร้อม_หมอพร้อม_ทีมงานพร้อม_แต่เงินค่ารักษาไม่พร้อม_เลยยังห่างไกลจริงๆ _รพ.เอกชนก็ตังค์ไม่พอ รพ.รัฐก็รอคิวนาน ซึ่งลูกเรารอไม่ได้แล้วด้วยสิ"...ช่วยซื้อเสื้อ"น้องภาคิณ"หน่อยคะ หรือจะช่วยแชร์ก็ได้ค่า

**สวัสดีค่ะ...ทางครอบครัวของน้องภาคิณ ได้จัดทำเสื้อยืดช่วยเหลือ น้องภาคิณในการปลูกถ่ายไขกระดูกที่ใกล้จะมาถึงนี้ ขอแรงเพื่อนๆญาติพี่น้องช่วยร่วมสมทบทุนโดยการสั่งซื้อเสื้อยืดเพื่อช่วยเหลือน้องด้วยค่ะ**

เราได้จัดทำเสื้อยืดสีขาว สกรีนตามแบบ ออกมาจำหน่ายทั้งแบบผู้ใหญ่และเด็ก โดยเสื้อผู้ใหญ่ ราคาตัวละ 250 บาท มีไซส์ S / M / L (S = อก 32 นิ้ว / M = อก 36 นิ้ว / L = อก 40 นิ้ว / XL = อก 42 นิ้ว) และเสื้อเด็ก ราคาตัวละ 200 บาท มีไซส์ S / M / L (S = อก 24 นิ้ว / M = อก 26 นิ้ว / L = อก 28 นิ้ว)

สั่งซื้อ พร้อมแจ้งไซส์เสื้อที่ต้องการ พร้อมแจ้งชื่อที่อยู่มาได้เลยค่ะ และขอแรงจากทุกๆคนช่วยเหลือน้อง ด้วยการช่วยแชร์เพจและข้อความนี้ด้วย จะเป็นพระคุณอย่างมาก ขอขอบคุณทุกท่านล่วงหน้าที่กรุณาสละเวลาเพื่อการช่วยเหลือน้องภาคิณไม่ว่าจะในรูปแบบใด

บัญชีธนาคาร ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาพะเยา ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี เด็กชายภาคิณ อรรถอนุกูล เลขที่บัญชี 781-226634-9

เรื่องราวของ “ภาคิณ”
น้องภาคิณ"หรือ ด.ช.ภาคิณ อรรถอนุกูล ปัจจุบันอายุ 4 ขวบ 7 เดือน น้องโชคร้ายป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียขั้นรุนแรง เมื่ออายุได้เพียงหนึ่งขวบ ทั้งๆที่พ่อและแม่มีผลแลปยืนยันจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือแห่งหนึ่ง เมื่อครั้งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนได้ไปทำการเจาะตรวจจากสายสะดือ ผลแลปดังกล่าวยืนยันว่าเด็กเป็นเพียงพาหะของโรคเท่านั้น พ่อและแม่เคยทำหนังสือและติดต่อไปยังหน่วยงานดังกล่าว ช่วงแรกมีการติดต่อกลับ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เงียบหายไป

ดังนั้นพ่อกับแม่จึงตัดสินใจช่วยเหลือตนเองกันไป เพราะเราคงไม่สามารถเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกของเราได้ อย่างไรก็ตาม โรคนี้ต้องรักษาแบบประคับประคองไปก่อน นั่นคือการได้รับเลือด ซึ่งน้องภาคิณก็ได้รับเลือดมาตั้งแต่ทราบว่าเป็นโรค โดยมีความถี่ที่ 2 สัปดาห์/ครั้ง ต่อมาก็เปลี่ยนเป็น 3 สัปดาห์/ครั้ง และปัจจุบันเป็น 4 สัปดาห์/ครั้ง และนานเกือบสามปีแล้วที่น้องได้รับเลือด ดังนั้นตอนนี้น้องภาคิณจึงมีภาวะธาตุเหล็กเกินในร่างกาย จึงต้องทานยาขับเหล็กทุกวัน ซึ่งยาขับเหล็กนี้ก็มีราคาที่หลายร้อยบาทต่อวัน

มีวิธีเดียวในการรักษาน้องภาคิณให้หายขาดได้ คือการปลูกถ่ายไขกระดูกเท่านั้น ซึ่งการได้มาซึ่งสเต็มเซลล์จากพี่น้องท้องเดียวกัน ที่มีเนื้อเยื่อ HLA ที่ตรงกันย่อมส่งผลดีในการรักษามากกว่า พ่อและแม่ก็ได้เริ่มเข้ากระบวนการ IVF มาตั้งแต่ที่รู้ว่าน้องป่วย เราใช้ความพยายามในกระบวนการดังกล่าวถึง 5 ครั้ง จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนเมษายน 2555 นี้ก็ได้รับข่าวดีว่าตั้งครรภ์แล้ว นั่นหมายความว่าความพยายามของเราที่เฝ้าเพียรทำกันมาตลอดระยะเวลาเกือบสามปี นั้นไม่สูญเปล่า และการรักษาน้องก็จะเริ่มได้อย่างเร็วที่สุด ตามที่ได้ปรึกษาคุณหมอคือ หลังสงกรานต์นี้

เป็นที่ทราบกันดีว่าการปลูกถ่ายไขกระดูกนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก อย่างน้อยหนึ่งล้านบาท และปัจจุบันนี้เลือดก็เริ่มหายากขึ้นทุกวัน ดังนั้นคุณแม่จึงตัดสินใจสร้างแฟนเพจนี้ขึ้นมาเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับโรค ธาลัสซีเมีย ได้ติดตามข่าวคราวของน้องภาคิณ ติดตามกระบานการต่างๆในการรักษาน้อง และเพื่อเป็นช่องทางในการหารายได้ส่วนหนึ่งมาช่วยเหลือกับการรักษาน้องให้หายขาดจากโรคธาลัสซีเมีย

คุณแม่ขอยืนยันว่าข้อมูลและเรื่องราวต่างๆในเพจ "น้องภาคิณ"นี้ เป็นความจริงทุกประการ และหากผู้ที่เข้ามาชมเพจ ต้องการให้กำลังใจกับน้องภาคิณและครอบครัวของเรา หรือมีข้อเสนอแนะ ข้อแนะนำเพื่อช่วยคุณแม่ในการจัดหารายได้เตรียมในการรักษาได้นั้น ยินดีรับฟังทุกกรณีค่ะ

มานี่สิลูก แม่มีอ่ะไรจะสอน


มานี่สิลูก แม่มีอ่ะไรจะสอน

แม่คงสอนให้ลูกฉลาดไม่ได้
ลูกต้องเรียนรู้และฉลาดด้วยไหวพริบและกึ๋นของลูกเอง
แม่คงสอนให้ลูกเรียนเก่งไม่ได้
... ลูกต้องอยากรู้อยากเข้าใจในบทเรียนด้วยตัวของลูกเอง
แม่คงสอนให้ลูกเกรดสี่ทุกวิชาไม่ได้
เพราะแม่เองก็ไม่เคยได้เกรดสี่สักวิชา แฮ่ๆ

แม่อยากให้ลูกคิด และมองโลกในแง่ดี
อย่าคิดว่าใต้ฟ้านี้มีแต่เรื่องทำไม่ได้ เป็นไม่ได้
หัดคิดให้เป็นบวกไว้แหละดี

แม่อยากให้ลูกหัดฝัน
เมื่อไรลูกฝันเป็น ไม่ว่าจะเป็นใฝ่ฝัน หรือความฝัน
ลูกจะรู้ว่าโลกนี้มันน่าอยู่เพียงไหน

แม่อยากให้ลูกพูดแต่เรื่องดี พูดแต่เรื่องสวยงาม
จงเป็นคนสุดท้ายที่ให้ร้ายคนอื่น
และจงเป็นคนแรกที่ให้กำลังใจ และชื่นชม

แม่อยากให้ลูกทำเรื่องแปลกๆ
ลูกไม่จำเป็นต้องเดินตามชีวิตประจำวันของใคร
อย่าเก็บความคิดแปลก เพียงเพราะเห็นว่ามันไม่เหมือนใคร

แม่อยากสอนให้ลูกกล้าแดด กล้าฝน
เพราะภายใต้ไออุ่นของดวงอาทิตย์ลูกจะได้รับวิตามินดี
และภายใต้ฟ้าที่มีฝน มันจะทำให้ลูกร้องไห้โดยไม่มีใครเห็นน้ำตา

แม่อยากสอนให้ลูกออกกำลังกายทุกวัน
อย่างน้อยคนเราก็ต้องเคลื่อนไหวทะมัดทะแมง
ลูกได้ออกแรงเสียบ้าง ลูกจะแข็งแกร่งไม่อ่อนแอ

แม่อยากให้ลูกยิ้ม และอยู่กับโลกด้วยความรัก
ยิ้มอาจจะไม่ชนะทุกสิ่ง ยิ้มมากๆอาจจะดูเหมือนคนบ้า
แต่มันก็ดีกว่าหน้าบึ้งหน้างอเป็นไหนๆ

แม่อยากสอนให้ลูกรู้จักอดทน
ลูกต้องเรียนรู้ว่าลูกไม่มีทางได้ทุกๆอย่างที่ลูกหวังไว้
อดทนและอย่าได้เสียกำลังใจ
อย่าท้อและขอให้เริ่มใหม่อย่างมีพลัง

แม่อยากสอนให้ลูกเข่ยงขาขึ้นให้สูง
ไม่มีอะไรที่สูงไปกว่าสองมือเราจะเอื้อมคว้า
เพียงแค่ว่าเรายืนยันที่จะไม่ยืนอยู่กับที่

แม่อยากสอนให้เจ้ามีความสุข
แต่อย่าลืมทุกข์ด้วยล่ะลูก
คนที่ไม่เคยมีความทุกข์ เขาสุขจริงๆไม่เป็นหรอก เจ้าเอย

ไอคิวมันติดมาแต่บนฟ้าลูกจ๋า
ไม่ฉลาดก็มีความสุขได้ไม่ต้องห่วง
อย่าน้อยใจถ้าตามใครเขาไม่ทัน
อย่าเสียขวัญถ้าเราช้ากว่าใครๆ

อีคิวมันต้องหาเองบนโลกนี้ลูกเอ๋ย
ไม่ฉลาดก็น่ารักและมีความสุขได้
อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุง
ลูกมีกำลังใจเป็นถุงจากแม่ ไม่ต้องกลัว..

