++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

“สันตศักย์ จรูญ” ดันงบช่วยเหลือคนพิการในพัทยา



ศูนย์ข่าวศรีราชา - เมืองพัทยาจัดโครงการสงเคราะห์อุปกรณ์ช่วยเหลือคนพิการ และผู้ที่บกพร่องทางร่างกาย พร้อมมอบเงินสงเคราะห์จำนวน 150 ราย หวังสร้างขวัญ และกำลังใจในการดำเนินชีวิตที่ดี “สันตศักย์ จรูญ” เผยพร้อมดันงบต่อเนื่อง

วันนี้ (28 ก.ย.) ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา จ.ชลบุรี นายอิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา นายสันตศักย์ จรูญ งามพิเชษฐ์ ประธานกรรมาธิการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมสมาชิกเมืองพัทยา และเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดชลบุรี ร่วมส่งมอบอุปกรณ์แก่คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้บกพร่องทางร่างกาย ตามโครงการสงเคราะห์อุปกรณ์ช่วยเหลือคนพิการ และผู้ที่บกพร่องทางร่างกายของเมืองพัทยา

ทั้งนี้ เมืองพัทยาได้ให้ความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะคนพิการ และผู้ที่บกพร่องทางร่างกาย รวมทั้งผู้ด้อยโอกาส ซึ่งถือได้ว่านโยบายสำคัญด้านการจัดการสังคม และสังคมสงเคราะห์ประชาชน ดังนั้น ในงบประมาณปี 2555 เมืองพัทยาจึงได้จัดทำโครงการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยเอดส์ และผู้ที่มีรายได้น้อย รวมถึงผู้ประสบสาธารณภัย

โดยเมืองพัทยาได้ร่วมกับ ส.ส.ในพื้นที่ดำเนินการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ที่กำลังตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก ได้มีโอกาสเข้าถึงสวัสดิการของรัฐอย่างทั่วถึง โดยความร่วมมือจากศูนย์พัฒนาสังคมหน่วยที่ 8 จังหวัดชลบุรี สนับสนุนเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้ที่มีรายได้น้อยจำนวน 150 ราย และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดชลบุรีให้การสนับสนุนรถเข็นวีลแชร์ 20 คัน และแว่นสายตาอีก 100 ชุด

ด้านนายสันตศักย์ จรูญ งามพิเชษฐ์ ประธานกรรมาธิการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม เปิดเผยว่า จากการผลักดันงบประมาณของคณะกรรมาธิการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม จึงมีงบประมาณร่วมสนับสนุนโครงการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพอุปกรณ์ช่วยเหลือคนพิการ และผู้บกพร่องทางร่างกายในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างกำลังใจให้ผู้พิการ ซึ่งต่อไปจะดำเนินการทางด้านศาสนา ทั้งพุทธ คริสต์ และอิสลามที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ในส่วนของงบประมาณการซ่อมแซมทำนุบำรุงแต่ละศาสนาให้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ก็จะมีการผลักดันให้เป็นรูปธรรมด้วย

จัดหางานนครปฐมผลักดันใช้บริการ“ศูนย์ตรีเทพ”



นครปฐม - กรมการจัดหางานมีมาตรการช่วยเหลือแรงงานเพื่อส่งเสริมให้นายจ้าง และคนหางานบรรลุความต้องการด้านการทำงานอย่างเหมาะสมโดยจัดตั้งศูนย์ตรีเทพขึ้น ณ สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครปฐม

วันนี้ (28 ก.ย.) นายเรืองยศ ตีวกุล จัดหางานจังหวัดนครปฐม เปิดเผยว่า ศูนย์ตรีเทพเพื่อการจ้างงานและยกระดับรายได้ครบวงจรเป็นการรองรับนโยบายของรัฐบาลในด้านการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน และคุณภาพชีวิตของประชาชนเพิ่มโอกาสการบรรจุงานให้มากขึ้นลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานและช่วยให้ผู้ประกอบการได้คนงานที่ตรงตามความต้องการ ศูนย์ตรีเทพมีนักแนะแนวอาชีพให้บริการแนะแนวอาชีพแก่ผู้สมัครงานให้มีทางเลือกในการหางานรวมทั้งเพิ่มทักษะความรู้ ความสามารถ และส่งเสริมการจ้างงานสำหรับแรงงานทั่วไปให้มีรายได้วันละไม่น้อยกว่า 300 บาท ผู้จบปริญญาตรีรายได้ เดือนละไม่น้อยกว่า 15,000 บาท ให้แรงงานสามารถดำรงชีพอยู่ได้ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน นับเป็นการให้บริการจัดหางานครบวงจรอีกช่องทางหนึ่ง

สำหรับประชาชนทั่วไปที่สนใจ คนหางาน และนักเรียน นักศึกษาจบใหม่ที่มีความต้องการทำงานหรือต้องการคำแนะนำในการประกอบอาชีพสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดนครปฐม โทร 0-34250-0861-2 ต่อ 14

ฉลองวันเกิดให้ “หลินฮุ่ย” ครบ 11 ขวบ-ปีหน้าลุ้นมีน้อง “หลินปิง”



เชียงใหม่ - สวนสัตว์เชียงใหม่จัดกิจกรรมฉลองวันเกิดครบ 11 ขวบ ให้ “หลินฮุ่ย” แม่ของหลินปิง ทูตสันถวไมตรีของเชียงใหม่เกือบ 9 ปี สัตวแพทย์ผู้ดูแลแพนด้าระบุความพร้อมให้การขยายพันธุ์ สภาพร่างกายสมบูรณ์เต็มที่ เพียงรอเวลาให้หลินฮุ่ยเป็นสัดเท่านั้น

วันนี้ (28 ก.ย.) เวลา 09.00 น. นางพรทิพย์ บุตรน้ำคำ รักษาการแทนผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่กล่าวว่า วันนี้ ตรงกับวันเกิดครบรอบ 11 ปีของแพนด้าหลินฮุ่ย ซึ่งมาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่พร้อมกับแพนด้าช่วงช่วงเมื่อเดือนตุลาคม 2546 จนถึงวันนี้เกือบครบ 9 ปี ของการเป็นทูตสันถวไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน

หลังจากที่มีการเปิดกล่องของขวัญเซอร์ไพรส์ให้กับหลินฮุ่ย ซึ่งภายในตกแต่งก้อนเค้กน้ำแข็งหวานเย็นราดด้วยน้ำหวานสีต่างๆ พร้อมกับผลไม้ที่เป็นของโปรดของ หลินฮุ่ย โดยหลินฮุ่ยใช้เวลาวนเวียนไปมาในส่วนจัดแสดงพักใหญ่ท่ามกลางการรอชมความน่ารักของบรรดาแฟนคลับแพนด้า และสื่อมวลชน ก่อนที่หลินฮุ่ยจะตรงเข้าไปคว้าลูกแอปเปิลมานั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนที่จะใช้เวลาในการกินบรรดาแครอทคุกกี้ไผ่ และท่อนไผ่ ให้ถ่ายภาพกันอย่างเต็มที่

ด้าน สัตวแพทย์หญิง กรรณิการ์ นิ่มตระกูล สัตว์แพทย์ประจำโครงการวิจัยและจัดแสดงแพนด้าในประเทศไทย เผยว่า ขณะนี้สุขภาพของหลินฮุ่ย มีความแข็งแรงสมบูรณ์ ดีน้ำหนักอยู่ที่ 115 กิโลกรัม ถือว่าอยู่ในวัยที่สมบูรณ์ที่สุดในการขยายพันธุ์ และอยู่ในช่วงเจริญพันธุ์ได้อีก 9-10 ปี

สำหรับแพนด้าหลินฮุ่ย ในปีนี้ไม่พบว่ามีการการติดสัด ต้องรอจนถึงปีหน้าถึงจะมีการวางแผนขยายพันธุ์แพนด้าอีกครั้ง จนกว่าจะถึงช่วงที่หลินฮุ่ยจะแสดงอาการพร้อมจะมีลูกอีกครั้ง แต่ในปีหน้าจะต้องปรับแผนในการติดตามพฤติกรรมและความพร้อมเนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าระยะช่วงเวลาที่หลินฮุ่ยมีอาการติดสัดนั้นไม่แน่นอน ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาหรือช่วงเดือนเดิมที่เคยได้หลินปิงมา จึงต้องทำการติดตามตลอดทั้งปีเนื่องจากหลินฮุ่ยสามารถที่จะตกไข่ และมีความพร้อมได้ในทุกเดือน ปีนี้จึงพยายามเน้นให้หลินฮุ่ยพักผ่อนร่างกายอย่างเต็มที่

แก๊งวัยรุ่นลอกเรียนแบบพฤติกรรมกันออกตระเวนปล้นทรัพย์ชาวบ้าน



ศูนย์ข่าวศรีราชา - ตำรวจ สภ.หนองขามแถลงข่าวจับกุม แก๊งวัยรุ่นลอกเรียนแบบพฤติกรรมกันออกตระเวนปล้นทรัพย์และทำร้ายเจ้าทุกข์บาดเจ็บโดยไม่กลัวเกรงกฎหมายได้ยกแก๊ง พร้อมของกลางที่ใช้ก่อเหตุและทรัพย์สินของผู้เสียหายได้หลายรายการ

เมื่อเวลา 02.30 น. วันนี้ (29 ก.ย.55) พ.ต.ท.กฤชมงกุฎ บูรณะภักดี สวป.สภ.หนองขามพร้อมกับ พ.ต.ท.เอนก บุตรอินทร์ สว.สส.สภ.หนองขาม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัวนายสุริยันต์ ทองแย้ม หรือ นาย เอ้.หนองแขวะ อายุ 20 ปี , นายไพริน กังจุ้ย หรือตี๋ อายุ 19 ปี พร้อมกับพวกอีก 9 คน ซึ่งเป็นเยาวชน โดยมี ชาย 8 ราย และผู้หญิง 1 ราย พร้อมรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าฟีโน่ สีฟ้าขาว ทะเบียน อธล-606 กทม. ฮอนด้าเวฟ 125 สีน้ำเงินเทา ทะเบียน คมก-106 ชบ. , สนับมือ 2 คัน , ปืนปลอม 2 กระบอก คนร้ายที่ใช้ตระเวนก่อเหตุและทรัพย์สินของของผู้เสียหายที่ถูกโจรกรรมมานั้นได้หลายรายการ

จากการสอบสวนนายสุริยันต์ ทองแย้ม หรือ นาย เอ้.หนองแขวะ ได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ตนเป็นหัวหน้าแก๊งจริง เนื่องจากตนมีอายุมากกว่าคนในกลุ่ม และทีมงานจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน โดยใช้รถจักรยานยนต์ 2 คัน ออกตระเวนหาเหยื่อที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ มาตามเส้นทางต่างๆโดยอาศัยที่เหมาะเปรียวคน จากนั้นลงมือก่อเหตุขับรถปาดหน้า และเข้าใช้สนับมือชกต่อยที่ศีรษะของผู้เสียหาย ก่อนชิงเอารถจักรยานยนต์และทรัพย์สินมีค่าไป และทิ้งผู้เสียหายที่นอนบาดเจ็บไว้ยังที่เกิดเหตุ

ผู้ต้องหารับสารภาพ ว่าทำแบบนี้มาแล้ว 16 ครั้ง ได้ทรัพย์สินมาก็จะนำไปขายให้กับเด็กวัยรุ่นหรือโรงรับจำนำในเขตพื้นที่ศรีราชาบ้าง อย่างเช่น รถจักรยานยนต์ขายคันละ 3,500 บาท และทรัพย์สินมีค่าแล้วแต่ราคาสิ่งของนั้น ได้เงินมาก็จะนำมาเที่ยวเตร่เลี้ยงสาว โดยในกลุ่มนี้ได้เป็นกลุ่มเยาวชนทั้งนั้น และจะหลอกเรียนแบบพฤติกรรมกันและก็นำมาก่อเหตุดังกล่าว

ด้านนายภุชงค์ พยัคฆะนิง อายุ 15 ปี ผู้เสียหาย ให้การว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมานั้น ได้ถูกก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เช่นนี้มาแล้ว 1ครั้ง โดยที่ใบหน้ายังมีบาดแผลจากการเย็บอยู่เลย แล้วมาถูกก่อเหตุซ้ำอีก ขณะกำลังขับรถจักรยานยนต์ฮอนด้าคลิ๊ก สีขาวเขียว ทะเบียน จตธ-770 ชบ. กลับที่พักเขตอ่าวอุดมแล้วถูกคนร้ายขับขี่รถจักรยานยนต์มา 2 คัน 4 คน ขับตามมาประกบแล้วใช้สนับมือต่อยเข้าที่ศีรษะจนล้มก่อนลงมาซ้ำแล้วคนร้ายอีกคนก็ขี่รถจักรยานยนต์ตัวเองที่ขับมาไป

หลังจากนั้นจึงเข้าแจ้งความแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองขามก็ติดตามจับกุมตัวกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุได้ในที่สุดด้าน พ.ต.ท.กฤชมงกุฎ บูรณะภักดี สารวัตรปรามปราบหนองขาม กล่าวว่า ผู้ที่ต้องขับรถในเวลากลางคืนและต้องผ่านไปทางที่เปลี่ยวควรใช้ความระมัดระวังให้มากกว่านี้เมื่อเห็นผิดสังเกตให้รีบหาจุดจอดหรือจุดที่มีชาวบ้านอยู่เพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สินตัวเองและหากถูกก่อเหตุให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันทีเพื่อจะได้เร่งติดตามจับกุมคนร้ายทันทีเพื่อไม่ให้ไม่ก่อเหตุเพิ่มขึ้นอีกและผู้ใดที่เคยถูกก่อเหตุลักษณะเช่นนี้ให้มาดูตัวกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุได้เพื่อจะได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุรายนี้

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ให้ผู้ต้องหาทำแผนทำร้ายร่างกายผู้เสียหายพร้อมกับชี้ตัวผู้ต้องหาก่อนจะแจ้งข้อกล่าวหากับกลุ่มแก๊งนี้ ว่า ร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้อื่นในเวลากลางคืนแล้วทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ ส่วนนายพุฒ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า ลักทรัพย์หรือรับของโจร แล้วควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งไปให้พนักงานสอบสวนแหลมฉบังเจ้าของพื้นที่ที่ก่อเหตุดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ภูเก็ตจัดงานไหว้พระจันทร์ยิ่งใหญ่



ภูเก็ต - หลายหน่วยงานร่วมอนุรักษ์ และสืบสานประเพณีท้องถิ่นภูเก็ต พร้อมใจกันจัดงาน “ไหว้พระจันทร์ สืบสานวัฒนธรรมภูเก็ต ประจำปี 2555” ประชาชนชาวจังหวัดภูเก็ตเข้าร่วมคึกคัก





เมื่อเวลา 19.00 น.วันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ที่บริเวณสวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชินี อ.เมืองภูเก็ต น.ส.สมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต เป็นประธานเปิดงาน “ไหว้พระจันทร์ สืบสานวัฒนธรรมภูเก็ต ประจำปี 2555” ซึ่งทางเทศบาลนครภูเก็ต การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต วัฒนธรรมจังหวัด สมาคมเพอรานากัน มูลนิธิเมืองเก่าภูเก็ต และชุมชนเมืองเก่าภูเก็ต ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น มี น.ส.วรรณประภา สุขสมบูรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต นายธีรวุฒิ ศรีตุลารักษ์ ประธานศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยเต้าโบ้เก้ง นางยินดี มโนสุนทร ประธานชุมชนเมืองเก่าภูเก็ต หัวหน้าส่วนราชการ นักเรียน นักศึกษา ประชาชนชาวภูเก็ต และนักท่องเที่ยวร่วมงานจำนวนมาก





น.ส.สมใจ กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้สืบเนื่องจากการไหว้พระจันทร์เป็นประเพณีที่ได้รับการปฏิบัติสืบทอดกันมานานนับร้อยปี มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า “เทศกาลจงซิว” สำหรับคนจีน เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลที่มีความสำคัญ เนื่องจากคนจีนกับพระจันทร์จะมีความผูกพันกัน โดยในสมัยอดีตได้กำหนดให้มีการไหว้พระจันทร์ขึ้น ในวันที่พระจันทร์เต็มดวง ส่องสว่างสวยงามที่สุดในรอบปี ซึ่งจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 และสำหรับในปีนี้ ตรงกับวันที่ 30 กันยายน 2555 การไหว้พระจันทร์เป็นการนำของมงคลต่างๆ มาจัดเป็นของไหว้ เช่น ขนมตงซิวเปี๊ยะ และผลไม้ ถั่ว เผือก แห้ว เป็นต้น แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ในประเพณีดังกล่าว คือ ขนมไหว้พระจันทร์ หรือขนมแห่งความกลมเกลียว





“วันไหว้พระจันทร์ ถือเป็นโอกาสดีที่สมาชิกในครอบครัวจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เช่นเดียวกับวันสำคัญอื่น และเมื่อพิธีไหว้พระจันทร์เสร็จสิ้นลง ทุกคนในบ้านก็จะแบ่งขนมกันกิน จึงถือได้ว่า ขนมไหว้พระจันทร์ คือ สัญลักษณ์สำคัญแสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความสามัคคี ความกลมเกลียวของคนในครอบครัว” น.ส.สมใจ กล่าวและว่า

การจัดงาน “ไหว้พระจันทร์ สืบสานวัฒนธรรมภูเก็ต ประจำปี 2555” จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 28-30 กันยายน 2555 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ และสืบสานประเพณีท้องถิ่นภูเก็ตให้คงอยู่คู่ลูกหลานชาวภูเก็ตสืบไป รวมทั้งให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และครอบครัว

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพังงาเข้าช่วยชาวบ้านสะพานขาดแล้ว



พังงา - อบจ.พังงา ลงเยียวยาชาวบ้านพื้นที่สะพานขาด ม.8 ต.นบปริง สร้างสะพานชั่วคราว แจกข้าวกล่อง และส่งเครื่องจักรกลหนักปรับพื้นที่เพื่อติดตั้งสะพานแบริ่งอย่างเร่งด่วน





ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากฝนกระหน่ำอย่างหนักต่อเนื่องหลายวัน และน้ำป่าทะลักกัดเซาะเสาตอม่อสะพานบ้านบางเหมียงพังตัดขาด ทำให้ประชาชนหมู่ 8 ต.นบปริง อ.เมือง จ.พังงา เดินทางออกภายนอกไม่ได้ พืชผลการเกษตรที่เก็บเกี่ยวไว้ไม่สามารถขนออกขายได้ สร้างความเดือดร้อนอย่างหนักแก่ประชาชน 60 ครัวเรือน การท่องเที่ยวหยุดชะงัก

ล่าสุด นายณรงค์ เกิดกอบ นักบริหารงานช่าง 6 องค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงา ได้ลงในพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือชาวบ้าน พร้อมเปิดเผยว่า ทาง อบจ.พังงาได้ส่งรถแบ็กโฮ 2 คัน เปิดเส้นทางสร้างสะพานเบี่ยงชั่วคราวโดยได้ประสานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดพังงา ขอเสาไฟฟ้าจำนวน 4 ต้น พาดเรียงเป็นสะพานตรงช่วงที่แคบที่สุดของลำคลอง มีความกว้างประมาณ 14 เมตร เพื่อให้ชาวบ้านเดินสัญจรข้ามไปมา และนำเด็กนักเรียนข้ามออกไปโรงเรียน พร้อมจัดข้าวกล่อง และน้ำดื่มไปแจก หลังจากนั้น ก็เร่งปรับพื้นที่บริเวณสะพานที่พังเพื่อเตรียมเป็นที่ติดตั้งสะพานแบริ่งที่กำลังเดินทางมาจากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 จังหวัดสงขลาเพื่อเร่งติดตั้งต่อไป





ในขณะที่หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็เข้าไปให้การช่วยเหลือ เช่น อบต.นบปริง โดยนายอภิสิทธิ์ ใสสด นายก อบต.นบปริง นำถุงยังชีพไปแจกผู้ประสบภัยในพื้นที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนบปริง นำยาสามัญประจำบ้าน เช่น ยาลดไข้ แก้ปวด ยารักษาโรคน้ำกัดเท้า ยาแก้โรคท้องร่วง เป็นต้น เข้าไปแจกจ่ายแก่ประชาชน ซึ่งการช่วยเหลือเหล่านี้ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่วันแรกที่ได้เกิดน้ำกัดเซาะจนสะพานพัง

นายสมเกียรติ อินทรคำ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพังงา กล่าวว่า สำหรับสภาพอากาศโดยทั่วไปของจังหวัดพังงา ยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง แต่ลดความรุนแรงลง และระดับน้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ ก็เริ่มลดปริมาณลงจนใกล้เป็นปกติแล้ว ไม่มีผู้ได้รับความบาดเจ็บ และเสียชีวิต ถนนเสียหาย 7 สาย ท่อระบายน้ำ 4 แห่ง สะพานขาด 1 แห่ง บ้านเรือนราษฎร ทรัพย์สิน และพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจความเสียหายเพิ่มเติม