ที่มาhttp://www.raamas.com/topics/มานี่สิลูก+แม่มีอ่ะไรจะสอน-97316-1-4.html

Teacher & Student


เรื่องราวดีๆที่มีมาให้อ่านค่ะ
Teacher & Student

อ่านแล้วตรอง ด้วย หัวใจ จะค้นพบความจริง
ที่เราอาจไม่เคยยอมรับมัน


คุณครูทอมป์สันโกหกนักเรียนชั้น ป. 5 ของครูทั้งชั้นเสียแล้ว
ตั้งแต่วันแรกเลยด้วย
คุณครูบอกเขาว่าครูรักเด็กๆ เท่ากันหมดเลย
แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้...
เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนหนึ่ง ชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์

ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีนึงและ
สังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเด็ก คนอื่นเท่าไหร่
เสื้อผ้าของเขาสกปรกและตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลา
และบางทีเท็ดดี้ก็เกเรด้วย

ถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้ ด้วยหมึกสีแดง
กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ

ที่โรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอน - - -
คุณครูต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย
และครูก็ไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้าย
แต่เมื่อคุณครูตรวจแฟ้มเข้า ครูทอมป์สันก็แปลกใจใหญ่เลย
เมื่อพบว่า ….

ครูชั้น ป. 1 ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่า
"น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย
มารยาทดี เป็นเด็กที่ น่ารักมากทีเดียว"

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 2 เขียนว่า
"เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน
แต่กำลังมีปัญหา เพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนัก
และชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ"

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 3 เขียนว่า
"เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว
แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรัก ความสนใจเขาเท่าไหร่
และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆ
ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ"

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 4 เขียนว่า
"เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควร
ไม่ค่อยมีเพื่อน และหลับในห้องเรียน

ตอนนี้ คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้ว
และอับอายในการกระทำของตนเองมาก

ครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก
เมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาส
มา ให้ห่อในกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี
ยกเว้นแต่ของเท็ดดี้

ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆ
ในกระดาษลูกฟูกหนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว
ครูทอมป์สันกัดฟันเปิดกล่องของเท็ดดี้ดู
กลางกองของขวัญอื่น ๆ

เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ให้กำไลที่มีลูกปัดไม่ครบเส้น
และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดแก่เธอ

แต่ครูก็หยุดเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ
เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่ากำไลเส้นนั้นสวยเพียงใดแล้วสวมมันไว้ที่ข้อมือ
และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย

เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ นิ่งอยู่นานพอที่จะพูดว่า
"ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ"

หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้าน ครูทอมป์สันก็ร้องไห้อยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมง

... นับแต่วันนั้น
คุณครูทอมป์สันเริ่มให้ความเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ
เมื่อครูพยายามช่วยเขา
จิตใจของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่
เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น

ภายในสิ้นปีนั้น เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง
และแม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน
แต่เท็ดดี้ก็ได้กลายไปเป็น"ศิษย์โปรด" ของครู


หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู
จดหมายนั้นมาจากเท็ดดี้
บอกครูว่าคุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี

... หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก
บอกว่าเขาเรียนจบ ม.ปลายแล้ว
ได้ที่สามในทั้งระดับ
และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต

สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก
บอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบากบ้าง
เขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือ
และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้
ด้วยเกียรตินิยม อันดับหนึ่ง (เหรียญทอง)

และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า
คุณครูเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดใน ชีวิตเขา


จากนั้นสี่ปีผ่านไปแต่จดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา
ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว
เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด
จดหมายนั้นอธิบายว่าคุณครูยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี
แต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อย จดหมายนั้นลงชื่อว่า
นพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์

... เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะ คือว่า ...
ฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายมาอีก
เท็ดดี้บอกว่า เขาได้เจอสาวคนนึงและก็จะแต่งงานกัน
เขาอธิบายว่าพ่อของเขาได้เสียไปเมื่อสองสามปีก่อน
และเขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สัน
จะตกลงมานั่งในที่นั่งสำหรับพ่อ-แม่เจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่


แน่นอนที่สุด ครูทอมป์สันก็มา
และทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น
คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูก
และต้องฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่า
แม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกัน

ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณหมอเท็ดก็กระซิบในหูคุณครูทอมป์สันว่า
"ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผม
ขอบคุณมากที่ทำให้ผมรู้สึกสำคัญ
และแสดงให้ผมเห็นว่าผมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้"

ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า
"หมอเท็ด เธอเข้าใจผิดแล้วแหละเธอต่างหากที่สอนครูว่า
ครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้
ครูไม่รู้จักการสอนจนกระทั่งครูได้พบ ได้รู้จักเธอนั่นแหละ"

เติมเต็มหัวใจของคนอื่นด้วยความรักเสียแต่วันนี้...........
โปรดจำว่า ไม่ว่าคุณจะไปไหนหรือทำอะไร คุณจะมีโอกาสที่จะ
สัมผัสและ/หรือเปลี่ยนอนาคตของคนอื่นเสมอ

ที่มาhttp://webboard.zubzip.com/topic/44102

ชีวิตนี้แม้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน


ชีวิตนี้แม้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
แต่สิ่งที่แน่นอน คือ ปัจจุบันขณะ

ดังนั้น หากจะทำความดี
ก็ควรทำเสียแต่วันนี้หรือเดี๋ยวนี้
โดยเฉพาะกับคนที่อยู่เบื้องหน้าเรา
ยิ่งเป็นคนที่สำคัญต่อชีวิตเราด้วยแล้ว
อย่ามัวผัดผ่อนหรือรั้งรอ

พระไพศาล วิสาโล
ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

" ปล่อยวางไม่ได้เสียที แม้จะรู้และเข้าใจ "


" ปล่อยวางไม่ได้เสียที แม้จะรู้และเข้าใจ "

Dtom Dechsupa – กราบนมัสการพระอาจารย์ค่ะ ดิฉันมีข้อติดขัดจากการเฝ้าดูจิตดูใจในเรื่องทุกข์ของตนเอง อยากได้รับคำชี้แนะจากพระอาจารย์ค่ะ.... ทำอย่างไรเราจึงจะเปลี่ยนจากการรู้ การเห็น การเข้าใจ ว่าทุกข์เกิดจากอะไร และควรปล่อยวางมันลง ... ไปสู่การปล่อยวางอย่างแท้จริงได้ (ทุกวันนี้ปล่อยไปแล้วเดี๋ยวก็กลับมาอีก) ... การฝึกฝนที่เหนือขึ้นไปจาก การรู้ การเห็น การเข้าใจ คืออะไรคะ กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ค่ะ

พระไพศาล วิสาโล - การปล่อยวางที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นเมื่อมีปัญญาเห็นแจ้งว่าสิ่งทั้งปวงนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน ไม่มีสิ่งใดเลยที่น่ายึดติดหรือถือมั่นได้เลย หากยึดติดถือมั่นเมื่อไหร่ก็พร้อมจะเป็นทุกข์ได้ทุกเวลา เพราะสิ่งเหล่านั้นย่อมผันผวนแปรปรวนและถูกทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา

ปัญญาดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็จากการพินิจพิจารณากายและใจอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการที่เรียกว่าวิปัสสนา แต่ขณะที่ปัญญายังไม่เกิดนั้น การมีสติก็ช่วยให้ปล่อยวางได้แม้จะไม่ถาวรหรือเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นสติปัฏฐานหรือการเจริญมรณสติ ล้วนช่วยให้ใจคลายความยึดติดถือมั่นได้ทั้งสิ้น

สติปัฏฐานนั้นช่วยให้เห็นกายและใจตามเป็นจริง เมื่อมีอารมณ์ใดเกิดขึ้น ก็รู้ทัน เมื่อรู้ก็จะวางได้เอง ใจไม่เผลอจมเข้าไปในอารมณ์นั้น ๆ หรือยึดถือว่าเป็น “ตัวกูของกู” พูดง่าย ๆ สติปัฏฐานช่วยให้ “เห็น” ไม่เข้าไป “เป็น” เช่น เห็นความโกรธ แต่ไม่เป็นผู้โกรธ นี้เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ปล่อยวางอารมณ์อกุศลได้

ส่วนมรณสติก็เตือนใจให้เห็นว่าชีวิตของเรานั้นไม่เที่ยง เมื่อตายไปก็ไม่สามารถเอาอะไรไปได้สักอย่าง (นอกจากบุญและบาปที่จะติดไปด้วย) ดังนั้นจึงช่วยให้ไม่ยึดติดชีวิตตลอดจนทรัพย์สมบัติและโลกธรรมทั้งหลายที่ใคร ๆ อยากได้อยากมีและอยากเป็น

ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

ทำไมกระทรวงการคลังปิดปากเงียบ



ทำไมกระทรวงการคลังปิดปากเงียบ
มีหลายคนกังวลว่าบัญชีเงินฝากของพวกเขาที่เปิดอยู่ที่ธนาคารของรัฐที่กำลังมีปัญหาเรื่องหนี้เน่าจะสูญเสียหากธนาคารของรัฐเหล่านั้นเจ๊ง แต่ก็มีหลายคนยังเชื่อมั่นว่าบัญชีเงินฝากของตนจะได้รับการคุ้มครอง 100%เพราะธนาคารของรัฐเหล่านี้รัฐบาลเป็นเจ้าของหรือมีรัฐบาลเป็นประกัน ถึงแม้ธนาคารของรัฐไม่ว่าจะเป็น SME bank หรือ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ ธนาคาร ธกส. หรือ ธนาคารออมสิน บัญชีเงินฝากจะไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากก็ตาม แต่หากเกิดปัญหาใดๆขึ้นกับธนาคารของรัฐดังที่กล่าวมาแล้วรัฐบาลต้องรับผิดชอบชดใช้ความเสียหายแก่บัญชีเงินฝากทุกบัญชี ซึ่งนั้นคือเรื่องจริงที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ
- เรามาดูกันว่ารัฐบาลนางยิ่งลักษณ์จะรับผิดชอบเงินฝากทุกบัญชีได้หรือไม่หากเกิดความเสียหายขึ้น
1. สถานะของประเทศไทย ปัจจุบันไทยมีหนี้สาธารณะอยู่ประมาณ 48% ต่อ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ)
2. หนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากเงินกู้ที่รัฐบาลนางยิ่งลักษณ์ไปกู้มาแล้วในโครงการ
- โครงการฟื้นฟูหลังน้ำท่วมหนึ่งแสนสองหมื่นล้านบาท[120,000,000,000 บาท]
- โครงการป้องกันน้ำท่วมสามแสนห้าหมื่นล้านบาท[350,000,000,000 บาท]
- โครงการรับจำนำข้าวสี่แสนหนึ่งหมื่นล้านบาท[410,000,000,000 บาท]
ฯลฯ
- และโครงการวางรากฐานประเทศไทยที่กำลังจะกู้ในอนาคตอีกสองล้านสองแสนล้านบาท[2,200,000,000,000 บาท]
รวมทั้งหมดแล้วหนี้สาธารณะของไทยจะขยับจาก 48% ต่อ GDP เป็นมากกว่า 70% ต่อ GDP
สถานการณ์ล่าสุด ธนาคาร ธกส.ขาดสภาพคล่อง(ไม่มีเงินสดเพียงพอ)จึงได้ขอให้กระทรวงการคลังหากแหล่งเงินกู้ให้อีกกว่าเจ็ดหมื่นล้านบาท[70,000,000,000 บาท] แต่กระทรวงการคลังปฏิเสธ บอกให้ ธกส.ไปทวงเงินกับกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่แน่ชัดว่าสถานะความเข้มแข็งด้านการเงินการคลังของรัฐบาลนางยิ่งลักษณ์กำลังมีปัญหา ดังนั้นหากเกิดวิกฤตที่รัฐบาลจะต้องไปรับผิดชอบชดใช้ความเสียหายของบัญชีเงินฝากที่เปิดไว้กับธนาคารของรัฐที่มีอันต้องเจ๊งไปเชื่อว่ารัฐบาลคงไม่มีเงินเพียงพอที่จะรับผิดชอบชดใช้ความเสียหายได้ หรือหากชดใช้ได้ก็คงได้แค่บางส่วน หรือรัฐบาลอาจจะต้องยืดระยะเวลาการชดใช้ความเสียหายออกไปเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ผู้ที่เดือดร้อนก็หนีไม่พ้นเจ้าของบัญชีเงินฝากนั่นเอง นี้อาจเป็นเหตุให้กระทรวงการคลังปิดปากเงียบในเรื่องนี้ จะเปิดปากอีกทีก็คือการแถลงให้ประชาชนทราบว่า ธนาคารของรัฐธนาคารนี้เจ๊งแล้ว ผู้ที่เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารนี้ให้ไปติดต่อที่นั่นหรือติดต่อที่นี่.......คนไทยไม่อยากได้ยินแบบนี้ครับ

ที่มา http://www.facebook.com/pages/ไทกร พลสุวรรณ?ref=stream

"เพื่อนบ้านไม่เกรงใจเราเลย"



"เพื่อนบ้านไม่เกรงใจเราเลย"

ปุจฉา - นมัสการค่ะหลวงพ่อ ดิฉันมีเรื่องที่อยากให้หลวงพ่อช่วยชี้แนะค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า ข้างๆ บ้านดิฉันเป็นที่ดินเปล่าที่เจ้าของที่ทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่ได้ล้อมรั้วไว้ แล้วคนบ้านตรงข้ามดิฉันเขามาจับจองปลูกต้นไม้ ดอกไม้ ทำเหมือนเป็นที่ตัวเอง แล้วเขามาปลูกต้นดอกแคไว้ติดกับกำแพงบ้านดิฉัน เวลาที่เขามาเก็บดอกแค เขาก็มาปีนกำแพงบ้านดิฉัน และเขาจะต้องขึ้นไปเดินเหยียบหลังคาบ้านดิฉันเป็นประจำแทบจะทุกวัน(บ้านชั้นเดียวค่ะ) บางทีเวลาใช้ไม้สอย มันก็กระแทกหลังคาเสียงดัง แล้วแม่ดิฉันนอนกลางวันก็จะตื่นบ่อย ดิฉันไม่รู้จะพูดกับเขายังไงเพราะว่าก็เคยไปอาศัยไหว้วานให้เขาช่วยเหลือบางเรื่อง คือเกรงใจเขาค่ะ แต่แปลกที่เขาไม่เกรงใจเราบ้างน่ะค่ะ หลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วยนะคะ ทุกข์มากค่ะ

พระไพศาล วิสาโล - เรื่องนี้คุณควรพูดให้เขาทราบว่า การกระทำของเขาก่อปัญหาแก่คุณและแม่อย่างไรบ้าง บางทีเขาอาจไม่รู้หรือไม่ได้คิดก็ได้ ก่อนที่จะบอกเขาก็ควรตั้งสติสักหน่อย (รวมทั้งรวบรวมความกล้าด้วย) ดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม เช่น เลือกเวลาที่เขาอารมณ์ดี ผ่อนคลาย แล้วพูดด้วยคำที่สุภาพ หากคุณคุ้นเคยกับใครที่เขาเคารพนับถือหรือเกรงใจ จะไหว้วานให้ท่านผู้นั้นไปบอกเขา ก็เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่ง แต่ก็ควรแน่ใจว่าท่านผู้นั้นจะสื่อสารให้ตรงอย่างที่คุณต้องการ หาไม่อาจเกิดความเข้าใจผิดกันได้

ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

โทษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีผลออกฤทธิ์ทำลายตั้งแต่ปาก-ลำคอ กระเพาะ กระแสเลือด ตับอ่อน


โทษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีผลออกฤทธิ์ทำลายตั้งแต่ปาก-ลำคอ กระเพาะ กระแสเลือด ตับอ่อน ตับ หัวใจ กระเพาะปัสสาวะและไต ต่อมเพศเสื่อม สมอง พิษเฉียบพลันถึงตาย พิษเรื้อรังทำให้สมองเสื่อม แอลกอฮอล์นั้น นักเคมีเรียก ethyl alcohol หรือ ethanol (CH3CH2OH) แอลกอฮอล์ธรรมชาติเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลงเหลือจากการหมัก มนุษย์เรารู้จักแอลกอฮอล์มานานนับพันปีแล้ว ในรูปแบบของเหล้าองุ่น เบียร์ และนํ้าผึ้ง ในสมัยคริสต์ศตวรรษ ที่ 16 นักกายวิภาคศาสตร์ชื่อ Vesalius ได้ตรวจพบว่า คนที่ดื่มแอลกอฮอล์มากมักจะเป็นโรคร้ายนานาชนิดที่สําคัญๆ ได้แก่ โรคตับวาย เป็นต้น

คนติดสุรายาเมามักจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย
มะเร็งกระเพาะ ตับแข็งและเส้นเลือดในสมองแตก คนขับรถที่เมามักจะขาดพลังควบคุมสติสัมปชัญญะ ทําให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หญิงมีครรภ์ที่ดื่มแอลกอฮอล์จะแท้งลูกในท้อง หรือหากไม่แท้งทารกที่คลอดออกมาจะมีร่างกายและสติปัญญาที่บกพร่อง

ภัยอันตรายทั้งหลายเหล่านี้ทําให้แพทย์สรุปได้ว่า แอลกอฮอล์เป็นสาเหตุสําคัญอันดับสองรองจากบุหรี่ที่ทําให้คนเราเสียชีวิตก่อนถึง
เวลาอันควร

งานวิจัยของ Pakhen Erg แห่ง Neurological Research Laboratory ที่เดนมาร์ก ฉบับที่ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet ประจําเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ได้ชี้ให้เห็นว่า แอลกอฮอล์มิได้ฆ่าหรือทําลายเซลล์ประสาทในสมองแต่อย่างใด มันเพียงแต่ทําให้เนื้อเยื่อที่เชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทเหล่านั้นเสื่อมสมรรถภาพเท่านั้นเอง เขาพบว่า จํานวนเซลล์เนื้อเยื่อในสมองของคนติดเหล้าจะน้อยกว่าจํานวนเซลล์เนื้อเยื่อในสมองของคนไม่กินเหล้า 11% และในสมองส่วนที่ทําหน้าที่จํานั้น จํานวนเซลล์เนื้อเยื่อสมองของคนติดเหล้าน้อยกว่าของคนที่ไม่ติดเหล้า 80%
กลไกการออกฤทธิ์ต่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย

การออกฤทธิ์ของสุรา คนส่วนมากมักเข้าใจผิดว่าสุรานั้นจะออกฤทธิ์ต่อร่างกายเมื่อถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วมันออกฤทธ์ทำลายตั้งแต่อวัยวะแรกที่สัมผัสจนตลอดตามเส้นทางเดินของสุราที่ผ่านเข้ามาในร่างกาย ซึ่งสามารถอธิบายตามลำดับขั้นตอนได้ดังต่อไปนี้

1.ปากและลำคอ
เมื่อสุราเข้าปากและลำคอจะไปออกฤทธิ์ต่อผิวอวัยวะภายในช่องปากทำให้เกิดการระคายเคืองชิ้นเยื่อบุที่ละเอียดอ่อนในปากและหลอดอาหาร มักมีอาการร้อนซู่เมื่อผ่านลงไป

2.กระเพาะอาหารและลำไส้ สุราเมื่อผ่านลงสู่กระเพาะจะมีผลกับผนังชั้นนอกสุดที่เป็นชั้นที่จะปกป้องกระเพาะอาหาร จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ถ้าอาการเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน เกิดอาการอักเสบของเยื่อบุชั้นในสุดของผนังหรือกระเพาะอาหารหรืออาจทะลุลำไส้เล็กได้ นอกจากนั้นสุรายังเป็นอุปสรรคกับการดูดซึมอาหารบางชนิด เช่น วิตามินB1, กรดโฟลิก ,ไขมัน วิตามินบี6,วิตามินบี 12 และกรดอมิโนต่าง ๆ