แม่ทัพภาค 4 ประณามคำขู่ปิดร้าน ระบุนำความคิดสุดโต่งมาควบคุมสังคม



ปัตตานี - แม่ทัพภาคที่ 4 ประณามข่มขู่ให้ร้านค้าปิดในวันศุกร์ มีผลประโยชน์แอบแฝง บิดเบือนและนำคำสอนของศาสนามาใช้ในทางที่ผิด โดยการใช้ความคิดสุดโต่งมาบังคับและควบคุมสังคม

พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาค 4 กล่าวว่า การห้ามไม่ให้มีการค้าขายในวันศุกร์นั้น ต้องหันกลับไปดูหลักปฏิบัติของท่านศาสดาใหม่ ต้องทบทวนใหม่ ซึ่งผู้นำศาสนาต่างก็รู้ดี แล้วคนที่ทำก็ต้องรู้ดีว่าทำอะไรอยู่ ตนว่าคนที่ทำต้องหวังผลแอบแฝง ใช้ความสุดโต่งทางความคิดของตนเองมาบังคับใช้สังคม ตนว่าผู้ที่กระทำนั้นตกศาสนา ซึ่งพี่น้องมุสลิมคงเข้าใจในเรื่องนี้ แต่ก็ยังใช้มาตรการสร้างความหวาดกลัวอันนี้คือสิ่งที่กระทำต่อคนบริสุทธิ์

“ถึงเวลาแล้วที่ทางมวลชนจะต้องไม่ให้การสนับสนุน และก็จะถึงในเร็วๆวันนี้ ดังนั้น พี่น้องที่เข้าไปต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจเรามีทางออกให้ ซึ่งพี่น้องประชาชนชาวมุสลิมก็รู้ดีว่า การไม่ให้ขายของในวันศุกร์ไม่ใช่หลักศาสนาอิสลาม แต่เป็นเรื่องที่กลุ่มคนใช้ความรุนแรงควบคุมฝูงชน และเอาหลักความเชื่อมาใช้ในทางที่ผิด”

ส่วนมาตรการการรักษาความปลอดภัยที่ภาครัฐก็ได้เพิ่มมาตรการเต็มความสามารถ และประสานไปยังพลเรือน ตำรวจ ทหาร เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่พี่น้องจะต้องเลิกหวาดกลัวกับสิ่งพวกนี้ เพราะว่าเมื่อหลายปีที่แล้วก็ได้ประกาศไม่ให้ขายในวันศุกร์มาแล้ว แต่กลุ่มคนร้ายก็ยังได้เข้าก่อเหตุอีก เพื่อสร้างความทุกข์ให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ดังนั้น กลุ่มคนพวกนี้จะสร้างเสรีภาพ และความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในพื้นที่ได้หรือเปล่า เพาระยังใช้ความรุนแรงบังคับประชาชนผู้บริสุทธิ์อยู่

กรมชลฯ แจงโครงการ “ลำพะเนียง” ชาวบ้านย้ำต้องมีส่วนร่วมจัดการน้ำ



ศูนย์ข่าวขอนแก่น-กรมชลประทานชี้แจง โครงการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาลุ่มน้ำลำพะเนียง จ.หนองบัวลำภู ชาวบ้านย้ำขอมีส่วนร่วมออกแบบการพัฒนาลำพะเนียงด้วยตนเอง ซ้ำต้องการให้แก้ปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นภารกิจแรก

รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ห้องประชุมณัฐพงษ์ 1 โรงแรมณัฐพงษ์แกรนด์ อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู รศ.ดร.ประสิทธิ์ ประคองศรี ที่ปรึกษาโครงการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการพัฒนาลุ่มน้ำลำพะเนียง จ.หนองบำลำภูได้ชี้แจงปฐมนิเทศโครงการฯ ต่อหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน และชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ฟื้นฟูลุ่มน้ำลำพะเนียงร่วม 200 คนว่า โครงการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาลุ่มน้ำลำพะเนียง จ.หนองบัวลำภู ที่ทางกรมชลประทานร่วมกับ บ.พรี ดีเวลลอปเมนท์ คอลซัลแตนท์ จำกัดทำการศึกษานั้น เพื่อต้องการจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการและพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งใน จ.หนองบัวลำภู อย่างเป็นระบบและยั่งยืน

การศึกษาเริ่มตั้งแต่การจัดทำแผน การศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การออกแบบรายละเอียดการปรับปรุงขยายลำน้ำพะเนียง การประชาสัมพันธ์ มวลชนสัมพันธ์ และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งจะตระเวนชี้แจงโครงการกับประชาชนทั้ง 6 อำเภอของ จ.หนองบัวลำภู เพื่อรับฟังความคิดเห็น

“ทางคณะทำงานต้องการศึกษาเพื่อจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาลำน้ำพะเนียงอย่างจริงจัง โดยต้องการให้เกษตรกรได้ใช้น้ำจริง ๆ จากระบบชลประทานที่มีอยู่ และจะชี้แจงโครงการและฟังความคิดเห็นในทุกๆ อำเภอ” รศ.ดร.ประสิทธิ์กล่าว

ด้าน นายวิเชียร ศรีจันทร์นนท์ ประธานกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำลำพะเนียง จ.หนองบัวลำภู ได้ให้ความเห็นว่า การจะศึกษาการพัฒนาลำน้ำพะเนียงนั้น ต้องศึกษาและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการพัฒนาขุดลอกครั้งที่แล้วก่อน ทั้งการพังทลายของหน้าดินริมตลิ่ง ซึ่งเกษตรกรไม่สามารถใช้น้ำได้เนื่องจากคันดินที่สูงเกือบ 2-3 เมตร ที่ถูกขุดขึ้นมาขวางทางใช้น้ำ อีกทั้งยังขวางทางระบายน้ำที่จะไหลลงลำน้ำสาขา จนทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากและยาวนานยิ่งไปอีก

ที่สำคัญการพัฒนาลำน้ำลำพะเนียงนั้นจะต้องถูกออกแบบโดยชาวบ้านเข้าไปมีส่วนร่วมทุกกระบวนการ และให้เหมาะสมตามระบบนิเวศดั้งเดิมของพื้นที่ ผ่านรูปแบบการจัดการน้ำขนาดเล็กโดยชุมชน

นายวิเชียรกล่าวย้ำว่า การพัฒนาหรือเพิ่มเติมอะไรนั้น ก่อนอื่นต้องแก้ไขปัญหาผลกระทบเดิมก่อน ชาวบ้านที่เดือดร้อนจากการขุดลอกครั้งก่อนตอนนี้ก็ยังเดือดร้อนอยู่ ที่ผ่านมาภาครัฐไม่เคยให้ประชาชนได้ร่วมจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำของตัวเองเลย คิดเอง ทำเองหมด ปัญหาถึงได้เกิดอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนต้องจัดการทรัพยากรด้วยตัวเอง เพราะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รู้สภาพปัญหาของพื้นที่ดีที่สุด

ประจวบฯ เตรียมเปิด​เที่ยวบินให​ม่บินตรงหัวหิ​น-กัวลาลัมเป​อร์ มาเลย์



ประจวบคีรีขันธ์ - มาเลเซียสำรวจความพร้อมเมืองหัวหิน เพื่อเตรียมเปิดเที่ยวบินใหม่บินตรงจากกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ตรงถึงเมืองหัวหินในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะเปิดให้บริการ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเศษ หวังดึงนักกอล์ฟมาเลย์ มาตีกอล์ฟ ที่หัวหิน-ชะอำ ขยายฐานการท่องเที่ยว

นายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน พร้อมด้วยสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน-ชะอำ พร้อมคณะให้การต้อนรับนายแอนดี้ เช็ง กรรมการบริหารบริษัท ฮัลโล หัวหิน จำกัด และตัวแทนจากบริษัททัวร์ จากประเทศมาเลเซีย ในโอกาสที่เดินทางมาตรวจความพร้อม และเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยว และสนามกอล์ฟต่างๆของเมืองหัวหิน เนื่องจากจะมีการเปิดตัวเที่ยวบินใหม่ โดยสายการบินเบอจาย่า ซึ่งเป็นเที่ยวบินใหม่บินตรงจากท่าอากาศยานสุบัง กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ตรงถึงเมืองหัวหิน โดยจะให้บริการ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ได้แก่ วันอังคาร วันพฤหัสบดี และวันอาทิตย์ ใช้เวลาการเดินทาง 2 ชั่วโมง 40 นาที โดยเที่ยวบินแรกจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน สำหรับเครื่องบินที่ใช้จะเป็นเครื่องบิน ATR-72 ขนาด 65 ที่นั่ง

นายแอนดี้ เช็ง กล่าวว่า ชาวมาเลเซียรู้จักเมืองหัวหินในฐานะที่เป็นเมืองที่มีสนามกอล์ฟสวยๆ หลายแห่ง และมีความต้องการเดินทางมาเล่นกอล์ฟที่หัวหินเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ เมืองหัวหินยังมีความพร้อมด้านแหล่งท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายเหมาะกับการเดินทางมาเป็นครอบครัวด้วย มีสนามบินที่สามารถรองรับความต้องการของนักเที่ยว

นอกจากนี้ ยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ในการเปิดตัวเที่ยวบินใหม่นี้ กลุ่มตลาดหลักจะอยู่ที่กลุ่มนักกอล์ฟ และจะขยายไปสู่นักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวทั่วไป โดยแพกเกจราคาไป-กลับ จะอยู่ที่ 7,000 กว่าบาทเท่านั้น

ด้านนายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน ระบุว่า การเปิดเที่ยวบินใหม่ของสายการบินเบอจาย่า จากเมืองสุบัง ประเทศมาเลเซีย มายังเมืองหัวหิน จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของเมืองหัวหินได้เป็นอย่างดี และจะเป็นการขยายตลาดท่องเที่ยวด้านกีฬากอล์ฟให้กว้างขึ้น สำหรับเมืองหัวหินเองมีความปลอดภัย และมีความพร้อมอย่างเต็มที่ ทั้งสนามบิน ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และแหล่งท่องเที่ยว นอกจากนี้ การเดินทางเชื่อมโยงไปยังจังหวัดใกล้เคียงยังความสะดวก คาดว่าน่าจะเป็นที่สนใจของชาวมาเลเซีย

คนสุราษฎร์ฯ ร่วมก่อสร้างองค์มหาเทพกวนอูใหญ่ที่สุดในประเทศไทย



สุราษฎร์ธานี - คนไทยเชื้อสายจีนบนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ร่วมกันก่อสร้างองค์มหาเทพกวนอูที่สูงใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว และเป็นที่สักการะยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยเชื้อสายจีน





วันนี้ (29 ก.ย.) นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หมอบหมายให้ พล.อ.วัฒนา สรรพานิชย์ เป็นประธานในพิธีวางศิลากฤษ์ เททองจำลองรูปหล่อสัมฤทธิ์ มหาเทพกวนอู ณ ศาลเจ้ากวนอู เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์เทพเจ้ากวนอูที่สูง และใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขนาดความสูงองค์ 12 เมตร ความสูงรวมฐาน 16 เมตร มูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท เพื่อให้เป็นที่สักการะยึดเหนี่ยวจิตใจชาวไทยเชื้อสายจีนและคนไทยทั้งประเทศ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาะสมุย และให้เป็นที่สักการะแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่มีแนวโน้มขยายตัวมาเป็นอันดับ 1





สำหรับศาลเจ้ากวนอู ได้ก่อสร้างมาตั้งแต่ ปี 2415 โดยคนจีนไหหลำบนเกาะสมุยได้นำเทวรูปแกะสลักองค์กวนอู พร้อมองครักษ์ 2 องค์ มาประดิษฐาน ณ บ้านหน้าค่าย ซึ่งเป็นศาลเจ้าไม้เล็กๆ และเรียกกันว่าศาลเจ้าบุ่นเถ่ากง หรือศาลเจ้าหน้าค่าย ต่อมา ได้มีการย้ายศาลเจ้าฯ จากตลาดหน้าค่าย มายังตลาดหัวถนนโดยสร้างเป็นอาคารไม้เช่นกันจนถึงปี 2551





ต่อมา นายวิรัช พงษ์ฉบับนภา ประธานคณะกรรมการศาลเจ้าฯ ได้รวบรวมเงิน และขยายพื้นที่ศาลเจ้า โดยรักษาอาคารไม้เคี่ยมเดิมไว้ และสร้างหอศาลารายใหม่ พร้อมจัดหาทุนสร้างองค์กวนอูสัมฤทธิ์ ขนาดความสูงองค์ 12 เมตร ความสูงรวมฐาน 16 เมตร ด้านหลังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ รากเหง้า และถิ่นกำเนิดของคนจีนไหหลำบนเกาะสมุย โดยเปิดให้คนภายนอก รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ดังกล่าว

จับเครือข่ายขว้างมือถือเข้าเรือนจำเมืองคอน ตะลึงค้าจ้างพุ่งล้านบาท



นครศรีธรรมราช - จับอีกขบวนการขว้างมือถือเข้าเรือนจำนครศรีธรรมราช ของกลางมือถือ 15 เครื่อง ซิม 50 อัน พร้อมอุปกรณ์อื่นอีกจำนวนมาก และยาไอซ์ 2 กรัม เผยค่าจ้างส่งถึง 1 ล้านบาท ส่วนราคามือถือในเรือนจำพุ่งทะลุ 5 แสนต่อเครื่อง

วันนี้ (29 ก.ย.) เมื่อเวลา 05.30 น. พ.ต.อ.ภูดิศ นรสิงห์ รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วย พ.ต.ท.โชคดี ศรีเมือง รอง ผกก.สส.ภ.นครศรีธรรมราช และ พ.ต.ท.วิชาญ รักพริก หน.ชุด ปปส.ภ.นครศรีธรรมราช ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบบังกะโลท่าช้างรีสอร์ต ที่ ม.10 ต.ช้างซ้าย อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช หลังจากชุดสืบสวนรายงานว่า มีแก๊งขว้างโทรศัพท์มือถือเข้ามาเตรียมการเพื่อนำโทรศัพท์มือถือไปขว้างให้แก่ผู้ต้องโทษในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช

เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบว่า ภายในห้องเลขที่ 11 ของบังกะโลดังกล่าว มีเสียงพูดคุยกันอยู่ภายในหลายคน เจ้าหน้าที่จึงเข้าจู่โจมจับกุมตัวได้รวม 4 คน คือนายพิรุณ ทองศรีแก้ว อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 71/3 ม.10 ต.หินตก อ.ร่อนพิบูลย์ นางจุรี ญาฒะพัฒน์ อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 146/3 ม.6 ต.เสาธง อ.ร่อนพิบูลย์ นายสุชาติ สุราญณ์ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59/1 ม.3 ต.นาสาร อ.พระพรหม และนางเพ็ญรัตน์ สุขประสงค์ อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 70/1 ม.5 ต.ขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช

นอกจากนั้น ยังมีของกลางโทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆ จำนวน 15 เครื่อง ซิมการ์ดจำนวน 50 อัน แท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือจำนวน 15 อัน หูฟัง 15 อัน สมุดบัญชีรายรับรายจ่าย 1 เล่ม บัญชีเงินฝากธนาคาร 1 เล่ม ผ้าเทปสีดำ จำนวน 7 ม้วน โน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง เลเซอร์พอยนต์ 1 อัน และยาไอซ์ 2 ถุง หนัก 2 กรัม เจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดของกลางเพื่อเป็นหลักฐาน จากนั้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย และของกลางไปทำการสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช

จากการสอบสวนนายพิรุณให้การรับสารภาพว่า รับจ้างขว้างโทรศัพท์มือถือเข้าไปในเรือนจำมาแล้ว 3-4 ครั้ง ทำมาตั้งแต่ยังไม่เป็นข่าว ก่อนหน้านี้ ได้ค่าจ้างครั้งละ 3-4 หมื่นบาท แต่เมื่อเป็นข่าวดังค่าจ้างก็แพงขึ้นหลายเท่าตัว และในครั้งนี้ ตนได้รับการติดต่อจากคนภายนอกบอกว่ามีนักโทษสั่งให้นำโทรศัพท์มือถือขว้างเข้าไปภายในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช จะได้ค่าจ้าง 1 ล้านบาท จึงพาพรรคพวกมาแพกของที่รีสอร์ตแห่งนี้ และจะเตรียมหาช่องจังหวะขว้างเข้าเรือนจำก่อนถูกจับกุม

นายพิรุณให้การอีกว่า ก่อนจะที่นำมือถือไปขว้างเข้าไปในเรือนจำ ตนเองและพวกที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ได้นัดหมายให้มาพบกันที่รีสอร์ตดังกล่าว เพื่อแพกของเตรียมนำไปขว้าง โดยเอาทั้งโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ต่างๆ ทำเป็นชุดนำมาบรรจุในถุงยางอนามัย และถุงเท้าเพื่อกันกระแทก ซึ่งโทรศัพท์มือถือที่สามารถเล็ดลอดเข้าไปในเรือนจำได้นั้นจะมีราคาขายกันเครื่องละ 3-5 แสนบาทต่อเครื่อง ทำให้ผู้จ้างวานกล้าที่จะจ้างในราคาสูง ส่วนเงิน หรือค่าอะไรก็แล้วแต่จะโอนเงินกันภายนอก

ด้าน พ.ต.อ.ภูดิศ นรสิงห์ รอง ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้ง 4 คนนั้น สอบประวัติพบว่า พัวพันกับขบวนการค้ายาเสพติดทั้งหมด โดยเฉพาะนางจุรีเป็นภรรยาของอดีตผู้ใหญ่บ้านที่โดนจับกุมไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนการก่อเหตุแก๊งนี้จะเข้ามาขว้างโทรศัพท์มือถือเข้าไปในเรือนจำกลางในช่วงเช้ามืด ตั้งแต่เวลาประมาณ 03.00-05.00 น.เนื่องจากเป็นช่วงที่เจ้าหน้าที่ หรือผู้คุมไม่พลุกพล่าน หลังจากนั้น ก็จะใช้เลเซอร์พอยนต์ส่งสัญญาณเข้าไปภายในเรือนจำบอกว่าส่งสิ่งของเข้ามาแล้ว

“สำหรับนายพิรุณ เคยเป็นนักศึกษาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช เรียนช่างอิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ และเชี่ยวชาญใช้เครื่องบินบังคับด้วยคอมพิวเตอร์อีกด้วย เชื่อว่านายพิรุณอาจจะมีการเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้พร้อมเครื่องบินบังคับช่วงก่อนหน้านี้ก็ได้ และเชื่อว่านอกเหนือจากผู้ต้องหา 4 คนนี้แล้ว ยังมีผู้ร่วมขบวนการอีก อย่างไรก็ตาม จะเร่งทำการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย และขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป” พ.ต.อ.ภูดิศกล่าว

ชาวบ้านร่วมละหมาดฮายัตหลังเกิดเหตุร้ายต่อเนื่อง-จับแล้วมือคาร์บอมบ์ปัตตานี 2 ราย



นราธิวาส - ชาวบาเจาะ และชาวสายบุรีร่วมละหมาดฮายัตหลังคนร้ายวางระเบิดตำรวจ แต่ชาวบ้านรับเคราะห์ 4 ราย ขณะที่ผู้การ น.ย.ระบุ จับแล้ว 2 รายมือคาร์บอมบ์สายบุรี

วันนี้ (29 ก.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น. ได้มีตัวแทนผู้นำศาสนาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.บาเจาะ ยี่งอ ของ จ.นราธิวาส และ อ.สายบุรี ของ จ.ปัตตานี จำนวนกว่า 200 คน โดยการนำของนายแวสะมาแอ แลแตบาตู ประธานโต๊ะอิหม่าม และคอเต็บบิหลั่น อ.บาเจาะ ซึ่งรวมตัวกันที่บริเวณตลาดต้นไทร ม.6 ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ เพื่อประกอบพิธีละหมาดฮายัต ในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้ออกไปจากพื้นที่ รวมทั้งเป็นการขอพรจากพระเจ้าดลบันดาลให้เจ้าหน้าที่ และชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกันขจัดปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น ให้สามารถลุล่วงไปในทางที่ดี เพื่อให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความสันติสุขเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา





อย่างไรก็ตาม การประกอบพิธีละหมาดในครั้งนี้ เป็นผลพวงมาจากกลุ่มคนร้ายได้แฝงตัวก่อเหตุร้ายขึ้นในพื้นที่ 4 จุด 3 อำเภอของ จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส คือ เหตุวางระเบิดคาร์บอมบ์ตลาด อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 21 ก.ย.55 เหตุคนร้ายวางระเบิดภายในโรงเรียนบ้านบาตู มิตรภาพที่ 66 อ.บาเจาะ เมื่อวันที่ 24 ก.ย.55 เหตุคนร้ายวางระเบิดรถรับส่งนักเรียนโรงเรียนร่มเกล้า อ.ยี่งอ เมื่อวันที่ 27 ก.ย.55 และเหตุคนร้ายไปวางระเบิดไว้ในเพิงขายของทางขึ้นสะพานลอยข้างจุดตรวจต้นไทร เขตเทศบาลตำบลต้นไทร อ.บาเจาะ เพื่อดักสังหาร ร.ต.อ.นิพนธ์ เตียวตระกูล สวป.สภ.ปะลุกาสาเมาะ ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าจุดตรวจต้นไทร เหตุเกิดในช่วงคืนของวันที่ 28 ก.ย.55 ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ชาวบ้านถูกระเบิดได้รับบาดเจ็บ 4 ราย ประกอบด้วย 1.นางไซกี รอแง อายุ 27 ปี 2.นายซอบี สาและ อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นสามีของนางไซกรี ถูกสะเก็ดที่ใต้ราวนม 3.ด.ช.อัสกันตัน สาและ อายุ 4 ปี ซึ่งเป็นลูกชายของนายซอบี และนางไซกี ถูกสะเก็ดที่ลำตัวบาดเจ็บเล็กน้อย และ 4.นายอาหมัดอาซัน มิง อายุ 30 ปี





ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวแทนผู้นำศาสนาที่เข้าร่วมประกอบพิธีละหมาดในครั้งนี้กล่าวว่า เป็นฝีมือการกระทำของคนไม่มีศาสนา ซึ่งก่อนการประกอบพิธีละหมาด น.อ.สมเกียรติ ผลประยูร ผบ.ฉก.นย. ซึ่งเดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ ได้พูดคุยกับชาวบ้านเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวเหตุร้ายที่เกิดขึ้นทั้ง 4 จุด 3 อำเภอ ของ จ.ปัตตานีและยะลา ว่า ล่าสุด เหตุที่เกิดขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา บริเวณเพิงขายของทางขึ้นสะพานลอยใกล้กับจุดตรวจต้นไทรนั้นเป็นฝีมือการกระทำของกองกำลังติดอาวุธ RKK กลุ่มนายมะรูดิง ลีนะ ที่โกธรแค้นเจ้าหน้าที่บุกจับกุมอาวุธปืน และอุปกรณ์ในการประกอบระเบิดเป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 26 ก.ค.55 ที่ผ่านมา

และล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้จับกุมคนร้ายที่ลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ตลาดเทศบาล ต.ตะลุบัน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 21 ก.ย.55 ที่ผ่านมาได้แล้ว 2 คน เป็นคนขับรถยนต์ที่นำระเบิดคาร์บอมบ์ไปจอด และเป็นคนที่ขับรถยนต์กระบะเพื่อดูต้นทาง ซึ่งขณะนี้ของสงวนชื่อ และนามสกุล เนื่องจากอยู่ในระหว่างการสอบสวนขยายผล

นอกจากนี้ น.อ.สมเกียรติ ผบ.ฉก.นย. ยังได้ร่วมพูดคุยกับชาวบ้านอีกด้วยว่า จากการสอบปากคำกลุ่มคนร้ายที่ถูกจับกุมตัวได้ ทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ได้รับคำสั่งจากแกนนำให้พยายามสร้างสถานการณ์ร้ายในพื้นที่ภาคใต้ให้มีความรุนแรงมากที่สุด เพื่อต้องการให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงเรื่องของประเทศไทย

7-11 ยะลาตามกระแสหยุดวันศุกร์ รถประจำทาง-ร้านค้าทั่วเมืองพากันหยุดกว่า 80%



ยะลา - ชาวยะลาหวาดกลัวคำขู่ของกลุ่มคนร้ายที่ให้หยุดกิจการค้าขายในวันศุกร์ โดยพากันปิดร้านค้าหยุดให้บริการเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นของรายย่อย และมีหลายสาขา เช่น เซเว่น-อีเลฟเว่น รวมถึงรถให้บริการประจำทางก็

หยุดเป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศในย่านการค้า ย่านธุรกิจที่บริเวณถนนสถานีรถไฟ เขตเทศบาลนครยะลา ในวันนี้ (28 ก.ย.) โดยพบว่าร้านค้าขายเกือบทุกร้านที่เคยเปิดกิจการทำมาค้าขายกันอย่างคึกคักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้

พากันปิดร้านหยุดกิจการกันเป็นจำนวนมาก คาดว่าร้อยละ 80 ของร้านค้าที่มีอยู่พากันปิดร้านไม่ทำมาค้าขาย หลังมีคำขู่ของกลุ่มผู้ก่อเหตุความไม่สงบ ให้พ่อค้าแม่ค้าหยุดทำมาค้าขายในวันศุกร์ โดยไม่รับรองความปลอดภัย ทั้งนี้

ข่าวลือดังกล่าวส่งผลกระทบให้บรรยากาศย่านการค้าเงียบเหงาไปถนัดตา

นอกจากนี้ ระบบขนส่งรถโดยสาร รถสองแถวประจำทางที่คอยให้บริการระหว่างอำเภอ หรือระหว่างจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส ก็ต่างพากันหยุดวิ่งให้บริการกันเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งร้านค้าสะดวกซื้ออย่างเซเว่น-อี

เลฟเว่น ซึ่งตั้งอยู่ที่ทางแยกบ้านมลายูบางกอก อ.เมืองยะลา ซึ่งอยู่ห่างจากจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน ที่จุดตรวจมลายูบางกอกเพียงไม่กี่เมตร ก็ติดป้ายประกาศหยุดให้บริการในวันศุกร์ที่ 28 ก.ย. เป็นเวลา 1 วัน

ขณะที่ในอำเภอต่างๆ ของจังหวัดยะลาเกือบทุกอำเภอร้านค้าได้ปิดร้านไม่เปิดทำมาค้าขายกันเป็นจำนวนมาก ต่างจากทุกวันที่ผ่านมา โดยชาวบ้านบางส่วนก็บอกว่า กลัวคำขู่ และเกรงความไม่ปลอดภัยจากกลุ่มผู้ก่อความไม่

สงบ ที่ได้ปล่อยข่าวลือข่มขู่แม่ค้าพ่อค้า และร้านค้าที่เป็นชาวมุสลิมให้หยุดทำการในวันศุกร์

ภัยแล้งกระทบเกษตรกรเลี้ยงปลากระชังน้ำพอง ปลาตายหลายรายเลิกเลี้ยง



ศูนย์ข่าวขอนแก่น - ปริมาณในลำน้ำพองที่ปริมาณลดลงจากภาวะความแห้งแล้ง ส่งผลให้ปลาในกระชังที่เกษตรกรเลี้ยงตายและไม่กินอาหาร เกษตรกรโอดขาดทุนและหลายรายเลิกเลี้ยงปลากระชัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกษตรกรที่เลี้ยงปลากระชังในแม่น้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ตลอดทั้งสายขณะนี้ต่างได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากปริมาณน้ำในแม่น้ำพองได้ลดต่ำลงมาเป็นระยะเวลานานกว่า 4 เดือน นอกจากจะส่งผล

กระทบต่อเกษตรกรที่ปลูกพืชแล้วยังส่งผลต่อเกษตรกรที่เลี้ยงปลาในกระชังเนื่องจากปลาที่เลี้ยงไม่ยอมกินอาหารและเริ่มตายวันละ 50-100 กิโลกรัมต่อวัน

นางนุชนะภา ไวยโภชน์ เกษตรกรเลี้ยงปลาในกระชังบ้านห้วยซัน อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เปิดเผยว่า ปริมาณน้ำในแม่น้ำพองเริ่มลดลงมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จนทำให้ปลาที่เลี้ยงเริ่มตาย แม้จะพยายามต่อ

สายออกซิเจนลงในกระชังเลี้ยงปลาเพื่อเพิ่มปริมาณอ๊อกซิเจนในน้ำ แต่ปลาก็ยังตายและไม่ค่อยกินอาหาร ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยากให้ทางเขื่อนอุบลรัตน์ได้มีการปล่อยน้ำให้มากขึ้นจากเดิมที่ปล่อยวันละ 500,000 ลูกบาศก์เมตร

ให้เพิ่มการระบายเป็นวันละ 1 ล้านลูกบาศก์เมตร

ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำให้สูงขึ้นจากเดิม เพราะเกษตรกรที่เลี้ยงปลาในกระชังหลายรายประสบปัญหาเดียวกันจนต้องเลิกเลี้ยงปลาไป เพราะขาดทุนเป็นเงินจำนวนหลายแสนบาท จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาดูแล

เกษตรกรด้วย

ขณะที่ปริมาณน้ำในเขื่อนอุบลรัตน์ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ 1,079 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 44

ผู้นำศาสนา จ.ยะลา ชี้ไม่มีคำสอนในหลักศาสนาให้หยุดประกอบอาชีพในวันศุกร์



ยะลา - ผู้นำศาสนาอิสลามใน จ.ยะลา ชี้ไม่มีคำสอนในหลักศาสนาให้หยุดประกอบอาชีพในวันศุกร์ ขณะที่พ่อค้าแม่ค้าพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มีกลุ่มคนมาหาที่ร้าน และสอบถามว่าจะเปิดร้านวันศุกร์หรือไม่ แต่ไม่ได้ข่มขู่ บางรายถูกไล่กลับบ้านขณะเดินทางมาตลาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่มีข่าวลือกรณีกลุ่มผู้ก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ออกข่มขู่ และแจกจ่ายใบปลิวให้ประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามให้หยุดประกอบอาชีพในวันศุกร์ หากใครไม่ทำตามก็จะไม่รับรองความปลอดภัย จนทำให้ในวันนี้ บรรยากาศทั่วไปใน จ.ยะลา โดยเฉพาะในย่านการค้าตลาดสด พ่อค้าแม่ค้าได้หยุดประกอบอาชีพ หยุดทำการค้าขายเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหวั่นเกรงความไม่ปลอดภัย

ทั้งนี้ นายนิมุ มะกาเจ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้นำศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระบุว่า ในเรื่องของการหยุดประกอบอาชีพในวันศุกร์นั้นไม่มีในคำสั่งสอนตามหลักศาสนาอิสลาม เพียงแต่ว่าบัญญัติไว้ในคัมภีร์อัลกรุอานว่าทุกวันถือเป็นวันที่ดีในการประกอบอาชีพ บางครั้งการทำมาหากินก็มีความจำเป็นต้องมาขายในวันศุกร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีนิศิตนักศึกษามาศึกษาเป็นจำนวนมาก ก็ต้องมีการบริการอาหาร ต้องมีการบริการเครื่องดื่ม

เพราะฉะนั้น ตามที่มีกระแสข่าวลือห้ามไม่ให้ประกอบอาชีพในวันศุกร์ ที่มีการไปบอกตามร้านค้าสะดวกซื้อ ตามร้านค้า และผู้ขายต่างๆ ซึ่งจากการรับฟังมาว่าผู้ที่เข้าไปแจ้งให้หยุดทำการค้าขาย หรือประกอบอาชีพในวันศุกร์นั้น ได้ใช้คำพูดในลักษณะการถาม ไม่ได้มีการข่มขู่ ส่วนการข่มขู่ในลักษณะใบปลิวนั้น ตนเองก็ไม่แน่ใจว่ามีข้อความเขียนว่าอย่างไร ซึ่งต้องดูว่ามีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร ซึ่งการที่มาให้หยุดวันศุกร์ก็ยืนยันว่ายังหาคำสอนไม่พบ

นายนิมุ ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของการประกอบศาสนกิจในวันศุกร์นั้นมีความสำคัญมาก เนื่องจากเป็นวันสุดสัปดาห์ และมีการละหมาด ฟังคำสอนร่วมกัน ในช่วงเวลาเที่ยงวันจนไปถึงบ่าย และหลังจากเสร็จจากการปฏิบัติศาสนากิจแล้วก็สามารถที่จะประกอบกิจการ ประกอบอาชีพได้ตามปกติ ซึ่งไม่มีหลักคำสอนระบุไว้ว่าจะต้องหยุดการประกอบสัมมาชีพในวันศุกร์

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการสอบถามชาวบ้านที่หยุดกิจการเนื่องจากหวั่นกลัวความไม่ปลอดภัยนั้น ชาวบ้านได้เล่าว่า การข่มขู่ หรือแจ้งให้หยุดวันศุกร์มีจริง โดยมีกลุ่มคนที่เดินทางด้วยรถยนต์มาด้วยกันจำนวน 3-5 คน โดยจะตระเวนเข้าไปตามร้านค้า ร้านอาหารของชาวมุสลิม และจะใช้ถ้อยคำในเชิงสอบถามว่า วันศุกร์หยุดทำการค้า หรือปิดกิจการหรือไม่ หากบางร้านบอกว่าไม่ได้ปิดก็จะมีการตอบกลับมาว่า ไม่เชื่อฟังกันเลย ซึ่งลักษณะดังกล่าว ชาวบ้านเจอมาหลายรายในจังหวัดยะลา สำหรับแม่ค้าพ่อค้าที่จะเดินทางไปตลาดสดเพื่อค้าขายก็จะถูกกลุ่มคนดักตามทาง และไล่ให้กลับบ้าน ไม่ให้ไปขายของที่ตลาด ทั้งนี้ ชาวบ้านได้ให้ข้อมูลในลักษณะที่เหมือนกันนี้หลายราย

“รมช.สธ.”นำทีมจิตแพทย์ลุยแจงชาวบุรีรัมย์ ล้างความเชื่อ “ผีปอบ”


บุรีรัมย์ - รมช.สาธารณสุข พร้อมผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ นำทีม จนท.สาธารณสุข และจิตแพทย์ รพ.จิตเวชนครราชสีมา ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพ พร้อมให้ความรู้ชาวบ้านโคกสูง อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ เพื่อลบล้างความเชื่อ “ผีปอบ” เข้าสิงร่างจนทำให้เกิดอาการป่วยประหลาด และเสียชีวิต หวังลดปัญหาขัดแย้งในชุมชน หวั่นรุนแรงบานปลาย

วันนี้ (28 ก.ย.) เมื่อเวลา 14.30 น. นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายคณิต เอี่ยมระหงส์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ นพ.สมพงษ์ จรุงจิตตานุสนธิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจ.บุรีรัมย์ และ นพ.พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ ได้นำทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และจิตแพทย์จากโรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ ลงพื้นที่เข้าไปตรวจสุขภาพ พร้อมให้ความรู้ความเข้าใจแก่ชาวบ้านโคกสูง ต.โคกสูง อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ เกี่ยวกับทางด้านวิทยาศาสตร์ และด้านไสยศาสตร์ เพื่อลบล้างความเชื่อเรื่องผีปอบเข้าสิงร่าง และลดปัญหาความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในชุมชน

หลังจากที่ผ่านมา ได้มีชาวบ้านในหมู่บ้านเกิดอาการเจ็บป่วยประหลาด มือเท้าเกร็ง แขนขาชา หน้ามืดช็อกตาค้างหมดสติ และเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุติดต่อกันหลายราย จนทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าเกิดจากผีปอบเข้าสิงร่าง อีกทั้งได้มีการนำสิ่งของไปขว้างปาบ้านของยายวัย 61 ปีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เกรงสถานการณ์จะรุนแรงบานปลาย จึงได้นำเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และทีมจิตแพทย์เข้าไปสร้างความรู้ความเข้าใจดังกล่าว

นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการลงพื้นที่มาให้ความรู้ และตรวจสุขภาพชาวบ้านโคกสูงในครั้งนี้ พบว่า ชาวบ้านบางส่วนมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ขณะที่บางคนมีภาวะเครียดจากการประกอบอาชีพ ซึ่งเบื้องต้น แพทย์ได้ให้คำแนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพ พร้อมให้ยาไปรับประทาน เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าวแล้ว จากนั้นก็จะให้ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือเจ้าหน้าที่ประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่เข้าไปติดตามอาการ และให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง

ส่วนกรณีที่ชาวบ้านมีความเชื่อเรื่องผีปอบเข้าสิงร่าง จนทำให้เกิดอาการป่วยประหลาด หรือเสียชีวิตนั้น น่าจะเกิดจากความเครียด และสับสนจากการบอกเล่าที่พูดต่อๆ กันมากกว่า ซึ่งเชื่อว่าหลังเจ้าหน้าที่เข้าไปให้ความรู้แล้ว จะสามารถลบล้างความเชื่อเรื่องดังกล่าว และลดปัญหาความขัดแย้งรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้

เต่าหญ้ายังพาเหรดเกยตื้นชายหาดภูเก็ต ล่าสุดพบอีก 3 ตัววันนี้



ศูนย์ข่าวภูเก็ต - เต่าหญ้ายังพาเหรดถูกคลื่นซัดเกยตื้นชายหาดภูเก็ต วันนี้พบอีก 3 ตัว ที่หาดกะรน หาดสุรินทร์ และหาดยะนุ้ย ถูกอวนรัดขาขาด เผยขณะนี้มีมากกว่า 40 ตัว





วันนี้ (28 ก.ย.) เจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน รับแจ้งจากจากชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่ประจำชายหาดกะรน หาดยะนุ้ย ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต และหาดสุรินทร์ ต.เชิงทะเล ว่ามีเต่าทะเลขึ้นมาเกยตื้นชายหาด 1 ตัว ขอให้เจ้าหน้าที่ไปรับ หลังรับแจ้งทางเจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปรับเต่าทะเลดังกล่าวมาดูแลที่กลุ่มสัตว์ทะเลหายาก

นายก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ หัวหน้าประจำกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน กล่าวถึงปัญหาเต่าทะเลถูกคลื่นซัดเข้ามาเกยตื้นบริเวณชายหาด เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากอวนรัดว่า ล่าสุด วันนี้เจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มสัตว์ทะเลได้รับเต่าทะเลที่ถูกคลื่นซัดเข้ามาเกยตื้นอีก 3 ตัว ซึ่งทั้งหมดเป็นเต่าหญ้า โดยเต่าทะเลดังกล่าวถูกคลื่นซัดเข้ามาเกยตื้นที่บริเวณชายหาดต่างๆ ของภูเก็ตดังนี้ คือ หาดกะรน หาดยะนุ้ย และหาดสุรินทร์ จากการตรวจสอบพบว่า เป็นเต่าหญ้าเพศเมียขนาดตัวเต็มวัย 1 ตัว ส่วนที่เหลืออีก 2 ตัวเป็นเต่าหญ้า ยังไม่สามารถระบุเพศได้ เนื่องจากยังเป็นเต่าขนาดเล็ก





และจากการตรวจสภาพร่างกายของเต่าทั้ง 3 ตัว พบว่า เต่าทะเลทั้ง 3 ตัวถูกอวนรัดจนขาขาดทั้ง 3 ตัว ซึ่งขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการรักษาในเบื้องต้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางกลุ่มสัตว์ทะเลหายากมีเต่าที่ต้องอยู่ในความดูแลจำนวนมาก เฉพาะเดือน ก.ค.-ก.ย.พบว่า มีเต่าเข้ามาเกยตื้นมากกว่า 40 ตัวแล้ว และเดิมทีกลุ่มสัตว์ทะเลหายากมีเต่าอยู่จำนวนหนึ่งด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นเต่าพิการ

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ทร.สัตหีบเตรียมกำลัง-รถบรรทุกช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม



ศูนย์ข่าวศรีราชา-ฐานทัพเรือสัตหีบเตรียมกำลังพลพร้อมรถบรรทุกขนาดใหญ่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม

วันนี้ (28 ก.ย.) พล.ร.ต.ไชยณรงค์ ขาววิเศษ เสนาธิการทัพเรือภาค 1 ในฐานะหัวหน้าศูนย์อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาค 1 พร้อมคณะฝ่ายอำนวยการ ได้เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมหน่วยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หน่วยบรรเทาสาธารณภัย ฐานทัพเรือสัตหีบ ซึ่งเป็นหน่วยบรรเทาสาธารณภัยหน่วยหนึ่งภายในศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทัพเรือภาคที่ 1 ที่ได้รับคำสั่งให้มีการจัดเตรียมกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะให้พร้อมในการที่จะสามารถเข้าปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยได้ทันที โดยมี น.อ.ทรงพล ศรีสำอาง นายทหารยุทธการ หน่วยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หน่วยบรรเทาสาธารณภัย ฐานทัพเรือสัตหีบ พร้อมคณะร่วมให้การต้อนรับ

พล.ร.ต.ไชยณรงค์ กล่าวด้วยว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศ และสั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ทุกภาคส่วนเข้าร่วมให้การช่วยเหลือ ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นได้มีความห่วงใย และสั่งการให้ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้พร้อมที่จะเข้าให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และจากการตรวจเยี่ยม มีความมั่นใจว่า กำลังพล และยุทโธปกรณ์จะสามารถเข้าให้การช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยได้อย่างทันท่วงที และมีประสิทธิภาพ

น.ท.ทรงวิทย์ วารีนิธิ ผู้ช่วยนายทหารยุทธการ หน่วยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หน่วยบรรเทาสาธารณภัย ฐานทัพเรือสัตหีบ กล่าวว่า หน่วยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หน่วยบรรเทาสาธารณภัย ฐานทัพเรือสัตหีบ มีความพร้อมที่จะสามารถเข้าให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ประสบอุทกภัยได้อย่างทันท่วงที และมีประสิทธิภาพ เนื่องจากได้มีการสนธิกำลังจากหน่วยต่างๆ ในสังกัด เป็นหน่วยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ด้วยการจัดเตรียมกำลังพลกว่า 180 นาย ยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะกว่า 30 คัน ประกอบด้วย รถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่ที่สามารถผ่านการท่วมขังของน้ำระดับสูง และไหลแรงได้เป็นอย่างดี รถยนต์บรรทุกขนาดเล็ก รถยนต์โดยสารขนาดใหญ่ รถยนต์อเนกประสงค์ รถบรรทุกเทท้าย รถขุดตีนตะขาบ รถตักหน้าขุดหลัง รถหัวลากชานต่ำ รถพยาบาล และรถชุดครัวสนาม ที่ได้มีการจัดเตรียมอาหารสด พร้อมปรุงอาหารสำหรับประสบอุทกภัยได้รับประทานได้ทันที

นำร่อง Safety Zone วอล์กกิ้งสตรีทพัทยาที่แรกใน ตอ.