3.กระแสเลือด ร้อยละ95 ของสุราที่เข้าสู่ในร่างกาย จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด โดยผ่านเยื่อบุในกระเพาะอาหาร และลำไส้ส่วนดูโอดีนั่มอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงกระแสเลือดจะเข้าไปในเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายอย่างรวดเร็ว แอลกอฮอล์ทำให้เซลล์ของเลือดเกาะเป็นก้อนเหนียว การไหลเวียนจึงช้าลง และปริมาณออกซิเจนลดต่ำลงด้วย สุราทำให้โลหิตจาง โดยจะไปลดการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้ความเม็ดเลือดขาวทำลายแบคทีเรียช้าลง และทำให้การแข็งตัวของเกล็ดเลือดช้าลงด้วย

4. ตับอ่อน แอลกอฮอล์จะทำให้เซลล์ของตับอ่อนระคายเคือง และบวมขึ้น สุราทำให้การไหลของน้ำย่อยไม่สามารถที่จะเข้าไปในลำไส้เล็กได้ ทำให้น้ำย่อยย่อยตัวตับอ่อนเอง ทำให้เกิดเลือดออกอย่าง เฉียบพลันและการอักเสบของตับอ่อน พบว่า 1ใน5 จะเสียชีวิตไปในครั้งแรก เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อน การสร้างอินซูลินขาดหายไป และทำให้เป็นเบาหวานในที่สุด

5. ตับ แอลกอฮอล์มีอิทธิพลต่อเซลล์ของตับ ทำให้เกิดการบวม ทำให้น้ำดีซึมผ่านไปทั่วตับ เป็นเหตุให้ตัวเหลือง รวมทั้งส่วนขอบตาและผิวหนังเป็นสีเหลืองด้วย ทุกครั้งที่ดื่มสุรานั้น เซลล์ของตับจะถูกทำลายเป็นผลให้ตับแข็ง การเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับมีถึง 8 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มสุรา

6. หัวใจ แอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อของหัวใจบวม ทำให้เกิดเป็นพิษกับหัวใจมีการสะสมของไขมันมากขึ้น และทำให้การเผาผลาญช้าลงไปด้วย

7. กระเพาะปัสสาวะและไต แอลกอฮอล์ทำให้เยื่อบุของกระเพาะปัสสาวะบวม ทำให้ไม่สามารถยืดได้ตามปกติ การระคายเคืองของไตทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น

8. ต่อมเพศ ต่อมอัณฑะจะบวม ทำให้ความสามารถทางเพศลดลง

9. สมอง เป็นอวัยวะที่ไวต่อฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ซึ่งเห็นได้ชัดเจน ก่อให้เกิดพิษแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง

9.1 พิษแบบเฉียบพลัน ได้แก่ Alcoholic intoxication แบ่งออกเป็นพิษในระดับมากน้อยแตกต่างกันไป ตามระดับของแอลกอฮอล์ในเลือดดังนี้
ระดับแอลกอฮอล์ (มิลลิกรัม/100มิลลิลิตร)
30 mg% - ทำให้เกิดการสนุกสนานร่าเริง
50 mg% - เสียการควบคุมการเคลื่อนไหว
100 mg% - แสดงอาการเมาให้เห็น เดินไม่ตรงทาง
200 mg% - เกิดอาการสับสน
300 mg% - เกิดอาการง่วงซึม
400 mg% - เกิดอาการสลบ และอาจถึงแก่ชีวิตได้

9.2 พิษเรื้อรัง
แอลกอฮอล์มีพิษโดยตรงต่อสมอง ทำให้เซลล์สมองเสื่อม ในผู้ติดสุราพบว่ามีการฝ่อลีบของสมองส่วนคอร์เทกซ์ ซึ่งจะมีผลต่อการเสื่อมทางจิตด้วยหลายประการ เช่น ขาดความรับผิดชอบ ความจำเสื่อม เมื่อเป็นมากเกิดประสาทหลอน หูแว่ว หลงผิด หวาดระแวง คลุ้มคลั่ง และแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดประสาท โดยกดศูนย์ควบคุมระบบต่าง ๆ เช่นกดศูนย์หายใจและศูนย์ควบคุมการไหลเวียนของโลหิตในสมอง ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

เครดิต: Pakhen Erg, Neurological Research Laboratory เดนมาร์ก วารสาร Lancet พฤศจิกายน 2538
ภาพ: จากอินเตอร์เน็ต
*****************************************
แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ไม่ต้องพึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

คนกรุงไทยก็วิตก


คนกรุงไทยก็วิตก
หลังมีกระแสข่าวว่าจะให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยไปควบรวมกับธนาคารกรุงไทยเพื่อแก้ปัญหาหนี้เน่าจำนวน 39,000,000,000 ล้านบาทของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย(ในยุคสมัยรัฐบาลนางยิ่งลักษณ์มีหนี้เน่าเพิ่มขึ้นถึง 25,000,000,000 ล้านบาท จากเดิมในยุคสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์มีหนี้เน่าเพียง 14,000,000,000 ล้านบาท) ทำให้เกิดกระแสวิตกกังวลในหมู่พนักงานของธนาคารกรุงไทยอย่างมาก โดยมีเหตุความวิตกกังวลดังนี้
1. กังวลว่าหนี้เน่าของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยจะมีมากกว่าที่แจ้งไว้ เพราะไม่เชื่อข้อมูลเนื่องจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ชอบปิดบังความจริง
2. สถานะของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยง่อนแง่นมาก ยิ่งมีประชาชนแห่กันไปถอนเงินฝากมากๆ(20 วันที่ผ่านมาประชาชนแห่ไปถอนเงินฝากออกจากแบงค์อิสลามมากกว่า 4,800,000,000 ล้านบาท)จะยิ่งทำให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยล้มเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ถ้าคนแห่กันไปถอนเงินฝากอยู่เช่นนี้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยมีโอกาสล้มภายในหนึ่งเดือน
3. รัฐบาลนางยิ่งลักษณ์ยังไม่มีมาตราการรับมือและมาตราการแก้ปัญหาทั้้งระยะสั้นและระยะยาวในเรื่องนี้(ปัญหาหนี้เน่าของธนาคารรัฐ เอสเอ็มอีแบงค์,อิสลามแบงค์,ธกส.)
ดังนั้นคนของธนาคารกรุงไทยจึงกลัวว่าการควบรวมธนาคารกรุงไทย(ซึ่งก็ยังมีฐานะที่ไม่มั่นคงมากนัก)กับธนาคารของรัฐอื่นๆที่กำลังมีปัญหาหนี้เน่าจะทำให้แบงค์กรุงไทยเดี้ยงไปด้วย เหมือนเตี้ยอุ้มค่อม ซึ่งจะทำให้พังกันทั้งหมด คนของกรุงไทยโดยเฉพาะพนักงานระดับล่างที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดหากเกิดความผิดพลาดขึ้นจึงฝากไปถึงรัฐบาลโดยเฉพาะนางยิ่งลักษณ์ได้โปรดใช้สติปัญญาความสามารถที่เธอมีอยู่อย่างเต็มที่เพื่อแก้ปัญหานี้ก่อนที่มันจะสายเกินไป

ที่มา http://www.facebook.com/pages/ไทกร พลสุวรรณ?ref=stream

นางยิ่งลักษณ์อยู่เฉยไม่ได้แล้ว!


นางยิ่งลักษณ์อยู่เฉยไม่ได้แล้ว!
อาการของอิสลามแบงค์หนักกว่าที่คิด รัฐบาลต้องรีบตัดสินใจแก้ปัญหาด่วน
1. ข่าวจากดีเอสไอแจ้งให้ทราบว่าจะมีการเข้าตรวจสอบสัญญาเงินกู้ระหว่างลูกค้ากับอิสลามแบงค์อีกครั้ง จะตรวจสอบทุกสัญญา และจะตรวจดูเส้นทางการเงินของลูกค้าอิสลามแบงค์ด้วยว่ายักย้ายถ่ายเทเงินไปที่ไหนบ้าง
2. ขณะนี้ลูกค้าของอิสลามแบงค์ยังคงทยอยถอนเงินฝากออกไปไม่หยุด เลือดไหลออกไม่หยุด เพราะทุกคนเริ่มรู้ว่าการฝากเงินที่อิสลามแบงค์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ประกาศรับรองธนาคารของรัฐไว้ เพราะธนาคารของรัฐตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ พรบ.คุ้มครองเงินฝากจึงไม่ครอบคลุมและคุ้มครองเงินฝากเหล่านั้น เว้นเสียแต่รัฐบาลต้องออกกฎหมายมารับรองอีกฉบับ ซึ่งรัฐบาลก็ยังไม่ออกกฎหมายมารับรอง ผู้ฝากเงินในอิสลามแบงค์จึงตกอยู่ในความเสี่ยงสูงหากธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยต้องมีอันเป็นไป(ธนาคารล้ม)เงินฝากของประชาชนก็จะสูญไปทันที
นางยิ่งลักษณ์ทำอะไรอยู่ครับ รีบแก้ก่อนจะสายเกินแก้

ที่มา http://www.facebook.com/pages/ไทกร พลสุวรรณ?ref=stream

"กายานุปัสสนาคืออะไรบ้าง"


"กายานุปัสสนาคืออะไรบ้าง"

เฮียยาง ขาหมูเทพ - กราบนมัสการท่านอาจารย์ ผมขอปุจฉาดังนี้ครับ
การนั่งสมาธิโดยการกำหนดลมหายใจหรืออาณาปานสติและการระลึกถึงลมหายใจโดยเข้ายาวรู้ว่ายาว ออกยาวรู้ว่ายาว ฯ นั้นเราจะแยกแยะหรือเข้าใจได้อย่างไรว่าสิ่งใดเป็นกายานุสติ

พระไพศาล วิสาโล - คุณคงหมายถึง กายานุปัสสนา ซึ่งหมายถึงการพิจารณากายในกาย หรือพูดง่าย ๆ ว่ามีสติเห็นกาย กายในที่นี้มีความหมายกว้าง รวมถึง ลมหายใจ และอิริยาบถต่าง ๆ