ศูนย์ข่าวศรีราชา-ผนึกความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนสำนักงานตำรวจแห่งชาติและเมืองพัทยาประสานความร่วมมือจัดโครงการเซฟตี้โซน (Safety Zone) นำร่องแห่งแรกในภาคตะวันออก เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยว

ค่ำวันนี้ (28 ก.ย.) พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผบช.ภ.2 นายเชาวลิตร แสงอุทัย นายอำเภอบางละมุง นายอิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา พ.ต.อ.ธรรมนูญ มั่นคง ผกก.สภ.เมืองพัทยา และหน่วยงานภาครัฐเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมการเปิดโครงการเชฟตี้โซน (Safety Zone) บริเวณโครงการวอล์กกิ้งสตรีท พัทยาใต้ จ.ชลบุรี

ผบช.ภ.2 เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดมาตรการในการให้ความสำคัญเกี่ยวกับการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว ประกอบกับเมืองพัทยาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาตินิยมเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและพักผ่อนเป็นจำนวนมาก จึงมีความจำเป็นสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจและรู้สึกว่าเข้ามาท่องเที่ยวแล้วได้รับความปลอดภัยสูงสุด

โดยเฉพาะวอล์กกิ้งสตรีทพัทยาถือเป็นย่านธุรกิจสถานบันเทิงสำคัญ เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีของชาวต่างชาติโดยนิยมมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมืองพัทยา สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยาจึงได้มีแนวคิดที่จัดทำบริเวณย่านดังกล่าวให้เป็นเขตปลอดอาชญากรรม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว เพื่อรองรับการที่ประเทศไทยจะก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน2558 ต่อไป

สวนอุตสาหกรรม 304 อวดศักยภาพ พร้อมรองรับอุตสาหกรรมหนีน้ำท่วม



ฉะเชิงเทรา - สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค คุยไม่เคยถูกน้ำท่วม พร้อมอวดศักยภาพความพร้อมรอบด้านของพื้นที่ หวังกวาดอุตสาหกรรมหนีน้ำจากโซนอื่นพุ่งเข้าพื้นที่ ระบุเติบโตสูงต่อเนื่อง พร้อมขยายพื้นที่รอรับนักลงทุนที่จะไหลเข้า อีกมากกว่า 5.8 พันไร่

วันนี้( 28 ก.ย.55) นายพูลศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค) ตั้งอยู่เลขที่ 106 ม.7 ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี กล่าวเปิดเผยหลังจากได้พาคณะสื่อมวลชน เข้าเยี่ยมชมพื้นที่ภายในสวนอุตสาหกรรม ที่ไม่ได้ถูกน้ำท่วมตามกระแสข่าวที่ จ.ปราจีนบุรี ตกเป็นข่าวใหญ่ ว่าถูกน้ำท่วมอย่างหนัก ตลอดจนการเปิดโชว์พื้นที่การขยายตัวของสวนอุตสาหกรรมแห่งนี้ ที่มีนักลงทุนไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการพาเยี่ยมชมโรงงานที่กำลังมีการก่อสร้างหลายแห่ง และที่ได้ทำการก่อสร้างแล้วเสร็จแล้ว ว่า สวนอุตสาหกรรม 304 แห่งนี้ นั้นไม่ได้ถูกน้ำท่วมตามที่หลายฝ่ายต่างพากันเข้าใจผิด

เนื่องจากสวนอุตสาหกรรม 304 นั้นตั้งอยู่บนพื้นที่สูงกว่าระดับแนวร่องน้ำไหล คือ แควหนุมาน และแม่น้ำปราจีน ถึงกว่า 10 เมตร และสูงกว่าระดับน้ำทะเลมากกว่า 20 เมตร โดยสภาพพื้นที่นั้นเป็นเนินสูงที่อยู่ห่างจากลุ่มน้ำดังกล่าวมากถึง 8 กม.จึงมั่นใจได้ว่าสวนอุตสาหกรรมแห่งนี้จะไม่ถูกน้ำท่วมอย่างแน่นอน จึงอยากเชิญชวนนักลงทุนที่เตรียมวางแผนการผลิตในระยะยาวนั้น ให้เข้ามาลงทุนในพื้นที่ อยู่ใกล้แหล่งแรงงาน เส้นทางคมนาคมสะดวก สามารถเชื่อมต่อเดินทางไปยัง ท่าเรือแหลมฉบัง ได้เพียง 130 กม. และสนามบินสุวรรณภูมิ เพียง 110 กม. โดยที่เส้นทางไม่ถูกน้ำท่วม ทั้งยังมีความพร้อมในด้านพลังงาน ที่ทางสวนอุตสาหกรรม 304 นั้น มีโรงผลิตไฟฟ้าอยู่ภายในพื้นที่ของตนเอง โดยบริษัทในเครือ คือ บ.เอ็น.พี.เอส. อีกด้วยมากถึง 8 โรงงาน รวมกำลังการผลิต 493 เมกาวัตต์ จึงทำให้ขณะนี้มีพลังงานเหลือใช้ และสามารถจำหน่ายคืนให้แก่ กฟผ. ได้อีกด้วย

นายพูลศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทาง บ.เอ็น.พี.เอส. (บริษัท เนชั่นแนลเพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) ) ยังได้มีการเตรียมความพร้อมโครงการที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 2 โรงงาน รวมกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 300 วัตต์ จึงทำให้ในอนาคตนั้น สวนอุตสาหกรรม 304 จะมีแหล่งพลังงานมากเพียงพอที่จะรองรับการเติบโตอย่างสูงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ พร้อมทั้งเตรียมขยายพื้นที่โครงการเพิ่มขึ้นอีก 5,800 ไร่ เพื่อรองรับ ความต้องการ

เนื่องจาก หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ เมื่อปลายปีที่แล้ว ทำให้สวนอุตสาหกรรม 304 ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนักลงทุนที่ต้องการขยายโรงงาน และนักลงทุนที่ต้องการย้ายฐานการผลิตจากพื้นที่เดิม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนญี่ปุ่นมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ จึงส่งผลทำให้สวนอุตสาหกรรม 304 เติบโตขึ้นอย่างมากจากเดิมมีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่ในพื้นที่ จำนวนกว่า 100 แห่ง และมียอดการขายพื้นที่เฉลี่ยประมาณปีละไม่เกิน 300 ไร่ มีโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาทำการก่อตั้งใหม่แล้วจำนวน 12 แห่ง

สมาคมยาสูบตั้งโต๊ะแจงแจกเงินสื่อ-แลกกระจายข่าวต้าน พ.ร.บ.ยาสูบ



เชียงราย - สมาคมผู้บ่มใบยาสูบฯตั้งโต๊ะแจงข้อครหา “แจกเงินสื่อ” แลกกระจายข่าวต้าน พ.ร.บ.ยาสูบฯ ยันมีเจตนาบริจาคให้กิจกรรมสาธารณะผ่านสมาคมสื่อฯ แต่สมาคมสื่อฯปฏิเสธ จึงไม่มีการจ่ายเงินใด ๆ

วันนี้(28 ก.ย.55) นายสุรศักดิ์ สิงห์เสนี นายกสมาคมผู้บ่มใบยาสูบเชียงราย-พะเยา ,นายนิวัฒน์ พ่วงภิญโญ กรรมการสมาคมผู้บ่มใบยาสูบเชียงราย ได้เปิดแถลงข่าวที่โรงแรมอินคำ อ.เมืองเชียงราย กรณีข้อครหาจากกลุ่มคนบางกลุ่มว่า โรงงานยาสูบมีการแจกจ่ายเงินให้กับสื่อมวลชนที่ไปทำข่าว เพื่อหวังผลในการกระจายข่าว ในเหตุการณ์ชุมนุมและประชุมสัมมนาต่อต้านร่างพระราชบัญญัติยาสูบ เมื่อวันที่ 23 ก.ย.55

กระแสข่าวดังกล่าวระบุถึงขั้นมีการนำรายชื่อสื่อต่างๆ ที่เขียนโดยสมาคมฯ ไปเผยแพร่ทางสื่อสาธารณะหรือโซเชียลมีเดีย เช่น เฟสบุ๊ก ฯลฯ ทำนองว่า มีการแจกจ่ายเงินให้สื่อต่างๆ หรือเตรียมจะนำเงินมอบให้กับสมาคมสื่อมวลชน และนักประชาสัมพันธ์เชียงราย แต่ปรากฏว่า สื่อมวลชนไม่ได้รับจึงเกรงว่าจะมีกลุ่มคนแอบอ้างชื่อนำเงินไป

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า กระแสข่าวดังกล่าวที่ออกมาทำให้ตนเสียหายอย่างมาก เพราะทางสมาคมฯ ของตนยืนยันว่าไม่ได้มีพฤติกรรมดังกล่าว เนื่องจากก่อนการเคลื่อนไหว สมาคมฯ มีเจตนาอยู่แต่เดิมแล้วว่า จะบริจาคในนามสมาคมฯ ให้แก่สมาคมสื่อฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมสาธารณะหรือกิจกรรมต่างๆ ที่สมาคมสื่อฯ เห็นว่ามีความจำเป็นแต่ก็เป็นแค่เจตนาเท่านั้น เพราะเมื่อประสานไปแล้วสมาคมสื่อฯ แจ้งว่า ไม่รับเงินบริจาคในลักษณะนี้ รวมทั้งไม่มีสื่อมวลชนคนใดที่ไปทำข่าวรับเงินไปด้วย

ส่วนกรณีที่เน้นไปที่สมาคมสื่อฯ เพราะเดิมรู้จักผ่านเพื่อนคนหนึ่งที่เคยเป็นอดีตผู้อำนวยการสถานีวิทยุ กระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) โดยไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวกับสมาคมสื่อฯ แต่อย่างใด

"เมื่อเรื่องเกิดขึ้นผมก็เสียหาย เพราะเมื่อมีข่าวว่า สมาคมฯ เรามีงบประมาณดังกล่าวให้แก่สมาคมสื่อฯ แล้วทำไมสมาคมฯจึงยังไม่ได้รับ แสดงว่ามีคนงุบงิบเงินไปหรือ ผมก็เสียหาย ดังนั้น ถ้าหากใครอยากทราบข้อเท็จจริงก็สอบถามมาได้โดยตรง" นายสุรศักดิ์ กล่าว

ด้านนายนิวัฒน์ กล่าวว่า กรณีมีเอกสารระบุรายชื่อสื่อต่างๆที่มีการนำไปกระจายทางโชเชียลมีเดียนั้น เป็นเพียงการนำไปประกาศขอบคุณที่หน้าห้องประชุม ดังนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้จึงรู้สึกเสียใจมาก

ส่วนเรื่องงบประมาณนั้นก็เป็นไปตามที่นายกสมาคมฯ ได้ชี้แจงว่า บริจาคสาธารณกุศลในนามสมาคมสื่อฯ ดังนั้น คนที่นำข้อความและเอกสารรายชื่อไปแสดง หรือโพสต์ในโซเชียลมีเดียคงเข้าใจผิดหรือไม่รู้จริง รวมทั้งสมาคมฯเราก็ไม่นิยมให้การขัดแย้งหรือแทงกันข้างหลังด้วย

รายงานข่าวแจ้งอีกว่าเมื่อวันที่ 23 ก.ย. สมาคมฯ พร้อมด้วยชาวสวนผู้ปลูกและบ่มใบยาสูบจากพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แพร่ ฯลฯ ได้รวมตัวกันที่หน้าห้องประชุมของโรงแรมดังกล่าว เพื่อประชุมสัมมนาเรื่อง "คัดค้านร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการบริโภคยาสูบ" (เสนอโดยกระทรวงสาธารณสุข) จากนั้นได้ยื่นหนังสือต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เชียงราย หลายคนที่เดินทางไปรับฟังปัญหาและข้อเรียกร้อง เพราะพวกเขาเห็นว่าร่าง พ.ร.บ.จะทำให้เกิดผลกระทบกับชาวสวน และผู้บ่มใบยา กิจกรรมดังกล่าวผ่านพ้นไป ด้วยความเรียบร้อย แต่ปรากฏว่าได้เกิดปัญหาเรื่องการโจมตีกันผ่านโซเชียลมีเดียดังกล่าว

นักธุรกิจรับเหมาอึ้งเงินล้านในบัญชีนาน 15 ปีสูญหลังธนาคารเปลี่ยนชื่อ



ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างฝากเงินกับธนาคารเอเชีย ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคาร UOB 1 ล้านบาท เพื่อกินดอกเบี้ย และเก็บสมุดบัญชีไว้ในตู้เซฟนาน 15 ปี ไม่เคยฝาก หรือถอน แต่เมื่อนำสมุดมาเช็กดอกเบี้ยกลับพบว่าบัญชีถูกปิดไปแล้ว

วันนี้ (28ก.ย.) ที่ สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา นายวินิจ เพทายบรรลือ อายุ 61 ปี นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเกี่ยวกับงานชลประทาน มีภูมิลำเนาเดิม อยู่บ้านเลขที่ 17-19 ถนนพระทรง ต.ท่าราบ อ.เมืองเพชรบุรี จ.เพชรบุรี ได้เข้าแจ้งความต่อ ร.ต.อ.วิโรจน์ สะเหรียม ร้อยเวร สภ.หาดใหญ่ หลังจากที่พบว่า สมุดบัญชีของธนาคารเอเชียซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคาร UOB ที่ฝากเงินสดไว้จำนวน1 ล้านบาท มาตั้งแต่ปี 2540 ถูกปิดบัญชี โดยที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนปิด หรือทำธุรกรรมทางการเงินกับบัญชีเล่มดังกล่าวแต่อย่างใด

นายวินิจ เปิดเผยว่า หลังจากที่เปิดบัญชีกับธนาคารเชีย สาขาหาดใหญ่ บัญชีเลขที่ 010-3-01933-7 สมุดคู่ฝากเลขที่ 0486169 โดยเป็นบัญชีฝากประจำ จำนวนเงิน 1 ล้านบาท เพื่อกินดอกเบี้ย และตลอดระยะเวลา 15 ปี หลังจากที่เปิดบัญชีได้เก็บสมุดบัญชีเล่มนี้ไว้ในตู้เซฟไม่เคยนำออกมาฝาก-ถอน หรือทำธุรกรรมทางการเงินเลยแม้แต่ครั้งเดียว





แต่ล่าสุด เมื่อวันที่18 กันยายน ที่ผ่านมา ได้ไปติดต่อกับธนาคารเพื่อเช็กยอดดอกเบี้ย และเบิกมาใช้จ่าย ปรากฏว่า ทางธนาคารบอกว่าบัญชีถูกปิดไปตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน ปี 2542 พร้อมดอกเบี้ยกว่า 1 แสนบาท ซึ่งตนพยายามสอบถามรายละเอียดจากทางธนาคารก็ไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดได้ เพียงแต่ได้แสดงหลักฐานบัญชีที่ถูกปิดให้ตนดู ซึ่งตนยืนยันว่า สมุดบัญชีเล่มนี้ถูกเก็บไว้อย่างดีในตู้เซฟตลอด 15 ปี หากมีการเบิกถอนเงินสดก็จะต้องใช้สมุดเงินฝากพร้อมกับลายเซ็นในใบเบิกเงิน และที่สำคัญ สมุดเงินฝากจะต้องมีการพิมพ์รายการเดินบัญชี แต่สมุดเล่มนี้มีเพียงการทำรายการฝากเงินสดจำนวน 1 ล้านบาทในครั้งแรกที่ไปเปิดบัญชี

นายวินิจ กล่าวว่า หากบัญชีถูกปิดตนก็ต้องปิดเอง หรือหากมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับระบบธนาคารโดยเปลี่ยนชื่อจากธนาคารเอเชีย มาเป็นธนาคาร UOB ในปัจจุบันทางธนาคารก็น่าจะแจ้งให้ตนทราบ และต้องมีข้อมูลลูกค้าอยู่ แต่เมื่อพยายามสอบถามทางธนาคารก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ และปฏิเสธความรับผิดชอบ ตนจึงได้เข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐานเพื่อที่จะให้ทนายความยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น

ระนองจัดโครงการ “ระนองสดใสด้วยสีทีโอเอ ฉลอง 150 ปี เมืองระนอง”




ระนอง - จังหวัดระนอง ประชุมคณะกรรมการตามโครงการ “ระนองสดใสด้วยสีทีโอเอ ฉลอง 150 ปีเมืองระนอง” เพื่อปรังปรุงสิ่งปลูกสร้างบริเวณถนนท่าเมือง และถนนเรืองราษฎร์ให้สวยงาม ในโอกาสฉลอง 150 ปีเมืองระนอง

วันนี้ (28 ก.ย.) ที่ห้องประชุมโกมาซุ้ม ศาลากลางจังหวัดระนอง อ.เมือง จ.ระนอง นายประภัสสร์ มาลากาญจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตามโครงการ “ระนองสดใสด้วยสีทีโอเอ (TOA) ฉลอง 150 ปีเมืองระนอง” มีผู้เกี่ยวข้องเข้าประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งนี้ เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ด้วยการบูรณะซ่อมแซม และทาสีสิ่งปลูกสร้างบริเวณถนนท่าเมือง และถนนเรืองราษฎร์ ให้เกิดความสวยงาม เป็นพื้นที่เพื่อใช้ในการเฉลิมฉลอง 150 ปีเมืองระนอง รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวแก่จังหวัด โดยการมุ่งเน้นให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลองในวาระที่สำคัญ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมอันดีงามของชาวระนอง ที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

โดยมีบริษัททีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้การสนับสนุนผลิตภัณฑ์สีทาอาคารภายนอก จำนวน 800 ถัง โดยกำหนดโทนสีฟ้า และสีเขียว ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษสามารถทาทับสีเก่าได้ทันที และเพื่อเป็นการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นเมืองระนองให้เป็นสิ่งที่มีความสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ผู้พบเห็นในการเฉลิมฉลอง 150 ปีเมืองระนองเพื่อชาวระนองทุกคนจะเกิดความภาคภูมิใจในการร่วมมือกันในครั้งนี้

ในที่ประชุมได้มีมติให้ตรวจสอบรายละเอียดจำนวนพื้นที่ในการทาสี หน่วยรับผิดชอบสามารถดำเนินการได้ทันทีหลังจากสภาพอากาศพร้อมในการปฏิบัติตามโครงการดังกล่าว และในส่วนของบ้านเรือนที่ยังมีอุปสรรคให้มีการประสานขอความร่วมมือเข้าร่วมโครงการเพื่อส่งเสริมการเฉลิมฉลอง 150 ปีเมืองระนอง เป็นหน้าตาของชาวจังหวัดระนองต่อไป

จันทบุรีเกณฑ์ชาวสวนกว่า 3,000 คนกวนทุเรียนหวังทุบสถิติโลก



จันทบุรี-อบจ.จันทบุรี แถลงข่าวท้าเวิลด์เรกคอร์ด เกณฑ์ชาวสวนกว่า 3,000 ชีวิต ร่วมกวนทุเรียน 731 กระทะ หวังทำสถิติบันทึกกินเนสส์ บุ๊ก กระตุ้นเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยวภูมิภาค

วันนี้ (28 ก.ย.) ที่ศูนย์บริหารราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี นายธนภณ กิจกาญจน์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี ร่วมเปิดการแถลงข่าวเตรียมการจัดงานกวนทุเรียนเพื่อเกษตรกร ซึ่งจะมีการเกณฑ์ชาวสวนจาก 731 หมู่บ้านในจังหวัดจันทบุรี จำนวนกว่า 3,000 คน พร้อมใจกวนทุเรียนมากที่สุดในโลก 731 กระทะ และใช้เนื้อทุเรียนที่เป็นวัตถุดิบหลักน้ำหนักกว่า 7 ตัน

โดยกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2555 ที่ศูนย์บริหารราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี เป็นการจัดทำขึ้นโดยมีเป้าหมายหลักที่ต้องการเพิ่มมูลค่าให้แก่เนื้อทุเรียนหมอนทองสุก น้ำหนักกว่า 7 ตัน ที่ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้ทำการประกันราคารับซื้อจากชาวสวน กระตุ้นกลไกตลาด เมื่อปี 2554 ซึ่งขณะนี้ เนื้อทุเรียนจำนวนดังกล่าว ฝากแช่อยู่ในห้องเย็นที่อำเภอวังน้อย จังหวัดอยุธยา ทั้งนี้ เพื่อดำเนินการแปรรูปออกจำหน่ายนำเงินภาษีมาใช้คืนหลวง โดยได้เตรียมประสานกรรมการเวิลด์เรกคอร์ดมาร่วมสังเกตการณ์

มหกรรมกวนทุเรียนในครั้งนี้ เพื่อหวังสร้างสถิตติบันทึกลงในกินเนสส์ บุ๊กว่าเป็นกิจกรรมที่ใช้บุคคลจำนวนกว่า 3,000 คน และจำนวนกระทะ 731 กระทะ มากที่สุดในโลก อีกทั้งยังมีเป้าหมายที่จะประชาสัมพันธ์จังหวัดจันทบุรีให้เป็นที่รู้จักในระดับประเทศ และระดับโลก และเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการค้า และการท่องเที่ยวของจังหวัดจันทบุรีให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

พธม.สงขลา นัดทำบุญ 7 ต.ค.ร่วมรำลึกถึงพี่น้องผู้สูญเสีย

พธม.สงขลา นัดทำบุญ 7 ต.ค.ร่วมรำลึกถึงพี่น้องผู้สูญเสีย

เพราะเราไม่เคยลืมกัน และเราไม่เคยลืมเขาเหล่านั้น... พี่น้องเราที่สูญเสีย

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดสงขลา และสถานีวิทยุ “สงขลารวมใจ” FM 95.5 MHz เชิญร่วมรำลึก 4 ปี 7 ตุลาฯ และถวายอาหารเพล เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พี่น้องเราที่สูญเสีย

ในวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2555 เวลา 09.00 น.
ณ วัดพุทธิการาม (หรือ วัดปลักกริมใน) ทางไปสำนักงานประปาหาดใหญ่

“หิ้วปิ่นโตกันไป ข้าวหม้อแกงหม้อ”
ทำบุญเสร็จ ล้อมวงรับประทานอาหารร่วมกัน
“พันธมิตร อยู่ที่ไหนก็พี่น้องกัน”

ติดต่อสอบถาม โทร.08-1766-5273 (สุมิตร นวลมณี)

ทม.แม่สอดพบ ส.ส.เมียวดี สานความสัมพันธ์พลเมืองสองฝั่ง



ตาก - นายกเทศมนตรีนครแม่สอด พบ ส.ส.เมียวดี สร้างความสัมพันธ์ ในฐานะผู้แทนประชาชน พัฒนาเศรษฐกิจการค้าชายแดน-การท่องเที่ยว นำไปสู่ความเจริญรับ AEC

วันนี้ (28 ก.ย.) นายเทอดเกียรติ ชินสรนันท์ นายกเทศมนตรีนครแม่สอด จังหวัดตาก พร้อมนายสรรพสิริ อรชัยพันธ์ลาภ สมาชิกสภาเทศบาลตำบลท่าสายลวด และผู้บริหารเทศบานครแม่สอด ได้เดินทางเข้าพบ นายอูตานอู่ (U Than Oo) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเมียวดีของสหภาพเมียนมาร์ ที่สำนักงานพัฒนาจังหวัดเมียวดี โดยมีผู้แทนภาคประชาชนของพม่าให้การต้อนรับและร่วมพบปะพูดคุยเจรจาระหว่าง ผู้แทนภาคประชาชนในฐานะตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

ทั้งนี้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์และมิตรไมตรีระหว่างตัวแทนของประชาชนและท้องถิ่น จากนั้นได้มีการร่วมรับประทานอาหารที่ร้านอาหารไทยในจังหวัดเมียวดี โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างเป็นกันเอง เป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแทนภาคประชาชนกับคนท้องถิ่นแม่สอด-เมียวดี

รายงานข่าวแจ้งว่า การพบปะระหว่างคณะนายกเทศมนตรีนครแม่สอด และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเมียวดีของพม่า ได้มีข้อหารือร่วมกันเพื่อนำไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนในท้องถิ่นทั้งสองฝั่ง คือ 1. ความร่วมมือการพัฒนาการค้าชายแดน 2. ความร่วมมือในการส่งเสริมการศึกษาให้นักเรียนและเยาวชนไทย-พม่า ทั้ง ในระดับประถม-มัธยมและการเปิดมหาวิทยาลัยนานาชาติ 3. การพัฒนาและส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ 4. ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมประเพณี การเรียนรู้ภาษา

5. การพัฒนาระบบคมนาคม ผลักดันการก่อสร้างเส้นทางแม่สอด-เมียวดี-กอกาเรกและเมืองชั้นในของพม่า เพื่อส่งเสริมการค้า การผลักดันให้เปิดเที่ยวบินแม่สอด-กรุงร่างกุ้ง 6. การพัฒนาอาชีพให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ในการสร้างรายได้ร่วมกัน 7. การสนับสนุนการใช้สินค้าของกันและกัน 8. การพัฒนานครแม่สอด-เมียวดี ให้เป็นเมืองคู่แฝดทางเศรษฐกิจ รองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน AEC

นักวิชาการชี้จีนเตรียมปรับแนวทาง ศก. แนะไทยจับตา-ศึกษาเตรียมรับมือ



ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - นักวิชาการเผยในเวทีสัมมนาจีนที่เชียงใหม่ อนาคตจีนเตรียมปรับแนวทางเศรษฐกิจแน่ เหตุปัจจุบันแม้เศรษฐกิจเติบโตแต่ปัญหาเพียบ ชี้จีนจะเปลี่ยนจากโรงงานของโลกเป็นตลาดของโลกคนไทยต้องเร่งทำความเข้าใจเตรียมพร้อมรับมือ ด้านกงสุลจีนระบุจีนมุ่งหวังก้าวหน้าไปกับเพื่อนบ้าน เล็งภายในปี 2015 ยอดการค้า-การท่องเที่ยวกับอาเซียนต้องเพิ่มขึ้นอีก

วันนี้ (28 ก.ย.) ที่ห้องประชุมชั้น 2 สถาบันภาษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับสถาบันขงจื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และสภาธุรกิจไทย-จีน จัดการสัมมนาเรื่อง “การผงาดขึ้นของจีนในศตวรรษที่ 21 : โอกาสและท้าทาย” ขึ้น โดยมีนายจาง เหว่ยฉาย กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดเชียงใหม่ และสาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ร่วมกล่าวปาฐกถาในงานดังกล่าว

การจัดการสัมมนาในครั้งนี้ ซึ่งริเริ่มโดยสภาธุรกิจไทย-จีนและมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรตินั้น ภายใต้วัตถุประสงค์ เพื่อนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสาธารณรับประชาชนจีนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการพัฒนาประเทศและการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลทั้งต่อจีนและประเทศอื่นๆ ในโลก โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชียซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย

ส่วนรายละเอียดในการจัดงาน ประกอบด้วย การปาฐกถาพิเศษจากผู้ทรงคุณวุฒิ และการบรรยายและอภิปรายของนักวิชาการทั้งไทยและจีน รวมถึงตัวแทนจากภาคธุรกิจที่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นอย่างดี เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ ซึ่งการจัดงานที่กรุงเทพมหานคร มีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมการสัมมนาเป็นจำนวนมาก จนทำให้มีการจัดงานในส่วนภูมิภาคขึ้นตามมา

นายจาง เหว่ยฉาย กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวในตอนหนึ่งของขอวงการปาฐกถาต่อที่ประชุมว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย และที่ผ่านมาต่างฝ่ายต่างได้เสริมสร้างความร่วมมือและร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างราบรื่นมาโดยตลอด

ทั้งนี้ จีนมุ่งหวังที่จะพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าควบคู่ไปกับการอยู่ร่วมกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคภายใต้บรรยากาศที่เป็นมิตรและช่วยเหลือกเกื้อกูลกัน โดยในส่วนของอาเซียนนั้นจีนมีความคาดหวังที่จะเสริมสร้างการค้าแบบทวิภาคี และการแลกเปลี่ยนผู้คนระหว่างทั้งสองฝ่ายให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นภายในปี 2015

ส่วนกรณีปัญหาความขัดแย้งในเรื่องเขตแดนระหว่างจีนและประเทศในอาเซียน จีนหวังที่จะแสวงหาหนทางบรรเทาปัญหาความขัดแย้งผ่านการเจรจากันอย่างสร้างสรรค์

ด้าน นายวิบูลย์ ตั้งกิตติภาภรณ์ ที่ปรึกษาอธิการบดี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ กล่าวในการบรรยายในหัวข้อ “การเปลี่ยนโฉมรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนกับผลกระทบต่อไทยและภูมิภาค” ว่า ในอนาคตแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจตามแผนพัฒนาระยะที่ 12 ในปี 2011-2015 จีนจะหันมาพัฒนาประเทศภายใต้ปัจจัยหลัก 2 ประการ ได้แก่ ภายในประเทศมีเสถียรภาพ และภายนอกประเทศมีสันติภาพ โดยมุ่งให้สังคมจีนมีประชาชนที่มีฐานะพออยู่พอกินอย่างทั่วถึง

ขณะเดียวกันก็จะทำการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินเศรษฐกิจใหม่ เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปัจจุบันเป็นไปอย่างไม่สมดุล กล่าวคือ 1. มีโครงสร้างการผลิตที่ด้อยประสิทธิภาพและสิ้นเปลืองพลังงาน 2. การเติบโตทางเศรษฐกิจอาศัยต้นทุนแรงงานต่ำและใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง 3. เน้นการขายเชิงปริมาณมากกว่าคุณภาพ 4. นวัตกรรมทางเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญายังล้าหลัง

5. โครงสร้างเศรษฐกิจไม่สอดคล้องกับการขยายตัวของโครงสร้างด้านการบริโภค 6. การขยายตัวของเศรษฐกิจที่ไม่สมดุลก่อให้เกิดความไม่เสมอภาคในการกระจายรายได้และความไม่ยุติธรรมในการใช้ทรัพยากร 7. อัตราการจ้างงานยังคงต่ำ 8. อุปสงค์ในประเทศยังต่ำและต้องพึ่งพาต่างประเทศมาก และ 9. การส่งเสริมให้ออกไปลงทุนในต่างประเทศทำให้ผู้ประกอบการออกไปแข่งขันกันเอง

นายวิบูลย์กล่าวต่อไปว่า จากปัญหาต่างๆ เหล่านี้ เมื่อหันมาพิจารณาดูแนวทางของจีนตามแผนพัฒนาระยะที่ 12 จะพบว่ามีการให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษา การวิจัยและพัฒนาเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีแนวทางที่จะเปลี่ยนโฉมรูปแบบทางเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิดที่จะพัฒนาให้จีนเปลี่ยนจากโรงงานของโลกมาเป็นตลาดของโลก ทั้งจากการส่งเสริมการเปิดเสรีการค้ากับภูมิภาค การปรับโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศ และการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการย้ายฐานการผลิตหรือออกไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจแนวทางดังกล่าว เพื่อให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

โรงแรมเรือชูรีสอร์ตกลางเมืองตรังวางแผนเจาะตลาดเต็มที่ไฮซีซันนี้



ตรัง - ผู้บริหารโรงแรมเรือรัษฎา แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ มั่นใจช่วงไฮซีซันที่กำลังมาถึงนี้ จะสามารถเปิดตลาดเจาะลูกค้าได้มากขึ้น จุดขายตรงที่ความเป็นรีสอร์ตกลางเมืองตรัง

นางวิไลพร พิตรปรีชา กรรมการผู้จัดการ โรงแรมเรือรัษฎา แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ตรัง เปิดเผยว่า ทางกลุ่มสิริบรรณชอปปิ้งเซ็นเตอร์ ธุรกิจห้างค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดตรัง ได้ตัดสินใจมาลงทุนด้านโรงแรม เนื่องจากเห็นว่าเป็นธุรกิจที่สอดคล้อง และสามารถต่อยอดกับธุรกิจชอปปิ้งได้ จึงร่วมหุ้นซื้อโรงแรมเรือ เอ็ม.พี.รีสอร์ท ของ นายพิทักษ์ รังษีธรรม อดีต ส.ส.ตรัง โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1 พันล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อกิจการด้วยงบประมาณ 400 ล้านบาท และการปรับปรุงโรงแรมใหม่ ด้วยงบประมาณ 600 ล้านบาท

โดยโรงแรมดังกล่าวยังอยู่ะหว่างการเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการ มีห้องพักทั้งหมด 217 ห้อง บนพื้นที่กว่า 65 ไร่ วางตำแหน่งการขายอยู่ในระดับ 4 ดาว แต่ความสวยงาม และการบริการของโรงแรมอยู่ในระดับ 5 ดาว มีจุดขายตรงที่ความเป็นรีสอร์ตกลางเมืองตรัง สำหรับการประชุมสัมมนา และการพักผ่อน ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายจะเน้นตลาดประชุมสัมมนาภายในประเทศ รวมถึงกลุ่มบริษัทชั้นนำที่มีการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล และกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป

ล่าสุด โรงแรมเรือรัษฎา แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ตรัง ทำการได้ปรับโฉมใหม่ทั้งหมด ด้วยการต่อเติมล็อบบี้ให้กว้างขวางขึ้น พร้อมมีคอนเซ็ปต์ในการออกแบบให้เป็นสไตล์ของตัวเอง ที่เน้นความคลาสสิก อ่อนช้อย และความโมเดิร์น โดยมีงานไม้มาประดับตกแต่งเพื่อให้ความรู้สึกเป็นเหมือนบ้านที่น่าอยู่ รวมทั้งจุดเด่นของโรงแรมคือ เป็นรูปเรือที่ตั้งอยู่ในโลเกชันที่ดี สามารถเดินทางไปมาได้สะดวกสบาย และตั้งอยู่ห่างจากห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขาตรัง เพียงแค่ 200 เมตร

ทั้งนี้ ทางโรงแรมจะเจาะกลุ่มลูกค้าหลากหลาย สำหรับตลาดในประเทศ จะมุ่งเน้นกลุ่มท้องถิ่น และจังหวัดใกล้เคียงในภาคใต้ เพื่อสร้างฐานตลาดให้แข็งแกร่ง รวมถึงตลาดจากส่วนกลาง เนื่องจากโรงแรมมีห้องประชุมใหญ่จุได้ 1.5 พันคน และยังมีห้องประชุมย่อยอีก 10 ห้อง นอกจากนี้ ยังเน้นขยายตลาดไปสู่ประเทศใกล้เคียง เช่น สิงคโปร์ และมาเลเซีย รวมถึงกลุ่มชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในสิงคโปร์ และขณะนี้ เริ่มมีนักท่องเที่ยวจากเยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และออสเตรเลียเข้ามาเพิ่มขึ้น รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีนด้วย

ขณะเดียวกัน โรงแรมเรือรัษฎา แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ตรัง ก็จะเน้นเพิ่มช่องทางการขายไปยังระบบออนไลน์ หรือเอเยนต์ เช่น อโกด้า เพื่อสร้างแบรนด์ให้ชาวต่างชาติเป็นที่รับรู้มากขึ้น มีการทำโปรโมชันผ่านเว็บไซต์ของทางโรงแรม มีการตั้งทีมงานด้านการตลาดทั้งที่จังหวัดตรัง และกรุงเทพฯ พร้อมร่วมมือกับทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อสร้างการยอมรับในตลาดให้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 20-30% จากจำนวนห้องพักที่มีอยู่ทั้งหมด และในปีนี้คาดว่าจะสามารถเพิ่มอัตราการเข้าพักเฉลี่ยได้เพิ่มขึ้น

โดยในช่วงโลว์ซีซัน จะขายห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5-1.8 พันบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงไฮซีซัน เป็นห้องละกว่า 2 พันบาท ประกอบกับการคมนาคมในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเข้าสู่จังหวัดตรังมีความสะดวกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่ปัจจุบันมี 2 สายการบินเปิดให้บริการอยู่ รวมถึงการที่จังหวัดตรังมีราคาห้องพักอยู่ในมาตรฐานที่ดี และมีเอกลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว รวมถึงสภาพของแหล่งท่องเที่ยวที่ยังเป็นธรรมชาติ และมีเกาะต่างๆ มากกว่า 40 เกาะ ก็จะช่วยทำให้ธุรกิจโรงแรมเป็นที่ตอบรับในตลาดมากยิ่งขึ้น

ธนาคารออมสินเปิดสาขาที่ 907 ในนิคมฯ อมตะนคร



ศูนย์ข่าวศรีราชา - ธนาคารออมสิน ยังคงเดินหน้าขยายสาขาให้ครบ 1 พันสาขาในปี 2555 ล่าสุดทำพิธีเปิดสาขาที่ 907 ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี โดยมุ่งเน้นให้บริการด้านธุรกรรมทางการเงินแบบครบวงจร

เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารออมสิน ได้จัดให้มีพิธีเปิดที่ทำการแห่งใหม่ สาขานิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี โดยมีนายพรชัย ขวัญสกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธาน และมี นายสุวัฒน์ จันทรท่าจีน ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสินสายงานกิจการสาขา นายไพโรจน์ พิชยศาสวัตกุล ผู้ตรวจการธนาคารออมสิน สายงานกิจการสาขา และผู้จัดการธนาคารออมสิน สาขาต่างๆ รวมทั้งพนักงาน ลูกจ้างสายปฏิบัติงาน และตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วม

โดยนายฐานะพงศ์ แสนวิเศษ ผู้อำนวยการธนาคารออมสินเขตชลบุรี 3 กล่าวรายงานว่า ปัจจุบันธนาคารออมสินได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 100 ของการเป็นสถาบันการเงินของรัฐ สังกัดกระทรวง การคลัง ทำหน้าที่ส่งเสริมทั้งด้านการออมและการลงทุนให้กับประชาชนระดับฐานราก เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน พร้อมขยายช่องทางการให้บริการด้วยการเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมในทุกพื้นที่ของประเทศ

สำหรับธนาคารออมสิน สาขานิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร นับเป็นธนาคารออมสินสาขาลำดับที่ 907 เปิดให้บริการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การให้บริการด้านเงินฝาก สินเชื่อ ธุรกิจสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัว บัตรออมวีซ่าเดบิต และธุรกรรมทางการเงินด้านอื่นๆ โดยเชื่อว่าจะสามารถรองรับงานบริการทางการเงินให้กับกลุ่มพนักงานในโรงงานต่างๆ ของนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ และประชาชนในพื้นที่โดยรอบอย่างทั่วถึง

ทั้งนี้ ธนาคารออมสิน มีเป้าหมายการขยายสาขาให้ได้ 1 พันสาขาภายในปี 2555

เลขา ศอ.บต.พบเจ้าของร้านค้านราธิวาส มั่นใจดูแลเหตุปลอดภัยจากข่าวลือ

เลขา ศอ.บต.พบเจ้าของร้านค้านราธิวาส มั่นใจดูแลเหตุปลอดภัยจากข่าวลือ

นราธิวาส - เลขาธิการ ศอ.บต.พูดคุยผู้ประกอบการในนราธิวาส สร้างความมั่นใจ พร้อมย้ำเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเต็มที่ ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวลือห้ามค้าขาย และให้บริการในวันศุกร์ จนประชาชนหวาดกลัวปิดร้านกันถ้วนหน้า

วันนี้ (28 ก.ย) เมื่อเวลา 14.00 น. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมด้วยนายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส นายประดิษฐ์ สุคนธสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส นายสามารถ วราดิศัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส นายวีรพงศ์ แก้วสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ออกตรวจเยี่ยมร้านค้าในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส พร้อมพูดคุยให้กำลังใจแก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยส่วนใหญ่ในวันนี้ปิดร้านเนื่องจากกระแสข่าวที่มีการกล่าวถึงว่าให้ปิดร้านในวันศุกร์

ทั้งนี้ คณะได้พูดคุยกับผู้ประกอบการร้านก๋วยเตี๋ยวจัมโบ้ หน้าโรงแรมอิมพีเรียล ซึ่งในวันนี้ต้องปิดร้านเนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัยหลังมีกระแสข่าวดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมา ร้านจัมโบ้ไม่เคยมีวันหยุด สร้างรายได้ให้แก่เจ้าของร้าน รวมถึงช่วยให้กลุ่มลูกจ้างมีรายได้เป็นรายวันด้วย

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า การปิดร้านในวันศุกร์นั้นไม่เกี่ยวข้องกับหลักปฏิบัติตามศาสนาอิสลาม ซึ่งมูลเหตุของการปิดร้านเนื่องจากเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการไม่มั่นใจในความปลอดภัย ส่วนกระแสข่าวลือจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถหาแหล่งที่มาได้

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง กล่าวด้วยว่า การลงพื้นที่พูดคุยกับผู้ประกอบการในวันนี้เป็นประโยชน์อย่างมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่เองจะต้องสร้างความมั่นใจในการดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนให้ได้

การเมือง กับ นักกินเมือง

?@Arjuna0019
การเมือง กับ นักกินเมือง เป็นคนอย่างกัน โปรดทำความเข้าใจกันหน่อย..เพราะเราไม่สนใจการเมืองซึ่งเป็นเรื่องของส่วนรวม พวกมันถึงโกงได้โกงดีไง..!?

ชัดเจน >>> การเมือง - "เหลิม" หลุดปากบอก "ตำรวจ-เสื้อแดง" คนของเพื่อไทย http://www.naewna.com/politic/23713

LPN เชื่อมั่นตลาดอสังหาฯ ชลบุรีทุ่ม 2.6 พันล.ผุดคอนโดฯ 4 พันยูนิตรับแรงงาน



ศูนย์ข่าวศรีราชา - กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งท้องถิ่น-ส่วนกลาง ยังคงเชื่อมั่นศักยภาพการตลาด และกำลังซื้อในชลบุรี จากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว ล่าสุด LPN ทุ่มงบถึง 2.6 พันล้านบาท ผุดโครงการชุมชนน่าอยู่ ภายใต้ชื่อ “ลุมพินี คอนโดทาวน์ ชลบุรี-สุขุมวิท” ในเนื้อที่กว่า 30 ไร่ ใจกลางชลบุรี รวม 4 พันยูนิต โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือคนทำงานในนิคมฯ ต่างๆ และผู้ต้องการมีบ้านหลังแรก

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เผยถึงการทุ่มงบประมาณอีก 2.6 พันล้านบาท เพื่อก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมขนาดกลาง จำนวน 19 อาคาร รวม 4,181 ยูนิต ใจกลางเมืองชลบุรี ซึ่งมีพื้นที่รวมทั้งโครงการ 37 ไร่ และกำหนดราคาขายต่อยูนิต (21-26 ตารางเมตร) ในราคาเริ่มต้นที่ 5.5-6 แสนบาทว่า

เป็นเพราะเห็นถึงศักยภาพ และกำลังซื้อของกลุ่มแรงงานที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ในจังหวัดชลบุรี และใกล้เคียงที่มีมากกว่า 2 แสนคน รวมทั้งยังเป็นการรองรับความต้องการบ้านหลังแรกของกลุ่มคนที่กำลังเช่าบ้าน กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการมองหาที่อยู่อาศัยระหว่างการเดินทางเข้ามาพักผ่อนในจังหวัดชลบุรี และกลุ่มนักเรียน นักศึกษา

ทั้งนี้ ได้กำหนดราคาผ่อนเริ่มต้นที่ 1,900 บาทต่อเดือน และคาดว่าจะสามารถปิดการขายทั้งระบบได้ภายในปีหน้า พร้อมๆ กับการก่อสร้างที่จะแล้วเสร็จพร้อมกันหมดทั้งโครงการ โดยใช้ชื่อ “ลุมพินี คอนโดทาวน์ ชลบุรี-สุขุมวิท” และถือเป็นการสยายปีกลงทุนในจังหวัดชลบุรีเป็นโครงการที่ 2 หลังจากปี 2554 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการแห่งแรกในเมืองพัทยาถึง 3 โครงการ

“บริษัทฯ เล็งเห็นว่าจังหวัดชลบุรีเป็นศูนย์กลางทางการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก และยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยอีกเป็นจำนวนมาก จึงได้ขยายแนวคิดในการพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัย ภายใต้แบรนด์ ลุมพินี ที่มีมานานกว่า 23 ปี ออกสู่หัวเมืองใหญ่ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเริ่มจากชลบุรีก่อน”

ทั้งนี้ ในปี 2554 เราได้พัฒนาโครงการในเมืองพัทยาแล้ว และพบว่า ประสบความสำเร็จทางการตลาดเป็นอย่างดี ดังนั้น ในปี 2555 จึงวางแผนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการสร้างราคาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย คือ คนในระดับกลาง- ล่าง ภายใต้การบริหารการขายแบบมืออาชีพ ตามแนวคิดการสร้างชุมชนน่าอยู่

นายโอภาส ยังเผยอีกว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งในกรุงเทพฯ และปิรมณฑล รวมแล้วกว่า 70 โครงการ สำหรับโครงการล่าสุดในจังหวัดชลบุรี ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ติดทางเข้า-ออก ซอยเพชรบ้านสวน (16, 18) โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกตามมาตรฐานสากล และจะเปิดการขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 ตุลาคมนี้

ขณะที่นายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เผยถึงการเติบโตของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดชลบุรีว่า ในวันนี้ ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และมีความชัดเจนในแง่การแข่งขันทางการตลาดของทั้งกลุ่มนักลงทุนในจังหวัด และต่างถิ่น ซึ่งทำให้ปัจจุบัน ประชาชนในพื้นที่มีทางเลือกในการเลือกที่อยู่อาศัยตามความต้องการมากยิ่งขึ้น และการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างๆ ยังทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของจังหวัดชลบุรีมีความเข้มแข็งมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ชาวพุทธนครศรีฯ ร่วมกิจกรรมสะพานบุญสัญจร



นครศรีธรรมราช - พุทธศาสนิกชนจังหวัดนครศรีธรรมราชจำนวนมาก ร่วมกิจกรรมสะพานบุญสัญจรในโครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เพื่อร่วมถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

วันนี้ (28 ก.ย.) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานดำเนินงานโครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เป็นประธานเปิดงานบุญมหากุศล “สะพานบุญสัญจรนครศรีธรรมราช” ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช มีนายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช หัวหน้าส่วนราชการ และพุทธศาสนิกชนจำนวนมากเข้าร่วมกิจกรรม

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราชได้มีส่วนร่วมในการปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ภายใต้โครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เพื่อร่วมถวายเป็นพุทธบูชา 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา

ภายในงานได้จัดให้มีการบูชาแผ่นทองพร้อมเขียนชื่อลงบนแผ่นทองพระพุทธเจ้าน้อยที่ผ่านพิธีพุทธาภิเษก ณ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า เพื่อนำไปหล่อองค์พระพุทธเจ้าน้อย ขนาดสูง 3.55 เมตร นอกจากนี้ เปิดให้ทำบุญบูชาพระพุทธเจ้าน้อย บูชาเทียนและดอกไม้ เพื่อสักการะองค์พระพุทธเจ้าน้อย และดินจากจุดที่พระพุทธเจ้าประสูติ และร่วมประพรมน้ำมนต์จากสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ สระโบกขรณี ประเทศเนปาล ที่พระมารดา และสิทธัตถะราชกุมาร ทรงสรงเมื่อครั้งประสูติจากพระครรภ์ โดยงานมีไปจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2555 นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาจากกูรูธรรมะชื่อดัง เช่น พระอาจารย์มหาวรณ์ ภูริปัญโญ อาจารย์วิเชียร อยู่เกตุ แพทย์ทางเลือก เป็นต้น

และโอกาสนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้กราบสักการะพระศรีศากยะมุนีศรีธรรมราช องค์พระประธานในพระวิหารหลวงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และแห่ผ้าห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ร่วมกับพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมพิธีด้วย

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กล่าวว่า โครงการ “บูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า” ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาลขณะนี้ได้บูรณะเสร็จแล้ว 2 เฟส คือได้ทำทางเดินรอบวิหารมายาเทวีจุดที่พระพุทธเจ้าประสูติ ระยะทาง 500 เมตร พร้อมลานสักการะ และลานปฏิบัติธรรม จำนวน 4 ลาน ขณะนี้ กำลังดำเนินการในเฟสที่ 3 คือ การก่อสร้างถนนเข้าสู่วิหารมายาเทวี ระยะทาง 1 กิโลเมตร อาคารอเนกประสงค์ เพื่อเป็นศูนย์ข้อมูล และสถานพยาบาลฉุกเฉินพร้อมอาคารห้องน้ำ รวมทั้งจัดสร้าง “พระพุทธเจ้าน้อย” ขนาด 3.55 เมตร ด้วยโลหะสัมฤทธิ์นำไปประดิษฐาน ณ ทางเข้าสู่วิหารมายาเทวีเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการบูรณะครั้งที่ 3 นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน

ดังนั้น การบูรณะครั้งนี้จึงถือเป็นครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ที่คนไทย และประเทศไทยได้รับเกียรติ และความไว้วางใจจาคณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโก และคณะกรรมการพัฒนาลุมพินีให้เป็นผู้บูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวด้วยว่า แผ่นทองพระพุทธเจ้าน้อยที่จัดทำขึ้นให้พุทธศาสนิกชนเขียนชื่อลงไปนั้นได้ผ่านพิธีพุทธาภิเษกจากสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า ณ ประเทศเนปาลแล้ว รวม 600,000 แผ่น หลังจากเขียนชื่อแล้วสามารถตัดส่วนท้ายของแผ่นทองเอาไปบูชาที่บ้าน ส่วนที่เขียนชื่อจะนำไปหล่อพระพุทธเจ้าน้อย ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 2 ตันเศษ สำหรับการจัดกิจกรรมสะพานบุญสัญจรที่จังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น เพราะพระพุทธศาสนาจากชมพูทวีปได้เผยแผ่เข้าสู่ดินแดนสุวรรณภูมิมาทางจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นแห่งแรก

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

เห็นธรรมเพียง 1นาที มีค่ามากกว่า...

เห็นธรรมเพียง 1นาที มีค่ามากกว่า...
การปฏิบัตินั้นไม่ใช่เข้าวัด ใส่บาตร ฟังเทศน์ ทำวัตรสวดมนต์เท่านั้น

ปฏิบัติที่แท้จริงนั้นคือ การพูด การคิด การกระทำ ให้อยู่ในทำนองคลองธรรม สำหรับบางคนไม่เคยเห็นพระ แต่การพูด การคิด การกระทำ แล้วมีโทษน้อยๆ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ จิตใจบริสุทธิ์นั่นแหละกรรมดี

ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า
เมื่อใจดี ใจบริสุทธิ์
พูดก็ดี ทำก็ดี ดีไปหมด มีความสุข

ในความเป็นชาวพุทธ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ เชื่อหลักวัฏฏสงสารมีจริง เชื่อหลักกฎแห่งกรรม เชื่อหลักอริยสัจ 4

บางคนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำ แต่ยังใจร้อน เข้าใจหลักธรรมดีพอสมควร และพยายามปฏิบัติธรรมอยู่ แต่สติปัญญาที่จะคุ้มครองอารมณ์ก็ยังไม่เพียงพอ เลยกระทบคนอื่น รู้สึกตัวอยู่ว่าผิด พยายามแก้ไขอยู่ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติคงจะแย่กว่านี้มาก บุคคลประเภทนี้ควรแก่การยกย่อง กำลังพัฒนาตน ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ แต่คนอื่นอาจจะมองไม่เห็น เพราะกระทบอารมณ์และกำลังถูกดูหมิ่น ดูถูก นินทา อยู่

บางคนตั้งแต่กำเนิดมีนิสัยเรียบร้อย ใจเย็น ใจดี อยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมดี ไม่ค่อยกระทบกับใคร ไม่ได้ศึกษาธรรม ก็เหมือนรักษาศีลอยู่ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานบางตัวก็เหมือนกัน เช่น หมา นิสัยดี ว่าง่าย สอนง่าย เรียบร้อย น่ารัก

มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง สมัยก่อน มีคุณนายผู้ดีคนหนึ่ง นิสัยดี ใจดี ใจมีเมตตา ใครมีทุกข์ลำบาก ก็ช่วยเหลือทุกคน ชาวบ้านต่างก็ชม สรรเสริญว่า คุณนายใจดี วันหนึ่งสามีเสียชีวิตไป เด็กรับใช้นึกสงสัยขึ้นมาว่า นายของเราเป็นคนดีจริงหรือเปล่า เลยลองดู ไม่เชื่อฟัง และด่านาย คุณนายใจดีแสดงอาการโกรธ โมโห เลยเข้าใจว่า คุณนายทำตัวเป็นคนดี ใจดีได้เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีเงินมีทองมากมาย สามีรัก ใครๆ ก็เอาใจดูแล ชื่นชม สรรเสริญ

เราจะรู้จักตัวเองได้เมื่อเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ทำใจได้ดีจึงจะเป็นคนดีจริง ถ้าพูดถึงตามหลักทั่วๆ ไปแล้ว การปฏิบัติธรรมเป็นประจำดีกว่า เพราะการฟังธรรมตามกาล การสนทนาธรรมตามกาล เป็นมงคลอันยิ่งใหญ่ เพราะมีโอกาสที่จะมีความเห็นถูกต้อง มีโอกาสที่จะอบรมสัมมาทิฏฐิ กิเลสหรืออารมณ์ร้อนเป็นคนละเรื่องกัน

สรุปแล้วคนที่ไม่ปฏิบัติ แต่ใจดีแล้ว ก็น่ายินดีอนุโมทนา คนที่ชอบเข้าวัด ฟังเทศน์ ปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา น่าสรรเสริญทั้ง 2 ฝ่าย

ธรรมเป็นสิ่งอัศจรรย์ มหาโจรองคุลีมาลฆ่าคนถึง 999 คน ยังสามารถกลับใจเป็นดี เป็นพระอรหันต์ได้ เป็นสุดยอดคนดี เพราะอาศัยธรรมะ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การปรารภความเพียรเพียงราตรีเดียวมีค่ามากกว่ามีชีวิต 100 ปีแต่ปราศจากความเพียร คนที่เห็นธรรม 1 นาที มีค่ามากกว่าคนอายุ 100 ปีแต่ไม่เห็นธรรม

เชิญเข้าร่วมงาน “ตื่นรู้” ครั้งที่ ๒ : สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก

เชิญเข้าร่วมงาน “ตื่นรู้” ครั้งที่ ๒ : สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก

วันเสาร์ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๕เวลา ๐๙.๐๐-๑๘.๐๐ น.
ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ)
รายละเอียดเพิ่มเติมที่www.panyaprateep.org หรือ facebook.com/AwakeAndAware
*เพื่อให้ทราบจำนวนผู้เข้าร่วมงานโดยประมาณ บุคคลทั่วไปกรุณาลงทะเบียนล่วงหน้าที่:
https://docs.google.com/spreadsheet/viewform?formkey=dFlHNENGbFYtd1FFNUxHbmFsZWVfWEE6MQ
(ผู้ปกครองโรงเรียนทอสี โรงเรียนปัญญาประทีป และผู้ที่ได้รับจดหมายเชิญโดยตรง ไม่ต้องลงทะเบียนออนไลน์)

งานตื่นรู้ ครั้งที่ ๑ “การศึกษาพุทธปัญญา... ทางรอดของสังคมไทย” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๔ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง มีผู้สนใจเข้าฟังเสวนา“ปอกเปลือกการศึกษาไทย” และเข้าร่วมงานในครั้งแรกกว่า ๖๐๐ คน ในปีนี้ งานตื่นรู้กำลังจะกลับมาพบกับทุกท่านเป็นครั้งที่ ๒ ทั้งนี้เพื่อเป็นการต่อยอดองค์ความรู้และสื่อสารกับ “ชาวตื่นรู้” ในมิติที่ลุ่มลึกขึ้น

งาน “ตื่นรู้”ครั้งที่ ๒ ตอน “สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก” จัดขึ้นโดย “กลุ่มตื่นรู้” นำโดยมูลนิธิปัญญาประทีป ร่วมกับโรงเรียนปัญญาประทีป โรงเรียนทอสี โรงเรียนรุ่งอรุณ และเหล่ากัลยาณมิตร การจัดงานในวาระที่สองนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง “การศึกษาพุทธปัญญา” อย่างรอบด้านยิ่งขึ้น โดยจะจัดกิจกรรมที่เอื้อให้พ่อ แม่ ผู้ปกครอง คุณครู และบุคคลทั่วไป ได้มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อีกทั้งช่วยเชื่อมโยงให้เครือข่ายการศึกษาวิถีพุทธเกิดความเข้มแข็งเพื่อพร้อมร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ด้านการศึกษาพุทธปัญญาให้กว้างไกลยิ่งขึ้น
พบกับ “๓ เส้นทาง ล้างกิเลส” ที่จะนำเสนอกิจกรรมในหลากหลายรูปแบบ อาทิ ศิลปะจัดวาง (Installation Art) แผนภาพองค์ความรู้ ข้อธรรมคำสอนจากครูบาอาจารย์ รวมทั้งนิทรรศการ“ตื่นรู้อย่างไรในโรงเรียนวิถีพุทธ” ซึ่งเปิดพื้นที่ให้โรงเรียนในเครือข่ายวิถีพุทธได้นำเสนอผลงานและรูปแบบการเรียนการสอนในแบบฉบับของตนเอง นอกจากนี้ยังมี มุมหนังสือแนะนำ ที่จัดไฟล์หนังสือดีๆ ไว้ให้ดาวน์โหลดกันได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
กลุ่มคุณครูจากเครือข่ายโรงเรียนวิถีพุทธจะได้เข้าร่วมกิจกรรมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ กับกลุ่มครูด้วยกันในช่วงเช้า ส่วนบุคคลทั่วไปจะสามารถเข้าร่วมเสวนาใน ๒ วงเสวนาหลักที่จะจัดขึ้น ณ เวทีลานหินโค้งและโถงกิจกรรม ชั้น ๑ แบ่งเป็น (๑) วงเสวนา “สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก” และ (๒) วงเสวนา “การศึกษาพุทธปัญญา ใช่อยู่ที่ป้ายหน้าโรงเรียน”
ทีมพิธีกรทีวีบูรพา นำโดย สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ เป็นผู้ดำเนินการเสวนา ผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ พระครูธรรมธรครรชิต คุณวโร จากวัดญาณเวศกวัน, รศ.ประภาภัทร นิยม ผู้ก่อตั้งโรงเรียนรุ่งอรุณ, ตัวแทนครู ผู้ปกครอง และเด็กๆ จากโรงเรียนวิถีพุทธ อาทิ โรงเรียนปัญญาประทีป โรงเรียนทอสี โรงเรียนรุ่งอรุณ รวมถึงปราชญ์ชาวบ้าน และตัวแทนจากโรงเรียนในรูปแบบอื่นๆ เช่น เด็กๆ จากกลุ่มบ้านเรียน (Home School) เด็กๆ ที่มุ่งเรียนสู่ความเป็นเลิศ ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังมีวงแลกเปลี่ยน “ปุจฉา วิสัชนา การศึกษากับชีวิต” ซึ่ง พระอาจารย์ชยสาโรและเหล่าคณะครูผู้ทรงคุณวุฒิจะมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และความคิดเห็น ผู้เข้าร่วมงานทุกคนสามารถร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนได้อย่างใกล้ชิด ก่อนปิดท้ายงานในครั้งนี้ด้วยพระธรรมเทศนาจากพระอาจารย์ชยสาโร

จัดยิ่งใหญ่งาน 3 ทศวรรษก่อตั้งจังหวัดมุกดาหาร

จัดยิ่งใหญ่งาน 3 ทศวรรษก่อตั้งจังหวัดมุกดาหาร

มุกดาหาร-จัดยิ่งใหญ่งานฉลองครบรอบ 3 ทศวรรษก่อตั้งจังหวัดมุกดาหาร ชมนิทรรศการมีชีวิต อดีต-ปัจจุบัน อนาคต กับตำนานการก่อสร้างเมืองมุกดาหาร เมืองมุกดาหารปัจจุบันกับการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ในฐานะเมืองการค้าประตูตะวันออกสู่อินโดจีน

ค่ำคืนที่ผ่านมา(27 ก.ย.)ที่ลานหน้าศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร นายชาญวิทย์ วสยางกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธานเปิดงาน การจัดงาน 3 ทศวรรษ จังหวัดมุกดาหาร เนื่องในโอกาสครบรอบการก่อตั้งจังหวัดมุกดาหาร ครบ 30 ปี

นายชาญวิทย์ วสยางกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่า จังหวัดมุกดาหารจัดงาน "3 ทศวรรษจังหวัดมุกดาหาร” ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร เพื่อเฉลิมฉลองการก่อตั้งจังหวัดมุกดาหารครบ 30 ปี และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดมุกดาหาร ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ศักยภาพในด้านต่างๆ ของจังหวัดมุกดาหาร ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดมุกดาหาร ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร ในระยะนี้มากยิ่งขึ้น

ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า อำเภอมุกดาหารได้แยกออกจากจังหวัดนครพนม และก่อตั้งเป็น "จังหวัดมุกดาหาร” เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2525 และจะมีอายุครบ 30 ปี ในวันที่ 27 กันยายน 2555 จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสการก่อตั้งจังหวัดมุกดาหาร ครบ 30 ปี