กายานุปัสนาหมายความว่า ขณะที่หายใจ หรือเดิน ก็รู้ว่าหายใจและเดินอยู่ ไม่ว่ากายทำอะไร ก็รู้ชัดในการกระทำนั้น ไม่ฟุ้งซ่าน จมอยู่ในความคิด การทำสมาธิภาวนา หากเอากายเป็น “อารมณ์” หรือจุดสนใจของจิต เพื่อเจริญสติและปัญญา ก็ถือเป็นกายานุปัสนาทั้งนั้น
ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

ความสุขของคนส่วนใหญ่


ความสุขของคนส่วนใหญ่
มักไม่เป็นอิสระ
เพราะต้องไปพึ่งพาวัตถุ
ต้องไปพึ่งพิงสายตาของคนอื่น
แล้วสิ่งเหล่านี้ เป็นของไม่เที่ยง
ถ้าคุณเอาความสุข
ไปผูกติดกับสิ่งเหล่านี้
คุณก็จะไม่มีความสุขอย่างแท้จริง

พระไพศาล วิสาโล

http://www.visalo.org/columnInterview/5602sukGuy23.htm
ที่มา พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

ชีวิตของมนุษย์เราออกเป็นสามส่วน


ชีวิตของมนุษย์เราออกเป็นสามส่วน

หนึ่ง, เราใช้ยี่สิบห้าปีแรกไปกับการเรียนรู้

สอง, อีกสี่สิบปีต่อมา เราใช้ไปกับการทำงาน
...
สาม, สิบห้าปีสุดท้าย เราใช้ไปกับการพักผ่อนหลังเกษียณ

คำถามคือ ทำไมต้องรอไปเกษียณตอนอายุหกสิบกว่าปีด้วยล่ะ?

ทำไมเราไม่หาเวลาพักผ่อนบ้าง ระหว่างช่วงวัยที่กำลังทำงานหนัก?

#แชร์มาฮะ DjFiat LinkCorner

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ขอเชิญร่วมงานปาฐกถามูลนิธิโกมลคีมทอง ประจำปี ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๓๙


ขอเชิญร่วมงานปาฐกถามูลนิธิโกมลคีมทอง
ประจำปี ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๓๙

"เขื่อนข้ามพรมแดน ทุนข้ามชาติ คำถามถึงธรรมาภิบาลในอุษาคเนย์"
ปาฐกถาโดย เพียรพร ดีเทศน์

ในวันศุกร์ที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

(สถานที่จัดงานปาฐกถามูลนิธิฯ ในปีนี้จัด ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม กรุงเทพฯ
ห้องประชุมจันทร์จรัส ชั้น ๓ อาคารสำนักอธิการบดี)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
มูลนิธิโกมลคีมทอง 02-412-0744


เพียรพร ดีเทศน์ ผู้ประสานงานการรณรงค์ประเทศไทย International Rivers ซึ่งเธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับแม่น้ำสายพยศตั้งแต่เรียนจบ จากวันนั้นชีวิตวนเวียนอยู่กับแม่น้ำโขง คลุกคลีกับชาวบ้านทั้งไทย จีน พม่าและลาว ทำงานร่วมกับนักวิชาการและเพื่อนๆ องค์กรพัฒนาเอกชนในภูมิภาคนี้ เพื่อสำรวจการเปลี่ยนแปลงของสายน้ำโขง เนื่องจากผลกระทบจากการสร้างเขื่อน

มานี่สิลูก แม่มีอ่ะไรจะสอน (^-^)


มานี่สิลูก แม่มีอ่ะไรจะสอน (^-^)

แม่คงสอนให้ลูกฉลาดไม่ได้
ลูกต้องเรียนรู้และฉลาดด้วยไหวพริบและกึ๋นของลูกเอง
แม่คงสอนให้ลูกเรียนเก่งไม่ได้
ลูกต้องอยากรู้อยากเข้าใจในบทเรียนด้วยตัวของลูกเอง
แม่คงสอนให้ลูกเกรดสี่ทุกวิชาไม่ได้
เพราะแม่เองก็ไม่เคยได้เกรดสี่สักวิชา แฮ่ๆ

แม่อยากให้ลูกคิด และมองโลกในแง่ดี
อย่าคิดว่าใต้ฟ้านี้มีแต่เรื่องทำไม่ได้ เป็นไม่ได้
หัดคิดให้เป็นบวกไว้แหละดี

แม่อยากให้ลูกหัดฝัน
เมื่อไรลูกฝันเป็น ไม่ว่าจะเป็นใฝ่ฝัน หรือความฝัน
ลูกจะรู้ว่าโลกนี้มันน่าอยู่เพียงไหน

แม่อยากให้ลูกพูดแต่เรื่องดี พูดแต่เรื่องสวยงาม
จงเป็นคนสุดท้ายที่ให้ร้ายคนอื่น
และจงเป็นคนแรกที่ให้กำลังใจ และชื่นชม

แม่อยากให้ลูกทำเรื่องแปลกๆ
ลูกไม่จำเป็นต้องเดินตามชีวิตประจำวันของใคร
อย่าเก็บความคิดแปลก เพียงเพราะเห็นว่ามันไม่เหมือนใคร

แม่อยากสอนให้ลูกกล้าแดด กล้าฝน
เพราะภายใต้ไออุ่นของดวงอาทิตย์ลูกจะได้รับวิตามินดี
และภายใต้ฟ้าที่มีฝน มันจะทำให้ลูกร้องไห้โดยไม่มีใครเห็นน้ำตา

แม่อยากสอนให้ลูกออกกำลังกายทุกวัน
อย่างน้อยคนเราก็ต้องเคลื่อนไหวทะมัดทะแมง
ลูกได้ออกแรงเสียบ้าง ลูกจะแข็งแกร่งไม่อ่อนแอ

แม่อยากให้ลูกยิ้ม และอยู่กับโลกด้วยความรัก
ยิ้มอาจจะไม่ชนะทุกสิ่ง ยิ้มมากๆอาจจะดูเหมือนคนบ้า
แต่มันก็ดีกว่าหน้าบึ้งหน้างอเป็นไหนๆ

แม่อยากสอนให้ลูกรู้จักอดทน
ลูกต้องเรียนรู้ว่าลูกไม่มีทางได้ทุกๆอย่างที่ลูกหวังไว้
อดทนและอย่าได้เสียกำลังใจ
อย่าท้อและขอให้เริ่มใหม่อย่างมีพลัง

แม่อยากสอนให้ลูกเข่ยงขาขึ้นให้สูง
ไม่มีอะไรที่สูงไปกว่าสองมือเราจะเอื้อมคว้า
เพียงแค่ว่าเรายืนยันที่จะไม่ยืนอยู่กับที่

แม่อยากสอนให้เจ้ามีความสุข
แต่อย่าลืมทุกข์ด้วยล่ะลูก
คนที่ไม่เคยมีความทุกข์ เขาสุขจริงๆไม่เป็นหรอก เจ้าเอย

ไอคิวมันติดมาแต่บนฟ้าลูกจ๋า
ไม่ฉลาดก็มีความสุขได้ไม่ต้องห่วง
อย่าน้อยใจถ้าตามใครเขาไม่ทัน
อย่าเสียขวัญถ้าเราช้ากว่าใครๆ

อีคิวมันต้องหาเองบนโลกนี้ลูกเอ๋ย
ไม่ฉลาดก็น่ารักและมีความสุขได้
อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุง
ลูกมีกำลังใจเป็นถุงจากแม่ ไม่ต้องกลัว
ถ้าคิดว่า ฉันทำดีแล้ว ทำไมฉันยังต้องเจอเรื่องอย่างนี้
ก็จงมองในมุมคนอื่นบ้าง เขาก็คิดอย่างนี้ได้เช่นกันนะ
ต่างคนต่างกำลังฝึกหัดพัฒนา ทำดีให้ดีขึ้น จงให้กำลังใจกัน
หากเราอยากได้รับโอกาส ก็จงให้โอกาส จงมีเมตตาก่อน
หากเราอยากให้เขาเข้าใจ ก็จงพยายามเข้าใจคนอื่นให้มากขึ้น
เราทุกคน ต่างมีหัวใจเต้นอยู่ในทรวงอกเหมือนกันทั้งนั้น

E-BOOK เอกสารฝึกอบรม การเพาะเห็ดเศรษฐกิจ ของลุงพงศ์


เอกสารฝึกอบรม การเพาะเห็ดเศรษฐกิจ
โครงการคิดดีทำดีชีวีมีสุข เศรษฐกิจพอเพียงชุมชนเมือง
โดย แหล่งเรียนรู้ เชียงใหม่รักสงบ
เศรษฐพงศ์ มณีผ่อง (ลุงพงศ์)



เอกสารฝึกอบรม การเพาะเห็ดเศรษฐกิจ (ลุงพงศ์) by

4 ข้อคิดสู่ความสำเร็จ


4 ข้อคิดสู่ความสำเร็จ
1. ตกลงใจอย่างแน่วแน่ว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณจะคิด จะพูด แต่สิ่งที่คุณต้องการจริงๆ จงคิดดูว่ามีอะไรบ้าง?
2. จงท้าทายความเชื่อทั้งหลายที่จำกัดตัวคุณเอง จงหยุดความคิดติดลบที่คอยดึงคุณถอยหลังออกมา
3. คาดหวังแต่สิ่งที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ จินตนาการว่ามีการประกันว่า คุณจะได้รับความสำเร็จอย่างสูงในทุกอย่างที่ทำ แล้วให้ลงมือทำทันที
4. มีวินัยกับตนเองที่จะค้นหาสิ่งที่ดี ที่มีประโยชน์จากทุกเรื่องที่คุณประสบมา แล้วคุณจะหามันพบเสม

ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์..ลูกนอกคอก เป็นอย่างไร?





ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์เรื่องนี้ น่าสนใจมากครับ ลองอ่านดูแล้วแทงตลอด
ด้วยปัญญา...ก็จะทราบว่า คำตรัสที่ว่า อย่าได้เที่ยว


ไปในวิสัยอื่นซึ่งมิใช่วิสัยควรเที่ยวไป.  เป็นอย่างไรครับ

ลูกนอกคอก๑
ภิกษุ ท. ! เหยี่ยวตัวหนึ่ง ได้โฉบลง จับนกมูลไถตัวหนึ่งไปได้โดย
รวดเร็ว. นกมูลไถกำลังถูกเหยี่ยวนำไป ได้พร่ำรำพันอย่างนี้ว่า “เราน่ะไม่เข้า
ลักษณะของผู้มีบุญ, เรามีบุญน้อย, เราจึงเที่ยวไปในวิสัยอื่นซึ่งมิใช่วิสัยควรเที่ยว
ไป. ถ้าในวันนี้ เราเที่ยวไปในวิสัยอันเป็นของแห่งบิดาของตน, เหยี่ยวตัวนี้หาสู้เรา
ได้ไม่” ดังนี้ ; เหยี่ยวจึงถามว่า “นี่แน่ะนกมูลไถ ! ที่ไหนของเจ้าเล่า ซึ่งเป็น
วิสัยอันเป็นของแห่งบิดาของตนเที่ยวไป”. นกมูลไถตอบว่า “ที่ที่มีก้อนดิน ซึ่ง
คนทำการไถทิ้งไว้ นั่นแหละคือวิสัยเป็นที่เที่ยวของบิดาเรา”. ครั้งนั้นเหยี่ยวผู้
แสดงความหยิ่งเพราะกำลังของตนผู้อวดอ้างเพราะกำลังของตน ได้ปล่อย นก
มูลไถไปด้วยคำพูดว่า “ไปเถอะนกมูลไถ ! ถึงเจ้าไปในที่เช่นนั้นก็ไม่พ้น
มือเราแน่” ดังนี้. ครั้งนั้นนกมูลไถไปยังที่ที่มีก้อนดินซึ่งคนทำการไถทิ้งไว้
แล้วจึงขึ้นยืนบนก้อนดินใหญ่ ท้าเหยี่ยวว่า “ทีนี้ มาซิ ท่านเหยี่ยวของเรา. ทีนี้
มาซิ ท่านเหยี่ยวของเรา” ดังนี้. ครั้งนั้น เหยี่ยวผู้แสดงความหยิ่งเพราะกำลัง
ของตน ผู้อวดอ้างเพราะกำลังของตน ได้ห่อปีกทั้งสองข้าง แล้วโฉบลงไป
ที่นกมูลไถโดยรวดเร็ว. ภิกษุ ท. ! ในกาลใดแล นกมูลไถรู้ตัวเสียก่อนว่า
“เหยี่ยวใหญ่ตัวนี้มาจับเราแล้ว” ในกาลนั้น นกมูลไถตัวนั้น ก็หลบเข้า
ซอกดินเสียก่อน. ภิกษุ ท. ! ครั้งนั้นแล เหยี่ยวตัวนั้นเอาอกกระแทกดินตาย
เพราะความเร็ว ณ ตรงที่นั้นเอง. ภิกษุ ท. ! ผู้ที่เที่ยวไปในวิสัยอื่น ซึ่งมิใช่
วิสัยควรเที่ยวไปแห่งตน ย่อมมีอันเป็นไป ด้วยประการฉะนี้.

ภิกษุ ท. ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เที่ยว
ไปในวิสัยอื่นซึ่งมิใช่วิสัยควรเที่ยวไป. เมื่อพวกเธอเที่ยวไปในวิสัยอื่นซึ่งมิใช่
วิสัยควรเที่ยวไป มารจักได้ช่องทางทำลายล้าง มารจักได้โอกาสที่จะทำตาม
อำเภอใจ แก่พวกเธอ. วิสัยอื่นซึ่งมิใช่วิสัยควรเที่ยวไปของภิกษุ คืออะไรเล่า ?
คือ กามคุณ ๕. ห้าอะไรกันเล่า ? ห้าคือ รูปที่เห็นด้วยตา, เสียงที่ได้ยินด้วย
หู, กลิ่นที่รู้สึกด้วยจมูก, รสที่รู้สึกด้วยลิ้น, และโผฏฐัพพะที่รู้สึกด้วยการ
สัมผัสทางกาย ซึ่งเป็นที่น่าปรารถนา, น่ารักใคร่, น่าชอบใจ, ที่ยวนตายวนใจ
ให้รัก, เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยแห่งความใคร่, ที่เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อม
ใจ ; ภิกษุ ท. ! นี้ แล เป็นวิสัยอื่นซึ่งมิใช่วิสัยควรเที่ยวไปของภิกษุ.

ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์



http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=dharmatoday&month=20-11-2012&group=1&gblog=29

แสง สี เสียง ตำนานเมืองกุฉินารายณ์



อำเภอกุฉินารายณ์จัดแสดง แสง สี เสียง ตำนานเมืองกุฉินารายณ์ อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ จัดแสดงประกอบ แสง สี เสียง ตำนานเมืองกุฉินารายณ์ เพื่อสื่อถึงเรืองราวประวัติความเป็นมา ศิลปวัฒนธรรมของอำเภอกุฉินารายณ์ที่ยาวนานกว่า 100 ปี ให้กับเยาวชน ประชาชนรุ่นหลังได้รับรู้เพื่อให้เกิดความรัก สามัคคี ของคนในชุมชน เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2556 ที่สนามโรงเรียนกุฉินารายณ์ อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ นายประเสริฐ ลือชาธนานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงานแสดงประกอบ แสง สี เสียง ตำนานเมืองกุฉินารายณ์ ในงานสมโภชอำเภอกุฉินารายณ์ครบ 100 ปี ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างอำเภอกุฉินารายณ์, ห้วยผึ้ง, นาคู, เขาวง กับวิทยาลัยนาฎศิลปกาฬสินธุ์ ร่วมสร้างสรรค์ปั้นแต่งเรื่องราวที่สื่อความหมายถึงประวัติความเป็นมาของเมืองกุฉินารายณ์ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน โดยมีนักแสดงจากโรงเรียนกุฉินารายณ์ ประชาชนชาวอำเภอกุฉินารายณ์ และจากวิทยาลัยนาฎศิลปกาฬสินธุ์ กว่า 500 คน นายธนเสฏฐ์ ชัยสงครามธนทัต กล่าวว่า การจัดงานแสดง แสง สี เสียง ตำนานกุฉินารายณ์ วัตถุประสงค์ประการหนึ่งก็เพื่อให้พี่น้องประชาชนชาวอำเภอกุฉินารายณ์มีการตื่นตัว ตระหนักเห็นคุณค่าของศิลปวัฒนธรรม ประเพณีของตนเอง ช่วยกันฟื้นฟูขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณีของชาวอำเภอกุฉินารายณ์ให้เยาวชน ประชาชนทั่วไป ได้ศึกษา สืบสาน และประวัติศาสตร์ความเป็นมาของอำเภอกุฉินารายณ์ ตลอดจนสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจร่วมกันคือ พระพุทธชยันตีกุฉินารายณ์พิทักษ์มิ่งมงคล (หลวงพ่อองค์ดำ) ถือว่าเป็นสิริมงคลสูงสุดของชาวอำเภอกุฉินารายณ์ สำหรับการแสดงชุดนี้จะกล่าวถึงความเป็นมาของอำเภอกุฉินารายณ์ตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อปี พ.ศ.2456 จนถึงปัจจุบัน เจ้าเมืองผู้ปกครองอำเภอกุฉินารายณ์, สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวอำเภอกุฉินารายณ์ คือ พระพุทธชยันตีกุฉินารายณ์พิทักษ์มิ่งมงคล (หลวงพ่อองค์ดำ) , ประเพณีสู่ขวัญข้าวบูชาพระแม่โพสพ, ความอุดมสมบูรณ์ของอ่างเลิงซิว ใช้เวลาการแสดง 45 นาที ................................... ดวงใจ หงส์จันทร์/ข่าว http://pr.prd.go.th/kalasin/

ผู้ว่าฯกาฬสินธุ์สั่งคุมเข้มให้งานมหกรรมโปงลาง แพรวา และงานกาชาดประจำปี 2556 ปลอดเหล้า




ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าฝ่ายปกครอง คุมเข้มห้ามดื่มและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานมหกรรมโปงลาง แพรวา และงานกาชาดจังหวัดกาฬสินธุ์ ประจำปี 2556

นายสุวิทย์ สุบงกฎ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ได้กล่าวถึงมาตรการคุมเข้มให้งานมหกรรมโปงลาง แพรวา และงานกาชาดจังหวัดกาฬสินธุ์ ประจำปี 2556 ปลอดเหล้า ในที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานฯ ว่า จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้กำหนดจัดงานมหกรรมโปงลาง แพรวา และงานกาชาดจังหวัดกาฬสินธุ์ ประจำปี 2556 ขึ้นในระหว่างวันที่ 1 - 10 มีนาคม 2556 ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยเฉพาะด้านการแสดงพื้นบ้านซึ่งถือเป็นอัตลักษณ์ของชาวอีสาน และเพื่อหารายได้สนับสนุนกิจการของเหล่ากาชาดจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งในปีนี้ได้วางมาตรการและแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดความชัดเจนอันจะก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของผู้คนที่มาเที่ยวงานอย่างปลอดภัยปราศจากการทะเลาะวิวาทจากผู้เมาสุรา และลดอุบัติเหตุที่มีสาเหตุมาจากผู้ขับขี่ที่เมาสุรา

จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ อปพร. คุมเข้มทุกประตูเข้างานเพื่อกวดขันห้ามนักท่องเที่ยวนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาดื่มภายในงาน ตลอด 10 วัน 10 คืน และให้กวดขันห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลอล์ในบริเวณงานทุกรูปแบบทั้งการเร่ขาย การแจก แถม ให้ หรือแลกเปลี่ยนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือกับสินค้าอื่น รวมถึงห้ามมิให้ผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบริเวณงานฯด้วย หากพบฝ่าฝืนจะดำเนินตามกฎหมายขั้นเด็ดขาดทุกราย




โทรศัพท์มือถือทำให้ปวดหัว หูตึง กล้ามเนื้อคอ-ไหล่เกร็ง


โทรศัพท์มือถือทำให้ปวดหัว หูตึง กล้ามเนื้อคอ-ไหล่เกร็ง แบตเตอรีเก่าจะกลายสภาพเป็นแคดเมียม เป็นสารก่อพิษกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลก แคดเมียมเป็นโลหะหนัก หากได้รับเข้าไปทีละน้อยจากการหายใจ กินหรือดื่ม จะเกิดพิษเรื้อรังทีละน้อย ก่อให้เกิดโรค ไตอักเสบ ไตวาย ข้อเสื่อม ถุงลมปอดโป่งพอง ระบบหายใจผิดปกติ และทำให้เกิดมะเร็งในอวัยวะหลายชนิด