พร้อมชมกิจกรรมที่หลากหลาย นิทรรศการมีชีวิต อดีต-ปัจจุบัน อนาคต กับตำนานการก่อสร้างเมืองมุกดาหาร เมืองมุกดาหารปัจจุบันกับการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ในฐานะเมืองการค้าประตูตะวันออกสู่อินโดจีน อนาคตเมืองมุกดาหารกับการเป็นเมืองน่าอยู่ 1 ใน10 ของโลก

พร้อมชมการแสดงแสง สี เสียง สื่อผสม ต้นกำเนิดลือเลื่องเมืองมุกดาหาร การแสดงศิลปวัฒนธรรม 8 ชนเผ่าที่ทรงคุณค่า และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย

นอกจากนี้ ในวันสุดท้ายของการจัดงาน จังหวัดมุกดาหารยังได้รับเกียรติจากนักแสดงของแขวงสะหวันนะเขต และจังหวัดกวางตรี ประเทศเวียดนาม มาร่วมแสดงเพื่อเฉลิมฉลองในงาน 3 ทศวรรษ จังหวัดมุกดาหารด้วย

ยิ่งมีความสงบ ยิ่งเกิดความสุข

ยิ่งมีความสงบ ยิ่งเกิดความสุข
ที่จริง จิตใจเวลามีความปรารถนาต้องการกับ
เวลาไม่มีความปรารถนาต้องการนั้นแตกต่างกันมาก
จิตใจยามมีความโลภหรือความปรารถนาต้องการนั้น
ไม่ได้มีความสุข มีแต่ความร้อนความตื่นเต้น
กระวนกระวายขวนขวายเพื่อให้ได้สมปรารถนา

จิตใจยามไม่มีความปรารถนาต้องการนั้น
มีความสุขอย่างยิ่ง เห็นจะต้องเปรียบง่ายๆ คือ
ในยามหลับกับในยามตื่น

ยามหลับไม่มีความปรารถนาต้องการ
ยามตื่นมีความปรารถนาต้องการทุกคนเหมือนกัน ไม่มียกเว้น
ยามไหนเป็นยามสบายที่สุด ทุกคนตอบได้และคำตอบของทุกคนเหมือนกัน

คนที่หลับแล้ว สงบแล้วจากความปรารถนาต้องการ
ไม่ว่าจะหลับบนฟูกอันอ่อนนุ่มในคฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬาร
หรูหราเพียงใด หรือจะหลับอยู่บนดินทรายแข็งระคายเพียงไหน
ย่อมเป็นสุข เพราะจิตใจพ้นจากอำนาจของความปรารถนา
ต้องการที่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ความร้อน

แม้คิดเปรียบถึงความสุขและความไม่สุขของคนนอนหลับกับคนตื่นอยู่
กับความสุขและความไม่สุขของคนมีความปรารถนาต้องการรุนแรง
ในใจคนมีความปรารถนาต้องการน้อยก็จะได้พบคำตอบที่ชัดเจน
ที่น่าจะทำให้ตัดสินใจเลือกได้ว่า ควรพยายามทำใจตนเองให้มี
ความปรารถนาต้องการน้อยหรือไม่


สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

13 ประโยชน์จากกล้วย ที่ไม่กล้วยอย่างที่คิด



ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบของถูกแต่ดี หาซื้อง่าย กล้วยนี่ล่ะคือคำตอบ เพราะผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยคุณประโยชน์แบบที่คุณขาดไม่ถึง!!

ลดอาการเสียวท้อง กล้วยเป็นยาลดกรดโดยธรรมชาติอยู่แล้วเวลาท้องอืดถ้าได้ทานกล้วยสัก 2-3 ลูก ไม่นานคุณจะรู้สึกสบายขึ้น วิธีนี้เหมาะจะเอาไว้ใช้เวลาเดินทางไกลๆ ที่หาร้านขายยายากด้วยค่ะ
ตื่นเช้าอย่างสดใส คนที่มักตื่นขึ้นมาพร้อมอาการมึนหัว หงุดหงิด ใจสั่น นั่นเป็นเพราะหลายชั่วโมงที่นอนหลับ น้ำตาลในเลือดของเราลดต่ำลง แต่เรื่องแค่นี้กล้วยช่วยได้ น้ำตาลฟรุตโตสในกล้วยเป็นกรดโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที ช่วยให้อาการมึนหัวและอารมณ์แย่ๆ หายเร็วทันใจ
ปกป้องลำไส้ ช่วงไหนรู้สึกว่าโรคกระเพาะกำลังเล่นงาน อย่าลืมเพิ่มกล้วยเข้าไปในเมนูอาหารทุกมื้อค่ะ นอกจากจะทานง่าย ไม่ต้องยุ่งยากเวลาย่อยแล้ว กล้วยยังมีสารบางอย่างคล้ายนมที่จะเข้าไปเคลือบกระเพาะของเรา แผลในลำไส้ซึ่งเป็นตัวการเกิดโรคกระเพาะจะได้สมานตัว
หยุดโรคโลหิตจาง กล้วยเป็นยาดีที่ไม่ควรพลาดสำหรับคนที่กำลังเป็นโรคโลหิตจาง เพราะมันมีธาตุเหล็กจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด โลหิตจางๆ ของคุณจะได้กลับสู่สภาวะเข้มข้นปกติ เลิกหน้ามืดเป็นลมกันเสียที
ป้องกันความดันโลหิต องค์การอาหารและยาของอเมริกาเลือกให้กล้วยเป็นอาหารที่ดีที่สุดในการฟื้นฟู และป้องกันโรคความดันโลหิต เพราะมันมีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก แต่มีปริมาณเกลือต่ำ เพอร์เฟ็คท์สำหรับร่างกายของคนเป็นความดันสุดๆ
เลิกบุหรี่ต้องกินกล้วย คนที่ประสบการณ์เลิกบุหรี่มาแล้ว คงรู้ดีว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันทรมานขนาดไหน แต่ถ้าได้กินกล้วยเป็นประจำ ความทรมานนี้จะลดลง เนื่องจากในกล้วยมีวิตามินซี เอ บี 6 บี 12 โพแทสเซียมและแมกนีเซียมสูงปรี๊ด สารอาหารเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็ว คุณจะสดชื่นกระปรี้กระเปร่าจนไม่ค่อยจะโหยหานิโคตินเท่าไร
เรียนเก่งเพราะกินกล้วย โพแทสเซียมในกล้วยช่วยเพิ่มกำลังสมองให้เราได้ ถ้าวัยรุ่นที่ต้องท่องหนังสือเป็นประจำกินกล้วยเป็นอาหารเสริมทุกมื้อ คะแนนสอบของคุณจะพุ่งฉิวเดินยืดโชว์พาวได้ทั้งโรงเรียนเลย เรื่องนี้ผลวิจัยเขายืนยันมาจ้า
ลดอาการซึมเศร้า โรคนี้ใครที่เคยเป็ฯจะรู้สึกว่าทรมานมาก แต่จากการสำรวจพบว่าความรู้สึกซึมเศร้าจะลดลงหลังจากได้กินกล้วย เพราะร่างกายได้รับโปรตีน trypotophan ที่จะถูกเปลี่ยนให้เป็นสารแห่งความสุขที่ชื่อเซโรโทนิน รู้อย่างนี้แล้วคนที่อยากอารมณ์ดีตลอดเวลาคงต้องเพิ่มกล้วยเข้าไป ในเมนูอาหารประจำวันแล้วละ
ลดอาการเมาค้าง ในกรณีที่คุณเป็นผีเสื้อราตรี ชอบออกไปเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนแล้วกลับถึงบ้านในสภาพเมาปลิ้นสิ้นแรง ก่อนเข้านอนควรทานน้ำกล้วยปั่นใส่น้ำผึ้งก่อน 1 แก้ว กล้วยจะไปเคลือบกระเพาะไม่ให้หิวกลางดึก และทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสมดุล น้ำผึ้งเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ควบคุมระดับน้ำตาลระหว่างหลับ ตื่นขึ้นมาคุณจะมีอาการเมาค้างน้อยมากถึงมากที่สุด
แก้ปัญหาท้องผูก กล้วยเป็นยาระบายอ่อนๆ ของไทยเรามตั้งแต่โบราณ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นกล้วยสุกเท่านั้น ส่วนกล้วยดิบอาจทำให้ลำไส้อุดตัน กินแล้วปมในท้องจะขมวดเกลียวผูกหนักยิ่งกว่าเดิม
ป้องกันเส้นเลือดฝอยแตก กล้วยช่วยคุณได้ ผลวิจัยในวารสาร “The New England Journal of Medicine” บอกว่าการกินกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%
ไดเอทด้วยกล้วย ที่ญี่ปุ่นมีวิธีไดแอทที่เคยฮิตอยู่ช่วงหนึ่งเรียกว่า “บานาน่า ไดเอท” หรือไดเอทด้วยการกินกล้วยแสดงว่ากล้วยสามารถช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงได้เหมือนกัน เพราะมันสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ช่วยให้ไม่หิวบ่อย คนที่กินกล้วยทุกๆ 2 ชั่วโมงจะไม่ค่อยอยากอาหาร ไม่ต้องทานจุกจิก ที่สำคัญถึงจะกำลังไดเอทคุณก็ไม่หงุดหงิด เพราะได้ช่วยช่วยดีๆ อย่างวิตามินบี 6 และโปรตีน trypotophan นั่นเอง
กำจัดหูด เรื่องนี้คนไทยโบราณทำกันมานานแล้ว แต่คนรุ่นใหม่อย่างเราอาจยังไม่รู้ว่าหูดกับกล้วยเป็นอะไรที่เข้ากั๊นเข้ากัน เพียงแค่คว่ำเปลือกกล้วย ลงไปบนหูดให้ส่วนที่เป็นตัวยางแนบติดกับหูด แปะพลาสเตอร์ทับไว้ให้เปลือกกล้วยไม่เลื่อนทำทุกวันประมาณ 1 สัปดาห์เม็ดหูดจะเล็กลงและหลุดไปเอง

ภูเก็ตพร้อมจัดงานประเพณีถือศีลกินผักมั่นใจเงินสะพัด 600 ล.



ศูนย์ข่าวภูเก็ต - จังหวัดภูเก็ตพร้อมแล้วจัดงานประเพณีถือศีลกินผัก คาดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติเดินทางเข้าสู่จังหวัดภูเก็ตในช่วงของจัดงานกว่า 1 แสนคน เงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท





ที่ศาลเจ้าหล่อโรง อ.เมืองภูเก็ต นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานประเพณีถือศีลกินผักจังหวัดภูเก็ต ประจำปี 2555 ซึ่งทางสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับชมรมอ๊ามภูเก็ต องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานภูเก็ต และหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ตร่วมกันจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 15-23 ตุลาคม 2555 เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามที่เก่าแก่ของจังหวัดภูเก็ต ที่ได้ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาเป็นประจำทุกปี

โดยมี นายชาญชัย ดวงจิตต์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต นายประเสริฐ ฟักทองผล ประธานชมรมอ๊ามภูเก็ต ดร.ประพรศรี นรินทร์รักษ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต พ.ต.อ.อรุณ แกล้ววาที รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นางอุไร เลอศักดิ์อนุสรณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนาฯ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต และผู้เกี่ยวข้องร่วมแถลง

นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต กล่าวว่า สำหรับการจัดงานประเพณีถือศีลกินผักในปีนี้ ได้กำหนดจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น จัดขบวนแห่เทิดพระเกียรติ เนื่องในโอกาสปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 85 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมพรรษา 60 พรรษา ในวันที่ 16 ตุลาคม 2555 เวลา 16.00 น. จากบริเวณสนามชัย ไปสู่เวทีกลางสะพานหิน เพื่อไปประกอบพิธีซ่งเก้ง หรือพิธีสวดมนต์แบบจีน ถวายพระพรชัยมงคล เริ่มเวลา 17.00 น. ณ บริเวณเวทีกลางสะพานหิน

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการออกเยี่ยม และร่วมรับประทานอาหารกับคณะกรรมการอ๊าม หรือศาลเจ้าต่างๆ ของผู้ว่าฯ หัวหน้าส่วนราชการ และคณะ ระหว่างวันที่ 15-23 ต.ค. การจำหน่ายอาหารเจ ในช่วงงานประเพณีถือศีลกินผักจังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ 15-23 ต.ค. ณ บริเวณอ๊ามต่างๆ นอกจากนี้ อ๊ามต่างๆ จะประกอบพิธีกรรมระหว่างวันที่ 15-23 ต.ค.55 เช่น พิธีโข้กุ้น (พิธีเลี้ยงอาหารทหารที่รักษาอ๊าม) พิธีป้ายฉิดแซ (พิธีบูชาดาว) พิธีอิ้วเก้ง (พิธีแห่พระรอบเมืองภูเก็ต) พิธีอาบน้ำมัน พิธีขึ้นบันไดมีด พิธีโก้ยโห้ย (พิธีลุยไฟ) พิธีโก้ยห่าน (พิธีสะเดาะเคราะห์) เป็นต้น

ด้านนายชาญชัย ดวงจิตต์ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานภูเก็ต กล่าวว่า งานประเพณีถือศีลกินผักจังหวัดภูเก็ตปีนี้ ในส่วนของ ททท.สำนักงานภูเก็ต ได้จัดกิจกรรมสนับสนุนประเพณี เพื่อสร้างกระแสการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวเข้าสู่ จ.ภูเก็ต ให้เพิ่มมากขึ้น มีกิจกรรมประกอบด้วย การจัดทำสื่อทั้งออฟไลน์/ออนไลน์ ประชาสัมพันธ์เผยแพร่กิจกรรมของแต่ละศาลเจ้า จัดถนนแห่งศรัทธาประดับธงทิวนำร่องสืบสานประเพณีโบราณ จัดตั้งโต๊ะสักการะองค์เทพที่ออกเยี่ยมเยือนประชาชน โดยเชิญผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว เทศบาลนครภูเก็ต สายการบิน สถาบันการศึกษา โรงแรม ร่วมกันจัดโต๊ะสักการะตามประเพณีโบราณ ณ ถนนแห่งศรัทธาหน้า ททท.สำนักงานภูเก็ต ในวันที่ 21 ต.ค.55 ตั้งแต่เวลา 08.00 น.เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ทาง ททท.สำนักงานภูเก็ต ยังได้ร่วมกับชมรมอ๊ามจัดขบวนแห่ผัก ผลไม้ โดยเชิญผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยว สายการบิน สถาบันการศึกษา โรงแรม ร่วมขบวนเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 85 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 80 พรรษา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช 60 พรรษา ร่วมกับชมรมอ๊าม จัดการแข่งขันหล่อก้อติ่น หรือการตีกลองเล็กในงานเทศกาล โดยเชิญทีมกลองจากศาลเจ้าต่างๆ ร่วมประกวดตีกลองที่ถูกต้องตามประเพณีโบราณ และร่วมกันสืบสานให้คงอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน ณ ศาลเจ้าจอซูก้ง หน้าวงเวียนหอนาฬิกา ในวันที่ 13 ต.ค.55 เวลา 10.30-16.30 น.

นายชาญชัย กล่าวด้วยว่า สำหรับการจัดงานประเพณีถือศีลกินผักปีนี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายจีนเดินทางสู่จังหวัดภูเก็ตเพื่อมาท่องเที่ยว พักผ่อน และร่วมงานประเพณีถือศีลกินผักมากขึ้น โดยจะเดินทางเป็นกลุ่มครอบครัว เนื่องจากตรงกับช่วงปิดภาคเรียนภาคฤดูฝน สำหรับกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ตลาดหลักยังคงเป็นนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ มาเลเซีย และจีน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมงานเป็นประจำทุกปี และจองห้องพักล่วงหน้าเป็นปี ประกอบกับจังหวัดภูเก็ตได้มีการเซ็นสัญญาเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับหลายมณฑลในจีน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน ยิ่งทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามาร่วมงานประเพณีเพิ่มขึ้น โดยมีเที่ยวบินตรงจากจีนบินสู่จังหวัดภูเก็ตเพิ่มมากขึ้นในช่วงดังกล่าว

ส่วนตลาดนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดนักท่องเที่ยวช่วงหน้าฝนของพื้นที่ ยังคงเดินทางเข้ามาตามปกติ ยิ่งจะทำให้สถานการณ์ท่องเที่ยวภูเก็ตในช่วงดังกล่าวยิ่งหนาแน่นขึ้น สำหรับสถานการณ์การจองห้องพักในช่วงงานพบว่า ขณะนี้ โรงแรมตัวเมืองภูเก็ตมีอัตราการจองพักอยู่ที่ 80% แต่ในช่วง 5 วันสุดท้าย โรงแรมที่อยู่ในเส้นทางขบวนแห่พระผ่านมีอัตราการจองห้องพัก 95%ส่วนที่พักบริเวณชายหาดต่างๆ ของภูเก็ตมีอัตราการจองห้องพัก 90%คาดว่ายังมีการจองห้องพักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในช่วงตั้งแต่วันที่ 15-23 ต.ค.55 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่จังหวัดภูเก็ต ไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน สร้างรายได้เข้าสู่จังหวัดภูเก็ต ประมาณ 550-600 ล้านบาท

ฉก.นราธิวาสมอบรถเข็นให้ผู้พิการเหยื่อไฟใต้ และป่วยพิการ 48 ราย



นราธิวาส - หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส มอบรถเข็นให้ผู้พิการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ และผู้พิการเนื่องจากความเจ็บป่วย จำนวน 48 ราย เป็นครั้งที่ 2 และจะทำการสำรวจผู้พิการเพื่อมอบให้ทั่วถึงต่อไป

วันนี้ (27 ก.ย.) ที่หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส พล.ต.กัมปนาถ รุดดิษฐ์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เป็นประธานมอบรถเข็นผู้พิการวีลแชร์ ครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้พิการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ และผู้พิการเนื่องจากความเจ็บป่วย โดยมีผู้พิการจากพื้นที่ 13 อำเภอของจังหวัดนราธิวาส เข้ารับมอบรถเข็นทั้งหมด 48 ราย

สำหรับการมอบรถเข็นให้แก่ผู้พิการครั้งนี้ เป็นการดำเนินการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้พิการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ และบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ครอบครัวผู้พิการ ที่มีความพิการเนื่องจากความเจ็บป่วย อีกทั้งเป็นการแสดงถึงความรัก ความสามัคคี และความห่วงใยที่พี่น้องชาวไทยมอบให้แก่กัน

อย่างไรก็ตาม ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสได้ดำเนินการมอบรถเข็นให้แก่ผู้พิการแล้วจำนวน 180 ราย และในครั้งนี้ถือเป็นการมอบครั้งที่ 2 อีก 48 ราย ซึ่งทางหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสจำทำการสำรวจผู้พิการเพื่อมอบรถเข็นให้ทั่วถึงต่อไป

เครือข่ายปชช.เชียงราย เคลื่อนพลสมทบหน้าทำเนียบฯ ทวงสัญญารัฐบาล “ปู”



เชียงราย-ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(Pmove) เริ่มเคลื่อนทัพจากเชียงรายมุ่งสู่กรุงเทพฯเพื่อสมทบกลับกลุ่มใหญ่ที่รออยู่หน้าทำเนียบฯ ก่อนเดินทางได้อ่านแถลงการณ์เนื้อหาเรียกร้องให้ “ปู”ดำเนินการตามโครงการที่รับปากกับประชาชนไว้ อย่าดีแต่แก้รธน.