การใช้โทรศัพท์มือถืออาจทำให้มีอาการปวดหัวได้ เพราะหลักการรับ-ส่งสัญญาณของโทรศัพท์
มือถือ คือ การแปลงเสียงพูดให้เป็นกระแสไฟฟ้า ก่อนส่งออกไปในอากาศ โดยอาศัยคลื่นพา เช่น คลื่นไมโครเวฟ แล้วไปตามสถานีเครือข่าย ที่มีทั่วประเทศไทย โดยผ่านทางเสาอากาศ

ปกติเรานำคลื่นไมโครเวฟมาใช้ในการอุ่นอาหาร เนื่องจากคลื่นถูกดูดซึมจากส่วนประกอบที่มีน้ำได้ดี และถ้ามีความเข้มสูงพอจะเกิดเป็นความร้อน ทำให้อาหารนั้นร้อนขึ้นหรือสุกได้ ถึงแม้คลื่นไมโครเวฟ ที่กระจายอยู่ในอากาศยังไม่มีความเข้มถึงขีดอันตรายที่จะเกิดความร้อนได้ แต่เสาอากาศของโทรศัพท์มือถือได้ดึงดูดคลื่นไมโครเวฟเข้าสู่เครื่องโทรศัพท์ ทำให้บริเวณที่อยู่ใกล้เสาอากาศ คือ ศีรษะจะได้รับคลื่นไมโครเวฟในปริมาณมากจนอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดศีรษะได้

ดังนั้นผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือจำเป็นต้องหยุดใช้เครื่องชั่วคราวเมื่อมีอาการปวดศีรษะ และเปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์ที่บ้าน หรือที่สำนักงานแทน มิฉะนั้นสมองอาจค่อยๆกระทบกระเทือนจนไม่ปลอดภัย ในรายที่ยังไม่ปวดศีรษะ ควรติดตั้งเสาอากาศโทรศัพท์ให้สูงเลยศีรษะไป อาจช่วยลดอันตรายของคลื่นไมโครเวฟได้บ้าง

ข้อเสียอื่นๆ สำหรับผู้ที่ใช้โทรศัพท์เป็นประจำคือ อาจมีอาการหูตึง เนื่องจากเสียงโทรศัพท์ไม่ชัดเจน มีเสียงรบกวนอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ได้ใช้โทรศัพท์ในตำแหน่งที่รับส่งคลื่นได้สะดวก บุคลิกภาพของผู้ใช้โทรศัพท์ต้องเสียไป เนื่องจากต้องพะวักพะวงกับการหาตำแหน่งที่รับฟังได้ชัดเจน และยังต้องตะโกนพูดอยู่คนเดียว

การโทรไม่ติด หรือหลุดบ่อยทำให้อารมณ์เสีย หงุดหงิด สุขภาพจิตเสื่อมลง กล้ามเนื้อคอ หัวไหล่มักจะเกร็งเนื่องจากต้องถือโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา และบางครั้งยังต้องพยายามเอียงคอ และใช้มือดันโทรศัพท์ให้แนบติดกับใบหูอยู่ตลอดเวลา การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อคอ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปวดศีรษะ เพราะเมื่อกล้ามเนื้อหดตัวตลอดเวลา หลอดเลือดจะส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การแก้ไขอาจต้องใช้โทรศัพท์ที่มีขนาดเบา อย่าคุยโทรศัพท์นานเกินควร และถ้าอยู่ในรถอาจผ่านขยายเครื่องขยายเสียง และใช้ไมโครโฟนในการสนทนา ซึ่งในกรณีนี้นอกจากจะไม่เป็นผลเสียต่อสุขภาพแล้ว ยังลดอุบัติเหตุบนท้องถนนลงได้ หรือลดคำแช่งด่าจากผู้ที่ขับรถตามมาด้วย เพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์จนทำให้รถติดขัด

ข้อเสียของโทรศัพท์มือถืออีกประการหนึ่งที่ทุกคนมักไม่ได้นึกถึง คือ ถ่านไฟที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือประกอบด้วยสารอันตรายหลายชนิด ไส้แบตเตอรี่ในโทรศัพท์มือถือที่ท่านต้องเปลี่ยนตามเวลาทุก 12-18 เดือนนั้น กำลังจะเป็นปัญหาที่น่ากลัวสำหรับตัวท่านเอง ลูกหลานและมนุษยชาติในอนาคต ไส้แบตเตอรี่ที่ใช้ในถ่านโทรศัพท์มือถือมี 2 ชนิด คือ ชนิด NICAD (Nickel Cadmium Cells) และ Hydride (Nickel Metal Hydride Cells) สารประกอบที่ใช้ในถ่านชนิดแรกคือ NICAD จัดเป็นขยะอันตรายที่จะก่อโทษกับสุขภาพของคน และเกิดมลภาวะในสิ่งแวดล้อมได้

เนื่องจากขั้วลบของถ่านชนิดนี้เป็น แคดเมียมไฮดรอกไซด์ เมื่อบรรจุไฟแล้วจะกลายสภาพเป็นแคดเมียม ซึ่งเป็นสารก่อพิษในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลก แคดเมียมเป็นโลหะหนัก มีอยู่ในธรรมชาติจำนวนน้อย หากได้รับเข้าไปทีละน้อยจากการหายใจ กินหรือดื่ม ก็จะเกิดพิษเรื้อรังทีละน้อย ด้วยอาการสำคัญคือ ไตอักเสบ ไตวาย ข้อเสื่อม ถุงลมปอดโป่งพอง ระบบหายใจผิดปกติ และทำให้เกิดมะเร็งในอวัยวะหลายชนิด ที่น่ากลัวคือ แคดเมียมที่ถูกทิ้งจากการอุตสาหกรรม หรือแบตเตอรี่จะปนเปื้อนเข้าในดิน น้ำ ซึ่งสัตว์และพืชจะรับเข้าไปในตัว เมื่อคนกินสัตว์หรือพืชเข้าไป ก็จะได้รับแคดเมียมสะสมเข้าไปในปริมาณที่เกิดพิษได้ง่าย

ขณะนี้ตัวเลขที่ได้จากการจดทะเบียนมือถือทั่วประเทศมีจำนวนมาก และมีจำนวนไม่น้อยที่ใช้แบตเตอรี่แบบ NICAD ซึ่งแต่ละก้อนจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1 ปี ดังนั้นจะมีแบตเตอรี่ NICAD เป็นพิษทิ้งจำนวนหลายล้านก้อนต่อปี ขณะนี้มีประชาชนที่รู้ถึงพิษของขยะอันตราย และพยายามแยกขยะ แต่ก็ไม่สามารถที่จะหาที่ทิ้งที่ถูกต้อง หรือหาหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงได้

เครดิต: สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารแห่งชาติ
ภาพ: จากอินเตอร์เน็ต
*****************************************

ดูแลรักษาตับ ก่อนตับจะไม่อยู่กับเรา ล้างพิษตับ กับ ชีวอโรคยา www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ไม่ต้องพึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

สิ่งที่ CEO ทั่วโลกให้ความสำคัญในปีที่ผ่านมา


สิ่งที่ CEO ทั่วโลกให้ความสำคัญในปีที่ผ่านมา
จากผลการสำรวจ CEO ทั่วโลกในปี 2012 ที่ผ่านมาของสำนัก KPMG ที่สัมภาษณ์ผู้นำและผู้บริหารระดับสูง เช่น CEO , CFO ของบริษัทต่าง ๆ กว่า 3,000 คน จากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก พบว่า สิ่งที่ผู้นำทางธุรกิจส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเรียงลำดับได้ดังต่อไปนี้

1. การเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจที่จะรับรู้ต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 43%
2. การปรับปรุงกระแสเงินสดและการทำงานด้านบริหารเงินทุน 32%
3. การใช้ประโยชน์จากโอกาสในการเติบโตผ่านการทำธุรกรรมที่ประสบความสำเร็จ 30%
4. การเตรียมองค์กรให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงโมเดลทางธุรกิจที่สำคัญ 25%
5. การจัดการและการรักษาคนที่ใช่ภายในองค์กร 24%
6. การบ่งชี้จุดที่เป็นความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร 21%
7. การมองหาการเจริญเติบโตในตลาดเกิดใหม่ 21%
8. การสร้างนวัตกรรมโดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 20%
9. การปรับตัวที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสีย 18%
10. การใช้ข้อมูลเพื่อคาดการณ์วิธีรับมือในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน 15%
http://humanrevod.wordpress.com/2013/02/15/business-leaders-survey-2012/

ข้อเท็จจริงของน้ำหอม และกลิ่นต่างๆ อาจทำให้เรา “อยาก” โดยไม่ได้มีความต้องการที่แท้จริง



ข้อเท็จจริงของน้ำหอม และกลิ่นต่างๆ อาจทำให้เรา “อยาก” โดยไม่ได้มีความต้องการที่แท้จริง อาทิ อยากกิน อยากใช้บริการ อยากซื้อฯลฯ มีข้อมูลจากการวิจัยกล่าวว่า “ขณะที่ท่านได้กลิ่นหอมของเบเกอรีในซุปเปอร์มาร์เก็ตในอเมริกา ชวนให้ท่านเข้าไปซื้อ เป็นการเพิ่มยอดการขายเบเกอรีมากขึ้น” (Hirsch,1995,IJA)

กลิ่นช่วยขยายรสชาติของอาหาร
การกระตุ้นการรับรู้กลิ่นเพื่อให้อยากเข้าไปซื้อสินค้านั้นไม่ใชความคิดใหม่ในอุตสาหกรรมร้านอาหาร พ่อครัวเบเกอรีและพ่อครัวขนมหวานต่างใช้เทคนิคนี้มานานหลายปี พวกเขาเรียนรู้และเข้าใจว่ากลิ่นช่วยขยายรสชาติของอาหารได้และประโยชน์จากกลิ่นยังดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้ดีอีกด้วย การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการรับรู้กลิ่นมีพลังในการกระตุ้นและสะกิดการตอบสนองทางอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งหมายถึง การที่ลูกค้าอยากที่จะเข้ามาซื้อสินค้ามากขึ้นนั่นเอง