วันนี้(28 ก.ย.) ที่ลานหน้าอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช เขตเทศบาลนครเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย กลุ่มเครือข่ายประชาชนที่ใช้ชื่อว่าขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ชปส.) หรือ Pmove ได้นำรถจักรยานยนต์ประมาณ 50 คนพร้อมมวลชนประมาณ 100 คนไปรวมตัวกันเพื่ออ่านแถลงการณ์และเตรียมตัวเดินทางไปร่วมการชุมนุมที่ ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ ด้วยการเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์

ทั้งนี้ ก่อนเดินทางได้มีการเข้าไปกราบไหว้อนุสาวรีย์และอ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 16 มีเนื้อหาเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินโครงการตามที่ได้รับปากกับประชาชนเอาไว้ ว่า

นับตั้งแต่รัฐบาลนำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้าบริหารประเทศทาง ชปส.ซึ่งเป็นเครือข่ายเกษตรกรรายย่อยและคนจนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนา ประเทศที่ผิดพลาดในอดีต ประกอบด้วย เครือข่ายสลัมสี่ภาค สหพันธืเกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) สมัชชาคนจนกรณีเขื่อนปากมูล (สคจ.) เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.) เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด (คปบ.) สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) เครือข่ายเกษตรพันธสัญญา เครือข่ายสิทธิสถานะบุคคล และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น ปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย การสร้างเขื่อน การไร้สถานะและชาติพันธุ์ ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ ทั้งคนในเมืองและชนบทได้ยื่นข้อเรียกร้องไปยังรัฐบาลชุดนี้มาแล้วหลายครั้ง

แถลงการณ์ต่อมารัฐบาลได้สนองข้อเรียกร้องด้วยการบรรจุข้อเรียกร้องเป็น นโยบายของรัฐบาลและแถลงต่อรัฐสภา เช่น นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต ให้โอกาสคนจนมีที่อยู่อาศัย สร้างความเป็นธรรมและลดหลั่นความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ที่ดินและ ทรัพยากร กระจายสิทธิที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน จัดตั้งธนาคารที่ดินให้แก่คนจนและเกษตรกรรายย่อย ส่งเสริมกองทุนยุติธรรมเพื่อคุ้มครองช่วยเหลือคนจน เป็นต้น

จนถึงขั้นแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของ ชปส.โดยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน และตั้งคณะอนุกรรมการอีกกว่า 10 คณะ แต่ปรากฎว่าถึงปัจจุบันกลไกลเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการใดๆ แม้ทาง ชปส.จะพยายามติดตามและผลักดันแต่ก็พบอุปสรรคปัญหาที่เกิดจากความจริงใจของ รัฐบลที่ไม่ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหา

ทำให้หลายกรณี เช่น โฉนดชุมชน จัดตั้งสถาบันธนาคารที่ดิน ฯลฯ ถูกแช่แข็งและแปลงเปลี่ยนหลักการจนผิดเพี้ยน ส่วนหลายเรื่องที่มีข้อยุติชัดเจนแล้วกลับถูกขัดขวางจากระบบราชการและ ทัศนคติของบุคลากรของรัฐที่ไม่ยอมรับการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้อีกกว่า 400 ปัญหายังไม่เดินหน้า

"ดังนั้น นับจากวันนี้เป็นต้นไปพวกเราไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เราจะต้องทวงคืนนโยบายภาคประชาชน ทั้งโฉนดชุมชนและธนาคารที่ดินมาเป็นของประชาชนให้ได้" แถลงการณ์ระบุในตอนท้าย

นายสังวร บัวคำโคตร ตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุม กล่าวว่าเมื่อเข้ามาบริหารประเทศใหม่ๆ รัฐบาลได้รับปากว่าจะช่วยเหลือประชาชนตามนโยบายแต่เวลาผ่านมาได้ 1 ปีกว่ากลบไม่ได้ช่วยเหลือชาวบ้านตามข้อเรียกร้องเลย ตั้งกรรมการและคณะอนุกรรมการหลายชุดแต่ปัญหาเดิมๆ ก็ยังคงอยู่ เช่น ปัญหาที่ดินที่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือของนายทุน ชาวบ้านไม่มีธนาคารที่ดิน เป็นต้น

ปัญหาเหล่านี้ถ้าไม่แก้ไขให้ประชาชนก็อยู่ไม่ได้ จึงรวมตัวกันเรียกร้อง กระนั้นความหวังที่รัฐบาลจะช่วยเหลือก็ยังดูไม่ชัดเจนหรือยังลมๆ แล้งๆ อยู่ เพราะดูเหมือนที่ผ่านมารัฐบาลมุ่งจะแก้ไขปัญหาของตัวเอง เช่น แก้รัฐธรรมนูญ ร่างพระราชบัญญัติปรองดอง ฯลฯ ไปเสีย

รายงานข่าวแจ้งอีกว่าสำหรับ ชปส.หรือ Pmove จะเดินทางจาก จ.เชียงราย ไปสมทบกับกลุ่มที่ จ.พะเยา และเดินทางต่อไปยัง จ.แพร่ เพื่อไปรวมกับกลุ่มที่มาจาก จ.เชียงใหม่-ลำพูน ที่ จ.แพร่ จากนั้นร่วมกันเดินทางไปพักค้างแรมที่ จ.พิษณุโลก คาดว่าจะมีรถจักรยานยนต์รวมกันประมาณ 500 คัน วันถัดไปจนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปรวมกลับกลุ่มจากภาคอื่นๆ

พวกเขาตั้งเป้าว่าอาจจะมีรถจักรยานยนต์ร่วม 5,000 คัน จากทั่วประเทศโดยจะไปรวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าและไปทำกิจกรรมและ ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลในวันที่ 2 ต.ค.ในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลก ทั้งนี้ในเย็นวันที่ 30 ก.ย.ยังจะมีกลุ่มเครือข่ายบ้านมั่นคงเมือง จ.เชียงราย นำโดยนายชัญญา เด่นตระกูล มีกำหนดเดินทางด้วยรถบัสออกจากบริเวนลานใกล้ฝูงบิน 416 อ.เมือง จ.เชียงราย พร้อมด้วยมวลชนประมาณ 100 คน ไปสมทบกับกลุ่มรถจักรยานยนต์ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลด้วย

กองกำลังบูรพาจัดพิธีปลูกป่าคืนความอุดมสมบูรณ์รอบพื้นที่เขตรอยต่อ 5 จังหวัด ตอ.



ศูนย์ข่าวศรีราชา - กองกำลังบูรพา จังหวัดสระแก้ว จัดพิธีเปิดโครงการฟื้นฟูป่าต้นน้ำเฉลิมพระเกียรติฯ ในกิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กระตุ้นชุมชน และองค์กรต่างๆ ร่วมปลูกต้นไม้เพื่อฟื้นฟูต้นน้ำภูไท และป่าต้นคลองอุดม แก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรป่าต้นน้ำด้วยการฟื้นฟู และพัฒนาป่าต้นน้ำให้คืนความอุดมสมบูรณ์

วันนี้ (26 ก.ย.) พล.ต.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฟื้นฟูป่าต้นน้ำเฉลิมพระเกียรติฯ ในกิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งจัดขึ้นที่บริเวณทุ่งหญ้าเขาซับพลู ตำบลวังใหม่ อำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว โดยมี พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา รองผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา จังหวัดสระแก้ว นายสมยศ ศิลปีโยดม นายอำเภอวังสมบูรณ์ นำหัวหน้าส่วนราชการอำเภอ นายทหาร ตำรวจ ผู้นำท้องถิ่น พ่อค้าประชาชน คณะครู นักเรียนเข้าร่วม

โดย พล.ต.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา กล่าวว่า กองกำลังบูรพาได้ดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยได้ปลูกป่าในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด มาตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา จำนวน 10 แปลง เนื้อที่ 1,410 ไร่ และในปี 2555 กองทัพบกได้จัดทำโครงการ “ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา จำนวน 50 ไร่

เพื่อฟื้นฟูต้นน้ำภูไท และป่าต้นคลองอุดมเพื่อแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรป่าต้นน้ำด้วยการฟื้นฟู และพัฒนาป่าต้นน้ำให้คืนความอุดมสมบูรณ์ และสามารถกักเก็บน้ำได้เพิ่มมากขึ้น ถือเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติในระยะยาว

และยังเป็นการพัฒนาป่าต้นน้ำให้อุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งรองรับน้ำ และควบคุมการไหลของน้ำฝนได้สู่ลำห้วย ลำธาร และแม่น้ำ เพื่อป้องกันน้ำท่วม ตลอดจนให้ประชาชน ชุมชน และองค์กรทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และฟื้นฟูระบบนิเวศป่าต้นน้ำให้เกิดความสมดุลทางธรรมชาติ

นอกจากนั้น ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา ยังได้มอบพันธุ์กล้าไม้จำนวนหนึ่งให้แก่ชุมชนรอบเขตรอยต่อ 5 จังหวัด เพื่อปลูกในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ได้แก่พื้นที่ป่าต้นน้ำเขาซับพลู ตำบลวังใหม่ อำเภอวังสมบูรณ์ ในเนื้อที่ 50 ไร่ และพื้นที่ป่าต้นน้ำคลองอุดม ตำบลวังทอง อำเภอวังสมบูรณ์

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากองค์กรภาคเอกชน สถาบันการศึกษา กองกำลังบูรพา ตลอดจนเครือข่ายป่าชุมชนรอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ภายในงานยังจัดให้มีการแสดงดนตรี การแสดงรำสาวภูไท การแสดงร่มบิน การจัดนิทรรศการของหน่วยทหาร รวมทั้งการทำโป่งเทียม การปล่อยสัตว์ป่าคืนสู่ธรรมชาติ

สสจ.ภูเก็ตเข้มดูแลความปลอดภัยผู้เข้าร่วมงานประเพณีถือศีลกินผัก



ศูนย์ข่าวภูเก็ต - สสจ.ภูเก็ต เข้มศาลเจ้า พี่เลี้ยงม้าทรง ให้ความรู้คุ้มครองความปลอดภัยจากโรค และอุบัติเหตุงานประเพณีถือศีลกินผัก ปี 55 หลังจากปีที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ได้รับาดเจ็บจากการประกอบพิธีกรรมหลายราย ทั้งจากอาวุธ และประทัด





เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (25 ก.ย.) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต จัดประชุมการคุ้มครองความปลอดภัยจากโรค และภัยอุบัติเหตุในงานประเพณีถือศีลกินผัก จังหวัดภูเก็ต ประจำปี 2555 โดยมีนายแพทย์ศักดิ์ แท่นชัยกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุม และมี พญ.อมรรัตน์ ตันติทิพย์พงศ์ หัวหน้ากลุ่มงานอาชีวเวชกรรม นายกิตติธัช ไมตรีจิตร พยาบาลวิชาชีพ กลุ่มงานอุบัติเหตุโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต น.ส.เสาวนีย์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนารูปแบบบริการ ตลอดจนประธานศาลเจ้า พี่เลี้ยงม้าทรงจากศาลเจ้าต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายแพทย์ศักดิ์ กล่าวว่า ประเพณีถือศีลกินผักของจังหวัดภูเก็ตปีนี้ ตรงกับวันที่ 15-25 ตุลาคม 2555 ซึ่งเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของภูเก็ต โรงแรมที่พักต่างๆ จะเต็มไปด้วยประชาชน และนักท่องเที่ยว มีพิธีกรรมการแสดงอภินิหารตามความเชื่อ เช่น ลุยไฟ ปีนบันไดมีด มีการแห่เจ้าไปตามถนนต่างๆ และจุดประทัดไปตลอดทาง ซึ่งในปีที่ผ่านมา มีข้อมูลผู้ได้รับบาดเจ็บจากประเพณีถือศีลกินผักจำนวนมาก โดยแบ่งเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บจากการใช้อาวุธ 29 ราย บาดเจ็บจากประทัด ควัน และเสียงประทัดที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม แบ่งเป็นผู้บาดเจ็บจากประทัดเข้าตา 14 ราย ประทัดโดนแขนขา 25 ราย และสำลักควันประทัด 2 ราย โดย 1 ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตที่โรงแรม 1 ราย





ขณะที่ในเรื่องของเสียงดังจากประทัด จากการเฝ้าระดับเสียงในผู้สัมผัสเสียงดังจากประทัด พบว่า บริเวณที่มีเสียงดังมากที่สุด คือ บริเวณพิธีแห่พระ ขบวนม้าทรง ผู้ทำหน้าที่แบกเกี้ยวไต๋เปี้ย และตั๊วเหรียญเพื่อแห่ไปรอบๆ ใจกลางเมือง ผู้สัมผัสเสียงมากที่สุดคือ คนแบกเกี้ยว รองลงมาคือ ม้าทรง และผู้เข้าร่วมพิธีกรรม ส่วนบริเวณศาลเจ้าพบว่า ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยมีระดับเสียงดังมากที่สุด 135 dB (A) เสียงดังเฉลี่ย 122.6 dB (A) วัดจากระยะห่าง 1 เมตร ประทัดจำนวน 3,000 นัด ใช้เวลา 15 วินาที ทั้งนี้ ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยเต้าโบ้เก้ง มีประชาชนนิยมจุดประทัดมากที่สุด รองลงมาคือ ศาลเจ้าปุดจ้อ และศาลเจ้ากะทู้ ส่วนศาลเจ้าอื่นๆ มีระดับความดังของเสียงปกติ

ดังนั้น การจัดประชุมอบรมการคุ้มครองความปลอดภัยจากโรค และอุบัติเหตุในประเพณีถือศีลกินผัก จ.ภูเก็ต ปี 2555 เพื่อลดปัญหาเสี่ยงด้านสุขภาพของผู้หามเกี้ยว ม้าทรง ผู้เข้าร่วมพิธีกรรม และนักท่องเที่ยว โดยมีเป้าหมายให้ความรู้ความเข้าใจการป้องกันภัยอันตรายจากอาวุธ การบาดเจ็บ และโรคติดต่อ รวมถึงอันตรายจากเสียงดัง และควันประทัด ทำให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้มากขึ้น สามารถดูแลผู้เกี่ยวข้องในประเพณีถือศีลกินผัก และดำเนินการเฝ้าระวังการป้องกัน ใช้มาตรการต่างๆ ลดปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน เพื่อให้เกิดสุขภาพที่ดีต่อประชาชนต่อไป

ดึงคนวงการท่องเที่ยวเชียงใหม่ติวเข้ม สกัดการหาผลประโยชน์ทางเพศเด็ก


ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ระดมบุคลากรด้านการท่องเที่ยวเชียงใหม่ ร่วมอบรมเข้ม สร้าง “เครือข่ายเฝ้าระวังปัญหาการท่องเที่ยวเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก”

วันนี้ (25 ก.ย. 55) นายฤทธิพงศ์ เตชะพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้เดินทางไปเปิดงานการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ “พัฒนาเครือข่ายเฝ้าระวังปัญหาการท่องเที่ยวเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก” ณ ห้องประชุม โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง เชียงใหม่ ที่กรมการท่องเที่ยว ร่วมกับ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย จัดขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลออสเตรเลีย (AusAID) โดยมีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมจากหลายหน่วยงานธุรกิจท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่

เนื่องจากพบว่า ระยะที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการแสวงหาประโยชน์จากเด็กเพื่อการค้าประเวณีในโรงแรม หรือการผลิต เผยแพร่ จำหน่ายสื่อลามกอนาจารในโรงแรม รีสอร์ต แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ และการรับเด็กเข้าทำงานในสถานประกอบการด้านการท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กในกลุ่มเสี่ยงจะอยู่ในกลุ่มเด็กเร่ร่อนที่อาศัยพื้นที่สาธารณะหลับนอน กลุ่มมิจฉาชีพจะเข้าไปตีสนิทชักชวนเด็กๆ ด้วยการเสนอประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น เงิน เกม ของเล่น เพื่อให้เด็กเชื่อใจแล้วชักชวนเด็กไปทำงาน เป็นต้น

นายฤทธิพงศ์กล่าวว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวสูง มีบทบาทที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยเป็นอย่างมาก และรัฐบาลได้กำหนดให้การท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ

อย่างไรก็ตาม ขณะที่การท่องเที่ยวขยายตัวนั้น ชุมชนกลับยังไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอ แหล่งท่องเที่ยวเกิดการเสื่อมโทรม วิถีชีวิตคนในชุมชนเปลี่ยนแปลงไป และปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นคู่กับการเติบโตทางการท่องเที่ยว และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศ คือ การค้าประเวณีเด็ก การล่วงละเมิดทางเพศเด็ก เพื่อแลกกับสิ่งแลกเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น

รองผู้ว่าฯ บอกอีกว่า เชียงใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคเหนือ มีภูมิประเทศที่สวยงามจนเป็นที่ยอมรับของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ปีหนึ่งมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 5,000,000 คน/ปี ดังนั้นย่อมมีแหล่งอบายมุและผู้คนที่แตกต่างกัน ซึ่งบางครั้งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ป้องกันได้ โดยทุกคนต้องช่วยกันดูแลมิให้มีการแสวงหาประโยชน์จากเด็กในทุกรูปแบบ

2 กลุ่ม SME นครศรีฯ ลงขันเกือบ 1 พันล้านสร้าง I-Biz Avenue สู้เชนจ์สโตร์



นครศรีธรรมราช - ไอ-บิซ อเวนิว พลิกมิติการลงทุนในต่างจังหวัด สร้างเครือข่ายคอมมูนิตีมอลล์ในพื้นที่กว่า 24 ไร่ ด้วยการลงทุนเกือบ 1 พันล้านบาท โดยการร่วมทุนใหญ่ระหว่างกลุ่มเพชรไพลิน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มปลีกแอนด์เพลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจไอทีในนครศรีธรรมราช สร้างโอกาส SME ในต่างจังหวัดหนีเชนจ์สโตร์สยายปีกบี้ธุรกิจไอทีภูธร ทำตลาดป่วนไร้เสถียรภาพด้านราคาขาย






นายศรีโรจน์ อนุตรเศรษฐ์ หุ้นส่วนและผู้บริหารโครงการไอ-บิซ อเวนิว เปิดเผยว่า การลงทุนในพื้นที่กว่า 24 ไร่ ริมถนนพัฒนาการคูขวาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง ใช้งบประมาณเกือบ 1 พันล้านบาท โดยโอกาสที่สำคัญที่เราเชื่อมั่นคือ ศักยภาพในการลงทุน และประชาชนมีกำลังซื้อสูง สภาพ GPP ของจังหวัดมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยลักษณะการลงทุนขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในนครศรีธรรมราชมาเป็นเวลานานแล้ว

“เราจึงได้ลงทุนเพื่อให้เป็นย่านธุรกิจการค้าแห่งใหม่ที่มีความทันสมัย มีความสะดวกสบายในการเดินทาง ที่จอดรถ เพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต ลานโล่งที่มีความยาวกว่า 500 เมตร ที่คาดหวังว่าจะเป็นแหล่งของกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยในพื้นที่โครงการนั้นจะมีทั้งไอทีมอลล์ พลาซ่า และโรงแรม อาคารพาณิชย์ถึง 145 ยูนิต ไอ-บิซฟูดปาร์ค และไอบิซ อเวนิว เป็นแหล่งของกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ ได้อย่างครบวงจร” ผู้บริหารรายนี้กล่าว

นายศรีโรจน์ อนุตรเศรษฐ์ หุ้นส่วนและผู้บริหารโครงการไอ-บิซ อเวนิว ยังกล่าวต่อว่า ในส่วนของตลาดไอทีโดยภาพรวมของนครศรีธรรมราช ได้หดตัวลงประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่ปรับตัวจากทิศทางด้านบวกที่เติบโต โดยเฉพาะในแวดวงด้านการศึกษา ผู้ใช้ในบ้าน แต่หลังจากที่สินค้าประเภทแท็บเล็ต สมาร์ทโฟนระดับแนวหน้าออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สินค้าประเภทนี้ขยายตัวขึ้นหลายเท่า

“แต่ในส่วนของกล้องถ่ายรูปดิจิตอลประเภทคอมแพกต์ โน้ตบุ๊ก พีซี ชะลอตัวอย่างรุนแรงถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ ลูกค้าเลือกใช้งานถ่ายรูปเล็กน้อยได้จากสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต โดยเฉพาะแท็บเล็ตที่ออกมามากหลากหลายยี่ห้อ รวมทั้งความแตกต่างด้านราคาจากไม่กี่พันบาทไปจนถึงเกือบ 3 หมื่นบาท ส่วนเดิมการตัดสินใจเลือกซื้อโน้ตบุ๊กจะเปลี่ยนไปใช้แท็บเล็ต กล้องคอมแพกต์ราคา 2-7 พันบาทการขายนิ่งมาก”

นายศรีโรจน์ อนุตรเศรษฐ์ ยังกล่าวต่อและว่า ปัจจัยอีกส่วนที่สำคัญคือ ลักษณะที่ว่า “ขายของฉลาดในราคาที่โง่” เป็นการแข่งขันที่สำคัญ ลักษณะของผู้ค้าประเภทขายเร็วอย่างเชนจ์สโตร์ต่างๆ ที่ขยายตัวออกมาจากกรุงเทพฯ มาลงในต่างจังหวัดมากขึ้น ได้ทุ่มตลาดด้านราคาอย่างรุนแรง ส่งเสริมการขายให้มียอดจำหน่ายมาก ขณะที่ผู้ค้าท้องถิ่น หรือผู้ค้ารายย่อยซื้อน้อยเป็นส่วนสำคัญ

“ผู้ผลิต หรือเวนเดอร์ต่างๆ ไม่ได้ดูแลผู้ค้ารายย่อยแบบเราที่เรียกว่ารีเทลล์ ลืมไปว่าพวกเราคือ กำลังหลักสำคัญในการเปิดตลาดภูธร ตลาดต่างจังหวัด พอตลาดในกรุงเทพฯ แน่น เชนจ์สโตร์ได้บุกต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้โครงสร้างทางราคาสินค้าไอทีในต่างจังหวัดบิดเบือน ขณะเดียวกัน ผู้ซื้อได้มองราคาสินค้าเป็นหลัก ส่วนนี้จึงทำให้ SME ในต่างจังหวัดยืนอยู่ไม่ได้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ผู้ประกอบการในต่างจังหวัดจึงพยายามปรับตัว” นายศรีโรจน์กล่าวในที่สุด