ทางออกของการใช้กลิ่นสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม
การใช้กลิ่นอาหารอาจไม่ได้ผลกับอาหารทุกประเภท บรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิท กระป๋อง หรืออาหารแช่เย็น ไม่สามารถส่งกลิ่นให้นึกถึงอาหารได้ดีนัก ร้านค้าของชำต่างดัดแปลงนำเทคนิคไปใช้กับตู้แช่สินค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงความสดใหม่ของขนมปัง ขณะเดียวกันช่วยให้การขายเพิ่มขึ้น และลดสินค้าที่เน่าเสียได้อีกด้วย กลิ่นอาหารชวนยั่วให้น้ำลายไหลและรู้สึกหิวได้เป็นอย่างดี

เลือกกลิ่นที่อยู่ในความทรงจำจากประสบการณ์และความประจำที่ไม่ลืม
นักผลิตน้ำหอมเพื่ออุตสาหกรรม มีน้ำหอมที่มีคุณภาพให้เลือกมากมาย เหมาะกับทุกบรรยากาศ สถานที่ ตั้งแต่ ร้านค้าในห้างฯ ร้านค้าของชำ จนถึงโรงภาพยนตร์ และศูนย์อาหาร เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าสนใจอยากเข้ามาซื้อ ผัก ผลไม้ที่สด เช่น แอปเปิลที่สุก สดใหม่ หรือมะม่วงสุก ที่ยั่วให้น้ำลายไหล กลิ่นช็อกโกแลตหรือกลิ่นกาแฟ สำหรับร้านเครื่องดื่ม

นี่อาจเป็นคำตอบให้หลายคนได้ตระหนักว่า เราซื้อของบางอย่างมาทำไม ทั้งที่ไม่คิดอยากได้มาก่อน เราอาจถูก “กลิ่น” ยั่วยวนให้ซื้อก็เป็นไปได้

เครดิต: การตลาดโดยใช้กลิ่น จาก www.air-aroma.co.th
ภาพ: จากอินเตอร์เน็ต
*****************************************
แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ไม่ต้องพึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772

10 อันดับ สิ่งสกปรกที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน



10 อันดับ สิ่งสกปรกที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน
หากนึกถึงสิ่งสกปรกรอบๆตัว หลายคนคงชี้ไปยังห้องน้ำ หรือไม่ก็ลูกบิดที่แสนจะไกลตัวซะเหลือเกิน แต่ที่แท้จริงแล้วมันใกล้มากกว่านั้น หรืออาจเป็นเพราะมันแนบชิดสนิทติดตัวซะจนเรามองข้ามมันไป
มาดูกันว่า “รายงาน 10 อันดับสิ่งสกปรกที่ถูกใช้บ่อยมากที่สุด” นั้นมีอะไรบ้างเริ่มจากอันดับท้ายสุดก่อนเลย
อันดับ 10 ฟองน้ำล้างจาน
ด้วยวัสดุและรูป ลักษณ์ของมันที่เต็มไปด้วยรูพรุนที่สามารถใหน้ำ อากาศ ออกซิเจน เศษอาหารเข้าไปอาศัยอยู่ จึงเป็นแหล่งชุมชนแออัดของเหล่าเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี วิธีทำความสะอาดง่ายๆก็คือ เอาไปต้มหรือให้ความร้อนผ่านไมโครเวฟซัก 60 วินาที

อันดับ 9 ซิ้งค์อ่างล้างจาน
เห็นสะอาดอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะสะอาด ถึงจะไม่ได้ใช้บ่อยเท่าอย่างอื่น แต่มันเป็นบริเวณที่สกปรกที่สุดในบ้าน ซึ่งแต่ละตารางนิ้วนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 500,000 ตัว วิธีทำความสะอาดขจัดคราบที่คู่ควรกับตัวเลขห้าแสนนี้ ก็คือ ใช้โซดาไฟหรือน้ำส้มสายชูราดทำความสะอาดมันซะ แล้วตามด้วยน้ำเปล่าตามไปอีกที

อันดับ 8 อ่างอาบน้ำ
อ่างอาบน้ำเป็นรังเพาะเชื้อโรคชั้นดีที่หลายคนมองข้ามไป รู้อย่างนั้นแล้วเราจึงควรทำความสะอาดมันสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย

อันดับ 7 รีโมททีวี
อุปกรณ์บันเทิงประจำ ครัวเรือนที่เรามักจะลืมทำความสะอาดมัน ทั้งๆ ที่เราออกจะหยิบสอยใช้มันออกจะบ่อย ทำความสะอาดบ้านครั้งหน้าก็อย่าลืมหยิบรีโมทไปเช็ดถูกันบ้างนะ

อันดับ 6 ตะกร้าช้อปปิ้ง
ห้างสรรพสินค้ามีทุกสิ่งให้คุณเลือกสรร ฉันใดก็ฉันนั้น ตะกร้าช้อปปิ้งในห้างก็มีทุกสิ่งให้เชื้อโรคเลือกที่จะอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะมาจากสินค้าที่อยู่ในห้างเอง เช่น ของสด ของแห้ง สารเคมี หรือมาจากมือของท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน ที่พึ่งจับราวบันไดเลื่อน หรือพึ่งออกมาจากห้องน้ำห้างมา

อันดับ 5 ฝาที่นั่งชักโครก
ความจริงมันน่าจะสกปรกได้มากกว่านี้รึเปล่า แต่รู้หรือไม่ว่าฝาที่นั่งชักโครกนั้นมีการออกแบบวัสดุและพื้นผิว ให้ง่ายต่อการทำความสะอาดและยากที่เชื้อโรคจะอาศัยอยู่ แถมเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ ในการทำความสะอาดอยู่เสมอ (ไม่เอื้ออำนวยขนาดนั้นก็ยังติด 1 ใน 10) โดยรายงานระบุว่า ทุกตารางนิ้วบนฝานั่งชักโครกมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 295 ตัว

อันดับ 4 โทรศัพท์มือถือ
โทรศัพท์มือถือ เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ราคาแพงสำหรับเชื้อโรคเลยก็ว่าได้ ด้วยความเป็นพื้นที่สมบูรณ์ เพียบพร้อมไปด้วยปัจจัยความเจริญของเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิอุ่นๆ เหมือนร่างกายมนุษย์ที่เชื้อโรคชอบ พร้อมซอกซอยร่องหลืบง่ายต่อการกบดานหลบหนี พร้อมพรั่งด้วยโภชนาการและอาหารจากน้ำลายและขี้ไคลมนุษย์ ถ้าโทรศัพท์มีชีวิตเราอาจต้องพามันไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดยาแทนที่จะไปมาบุญครองเพื่อไปซ่อมมันก็เป็นได้

อันดับ 3 คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์
คนติดคอม ติดเน็ตหลายๆคน คงคุ้นชินกับพฤติกรรมการกินขนมขบเคี้ยว หรือแม้กระทั่งกินอาหารมื้อหลักหน้าจอคอมพ์ หรือแม้กระทั่งสาวๆเองที่ชอบหวีผมแต่งหน้าบนโต๊ะทำงาน เวลาว่างก็เม้าท์พ่นไฟแชทหน้าเวบแคม รู้หรือไม่ ว่าคีย์บอร์ดนั้นเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี โดยเฉพาะเศษอาหาร ผิวหนัง เหงื่อไคลต่างๆ ที่ผู้ใช้คอมทำตกลงไปในคีย์บอร์ดแล้วไม่ค่อยให้ความสนใจ เนื่องจากเพราะมันตกลงไปในร่อง ทำให้ยากต่อการมองเห็นว่าสกปรกและยากต่อการทำความสะอาด เป็นที่มาว่าทำไมจึงไม่มีใครสนใจ จะทำความสะอาดกันเท่าไหร่นัก จึงทำให้คีย์บอร์ดกลายเป็นแหล่งหมักหมมเพาะพันธุ์เชื้อโรคชั้นดี รายงานระบุว่าคีย์บอร์ดที่ได้รับการสำรวจนั้นสกปรกกว่าฝานั่งชักโครกถึง 40 เท่า แต่ถึงขนาดต้องใช้วิกซอลเข้มข้น 40 เท่าราดคีย์บอร์ดเพื่อทำความสะอาดด้วยรึเปล่ารายงานไม่ได้ระบุไว้

อันดับ 2 สวิตช์เปิด/ปิดไฟ
“สุขภาพวันนี้…ต้องเล่นกับไฟ” วัตถุที่มนุษย์สัมผัสบ่อยมากเท่าไหร่ เชื้อโรคก็ชอบตามไปอยู่มากเท่านั้น โดยเฉพาะปุ่มสวิทปิดเปิดไฟที่ต้องกดกันอยู่ทุกวัน ผู้เชี่ยวชาญเผยทุกๆ ตารางนิ้วบนสวิตช์ไฟที่เราเอานิ้วไปโดน เชื้อโรคสามารถย้ายสำมโนครัวตามติดมือไปได้ถึง 217 ตัว

อันดับ 1 เงิน ได้แก่ ธนบัตร เหรียญ
แบงค์ที่เราหยิบจ่ายซื้อของกันอยู่ทุกวันนี้ มีเชื้อโรคอยู่ประมาณ 135,000 ตัว ถึงจะเชื่อว่าใครๆก็อยากมีเงินเยอะๆ จะได้รวยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องสะสมเชื้อโรคไปตามความรวยด้วยนะ

เครดิต : toptenthailand.com
ภาพ: จากอินเตอร์เน็ต
*****************************************
แบ่งปันความรู้ทั่วไป เพื่อความพอเพียง และสุขภาพที่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

ชีวอโรคยา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า ไม่ต้องพึ่งสารเคมี ไม่ต้องรอให้ป่วยไปเสียค่ารักษาพยาบาลแพงๆ

ติดตามข้อมูลข่าวสารการดูแลตัวเองวิถีธรรมชาติ ไม่พึ่งสารเคมีได้ที่ Facebook ชีวอโรคยา
www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772